เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
อย่าเอาวัตถุมาอวดกัน
เมื่อวานไปโรงพยาบาลภูเขียว ไปดูเขาสร้างตึกสองชั้น เอาของไปส่งด้วย ดูตึกด้วย ตึกนี้ว่าประมาณ ๑๐ ล้าน บทเวลาเสร็จแล้วไม่อยู่ ทำที่ไหนก็เหมือนกันหมด ทำที่ไหนไม่อยู่ที่ว่าไว้ ขยับเรื่อย อะไรไม่ดีไม่เอา เอาอย่างดีๆ ให้พอใจ ราคามันก็ถีบละซิ โนนสะอาดใครก็เห็น ผ่านไปผ่านมา หมออ้วนมันเขียนตัวใหญ่ๆ ว่าหลวงตามหาบัวใส่ตึกใหญ่ๆ เราโมโห บอกแล้วที่ไหนก็บอก อย่ามาเขียนชื่อเรา เราไม่เอาชื่อเอานาม เราเอาผลประโยชน์แก่โลก แล้วก็ไปเขียนไว้
ไม่เอาจริงๆ คือมันหมดโดยประการทั้งปวงในหัวใจ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี เอาอะไรมาเพิ่มก็ไม่ได้ มาตัดออกก็ไม่ได้ อยู่ในความพอดีที่เลิศเลอ ทำอยู่อย่างนี้หากไม่ต้องการอะไร มีแต่ความเมตตามันครอบไปหมดเลย ความเมตตา ความสงสาร ไปที่ไหนดูจริงๆ นะ ไปที่ไหนๆ ดู แม้ที่สุดติดไฟเขียวไฟแดงจะมองหาพวกขายดอกไม้ เอาค่าดอกไม้ให้เขาคนละสองร้อยๆ คือมันเป็นหลักธรรมชาติ มันอ่อนนิ่มไปหมดเลย
(คณะวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน และประชาชนจากทั่วสารทิศ ได้รวมน้ำใจขอน้อมถวายปัจจัยแด่พระหลวงตาเป็นจำนวนเงิน ๒,๑๓๓,๐๐๐ บาท ดอลลาร์ ๔๕๐ ดอลล์ ทองคำหนัก ๕ บาท) สาธุๆๆ พอใจๆ นะ ได้บุญได้กุศล บุญกุศลเป็นของท่านทั้งหลายเอง อันนี้เป็นของช่วยโลก...วัตถุ บุญกุศลเป็นของช่วยหัวใจของผู้บำเพ็ญแต่ละท่านๆ
กำลังสั่งรถ เวลานี้รถมาหลายคัน ทางโน้นมาขอทางนี้มาขอไม่รู้จะทำยังไง วิ่งเข้ามา รถดูเหมือน ๔ คันเวลานี้ คันหนึ่งๆ โถ ล้านหกแสนกว่าๆ ไม่ได้ลดราคา มีแต่ขึ้นเรื่อย เงินมีมาเท่าไรออกหมด ออกช่วยชาติบ้านเมือง เราไม่สนใจ เพราะบิณฑบาตดูซิใส่รถยนต์มาไม่ใช่ใส่บาตรมานะ ใส่รถยนต์เต็มรถๆ ไม่รู้กี่คัน กินให้ตายก็ตาย ผู้อดอยากขาดแคลนอดมากทีเดียว นี่ละจึงกระจายออกให้ทั่วถึงกันไปหมด
วันที่ ๒๑ นี่เราก็จะไปเขาใหญ่ ให้เอารถไปแข่งกันนะพวกในครัว ใครมีรถกี่คันให้เอาไปแข่งกันในครัว เหยียบหัวหลวงตาบัวไปเลย ฟังแล้วมัน แหม มันฟังไม่ได้นะ เราอดเราทนแสนทนแล้วละ ไอ้เรื่องอย่างนี้มันเข้ากันไม่ได้กับธรรม พระพุทธเจ้าเสด็จออกบวชเอารถคันไหนไปว่ะ มีม้ากัณฐกะเท่านั้นกับนายฉันน์ติดตาม พอบวชแล้วอยู่ในป่าบำเพ็ญ ๖ ปี สลบไสลไปสามหน นั่น มีรถคันไหนบ้างล่ะติดตาม ไอ้ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่มันเก่งนะเวลานี้ เก่งขึ้นทุกวัน อยู่ในครงในครัวเรานี่ละ เอารถมาแข่งกัน เอาวัตถุมาแข่งกัน ใครมีรถกี่คันจมูกโด่งเลยนะ แล้วมีผู้ไปยอเสียด้วยแล้วไปใหญ่เลย เป็นบ้าไปเลย ขี้ราดออกเลยนะพวกนี้น่ะ
เราทุเรศ ก็มันดูตลอด หัวใจดวงนี้มัไม่ได้คุ้นกับอะไร พูดให้ฟังชัดๆ เสียนะ ไม่มีคุ้นกับอะไร มันจะรู้ทันทีๆ อะไรผิดถูกชั่วดี มันจะจับทันทีๆ คัดออกๆ ถ้าเป็นเรื่องว่าปลอม คัดออกทันทีๆ เลย แล้วไหนจะมาขวางหน้าเหยียบจมูกไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ไม่เห็นมีเหรอ มันทนจะตายแล้วนะ เอารถไปแข่งกัน ขึ้นรถขึ้นราไปแข่งกัน ผู้มีรถก็จมูกโด่ง เอารถมาแข่งกัน ในตลาดเข้าไปดูซิป่าช้ารถอยู่ในตลาด อย่าเอาวัดป่าบ้านตาดมีรถเพียงสองสามคันไปอวดเขาเลยนะ มันแซงหน้าแซงหลังขึ้นเรื่อยๆ นะพวกนี้ โอ๋ย เลวลงๆ เราทนแสนทน พูดจริงๆ นะ
ถ้าให้เป็นไปตามจิตนี้เมื่อทนไม่ไหวแล้วดีดผึงเดียวไปเลย ใครจะเป็นอะไรก็ตาม เข้าร่มไม้ร่มไหนถึงกาลเวลาพับดีดผึงอีก ไปเลย เราไม่ได้ตายยากนะ สมกับที่ได้ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตายตั้งแต่มีชีวิตอยู่ แต่เวลาจะตายจริงๆ แล้วจะเอาอะไรมายาก ดีดผึงเดียวเท่านั้น อะไรจะสง่ายิ่งกว่าจิตดวงที่พอทุกอย่างแล้วด้วยความเลิศเลอ พอด้วยความเลิศเลอ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านพอด้วยความเลิศเลอในพระทัยและหัวใจ ไอ้พวกเรานี้พอด้วยความเลว มันไม่พอนะกิเลส ไม่มีคำว่าพอ เลวๆๆ นี้เอามาแข่งกันนะ เอารถเอารามาแข่งกันในวัดนี่
โธ่ มันพิลึกจริงๆ ทนแสนทนนะ ไม่ได้อะไรๆ เอาวัตถุเต็มโลกเต็มสงสารมาแข่งกัน เอาธรรมออกมาแข่งกันบ้างซิ เป็นอย่างไร ใครภาวนาจิตของใครเป็นอย่างไรๆ เอาความสง่างามของจิตออกมาแข่งดูซิ นี่ครอบโลกธาตุ ฟังเสียนะเรากำลังจะตายแล้ว ครอบโลกธาตุมาได้ ๕๖-๕๗ ปีนี้แล้ว พูดมีสองที่ไหน เวลามันจะรู้จะเห็นมันก็แทบเป็นแทบตาย จะเข้าขั้นสลบๆ มาแล้ว แล้วคุ้มค่าถึงเวลาจ้านี้จ้าหมดเลยครอบโลกธาตุ วิเศษวิโสขนาดไหนธรรมในหัวใจ
ไอ้เหล่านี้มันมีอยู่ทั่วโลกดินแดน แล้วผลของมันก็บ่นเรื่องความทุกข์ ใครมีมากๆ เท่าไรยิ่งทุกข์มากๆ โลกกิเลสมีเท่าไรยิ่งทุกข์มากๆ ยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งทุกข์มาก ธรรมนี้มีเท่าไรยิ่งเบาลงๆ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง เบาหวิวเลย โธ้ ทุเรศนะเวลานี้ เวลาเราจะไปโคราชนี้มันก็จะแห่กันไปละ รถใครดีรถใครเก่งเอามาอวดกัน เหยียบหัวหลวงตาบัวไป รถคันที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้เจ้าของเขาอยู่กรุงเทพฯ ทะเบียนบัญชีเขาเป็นเจ้าของทั้งหมด แล้วเขาเอามาถวายเรา เราบอกเราไม่เอา เราไม่ได้บวชมาหารถ เราบวชมาหาอรรถหาธรรม แล้วสุดท้ายก็เอามาไว้นี่จนได้นั่นแหละ เราได้ใช้มาอย่างนี้ เจ้าของเขาอยู่กรุงเทพฯทั้งนั้นละรถกี่คัน
เราไม่เป็นบ้ากับมันอะไรกับสิ่งเหล่านี้ เพียงเครื่องอาศัยเท่านั้น ไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็ไม่ไป ยากอะไร อันนี้มันเห่อเอาเสียจริงๆ แซงหน้าแซงหลัง อวดเก่งกันอย่างนี้ นี่กิเลสมันอวดเก่งทั้งๆ ที่เลวที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลส ตัวนี้มันอวดเก่งที่สุด โธ้ ทุเรศนะ เอาละวันนี้เท่านั้น จะให้พรแล้วเราจะไปธุระของเรา
(ทองคำเช้าวันนี้ได้ ๖ บาท ๕๐ สตางค์ครับ) พอใจตั้ง ๕ บาท ๖ บาท
เวลานี้มันตัดนิสัยหักนิสัยเราอย่างแหลกไปเลย ไปไหนมาไหนเราเคยไปกับใครเมื่อไร ออกปฏิบัติกรรมฐานองค์เดียวตลอด แล้วพ่อแม่ครูจารย์ช่วยเสียด้วย ทั้งๆ ที่เคยเห็นพระลาท่านจะไปเที่ยว ไปทำไม ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ตกนรกทั้งวันทั้งคืนต่อหน้าต่อตา มันยังไม่อายนรก ไม่อายครูบาอาจารย์เลย แล้วมันจะไปตกหลุมไหนล่ะ คือลาไปเที่ยว ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ยังตกนรกอยู่ต่อหน้าต่อตา ไม่อายนรก ไม่อายครูบาอาจารย์ แล้วทีนี้มันจะไปตกหลุมไหนล่ะ ไม่ให้ไปแล้ว เด็ด
แม้แต่สององค์ก็ไม่ให้ไป พูดรองๆ กันลงมา เราพูดจริงๆ ไม่ได้ยอ ด้วยความตั้งใจ คือการลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ต้องระวัง จอมปราชญ์ ก่อนที่จะได้ออกเที่ยวแต่ละครั้งต้องได้พิจารณาเต็มกำลังเสียก่อน เพราะในวัดเราเหมือนว่างานในวัดจะอยู่แต่เรานี้หมด ท่านมอบความไว้วางใจให้ พอได้โอกาส (มีคนถ่ายภาพขึ้น) ทำไมมันถ่ายไม่หยุดไม่ถอยมันเป็นบ้าอะไร เหอ อยู่ที่นี่ก็ถ่าย ไปที่นั่นก็ถ่าย มันเป็นบ้าถ่ายรูปหรือนี่ มันอะไร ความพอดีไม่มี
เวลาจะไปที่ไหนๆ ต้องได้พิจารณาเรียบร้อยแล้วกราบเรียน การงานภายในวัดมีอะไรๆ บ้าง พูดไม่รอบคอบไม่ได้ ถ้ามีอะไรก็จะได้พาหมู่เพื่อนจัดทำ เราก็ว่า ถ้าไม่มีท่านก็บอกไม่มีอะไร ถ้าไม่มีก็คิดอยากจะกราบนมัสการพ่อแม่ครูจารย์ไปประกอบความเพียรสักชั่วระยะ ไม่ได้ว่าไปเตลิดเปิดเปิงนะ ไปชั่วระยะ ฟังแล้วท่านก็นิ่ง คำพูดอันนี้จะออกอีกไม่ได้เลย ไม่ซ้ำ คอยฟังท่าน ท่านนิ่งท่านจะเก็บไปพิจารณานะ เราก็เป็นอันว่าปล่อยถวายท่านไปแล้วก็นิ่งเลย ถ้าท่านไม่ลั่นคำใดออกมาไปไม่ได้ ในหัวใจนี้มันไปไม่ได้ หากมีโอกาส เพราะท่านเอาไปพิจารณาเรียบร้อยแล้ว พอได้โอกาสจะกี่วันก็ตาม
นี่ละเรื่องหลวงปู่มั่น พ่อแม่ครูจารย์มั่นจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน เราจะไปพูดง่ายๆ ได้อย่างไร พอท่านรับทราบแล้วท่านนิ่ง เราก็ปล่อยไปเลยละ คอยฟัง หากว่าท่านไม่พูดเลยเราก็พูดอีกไม่ได้ ก็ต้องอยู่อย่างงั้นตลอดไป แต่จอมปราชญ์ท่านฟังแล้วท่านไปพิจารณาเรียบร้อย ทบทวนทุกอย่าง ทีนี้ก็เอาละท่านพูดเอง เอ้อ ที่ท่านมหาอยากไปเที่ยวประกอบความเพียรนั้นไปได้ละ นั่นท่านออกแล้ว ไปได้ แล้วคิดว่าจะไปทางไหนล่ะ เมื่อท่านเปิดให้แล้วเราก็ออก คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ ท่านเห็นหมดแล้ว ท่านเที่ยวหมดแล้ว เอ้อ ทางนั้นดีนะ เรียกว่าท่านส่งเสริม แล้วไปกี่องค์ล่ะ
พอว่าไปองค์เดียวเท่านั้นละ ผึงเลยได้ทุกครั้งเลยนะ เพราะเราไม่เคยไปกับใคร มีแต่องค์เดียวตลอด ท่านชมเชย หนุน ส่งเสริมตลอด อยู่ด้วยกันที่จะไป ไปอะไร ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ตกนรกให้เห็น แน่ะอย่างนี้ก็มี เราว่าจะไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ฟังซิมันต่างกันไหมล่ะ เอ้าท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งนะ ส่ายนิ้วไป คือพระเณรนั่งฟัง ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ใครจะไปยุ่งก็ร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่นั้น ท่านขู่เอาไว้ กลัวพระเณรจะติดสอยห้อยตามเราไป เป็นน้ำไหลบ่าไม่สะดวกในการประกอบความพากเพียร
นี้ละการประกอบความเพียรที่มาสอนโลกอยู่เวลานี้ เวลามาหาท่านทีไรหนังห่อกระดูก คือไม่มีเนื้อ เหมือนพระอายุ ๘๐-๙๐ ปี เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง ไม่ใช่ธรรมดา ท่านก็ดูท่านรู้แล้ว นี่มันเอาเต็มเหนี่ยวละท่า เพราะฉะนั้นเวลาจะไปทีไหนท่านรู้ว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน เราเป็นนิสัยอย่างนั้นด้วย เป็นนิสัยจริงจังมาก พูดจริงๆ ถ้าลงได้ลงแล้วขาดสะบั้นไปเลย ก่อนที่จะลงพิจารณาเรียบร้อยๆๆ ทบทวนไปมา เป็นที่แน่ใจแล้ว ลงแล้วขาดสะบั้นไปเลย ถ้าลงได้ลั่นคำว่าลงแล้วขาดสะบั้นเลย ก่อนจะลั่นคำพิจารณาเรียบร้อยหมดแล้ว ทบทวนหาที่บกพร่องไม่ได้แล้วออกๆ เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า
เวลาไปก็เอาจริงเอาจังอย่างที่เคยพูดให้ฟัง เขาตีเกราะประชุม เขาว่าเราตายแล้ว ฟังซิน่ะ ไปที่อื่นๆ เราก็ทำอย่างนั้น เมื่อเขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตี ทั้งๆ ที่เราทำเป็นประจำของเรา กลับมามันเป็นหนังห่อกระดูก บางทีตัวเหลืองลงมาจากภูเขาเหมือนทาขมิ้น เหลืองหมดตัวเลย หนังห่อกระดูกลงมา เหลืองหมดตัวเหมือนทาขมิ้น จนกระทั่งท่านร้องโก้กขึ้นเลย พอลงมากราบท่าน เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะท่านว่างั้น เราก็คอยฟังท่านจะออกแง่ไหนอีก สักเดี๋ยวท่านกลัวเราจะอ่อนเปียก พลิกปั๊บเลย อย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่น เท่านั้น กลัวเราจะอ่อนเปียก ท่านหนุนขึ้นทันทีเลย
ลาท่านไปไหนนี้ก็ต้องบอกว่าไปชั่วระยะ ก็ไปชั่วระยะจริงๆ เอาจริงเอาจัง เพราะฉะนั้นจึงใครไปด้วยไม่ได้ อยากกินก็กินไม่อยากกินกี่วันช่าง มันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตมาสักวันหนึ่งมาฉัน เพราะการอดอาหารอดมากเท่าใดร่างกายอ่อนเท่าไรจิตมันยิ่งดีดผึงๆ การอดอาหารดีทุกขั้นของธรรม ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานตั้งสติไม่ได้ ตั้งได้ด้วยการอดอาหาร ส่วนมากจะเป็นอย่างนั้น สำหรับเราเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องอดตลอดอดอาหาร ธรรมขั้นใดก็ตามถ้าอาหารน้อยๆ แล้วดีดเรื่อยเลยๆ ทุกขั้นเลย ยิ่งขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วยิ่งคล่องตัว
คือสติปัญญาอัตโนมัตินี้มันหมุนของมันไปเอง ถึงขั้นสติปัญญาคือธรรมมีอำนาจมีกำลังมากฆ่ากิเลสนี้ฆ่าเอง แต่ก่อนเราก็ไม่เคยได้คิดว่าทำกิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน เราไม่เคยคิด เอาอันนี้ละมาเทียบกัน ไม่ว่าเขาว่าเราไม่มีใครคิดละ ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ทรมานหัวใจสัตว์มาเป็นประจำโดยอัตโนมัติของมันไม่คิด แต่เวลาธรรมนี้มีกำลังแล้วเป็นอย่างนั้น กลางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่งเลยก็มี กลางวันยังจะไม่หลับอีก เพราะมันหมุนของมันตลอดฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ กิเลสอยู่ที่ไหนมันคุ้ยเขี่ยขุดค้นๆ ตลอด เป็นอยู่ในลำพังตัวเองจึงเรียกว่าอัตโนมัติ
ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้วฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกัน อย่าว่าแต่กิเลสทำลายคนโดยอัตโนมัติเลย ธรรมมีกำลังแล้วก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด หมดที่นี่ไม่มีอะไรกวน มีกิเลสเท่านั้นตัวจอมกวนที่สุดคือกิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจไม่มีอะไรกวน จิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์หมดสิ่งก่อกวน พอกิเลสขาดสะบั้นแล้วจึงหมดภาระ ท่านจึงเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ งานอันใหญ่หลวงที่สุดคืองานฆ่ากิเลสได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่ควรทำก็คืองานฆ่ากิเลสได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะยิ่งกว่านี้ไม่มี นั่น นั่นละท่านทำ
นี้ผ่านมาหมดแล้วจึงได้มาสอนโลก เราอนุโลมจะตายอยู่แล้วเวลานี้ ในวัดนี้เราอนุโลมสุดอนุโลม หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น ถ้าเวลามันจะนั่นนักก็ว้ากสักทีหนึ่ง มันอดมันทนเพราะความคิดคิดไม่หยุด ใครมาปิดความคิดได้ ความคิดอยู่ภายในใจมันจะคิดซอกแซกซิกแซ็กตลอดเวลา เป็นโดยอัตโนมัติของมันเหมือนกัน คิดแล้วเก็บไว้ๆ เหมือนไม่คิดเหมือนไม่อ่าน แต่เวลามันหนักเข้าๆ แล้วก็ว้ากเสียทีหนึ่งๆ เท่านั้น ให้พากันคิดเอานะพวกนี้ อย่ามานอนใจในที่นี่ มันจะตายแล้วนะ อกเราจะแตกแล้ว
อย่าเอาวัตถุมาอวดกัน เอารถยนต์รถไฟอะไรมาอวดกันในวัดนี้ พระพุทธเจ้าไม่พาเอารถยนต์ไปตรัสรู้ พระสาวกทั้งหลายเอารถยนต์ไปตรัสรู้ไม่เคยมี มีแต่ผ้าไตรจีวรไปเลย นี้เอานี้ไปอวด มันกำลังนะนี่ เดี๋ยวเอารถมาแข่งกันในวัดนี้นะ ในวัดป่าบ้านตาดเอารถมาแข่ง เราก็บอกว่ารถคันที่ของเราเอามานี้ เขามาถวายบอกเราไม่เอา เราไม่ได้บวชมาหารถ บอกเด็ดขาดเลย แล้วมันก็ไม่พ้น เขาเป็นเจ้าของแล้วก็เอารถมาไว้ให้เพื่อความสะดวก อย่างนั้นละ ที่เรานั่งเหล่านี้รถเขาในกรุงเทพไม่ใช่รถเรา พากันจำเอานะ เราไม่ได้เป็นบ้ากับรถ ใช้มันไปอย่างนั้นแหละ เมื่อมาด้วยความเป็นธรรมแล้วเราก็รับ ความเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมนี้เป็นอีกแง่หนึ่งนะ ด้วยความเป็นธรรม เอ้า ก็รับไว้ด้วยความเป็นธรรม แต่ไม่ลืมตัวตลอด พากันจำเอานะ
อยู่ด้วยกันอย่าหาแต่ยกโทษยกกรณ์กันนะพวกนี้ จะยกโทษกิเลสที่มันตัวเป็นข้าศึกมันฟุ้งๆ อยู่ภายในใจไม่ดู ดูตั้งแต่มันเอาไฟไปเผาคนนั้นเผาคนนี้ มันเลอะเทอะมาก มาภาวนายังไงไปดูแต่กิเลสคนอื่น แล้วเอาไฟไปเผากันมีอย่างเหรอพวกนี้ นี้อนุโลมเต็มที่แล้ว บทเวลามันแสนทน อดทนไม่ไหวแล้วดีดทีเดียวนะ คนเต็มวัดพระเต็มวัดไม่มีความหมายเราพูดจริงๆ ชี้นิ้วเลยไม่เหมือนใครนะ เราได้พิจารณาเต็มที่เหนี่ยวแล้วหาทางออก ออกได้ทางเดียวเท่านี้ผึงเลย ไปเลยเท่านั้นไม่ยาก ให้พากันจำเอานะ ทำอยู่อย่างนี้เราทนแสนทนแล้วนะ เหมือนขอนซุง อะไรก็เฉยๆ แต่หัวใจมันไม่เฉยละซิ มันหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา เอาละ ให้พรหรือยัง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |