เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
แก่นของพุทธศาสนาแท้คือจิต
ก่อนจังหัน
พระวัดป่าบ้านตาดนี่มันจะตายละ อาหารท่วมปากท่วมท้อง ธรรมนี้หายเงียบเข้าป่าหมดเลย ใครให้รู้จักประมาณตัวเองนะ เราก็พึ่งมาเห็นนี่แหละ พวกอาหารมารวมอยู่วัดป่าบ้านตาดนี่ ถ้านักปฏิบัติแล้วไม่ต้องถามท่านเข้าใจของท่านเอง แต่นักกินนี่ซิก็ไม่ต้องถามเหมือนกันมันเข้าใจเอง อะไรจะดีๆ กว้านเข้ามาใส่ปากใส่ท้อง กินแล้วนอนอือๆ เหมือนหมู ภาวนาไม่ได้เรื่อง นี่เราบวชมาหาธรรม เราไม่ได้บวชมาหาอาหารการกินสมบูรณ์บริบูรณ์อย่างนี้แต่ธรรมแห้งผาก ขัดกันมากทีเดียว ให้ต่างคนต่างดูตัวเองทุกคน เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องจะสอนกันเรื่องจะบอกกัน เป็นแต่เพียงเผดียงๆ ให้รู้จักวิธีปฏิบัติเท่านั้น
ท่านผู้ที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ท่านแร้นแค้นกันดารทั้งนั้น ไม่ใช่ผู้สมบูรณ์พูนผล สมัยปัจจุบันยกตัวอย่างเช่นพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี่ ไม่มีใครจะสมบุกสมบันเกินท่านแหละว่างั้นเถอะ ทุกข์ยากลำบากที่ไหนๆ ท่านไปอยู่ที่นั่นๆ ท่านยังเล่าให้ฟัง คือท่านพูดไปมันไปเฉียดท่านก็เล่าให้ฟังเฉยๆ เล่าธรรมดา ไปเที่ยวในป่าเขาเชื่อกันว่าพระกรรมฐานฉันแต่ถั่วแต่งา ไม่ฉันเนื้อฉันปลา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็เอาข้าวเปล่าๆ ให้ เขากินเนื้อกินปลาเขาก็เอาข้าวเปล่าๆ ใส่บาตรพระ เพราะว่าพระท่านไม่ฉันเนื้อฉันปลา ท่านฉันแต่ถั่วแต่งา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็ไม่ใส่ให้ เราก็ฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ท่านว่างั้น คือท่านเล่าท่านพูดไปเฉยๆ เวลาเรื่องผ่านท่านก็เล่าให้ฟังๆ เป็นอย่างนั้นแหละ
พวกเรานี่มันฉันแต่ถั่วแต่งา หรือฉันแต่อะไรที่จะทำให้ธรรมจมๆ ให้ดูเอานะ พิจารณาให้ดี นักปฏิบัติต้องเป็นนักพินิจพิจารณาทุกอย่างที่มาเกี่ยวข้องกับตน ผู้ปฏิบัติธรรมอย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ ผมก็มองไม่ทันเพราะมันมากต่อมากพระก็ดี อนุโลมไปๆ เลยเลอะเทอะไปหมดแล้วเวลานี้ มันมีทุกแบบ พวกฆราวาสก็หากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ พระก็หากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ ไม่ทราบจะดูอะไรให้ทั่วถึง เลอะเทอะไปตรงนี้ละ
ให้ดูตัวเองๆ ทุกคนๆ การปฏิบัติธรรมให้ดูหัวใจ อะไรผ่านเข้ามาที่มากระทบกระเทือนกับหัวใจที่กำลังบำเพ็ญธรรมให้ปัดออกๆ มันจะอยากจะหิวขนาดไหน อย่าเอาความอยากความหิวนั้นมาเป็นใหญ่กว่าธรรม ต้องถือธรรมเป็นใหญ่ อะไรที่จะเป็นข้าศึกต่อธรรมให้ปัดออกๆ คำพูดเช่นนี้สมัยนี้ไม่มีนะ มีแต่กิเลสเหยียบแหลกๆ พวกพระเรานี้แหละตัวร้ายกาจ ตัวหยาบโลนเดี๋ยวนี้น่ะ พระเรานี่หยาบโลนมากทั้งเขาทั้งเราไม่ตำหนิใคร เพราะจิตใจต่ำ อาศัยศาสนาไปวันหนึ่งๆ ยิ่งตั้งยศตั้งลาภให้เลยเป็นบ้ายศบ้าลาภไปเลยพระหัวโล้นๆ เป็นบ้ายศเคยมีที่ไหนพระ ยศของพระคืออรรถคือธรรม การปฏิบัติตนให้มีความสงบร่มเย็นเป็นสุขภายในจิตใจ นั่นคือผู้บำเพ็ญธรรม เอาตรงนั้น
อะไรจะบกพร่องขาดเขินช่างมัน ขอให้ธรรมกับใจสมบูรณ์ๆ สงบร่มเย็น นี้เป็นที่พอใจและถูกต้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า อดอยากบ้างแหละดี พระองค์สลบไสลถึงสามหนลำบากไหม มาเป็นศาสดาของพวกเรา เป็นคติตัวอย่างทุกแบบทุกฉบับ มาจากศาสดาองค์เอกทั้งนั้นแหละ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
ผมไม่ไปแตะต้องสำหรับการทำความเพียรของพระในวัดนี้ บริเวณนอกศาลานี้เข้าไปแล้วห้ามไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง ให้เป็นทำเลของพระบำเพ็ญเพียร ผมไม่เข้าไปแตะ ผมเทิดทูนธรรมอยู่ตลอดเวลา แม้จะช่วยโลกขนาดไหนความเป็นห่วงใยในพระในเณรเกี่ยวกับอรรถกับธรรมนี้ผมไม่ได้ลดละ นอกจากนั้นยังเสริมตลอดทางด้านปฏิบัติของพระ ผมจะช่วยโลกช่วยสงสารจนจะเป็นจะตายสำหรับเจ้าของเอง ผมก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับพระให้ได้รับความลำบาก เสียเวล่ำเวลาในการบำเพ็ญธรรม จงพากันตั้งใจปฏิบัติให้ดี
สติเป็นสำคัญ จำให้ดีทุกองค์ ความพากเพียรอยู่กับสติ ถ้าสติไม่ดี สติไม่มีความเพียรไม่มี เดินจงกรมเอาสักสิบขา ไปยืมขาหมามาก็ได้ หมาในวัดนี้มีกี่ตัว มี ๑๒ ตัว มันมีกี่ขา ยืมขาหมามาเดินจงกรมมันก็เป็นขาหมาไปเลย ไม่มีความพากความเพียรในตัวถ้าขาดสติเสียอย่างเดียว สติ จำให้ดีอย่าให้เดือดร้อนขาหมา เดินจงกรมสองขาไม่พอไปยืมขาหมามา ขาหมามันมีสติสตังที่ไหน ไปยืมขาหมามาเท่าไรก็ยิ่งเป็นหมาทั้งตัวไปเลยพระ ใช้ไม่ได้นะ
ท่านแสดงไว้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
ดูก่อน โมฆราช โมฆราชเป็นมานพ ๑ ใน ๑๖ คน เป็นผู้ที่ควรจะได้บรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว พระพุทธเจ้าก็จ่อลงในจุดที่จะบรรลุธรรมอย่างรวดเร็วเลยด้วยสติ สทา สโต ให้มีสติตลอดเวลา ดูโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความเห็นว่าเราว่าเขาอันเป็นก้างขวางคอออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชคือความตายเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ นี่ละพระพุทธเจ้าสอนพระโมฆราช เราจะเป็นพระแบบไหน ถ้ามีสติสตังก็จะก้าวเข้าไปสู่พระโมฆราช ถ้าไม่มีสติสตังไม่เป็นท่าทั้งนั้นแหละ นี่ละเป็นคติ ขอให้มีสติ ชำระจิตใจของตนให้ดี จะเป็นพระโมฆราชได้ด้วยกันทั้งหมด ถ้ามีสติชำระกิเลสให้ขาดสะบั้นไปจากใจแล้วเป็นพระโมฆราชได้ด้วยกันทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าไม่ทรงสงวนไว้สำหรับพระโมฆราช องค์เดียว สงวนไว้กับทุกองค์ๆ ให้ปฏิบัติตนด้วยความมีสติสตัง ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขา นั่นละคือก้างขวางคอออก จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ ด้วยความมีสติ จำให้ดี
เวลานี้ศาสนาจะมีแต่ชื่อ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดมาดั้งเดิม สดๆ ร้อนๆ ในธรรมของพระพุทธเจ้า แต่มันเน่าเฟะๆ สำหรับชาวพุทธของเรา ไม่ได้สนใจในอรรถในธรรมนะเวลานี้ จิตใจมันต่ำมากๆ ทีเดียว ไม่ต้องพูดที่อื่น ก้าวเข้ามาในวัดนี้เราสลดสังเวชนะ เพราะฉะนั้นทนไม่ได้ถึงดุเอาๆ เราดุเอง ค่ำๆ จนจะมืดแล้วยังเพ่นพ่านๆ เข้ามา ตาก็เถ่อนั้นเถ่อนี้ ปากก็อ้า ไม่มีสติ เซ่อซ่าๆ เข้ามา มาก็ถามละซิ มาอะไร หมดเวล่ำเวลาแล้วมาอะไร ถามไม่ได้ถ้อยได้ความ มาเที่ยวอย่างนั้นละ เซ่อๆ ซ่าๆ มาอย่างนั้น เราไล่ออก การไล่ออกนี้ก็เพื่อไม่ให้มาทำลายผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ จะเสียไปด้วยกันกับความเซ่อๆ ซ่าๆ นั้นละ
ท่านทั้งหลายมาวัด ดูให้ดี อย่ามาเซ่อๆ ซ่าๆ แล้วมาให้คะแนนพระมาตัดคะแนนพระ ตับปอดเจ้าของเป็นยังไงพระดูหมดแล้วนั่น พระดูจนสลดสังเวชแล้วยังไม่รู้ตัวอยู่เหรอ ว่าพระนี่โง่เหรอ พิจารณาซิ ลูกศิษย์ตถาคตไม่โง่ สติเต็มอยู่นั้น ปัญญาเต็มอยู่นั้น ความละเอียดสุขุมเต็มอยู่กับพระที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมนั้นแลไม่อยู่ที่ไหน ถ้าเป็นแบบเดียวกันก็แบบเดียวกัน เซ่อๆ ซ่าๆ แม้อยู่ในวัดมันก็เป็นมูตรเป็นคูถ วัดก็เป็นส้วมเป็นถานของมูตรของคูถ คือพระเณรปฏิบัติเหลวแหลกไปนั้นแล ถ้าปฏิบัติตัวไม่ดี ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณานะ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอ ขอให้ได้มาเฉียดที่จิตใจด้วยความมีสติ ด้วยความมีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม กระหยิ่มยิ้มย่องต่ออรรถต่อธรรมต่อบุญต่อกุศล นี้จะเป็นเครื่องหมายของมนุษย์ชาวพุทธเรา อย่าอยู่เฉยๆ วันหนึ่งๆ กินไปนอนไปๆ เขาก็เพลินเราก็เพลิน ไม่ทราบว่าเพลินหาอะไร จุดหมายปลายทางไม่มี นี่ละพวกจม ให้มีจุดหมายปลายทางซิ ตื่นตามาเช้าระลึกถึงพุทโธ วันหนึ่งอย่างน้อยอย่าให้ลืม พุทโธให้ได้สัก ๕ หน ก็พอมีระลึกถึงบุญถึงบาปได้บ้างคนเรา อย่าลอยลมๆ นะเลอะเทอะมากชาวพุทธในเมืองไทยเราเวลานี้ ชาวพุทธชาวพระเลอะเทอะไปตามๆ กันหมด จำให้ดี เอาละจะให้พร
หลังจังหัน
(พระสงฆ์จากวัดถ้ำเกีย จ.อุดร นำคณะญาติโยมจากประเทศอินโดนีเซียมากราบนมัสการหลวงตา ประมาณ ๓๐ คน)
พระจากวัดถ้ำเกีย ญาติโยมจากประเทศอินโดนีเซียมากราบครับ
หลวงตา เมืองอุดรเรามันตายหมดแล้วหรือ มีคนไปกราบหรือเปล่าตรงนั้น หรือมีแต่เมืองอินโดนีเซียมากราบถ้ำเกีย เมืองอุดรเรามันตายกันหมดหรือ ตีเกราะหากัน มันไปไหนหมดเมืองอุดร เวลาจะพูดอย่างนั้น มันหากมีของมัน ตลกแทรกในนั้นแหละ อินโดนีเซียมามากไหม
พระจากวัดถ้ำเกีย ประมาณ ๓๐ ครับ
หลวงตา นู่นน่ะตั้ง ๓๐ เมืองอุดรแตก ท่านสอนแบบไหนล่ะทางอินโดนีเซียถึงได้เคารพเลื่อมใสมาตั้ง ๓๐-๔๐ คน ผมก็สอนเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน ไม่เห็นมีอินดงอินโดนีเซียที่ไหนมาเลย เหอ
พระจากวัดถ้ำเกีย ผมไปจำพรรษาที่นู่นครับ
หลวงตา เออ ยอมรับ เพราะผมไม่เคยไปจำพรรษา เอาตรงนั้นละ แพ้ชนะกันตรงนี้ ไปจำพรรษาอินโดนีเซีย พาอินโดนีเซียมาดี ดีอยู่ นี่แหละใจมีภาษาเดียวอย่างว่า บุญบาปเข้าได้ ท่านไปอยู่ทางนู้นนานเท่าไร
พระจากวัดถ้ำเกีย ๒ พรรษาครับผม
หลวงตา ทางอินโดนีเซียเขาถือศาสนาอะไรบ้าง
พระจากวัดถ้ำเกีย ส่วนมากเป็นอิสลาม ๙๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ ศาสนาพุทธประมาณ ๒%
หลวงตา ไม่ว่าที่ไหนไม่ว่าอะไรของดีย่อมมีน้อยเสมอ ของไม่ดีมีเกลื่อนโลก ของดีมีน้อยมาก จิตใจเราเวลาหมุนไปทางไม่ดีมีมาก ทั้งๆ ที่เราเป็นนักภาวนาๆ จิตใจมันไขว่มันคว้ามันยุ่งแต่ภายนอกมากต่อมาก ที่จะหมุนเข้ามาสู่ตัวเหตุอันเป็นฟืนเป็นไฟคือกิเลสภายในใจนี้มีน้อยมาก ย่นเข้ามาซิ ย่นเข้ามา ทั้งๆ ที่เรามาภาวนา แต่จิตที่มันเป็นกิเลสเป็นโลกมันหมุนรอบตัวตลอด ความเพียรจนก้าวไม่ออก นี่เวลามันหยาบ จิตใจเวลาหยาบ หยาบอย่างนี้
คือมันหมุนรอบตัว กิเลสมันเป็นอัตโนมัติ มันหมุนอยู่ในหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน ไม่มีใครบังคับ เป็นของมันเอง เป็นอย่างนี้สัตว์โลกทั่วๆ ไป แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิดนะธรรมข้อนี้ไม่คิดแต่ก่อน ก็ปล่อยให้มันหมุนไป เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา มีแต่กิเลสหมุนจิตใจ จิตใจนี้เป็นเหมือนฟุตบอลถูกเตะถูกถีบตลอดทั้งเขาทั้งเรา เราก็ไม่ได้คิดแต่ก่อน นี่ก็เพราะการบำเพ็ญจิตใจนั้นแหละที่จะได้รู้เงื่อนกัน ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมีแต่กิเลสเตะกิเลสถีบกิเลสยันตลอดเวลา ซัดกันไปซัดกันมา
ก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราลืมเมื่อไรน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ไปสู้กับกิเลสอยู่บนภูเขา นี่เวลาจิตใจอ่อนเปียกกิเลสมีอำนาจมาก มันเตะ สติพยายามตั้งปั๊บ ตั้งเพื่อล้ม ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ ตั้งหน้าตั้งตาตั้งเท่าไรล้มทั้งนั้นๆ สุดท้ายก็เอาน้ำตาสังเวยกิเลส ถึงขนาดอุทานทีเดียวนะ แต่คำอุทานนี้ก็เป็นผลดีอยู่ อันนั้นละที่ได้เป็นข้อเคียดแค้น แล้วข้อเคียดแค้นนี้ก็ต้องให้พิจารณาไปอีก ความเคียดแค้นธรรมดาทั่วๆ ไปนี้เป็นกิเลส เคียดแค้นให้สัตว์ให้บุคคลใดก็ตามเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่เวลาความเคียดแค้นในกิเลสในหัวใจเราที่จะเอากันให้มันพังลงนี้ความเคียดแค้นนี้เป็นธรรม
นี่ละถึงน้ำตาร่วง ถึงขนาดอุทานอยู่คนเดียว โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ กูมึงในจิตนะ เป็นอยู่ในจิต มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วงสู้มันไม่ได้ พอตั้งพับล้มทันทีๆ เลย นี่กระแสกิเลสของกิเลสที่เวลามันรุนแรง รุนแรงขนาดนั้น เอามาทดสอบกันกับเวลาที่ความเพียรเราหนักเข้าๆ สติปัญญาดีขึ้น กิเลสล้มผล็อยๆ ตั้งพับขึ้นมานี้ขาดสะบั้นไปเลย นี่เวลาเราอบรมของเราดีแล้ว ออกมาจาก..มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย มุมานะเคียดแค้นให้กิเลสภายในใจของตัวเอง
โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่ลืม อะไรที่ลงได้ฝังใจแล้วไม่ลืม อย่างที่กิเลสเอาเราจนน้ำตาร่วงบนภูเขาเราก็ไม่ลืม ถึงขนาดอุทานว่า เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่งจนได้ ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่เคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรมนะ เป็นความมุมานะขึ้นอย่างหนัก หนักเรื่อย ถือเอากฎเกณฑ์นี่ละเคียดแค้นให้กิเลสเป็นเครื่องหนุนความเพียรของเรา ฟาดลงไปๆ ไม่หยุดไม่ถอย ครั้นต่อไปกิเลสมันก็อ่อนละซิเพราะเราสู้ไม่ถอยๆ
เอาถึงขั้นว่ากิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้เลย ขั้นนี้เป็นขั้นความเพียรอัตโนมัติแล้วนะ สติปัญญาอัตโนมัติแล้วหมุนตัวเป็นธรรมจักรตลอด เรียกว่าเป็นเอง ความเพียรถึงขั้นฆ่ากิเลสด้วยความแกล้วกล้าสามารถของสติปัญญาแล้วหมุนไปเอง เหมือนกิเลสหมุนหัวใจเราเป็นเอง แต่เวลาธรรมมีกำลังกล้าก็หมุนกิเลสเช่นเดียวกัน โผล่ขึ้นมาไม่ได้ขาดสะบั้นๆ เลย กลางคืนกลางวันไม่ได้หลับได้นอน จนจะตายจริงๆ ต้องบังคับกับพุทโธ
คำว่าบังคับกับพุทโธ คือสติปัญญามันแกล้วกล้าสามารถ มันพุ่งๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งการหลับนอนไม่หลับ หลับไม่ได้ กิเลสกับธรรมฟัดกัน ไม่ให้หลับ มันอยู่ที่หัวใจ นอนอยู่มันก็ซัดกันที่หัวใจ นี่ถึงขั้นอัตโนมัติของสติปัญญาฆ่ากิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น ทีนี้เราจะพักจิตให้มีความสะดวกสบายบ้างทำอย่างไร จิตนี้เวลามันหมุนมันหมุนถึงขนาดนี้เจ้าของก็จะตาย เหนื่อย เหนื่อยในหัวอก หัวอกตรงนี้ละ สติปัญญาฟัดกันไม่ถอยกับกิเลส แล้วจะทำอย่างไรจะได้พักให้พอสะดวกสบายบ้าง
สุดท้ายเอาพุทโธมา เราไม่ลืม เอาพุทโธมาเป็นคำบริกรรม คือถ้าเราจะทำจิตให้สงบนี้ไม่สงบ ปัญญาออก สติปัญญามันรุนแรงมาก พุ่งๆ เพลินกับการฆ่ากิเลส รั้งไม่อยู่เลย ต้องเอาพุทโธมา ตั้งพุทโธลง พุทโธๆ ให้จิตอยู่กับพุทโธ ห้ามไม่ให้สติปัญญาออกไม่ได้ธรรมดา ต้องเอาพุทโธมาเป็นที่ยับยั้งของสติ สติจับอยู่กับพุทโธ พุทโธๆๆ คำว่าเผลอไม่อยากพูด แต่พออ่อนทางนี้เท่านั้นละมันจะออกทางด้านปัญญา เอาพุทโธๆ ๆ ติดแนบเรียกว่าให้หนักแน่นทางพุทโธ สติอยู่ที่นี่หมดเลย ทีนี้จิตก็สงบลงแน่วเลย ลงด้วยพุทโธ
ห้ามธรรมดาไม่อยู่ สติปัญญาออกรุนแรงมาก ท่านทั้งหลายฟังเสีย นี่ละในวงความเพียรถอดออกมาจากหัวใจเรามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ถึงขั้นอ่อนเปียกน้ำตาร่วงบนภูเขาก็เล่าให้ฟัง นี่ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังกล้าฟัดกับกิเลสไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนก็มาเล่าให้ฟัง นอนจริงร่างกายนอนแต่สติปัญญากับกิเลสฟัดกันอยู่บนหัวใจมันไม่ได้นอนนี่นะ สุดท้ายแจ้งๆ กลางวันมันก็จะไม่นอนอีก อ้าว นี่มันจะตายแล้วนะนี่ อ่อนไปหมดร่างกาย ทำอย่างไร เอาพุทโธมาบริกรรม จะพักจิตเข้าสู่สมาธิ ทั้งๆ ที่สมาธิแต่ก่อนนี้เก่งมาก
เวลามันออกทางด้านปัญญาแล้วทางด้านปัญญาเหนือสมาธิ ไม่สนใจกับสมาธิ มีแต่พุ่งทางด้านปัญญาเลย นี่ละมันเอาเข้าสมาธิไม่ได้ ต้องเอาพุทโธ เอาพุทโธๆ สติจับกับพุทโธไม่ให้ปล่อยนะ พุทโธๆ แล้วจิตก็ค่อยสงบลงๆ แน่วลง พอจิตลงสู่ เอกัคคตาจิต เอกัคคตาธรรม แน่วลงนี้แล้ว ทีนี้จิตสงบเงียบเลย นั่นละเรียกว่าเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม สงครามระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันยุติในเวลาจิตเข้าสู่สมาธิ สงบเป็นอารมณ์อันเดียว บังคับไว้นั้น จนกระทั่งจิตใจมีกำลังกระปรี้กระเปร่าขึ้นภายในตัวเอง เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามเบาหมด ร่างกายจิตใจเบาหมด เห็นว่าได้กำลังพอสมควรพอเรารามือเท่านั้นมันก็ผึงออกเลย
ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติเป็นอย่างนี้เอง ท่านทั้งหลายฟังเอาในวงความเพียร เราเป็นผู้มาแสดงเอง เป็นเองนำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จึงไม่สงสัยว่าจะผิดไป นี่ละถึงขั้นสติปัญญาเป็นอัตโนมัติกิเลสนี้โผล่มาไม่ได้เลย โผล่ไม่ได้ๆ เพราะกำลังวังชาสติปัญญาแก่กล้าสามารถ พอโผล่ขึ้นมานี้ขาดสะบั้นๆ เอาไม่หยุดไม่ถอย เอาจนเต็มเหนี่ยว สติปัญญาอัตโนมัติไหลเข้าสู่มหาสติ-มหาปัญญานี้ยิ่งเก่งมาก หมุนติ้วๆ เอา ขอสรุปเลย ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอะไรเหลือเลย เหมือนฟ้าดินถล่ม
ทีนี้ที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่นั้นเงียบเลย กิเลสขาดเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรเป็นข้าศึก ที่ทำให้หมุนติ้วๆ เพราะกิเลสเป็นต้นเหตุ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วงานที่หมุนติ้วๆ หยุดกึ๊กทันที ก็จะทำกับอะไร ถ้าว่ากิเลสก็ขาดสะบั้นให้เห็นต่อหน้าต่อตาแล้ว สติปัญญาหยุดเอง ทั้งๆ ที่เป็นมหาสติ-มหาปัญญาหยุดกึ๊กเอง รู้เอง สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนโดยลำดับลำดา จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีเหลือ แล้วงานเหล่านี้หยุดเอง กิเลสนี่ละเป็นเครื่องหมุนจิต จึงทำให้สติปัญญาหมุนตามกิเลสฟัดกัน
พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปสติปัญญานี้ก็ยุติทันที หมด จากนั้นมาไม่เห็นมีอะไรมากวนใจ ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรกวนใจ นอกจากกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ชี้นิ้วได้เลย นอกจากกิเลสอย่างเดียว พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวน ตั้งแต่บัดนั้นตลอดเลยที่นี่ หมด นั่นละหมดทุกข์ บรมสุขขึ้นทันทีรับกัน นิพพานเที่ยงบอกในตัวเสร็จ กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้แปรปรวนไปตลอดมานั้นถึงขั้นนิพพานเที่ยงแล้วหมดกฎอนิจจัง ไม่มี ดับหมด
นี่ละการประกอบความพากเพียร เราพูดเรื่องอะไรมามันถึงได้หมุนเข้ามา พูดถึงเรื่องกิเลสมันหมุนจิตใจของสัตว์โลก เราก็ไม่เคยคิดว่าสติปัญญาฆ่ากิเลสนี่จะหมุนเป็นธรรมจักร หมุนเป็นอัตโนมัติเหมือนกิเลสหมุนบนหัวใจสัตว์ แต่ก็หมุนแล้วในหัวใจเรา หมุนจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีเหลือ หมุนเองเป็นเอง จนกระทั่งนอนไม่หลับ กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่หลับ คือมันหมุนของมันเองโดยอัตโนมัติ ด้วยความเห็นโทษในวัฏจักรที่จะหมุนตัวออกให้หลุดพ้น อะไรเป็นข้าศึกฟัดกับสิ่งที่เป็นข้าศึกคือกิเลสตลอดเวลา พอกิเลสขาดลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจ แสนสบาย ท่านว่านิพพานเที่ยง มันก็เที่ยงอยู่ที่จิต กฎอนิจจังไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาทำลาย มันก็เที่ยงละซิ
เราพูดถึงเรื่องการประกอบความพากเพียร พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกนะ ท่านทั้งหลายให้จำเอา สดๆ ร้อนๆ อยู่กับผู้ปฏิบัติธรรม แต่ไม่อยู่กับโมฆบุรุษโมฆสตรีที่ไม่สนใจกับอรรถกับธรรม ทั้งๆ ที่ว่าถือพุทธศาสนา ถือพุทธๆ แต่หัวใจไม่เป็นพุทธ มันเป็นผีๆ ไปเลย ให้กิเลสเอาไปถลุงทั้งวันทั้งคืน พอธรรมะได้ขึ้นกับใจแล้วกิเลสขาดสะบั้นลงไป นั่นละพุทธะแท้อยู่ที่หัวใจ จะว่าถือพุทธศาสนาหรือไม่ถือก็แล้วแต่ มันพอตัวอยู่ในนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทูลถามหาพระพุทธเจ้าว่ามีกี่พระองค์ ถามหาอะไร
เราอยู่ในท่ามกลางแห่งความหลุดพ้นเหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว พระสาวกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เหมือนน้ำในมหาสมุทรทะเลหลวง เราก็อยู่ตรงกลางนั้น จ่อลงไปตรงไหนก็เป็นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง เราจะไปถามหาน้ำมหาสมุทรที่ไหน ทีนี้จิตพอจ่อเข้าไปถึงความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงแล้วก็เป็นน้ำมหาวิมุตติมหานิพพาน จิตลงเข้าไปจุดกลางนี้กระเทือนถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายหมด ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าละ อันนี้เป็นอันเดียวกันแล้วกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เหมือนกับน้ำทั้งหลายที่เป็นอันเดียวกันแล้วในวงมหาสมุทร ตกมาหยดใดก็เป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกัน ตกมาจากบนฟ้าก็เป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด
อันนี้ก็เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญบารมีธรรมเมื่อเข้าถึงขั้นวิมุตติธรรมแล้วไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอยู่ที่ไหน เราอยู่ในท่ามกลางแห่งความเลิศเลอแล้ว พระพุทธเจ้าเลิศเลอฉันใดธรรมชาตินี้ก็เลิศเลอฉันนั้น ท่านแสดงว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย.บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายนับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เสมอกันหมด ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกันเลย เรียกว่าอยู่ท่ามกลางความบริสุทธิ์หมือนกันหมด ถามหากันอะไร ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร เมื่อเข้าถึงขั้นอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้า ท่ามกลางความบริสุทธิ์ ท่ามกลางแห่งนิพพานเที่ยงแล้วเหมือนกันหมดเลย นั่น ให้มันเห็นอยู่ในหัวใจซิ ปฏิบัติไป
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ออกจากภาคปฏิบัติ เพียงนับถือเฉยๆ ก็เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบของพุทธศาสนา ดีเรื่องดี ดีเข้าไปเป็นชั้นๆ เข้าไปจนถึงรากแก้วรากฝอย ถึงแก่นของพุทธศาสนาแท้คือจิต จิตถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วสุดยอดเลย นั่นละพุทธศาสนาสุดยอดอย่างนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ เราเกิดมาในท่ามกลางพุทธศาสนาอย่าให้เสียท่าเสียทีไป ไม่เกิดประโยชน์อะไร เร่ๆ ร่อนๆ โอ๊ย เราสลดสังเวชนะ ยิ่งจวนจะตายเท่าไรยิ่งได้ปลงธรรมสังเวช ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามยกตนข่มท่าน มันหากเป็นโดยหลักธรรมชาติของมันในจิตดวงนี้
เห็นเข้ามาเพ่นๆ พ่านๆ ดูแล้ว โอ๊ย สลดสังเวช คือไม่มีที่เกาะที่ยึด มาแบบเพ่นๆ พ่านๆ ตามประสีประสามา รื่นเริงบันเทิงมาด้วยอำนาจของกิเลส อย่างนั้นทั้งเขาทั้งเรามันเหมือนกันหมด ทีนี้จิตที่เป็นธรรม ธรรมที่เป็นจิตเป็นอันเดียวกันแล้วมันจ้าหมด มันเห็นหมด จะไม่สลดสังเวชได้ยังไง ธรรมชาติหนึ่งเลิศเลอ ธรรมชาติหนึ่งเลวร้าย ธรรมชาติหนึ่งหาที่เกาะที่ยึดไม่ได้ อยู่ท่ามกลางกองไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เผาอยู่ในหัวใจเอาความวิเศษมาจากไหน อีกอันหนึ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอบริสุทธิ์สุดส่วนแล้วในหัวใจ ดูกันมันก็ดูได้ง่ายละซิ
ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัติ เราได้พบพุทธศาสนานี้เรียกว่าเลิศเลอสุดยอดแล้ว อย่าปล่อยอย่าวาง รักษาจิตให้ดี จิตนี้ละเป็นผู้ที่จะเลิศเลอ เลวร้ายที่สุดก็คือจิตดวงนี้ ถ้าพาให้มันเลวร้ายไปตามกิเลสจะเลวร้ายโดยลำดับ จนกระทั่งหมดค่าหมดราคา ทั้งที่ยังไม่ตายหมดคุณค่าแล้ว ถ้าฟิตจิตใจของเราให้ดีแล้วมีคุณค่าตลอดๆ จนกระทั่งถึงวันตาย ถึงวิมุตติหลุดพ้นคือจิตดวงนี้เอง เป็นธรรมธาตุที่เลิศเลอสุดยอด พากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |