เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ถ้าฝันไม่ใช่อรหันต์?
(ข้าว ๖๐ ตันที่เมื่อวานกราบเรียนให้หลวงตามีคำสั่ง จัดไปแจกผู้น้ำท่วมที่อยุธยา ๑๕ ตันของคุณสมบัตินะครับ เกษตรเจริญผล ๑๕ ตันไปอยุธยาเหมือนกัน ของศรีเชียงใหม่ไปจังหวัดสิงห์บุรี ๑๕ ตัน ไปจังหวัดอ่างทอง ๑๕ ตัน รวมทั้งหมด ๖๐ ตันพอดี) ส่งไปที่ไหนบกพร่องเฉลี่ยไป (ผู้ถูกน้ำท่วมที่จันทบุรีส่งไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน รถ ๓ คัน)
เมื่อคืนนี้เราเป็นบ้า ขบขันจะตายไป คือเดินจงกรมแล้วเหนื่อยก็เข้าไปในห้อง ดูเหมือนไปขโมยหลับท่า หลับก็ไม่รู้ ตื่นก็ไม่รู้ พองัวเงียขึ้นมาเห็นผิดสังเกต พระไปจุดไฟไว้ ตะเกียงโป๊ะเล็กๆ พระจุดไฟไว้ ทุกวันไม่เคยเห็น วันนั้นเห็นพระมาจุดไฟ มีผิดปรกตินิดหน่อยแต่เราไม่รู้ว่าเราผิด ไม่ทราบว่ากี่ทุ่มกี่โมง ด้อมๆ มาครัว ทางนี้รออยู่แล้วก็ยังไม่รู้ตัวว่าทางนี้รอ ตื่นนอนก็ไม่รู้ จากนั้นมามันก็ผิดไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าของไม่รู้ผิดมันก็ยิ่งผิดไปเรื่อยๆ เลยอาละวาดไปหมดเมื่อวานนี้ ขบขันดี แน่ะบทเวลามันจะเป็นมันก็เป็นของมันความจดความจำ
เดี๋ยวนี้หลับไม่รู้นะ ตื่นไม่รู้ พูดไม่ถูกทั้งสองอย่าง ไม่ทราบมันหลับเมื่อไร ตื่นก็ไม่ทราบตื่นเมื่อไรก็มันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ เลยไม่ได้เรื่องเจ้าของเอง นี่เป็นแล้วนะ ขันธ์ระยะนี้กำลัง หลับไม่รู้ตื่นไม่รู้ มันพึ่งเปลี่ยนมา ขันธ์ล้วนๆ แหละนี่ ใครจะไม่รู้หลับตื่นใช่ไหมล่ะ มันก็รู้กันทั่วโลก เราก็รู้เหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่เวลามันจะเปลี่ยนก็อย่างนี้แหละ หลับไม่รู้ตื่นไม่รู้ ว่าตื่นก็มันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ว่าหลับก็ไม่ทราบว่าหลับเมื่อไร เอาตอนฝัน มันมีฝันอย่างนั้นอย่างนี้ อ๋อ หลับตอนนั้น ไม่งั้นไม่รู้นะ นี่ละธาตุขันธ์มันเปลี่ยนของมัน
ธาตุขันธ์เป็นสมมุติมันก็เปลี่ยนของมันไปอย่างนี้ ส่วนจิตนั้นมันนอกไปหมดแล้วพูดไม่ถูก หมดสมมุติโดยสิ้นเชิง เรียกว่าวิมุตติล้วนๆ เท่านั้นแหละ ดังที่ท่านตั้งบัญญัติเอาไว้ก็เป็นไปตามนั้น ส่วนสมมุติเอาแน่เอานอนไม่ได้ วิมุตตินี้หมดปัญหาทันทีเลย นี่เรียกว่าขันธ์ ขันธ์นี้จะเปลี่ยนแปลงของมันไปเรื่อย เราจะสังเกตได้ตลอดเวลา สมมุติมีขันธ์เป็นสำคัญมันเปลี่ยนแปลงไปอะไรก็ค่อยรู้ๆ ขันธ์น่ะเปลี่ยนแปลง เช่นอย่างหลับก็ไม่รู้ตื่นก็ไม่รู้ คือขันธ์
ใครจะไม่รู้เวลาหลับตื่น นี้มันไม่รู้จะให้ว่าไง ถ้าว่าตื่นมันก็ตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ถ้าว่าหลับก็ไม่ทราบว่าหลับเมื่อไร ก็จะทราบเอาตอนที่มันฝัน โอ๋ หลับตอนนั้นๆ คือถือเอาความฝันนั่นแหละเป็นเวลาหลับ มันเปลี่ยนอย่างนั้นแหละ นี้ยังมีผู้ที่แต่งหนังสือมา เราได้อ่าน นี่ละการแต่งหนังสือเอาทิฐิความรู้ความเห็นของตนแทรกเข้าในธรรม เลยกลายเป็นธรรมมัวหมองไปด้วย ไม่บริสุทธิ์ แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิดเท่าไรนัก หากอ่านไปเจอเข้ามันหากจำของมันได้เอง สิ่งใดที่ควรจะจำมันก็จำของมันเอง อ่านไปถึงบทที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ว่างั้นนะ ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ เขียนไว้ในหนังสือเราอ่านไปเจอ เราก็ยังไม่ได้ปักใจอะไรมากนัก ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์
ยังอวดเก่งเข้าไปอีก ถ้ายังฝันอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ นี้อวดเก่งในความจอมปลอมของตัวเอง มันก็รู้ได้ชัดเจน นี้ตัวจอมปลอม นอนหลับแล้วไม่ฝัน พระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ ดูซิน่ะมันทับเข้าไปอีก
จึงกระเทือนใจเรามาก เราอยากจับมือมาถามต่อหน้ากัน โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยเป็นอรหันต์แล้วหรือ อยากว่าเข้าใจไหม มาอวดพ่อมึงหรือ พ่อกูไม่ได้เป็นอรหันต์ก็ตาม แต่กูก็หันไปนั้นหันไปนี้ได้ กูไม่ได้เป็นอรหันต์ กูก็หันนั้นหันนี้ได้อยู่มึงอย่ามาอวดกูนา อย่างนี้ละมันบอกชัดเจน ที่เขียนไว้ในบุพพสิกขาว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่อรหันต์ ผิดทั้งเพเลย ก็ขันธ์ ๕ เป็นสมมุติจะไม่ให้มันดีดมันดิ้นไปตามสมมุติแล้วจะให้มันดิ้นไปไหน จิตเป็นจิตตวิมุตติมันคนละอย่าง ครองขันธ์อยู่ อันหนึ่งเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ อันหนึ่งเป็นสมมุติล้วนๆ มันก็เป็นไปตามสมมุติ วิมุตติก็เป็นหลักธรรมชาติของวิมุตติไปเท่านั้นเอง
นี่ละการเขียนหนังสือ มันเอาความรู้ความเห็นของตนไปแทรกในหนังสือที่บริสุทธิ์ให้มัวหมองไปด้วยได้ อย่างที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ นู่นน่ะมันตีตราเข้าไปอีก ธาตุขันธ์มันก็เป็นสมมุติ ขันธ์ก็เป็นสมมุติมันเข้ากันไม่ได้ยังไง มันก็เข้ากันได้สนิท จิตที่บริสุทธิ์ท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องฝันไม่ฝันแหละ พูดเหล่านี้เป็นเรื่องของสมมุติในขันธ์ทั้งนั้น ได้เห็นชัดเจนที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน ถ้าฝันไม่ใช่พระอรหันต์ นี่เห็นชัดเจน คือความจอมปลอมของคนๆ นี้ผู้เขียนนี้ จะทำให้คนอื่นหลงไปตามได้ มันไม่จริง
ขันธ์ก็เป็นสมมุติ ความฝันก็เป็นสมมุติ ทำไมเข้ากันไม่ได้ ทำไมฝันไม่ได้ นั่น ออกมาเผินๆ นี้มันก็รู้กัน ยิ่งถึงขั้นบริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วรู้ได้หมดจะว่าไง ในหนังสือที่เรียกว่าพระไตรปิฎกๆ ปิฎกๆ แปลว่าภาชนะ ท่านเรียกว่า ปิฎก ปิฏก เป็นภาษาบาลี ปิฎกเป็นภาษาไทยเรา แปลออกมาแล้วว่าภาชนะสำหรับใส่สิ่งของ ปิฎกก็ภาชนะสำหรับใส่ธรรม เรียกว่าปิฎก พระวินัยปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระวินัย พระสุตตันตปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุพระสูตร อภิธรรมปิฎก ภาชนะสำหรับบรรจุธรรมขั้นสูง คืออภิธรรม แปลเป็นอย่างนั้นแหละ ว่าปิฎกๆ เราไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าแปลออกมาแล้ว ปิฎกหรือปิฏกเป็นภาษาบาลี ปิฎกเป็นภาษาไทย เรียกว่าภาชนะ หรือว่าถ้วยหรือจานเราเหล่านี้แหละ
อะไรก็ตามเถอะที่เราเรียนมามากน้อยๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าภาคปฏิบัติด้วยจิตตภาวนาที่เป็นธรรมล้วนๆ เห็นผลมาประจักษ์ๆ แล้ว ทางภาคปริยัติก็จะไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่พอเข้าถึงภาคปฏิบัติมันรู้มันเห็นทางภาคปฏิบัติมันลึกซึ้งมากนะ ทีนี้มันก็รู้อะไรปลอมอะไรจริง ในพระไตรปิฎกอะไรมันปลอมอะไรมันจริง มันรู้อยู่ในใจเลยเชียว พิสดารมาก ผลที่เกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติก็คือความสุขสุดยอดนั้นแหละ แต่ผลอีกอย่างหนึ่งที่ได้เห็นอะไรหายสงสัย เราได้ปฏิบัติแล้ว ถ้าปฏิบัติแบบงูๆ ปลาๆ ไม่นับเข้ามานะ ปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจังให้รู้ตามทางของศาสดาจริงๆ
ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน เป็นแบบแปลนแผนผัง ปฏิบัติ นำแบบแปลนนั้นออกมาปฏิบัติมาแจงเหมือนเขาทำแปลนบ้านแปลนเรือน ทิ้งไว้ในห้องก็เป็นแปลนเต็มห้อง ดึงออกมากางไว้จะปลูกบ้านสร้างเรือนหลังไหนขนาดไหนเอากี่ห้องกี่หับ สั้นยาวขนาดไหนเอาแปลนมากาง ทีนี้ค่อยสร้างตามนั้น นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ ทีนี้มันก็ปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรกขุดดินเทคาน มันก็รู้ขึ้นมาเรื่อย จนกระทั่งสำเร็จเป็นหลัง เป็นปฏิเวธรู้แจ้งในงานของตนในผลงานของตน นั่นแปลออกแล้วเป็นอย่างนั้น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธคือความรู้ผลงานของตน
ปริยัติได้แก่แบบแปลน ปฏิบัตินำเอาแบบแปลนมาสร้างบ้านสร้างเรือน ก็ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นปฏิเวธขึ้นมาเป็นลำดับ จนกระทั่งสร้างบ้านเรือนเสร็จโดยสมบูรณ์ก็เป็นปฏิเวธสมบูรณ์ว่า เอ้อ บ้านหลังนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่น นั่นละปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้ามีแต่การศึกษาเล่าเรียนเฉยๆ มันก็เป็นนกขุนทองไปได้ เรียนไม่ได้หวังอรรถหวังธรรมเข้าสู่ใจตัวเอง เรียนเพื่อความจดความจำเอาชื่อเอาเสียงเอานามอะไร เอาชั้นเอาภูมิก็เป็นโลกไปเลย ไม่ได้เป็นธรรม ถ้าเรียนเพื่อนำมาปฏิบัติตนเองตามที่ธรรมท่านสอนไว้นั้นเรียกว่า ปริยัติเพื่อปฏิบัติจริงๆ เป็นผลจริงๆ จากนั้นก็เป็นปฏิเวธได้รู้ผลของงานตัวเองโดยลำดับ จนกระทั่งแทงทะลุถึงนิพพาน เรียนว่าปฏิเวธโดยสมบูรณ์ นั่นเป็นอย่างนั้น ให้เข้าทางภาคปฏิบัติ
นี้ก็ไม่มีใครพูด พูดอย่างหลวงตาพูดนี่น่ะ คือภาคปริยัติเราก็ผ่านมาเต็มกำลังของเรา ผ่านทางภาคปฏิบัตินี้ก็เรียกว่าเต็มกำลังเหมือนกัน ทีนี้เวลาได้ผลขึ้นมาแล้วก็มาลงอยู่ในภาคปฏิเวธ ผลแห่งการปฏิบัติของเราขึ้นเห็นชัดเจนหายสงสัยเป็นลำดับลำดาไปหมด บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรต ผี หายสงสัย แต่ท่านไม่หิวโหย รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ถ้าคนควรจะฉุดลากท่านก็ฉุด ถ้ามันยังจมอยู่ไม่ยอมขึ้นก็ ดีไม่ดีจับไสลงไป ตบก้นลงไปเข้ามูตรเข้าคูถเข้าส้วมเข้าถานไปเสีย ดึงออกมันไม่ออกเข้าใจไหม มันก็มีสองอย่าง
เหมือนอย่างตำรวจคนหนึ่ง เราจะไปนครพนม ฉันจังหันที่สกลนคร เขานิมนต์ไปฉันที่บ้าน รถจะมาหน้าบ้านแล้วขึ้นรถเมล์ไป แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี ที่ตรงนั้นแหละ มีตำรวจคนหนึ่งเขายืนอยู่หน้าสถานี แต่เขายืนยามนี้เขายืนอยู่ธรรมดาก็ไม่ทราบ แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปฟากถนนทางนี้ เขายืนอยู่ฟากถนนทางนี้ ทีนี้เราก็รอรถอยู่นั้น เราไม่รู้ว่าเขามีอะไรกัน เขาคุ้นกันไม่คุ้นกันเราไม่รู้ พอไปถึงนั้น หยุด ว่างั้นนะ ตำรวจคนนั้นบอกผู้หญิงคนนั้นหยุด ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเฉย บอกหยุดว่ะ ยิ่งหนักขึ้นนะ ทางนั้นเขาก็เดินเฉย เราไม่รู้เรื่องของเขา พอถึงขั้นที่สาม บอกหยุดไม่หยุดเหรอขึ้นเลย เอ๊ะ นี่มันทะเลาะกันหรือ ไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่า บอกว่าไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่าเลย
ผู้หญิงคนนั้นมันก็ไปเฉยไม่สนใจนะ ก็เขาคุ้นกันมาเท่าไรแล้ว เขาขู่กันด้วยความหยอกเล่นกัน ไอ้เรานึกว่าเขาจริงจัง เหอ บอกหยุดไม่หยุดหรือ ขึ้นอย่างใหญ่โตนะ ไม่หยุดก็ไปเสียซี หมดท่าเลย ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเฉยไปเลย เขาคุ้นกันมาสักเท่าไรเราไม่รู้เรื่อง ขบขันดี นี่บอกหยุดมันไม่หยุดนะพวกใต้ถุนศาลานี่ บอกหยุดๆ ว่าเท่าไรมันไม่หยุด มันบืนหาเสื่อหาหมอน เข้าใจไหม บอกหยุดๆ ว่าเท่าไรมันก็ไม่หยุด มันบืนหาเสื่อหาหมอน ทางนี้ก็ตวาดใหญ่เลย ไม่หยุดก็ไปเสียซี ไปหาเสื่อหาหมอน มันก็เท่านั้นเองจะให้ว่าไง วันนี้ก็พูดเท่านั้นละ
เทศนาว่าการก็เทศน์มานานแล้วสอนพี่น้องทั้งหลาย ให้จดจำนะ การสอนของเราไม่ได้มีอะไรสงสัยเลย เรากราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลย เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมดเลย ไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้นิดหนึ่ง ไม่เหมือนกิเลสที่เป็นโคตรแซ่แห่งการหลอกลวงต้มตุ๋นสัตว์โลก ธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้แน่วเลย ให้พากันตั้งใจปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า ผลจะเห็นขึ้นประจักษ์ใจ ไม่เป็นอื่น ธรรมนี้ใหม่เอี่ยมตลอด สดๆ ร้อนๆ เหมือนกิเลสมันเอี่ยมของมัน สัตว์โลกจึงจมไปกับมันไม่มีเข็ดหลาบอิ่มพอ ว่าถูกต้มจากกิเลสไม่มี แล้วธรรมท่านก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน ตรงแน่วต่อหลักต่อจุดที่หมายเลย เอาละให้พร
(หลวงตาครับเขาส่งมาจากข้างหลังสั้นๆ เขาอยากรู้ว่าการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ตายไปแล้ว ผู้ตายจะได้รับไหมครับ ถ้ายังไม่ได้ไปจุติเป็นเปรต เขาบอกเขาเคยได้ยินพระกรรมฐานบอกว่า ถ้าจิตของผู้นั้นยังไม่ได้เกิดเป็นเปรตอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับ) เอ้อ ก็ถูกต้อง เราก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน เราก็ตอบได้เหมือนกัน เข้าใจไหม ไปสวรรค์นิพพานไปที่ไหนก็ไม่ได้รับ ส่วนบุญกุศลก็ย้อนมาหาเจ้าของตามเดิม เข้าใจเหรอ ถ้าเป็นเปรตเป็นผี เปรตมี ๑๒-๑๓ จำพวก เปรตที่ควรรับไทยทานของญาติวงศ์นี้ก็คือปรทัตตูปชีวีเปรต มีจำพวกเดียว เปรต ๑๓ จำพวก ๑๒ จำพวกไม่ได้รับ คือมันกรรมหนักเบาต่างกัน ประเภทปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ได้รับ เราเผื่อไว้นั่นละดี ได้รับไม่ได้รับก็ไม่เสียหาย เป็นบุญของเราอยู่แล้วเท่านั้นเอง เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |