เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
หากมีผู้ปฏิบัติอยู่
(เครื่องมือตาที่หลวงตาช่วยทั้งหมดมีจำนวน ๑๓ โรงพยาบาล
๑. โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี มากกว่า ๒๐ ล้านบาท
๒. โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ๖ ล้านบาท
๓. โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ๔ ล้าน ๓ แสนบาท
๔. โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ๙ ล้าน ๕ หมื่นบาท
๕. โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ๔ ล้าน ๓ แสนบาท
๖. โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ๖ ล้าน ๘ แสนบาท
๗. ประเทศลาว เวียงจันทน์ ๓๐ ล้านบาท
๘. เชียงใหม่ ๘ ล้าน ๑ แสนบาท
๙. โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ๕ ล้าน ๑ แสนบาท
๑๐.โรงพยาบาลค่ายประจักษ์อุดรธานี ๓ ล้านบาท
๑๑.โรงพยาบาลจังหวัดเลย ๔ ล้าน ๗ แสน ๕ หมื่นบาท
๑๒.โรงพยาบาลหนองบัวลำภู ๒ ล้าน ๕ แสนบาท
๑๓.โรงพยาบาลหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ๙ ล้านบาท
รวมทั้งหมด ๑๓ แห่ง เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๓ ล้านบาท) (สาธุ)
อันนี้เฉพาะตา เพียงเฉพาะตาเท่านั้นขนาดนี้ เป็นล้านเข้าไปแล้ว ๑๑๓ ล้าน อย่างอื่นยังไม่นับ
(คุณจันทร์ทิพย์ อำเภอหาดใหญ่ กราบถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนแด่หลวงตา กำลังส่ง ๘๐ วัตต์ ภายใน ๒๐ กิโลเมตร เอฟ เอ็ม ๑๐๕ เม็กกะเฮิซ ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๓๕๑ ถ.ธรรมนูญวิถี อ.หาดใหญ่) เป็นสถานีที่ ๑๐๑
วันที่ ๕ ทางเวียงจันทน์จะมา นัดให้มา มีบกพร่องอะไรเราก็เตรียมเอามาให้พร้อม วันที่ ๕ เขามารับ วันที่ ๔ เป็นวันเราหามาพร้อมกันเรียบร้อย วันที่ ๕ เขาก็มารับไปเลย
ประเทศลาว อดสงสารไม่ได้นะ ก็มนุษย์ตาดำๆ สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลาย ความจำเป็นมันก็เหมือนกันหมดทั่วโลก ถามอะไรที่จำเป็นๆ ไม่มีๆ นี่ซิ ถามแล้วไม่มี สัตว์เขาไม่มีโรงพยาบาลเขาก็ไม่เป็นอะไร แต่มนุษย์เรานี้ไม่มีโรงพยาบาลไม่ได้ ถามอะไรไม่มีๆ แล้วจะนอนใจได้อย่างไรก็เมื่อพอถูพอไถช่วยกันได้อยู่ใช่ไหมล่ะ มันก็ต้องบืนซิคนเรา ถามอะไรไม่มี ๆ มีแต่ของจำเป็นทั้งนั้นที่ถาม ซึ่งเราใช้อยู่ประจำบ้านประจำเรือนของเราในประเทศไทย แล้วถามทีไรไม่มีๆ นี่ซิ จึงได้ช่วย จะใจจืดใจดำอยู่ได้อย่างไรเรา เห็นสัตว์ตกน้ำยังเอาไม้เขี่ยขึ้น นี้คน จะว่าอย่างไร
คราวนี้ก็เรียกว่าเราช่วยเต็มกำลังของเรา มีเท่าไรทุ่มลงๆ ทั่วไปหมด ไม่ว่าใกล้ว่าไกล จำเป็นที่ไหนเฉลี่ยไปให้ถึงหมดเลย เมื่อวานนี้ก็ไปนู้นอำเภอศรีสงคราม ๒ ชั่วโมง ๓๐ นาทีเป๋งเข้าถึงโรงพยาบาล จากนี้ไป ๒ ชั่วโมงครึ่งพอดีเข้าโรงพยาบาล เข้าก็ขนของลงเต็มรถ ขนลงๆ แล้วก็มอบเงินให้โรงละสองหมื่นๆ ทุกโรงไปละ ถ้ามาไฟเขียวไฟแดงตาจ้องหาพวกขายดอกไม้ ถ้าเป็นไฟแดงแล้วตาจ้อละ ถ้าเป็นไฟเขียวไม่รอแหละ รอไม่ได้ เขาก็ยืนจ้อง เราก็จ้องเขาสงสาร หมดหวังว่าอย่างนั้นเถอะ พอไฟแดงปั๊บ โบกมือปุ๊บปั๊บๆ เขาก็รุมมาๆ ยื่นให้ๆๆ ให้คนละสองร้อยๆ ดอกไม้พวงหนึ่ง ๑๐ บาท เราให้ ๒๐๐ พวงเดียวก็ไม่เอา
เขารู้กันหมดเราไปไหน มันก็แปลกอยู่ ไปไหนรู้หมด ลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานมันมีอยู่ทั่วโลก พวกตำรวจนี้ก็เหมือนกัน อยู่ตามถนนหนทางรู้ทันทีเลย รถเรารู้สึกจะแปลกรถเขา สีรถนะ แจกทานทั้งนั้นแหละเราจะไม่เอาอะไรเลย เราพูดตรงๆ นี่ละธรรมสมบัติ เมื่อมีเต็มหัวใจแล้วไม่มีอะไรที่จะมาเพิ่มได้เลย พอดิบพอดี จะเอาออกก็ไม่ได้ จะเอาเพิ่มก็ไม่ได้ ความพอเหมาะพอดีอยู่กับธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมธาตุ
นี่ละจิตชำระให้ถึงที่ถึงฐานแล้วเป็นธรรมธาตุอยู่ในหัวใจ อยู่ในท่ามกลางร่างนี้ เป็นธรรมธาตุ ไม่ว่ายืนเดินนั่งนอน เอา พูดให้มันชัดเจน ตลอดเวลาจ้าอยู่อย่างนั้น นอนหลับก็จ้าอยู่อย่างนั้น พูดให้มันชัดเสีย ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนไม่ไปที่ไหนละ ธรรมชาตินี้เรียกว่าธรรมธาตุที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วนี้จ้า ท่านทั้งหลายฟังเสีย นี่ละผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนาของเรา สอนถึงนิพพานทั้งเป็นเลย รู้ชัดๆ ไม่ต้องถามหาใคร ว่าพระพุทธเจ้ามีกี่องค์ จ้ามันอันเดียวกันหมดเลย จะว่าวัดรอยหรือ ไม่วัด พูดตามหลักความจริง
เหมือนเราเอามือจ่อลงไปน้ำมหาสมุทร ที่ไหนก็เป็นมหาสมุทร จ่อลงไปไหนก็เป็นมหาสมุทรหมด ทีนี้เมื่อมันเป็นธรรมธาตุแล้วแบบเดียวกันมหาวิมุตติมหานิพพาน แบบเดียวกัน พอพับเข้าไปเท่านั้นเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด แล้วจะไปถามพระพุทธเจ้าที่ไหน นั่นเป็นอันเดียว ท่านว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน เหมือนกันเลย เหมือนหนึ่งว่าอันเดียวกัน เป็นอย่างนั้นละ ธรรมนี่เลิศเลอ
ไม่มีใครละมาเขียนหนังสือประกาศไว้ข้างหน้าวัด ไม่มีใครกล้า ธรรมนี้ว่ากล้าว่ากลัวไม่มี คำว่ากล้าไม่มี กลัวไม่มี คือเลยไปเสียทุกอย่างธรรม จึงได้เขียนเตือนไว้ข้างนอก มาให้ได้รับประโยชน์ อย่ามาเซ่อๆ ซ่าๆ สถานที่นี่เป็นสถานที่อบรมศีลธรรม เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ไม่หาเงินหาทองหาข้าวหาของ หายศถาบรรดาศักดิ์ ซึ่งโลกๆ เขาหากันมา ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาพวกหานั่นแหละ ธรรมไม่หา พอตัวตลอดเวลา จ้าอยู่อย่างนั้น
จึงกล้าเขียนเห็นไหมนั่น มีใครมาเขียนหน้าวัดเหล่านี้ สถานที่นี่เป็นที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน เพ่นพ่านก็พวกมูตรพวกคูถมันเข้ามาตามประสาของเขานั่นละ ไปตำหนิเขาก็ไม่ได้ ตามนิสัยที่ได้รับการอบรมมามากน้อยเพียงไร มันก็มาตามนิสัยของตน ถ้าผู้ที่เคยแก่ศีลแก่ธรรมแล้วจิตใจมีความสงบเย็นใจแล้วเข้าวัดเป็นอย่างหนึ่ง ต่างกันนะ ถ้าคนไม่รู้ภาษีภาษาอะไรก็เหมือนจับสัตว์โยนเข้ามาในวัด ไม่ได้ผิดอะไรแหละ
แล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดอย่างนี้ด้วย นี่บอกชัดๆ บอกอย่างชัดเจน ไม่มีกิจจำเป็น ไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน เพราะสถานที่นี่เป็นสถานที่เสาะแสวงหาธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ โลกทั้งสามยอมรับกันหมด สิ่งเหล่านั้นไม่มีใครยอมรับ มันเต็มอยู่ในหัวใจทุกคนๆ เป็นมูตรเป็นคูถเหมือนกันหมด เอามาแข่งกันได้อย่างไร ของเขาก็มูตรของเราก็คูถเต็มไปหมด แข่งกันได้อย่างไร แข่งกันก็มีแต่มูตรคูถแข่งกัน ส่วนธรรมนี่จ้าครอบโลกธาตุ นั่นละที่เอามาประกาศสอนโลกให้เข้าอกเข้าใจบ้าง
พุทธศาสนาเป็นของเล่นเมื่อไร ชี้นิ้วเลย สามโลกธาตุนี้มีพุทธศาสนาเท่านั้นเป็นศาสนาที่รื้อขนสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้อย่างแน่นอน ไม่เป็นสอง ถ้าว่าธรรมก็เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบ ชอบหมดทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ไม่ผิด นี่ละคือพุทธศาสนา ใครเกิดมาไม่ได้พบนี้รู้สึกจะอาภัพมากทีเดียว นี่เราได้พบแล้วอย่าเคยอย่าชินต่อศาสนานะ ความเคยชินเป็นเรื่องของกิเลสทะลึ่งธรรม มันเข้าไปทะลึ่งธรรม แล้วก็ความฉิบหายก็ตัวของมันเองนั้นแหละ ตัวคนที่คลังกิเลสเข้าไปทะลึ่งธรรมตัวก็เสียหาย
ท่านเตือนเอาไว้ๆ ว่านี่เป็นวัดเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม เพราะฉะนั้นจึงประกาศป้างๆ ไว้เลย ใครอย่ามาเที่ยวเพ่นพ่านไม่เป็นหน้าเป็นหลัง อย่ามา บอกตรงๆ เลย นี่หาอรรถหาธรรมซึ่งเป็นของเลิศเลอ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีอยู่ทั่วโลกดินแดนไม่เห็นเลิศเลออะไร ใครอยู่ที่ไหนก็บ่น มีแต่เรื่องกองทุกข์ทั้งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้ที่หากันเป็นบ้าอยู่นั่นแหละ ส่วนธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอธรรมได้สัมผัสเข้าสู่ใจเท่านั้นใจจะเริ่มมีคุณค่ามีราคา สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะลดตัวลง คือกิเลสมันพองตัว
วัตถุต่างๆ ทั้งหลายทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ว่าวัตถุอะไร ชื่อเสียงเรียงนามอะไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของโลก พอธรรมเข้าสู่ใจสัมผัสใจเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นจะยุบยอบลงๆ ธรรมนี้จะเหนือขึ้นๆ ต่อไปก็จ้าครอบโลกธาตุเลย ทีนี้เอาอะไรมาแข่ง ไม่มีสิ่งที่จะแข่ง นั่นละพระพุทธเจ้าท่านรู้อย่างนั้น พระอรหันต์ท่านรู้อย่างนั้นจริงๆ ท่านไม่ได้มาโกหกโลก พูดตามความสัตย์ความจริงที่จ้าอยู่ในหัวใจท่าน พวกเราที่เป็นลูกของพระพุทธเจ้าพุทธบริษัทก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
อย่ามีแต่หาอยู่หากินไปวันหนึ่งๆ ไม่มีความหมายนะ มันก็มีแต่มืดกับแจ้ง ลมหายใจก็สูบไป สูบเข้าสูบออก สูบไปสูบมามันก็หมดแล้วก็ตายๆ เท่านั้น ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน เอาอีกนะ ใครจะติดตามเรื่องวิถีของจิตได้ยิ่งกว่าธรรมของศาสดาและองค์ศาสดา ท่านเห็นหมด ออกจากนี้จะไปเกิดไหน กรรมดีกรรมชั่วติดพันอยู่ในหัวใจ สิ่งเหล่านั้นไม่มี สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาก็อาศัยกันชั่วระยะกาลๆ ส่วนที่จะฝากเป็นฝากตายจริงๆ คือศีลคือธรรม
บาปเป็นตัวมารนะ ถ้าใครสร้างบาปมากๆ นั้นละภัย จวนจะตายเท่าไรคิดถึงบุญความดีงามทั้งหลายนี้ไม่มี มีแต่ความเสียหายความเดือดร้อนที่ตนสร้างเอาไว้ๆ ยิ่งสั่งสมความชั่วตายแล้วจมเลย เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าผู้สร้างแต่ความดีงามนี้ พอคิดถึงเรื่องความดีงามจิตกระหยิ่มยิ้มย่อง เมื่อมีมากๆ แล้วกล้าหาญต่อความตาย เมื่อเต็มที่แล้วไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว คำว่ากล้าก็ไม่มี กลัวก็ไม่มีในความตาย ความเกิดความตายสิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นไปหมดแล้วไม่เป็นกังวล นั่น นี่ละความดีสร้างให้ได้ซิ
ธรรมะพระพุทธเจ้าคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อย่าพากันไปเหยียบไปย่ำไปมานะไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้พากันเสาะแสวงหา ถ้าจะให้ว่างตามกิเลสมันไม่ว่าง ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายไม่มีวันว่าง ต้องเอาธรรมเข้าตีมัน ทำไมมันจะไม่ว่าง ถ้ามันไม่ว่างจริงๆ ตายทำไมมันว่างให้ตายได้ล่ะ ก็เวลานี้ยังไม่ตายทำไมจะไม่ว่างสร้างความดีน่ะ นั่น ใส่เข้าไปความว่างมันก็มา ถ้าจะปล่อยให้กิเลสไม่มีว่างละ ความตายก็ไม่ว่าง สุดท้ายโลกก็ไม่ตาย แต่มันไม่ได้เป็นไปตามกิเลส เป็นไปตามหลักธรรมชาติ ถึงกาลเวลาไม่ว่าง คนมีคนจนคนสุขคนทุกข์ตายด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงเสาะแสวงหาเสียตั้งแต่เวลามีชีวิตอยู่จะได้ไม่เสียใจ
ใจนี้ไม่เคยตาย ใจดวงนี้ไม่มีตายไม่มีฉิบหายไม่มีสูญ ลงไปตกนรกหมกไหม้อยู่ด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่วของตนกี่กัปกี่กัลป์ยอมรับว่าทุกข์ ทุกข์ขนาดไหนยอมรับว่าทุกข์ แต่ฉิบหายไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ทีนี้โลกอันนี้เป็นโลกอนิจจัง กฎอนิจจังเปลี่ยนช้าเปลี่ยนเร็ว ถึงอยู่ในนรกอเวจีก็มีการเปลี่ยนได้ ค่อยเปลี่ยนมาๆ กลายมาเป็นความดีได้ นี่เรียกว่าโลกอนิจจัง ไม่เที่ยงเหมือนนิพพาน ถ้านิพพานนี้เที่ยงตรงเลย นี่ละเปลี่ยนขึ้นมาๆ เปลี่ยนขึ้นมาจนกระทั่งพลิกตัวได้ปรับตัวได้ ฟาดเข้าถึงนิพพานปึ๋งเป็นธรรมธาตุ เสื่อมที่ไหน สูญที่ไหนไม่มี
จิตดวงนี้สำคัญมาก ให้พากันบำรุงรักษา อย่าปล่อยเฉยๆ อย่าให้กิเลสมันเอาสิ่งนั้นมาล่อเอาสิ่งนี้มาหลอก บทเวลาตายแล้วมันไม่ได้ไปด้วยเรานะ บาปกับบุญที่เราไม่มองนั่นละ แต่สิ่งที่ชั่วมันอยากทำ มันไม่มองแต่มันอยากทำคือความชั่ว นั่นละพาให้จม สิ่งที่ดีก็เอา ทั้งมองไม่มอง อยากทำไม่อยากทำบังคับใส่ ทำไปทำมาจิตใจดูดดื่มทางอรรถทางธรรม ทีนี้ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้นะ ยกตัวอย่างดังที่นักภาวนาท่าน ที่เคยพูดให้ฟังแล้ว เอาความจริงออกมาพูดซิ เวลามันล้มลุกคลุกคลานภาวนาไม่เอาไหน เวลากิเลสหนาๆ กินก็มาก นอนก็มาก ขี้เกียจก็มาก ความท้อแท้อ่อนแอเป็นกองทัพกิเลสทั้งหมด ทับหัวใจเราเราก็เป็นหมู แล้วแต่จะกลิ้งไปไหนไอ้หมูตัวนี้น่ะ
ทีนี้เวลาฝึกฝนอบรมเข้าไปก็กลายเป็นมนุษย์มนาขึ้นมา กลายเป็นผู้มีศีลมีธรรมขึ้นมาๆ จิตใจก็กระหยิ่มยิ้มย่องเข้าภายในใจ เริ่มมีราคาขึ้นมา เมื่อมีราคาขึ้นมาแก่กล้าสามารถขึ้นมาแล้วทีนี้อยู่ไม่ได้นะ วันหนึ่งๆ ตื่นขึ้นมาปั๊บจิตกับธรรมพันกันไปเลย กิเลสกับจิตฟัดกันเรื่อยตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับไม่มีคำว่าถอยกัน นี่ละถึงขั้นที่จะไปไม่อยู่ จิตขั้นนี้แล้วไม่อยู่ ที่จะให้มาอยู่ตายค้างโลกอีกไม่อยู่ นี่ละจิตดวงนี้แข็งแกร่งแล้วนะ พอตื่นขึ้นมานี้กิเลสอยู่ในหัวใจ ธรรมก็อยู่หัวใจซึ่งเป็นคู่ต่อสู้กันมันก็ฟัดกันไปเลย เว้นแต่ขณะหลับ นอกนั้นไม่มีเวลาไหนว่าง ถ้ากิเลสไม่ขาดไปหมดเสียไม่ว่างในการต่อสู้กัน
นี่ท่านว่าภาวนามยปัญญา หรือสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตนๆ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีเหลือเลย หมด ตั้งแต่บัดนั้นไม่มีอะไรกวนใจ ทีนี้ไม่มีอะไรกวนใจเป็นยังไง นั่นละบรมสุข กิเลสเครื่องกวนใจ หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรกวนแล้ว ทีนี้ไม่มีวันมีคืนมีแต่มืดกับแจ้งท่านจะไปหมายอะไร ธรรมชาติของท่านพอตัวอยู่แล้วไปหมายอะไรอีก นี่ละการสร้างความดีเมื่อถึงขั้นพอพอ พากันจำเอานะ อย่าอยู่เฉยๆ วันหนึ่งๆ
เมืองเรานี้เป็นเมืองพุทธแท้ๆ ควรจะหันหน้าเข้าสู่พุทธ อย่าหันเข้าสู่ฟืนสู่ไฟโดยถ่ายเดียว ความโลภอย่าให้มากเกินไปมันเผาเจ้าของ ความโกรธ ราคะตัณหาเผาเจ้าของๆ ลาภยศสรรเสริญเหล่านี้เผาเจ้าของทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องระงับดับกันๆ ให้พออยู่พอเป็นพอไปแล้วเผาตลอด พากันจำเอานะ เอาละพอ
เทศน์อย่างนี้ก็ออกทั่วประเทศไทยนะนี่ ออกทั่วประเทศไทย แล้ววันหนึ่งเขาออกหลายหนนะฟังว่า ตอนเช้านี้ตอนถ่ายทอดออกเรื่อย จนกระทั่งพรุ่งนี้เช้าออกอีกที่เหล่านี้ สุดท้ายก็มีแต่เทศน์หลวงตาบัวนะ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็ช่วยบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่มาก ที่มากจริงๆ ก็คือเราขึ้นอยู่บนเวที ออกหน้าอยู่นั้นเลย ใส่ปั๋งๆ อยู่ เราก็ไม่เคยคิดนะว่าจะขนาดนี้ มันหากเป็นของมันเอง ถึงกาลเวลามันเป็นเป็น
(คำว่าจ้าครอบโลกธาตุที่จิตพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เวลาท่านปรินิพพานไปแล้ว จ้านี้ก็ยังคงอยู่ใช่ไหมคะ) ให้เป็นเสียก่อนแล้ว ถ้ายังบกพร่องสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วค่อยมาถาม เราจะตอบเอง เข้าใจไหม เดี๋ยวนี้เรายังไม่ตอบ คำว่าจ้านี้ โลกมีสมมุติก็ต้องยกสมมุติมารับกัน แต่ธรรมชาติแท้ๆ ของท่านผู้เป็นผู้รู้นั้นท่านไม่พูดละ คือท่านพอทุกอย่างแล้ว เข้าใจไหมล่ะ จ้าหรือไม่จ้าท่านก็พอหมดแล้ว ไอ้พวกบ้านั่นมืด หูหนวกด้วยตาบอดด้วยยังถามหาว่าจ้า พวกบ้า เข้าใจหรือเปล่าล่ะ
(ที่ว่าคุณของพระพุทธเจ้า ๓ ประการยังคงอยู่แม้ท่านปรินิพพานไปแล้ว.มีพระปัญญาคุณ พระเมตตาคุณ พระบริสุทธิคุณ จ้านี้คือพระบริสุทธิคุณใช่ไหมเจ้าคะ) ก็นั่นแล้ว.ความบริสุทธิ์ เพราะโลกกำลังหิวโหยโรยแรง เข้าใจหรือ ได้ธรรมเหล่านี้มาชะโลมพอบรรเทา พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วก็ตาม ถ้ายังระลึกถึงธรรมนี้อยู่เรียกว่าเข้าชะโลมใจตลอด ถ้าไม่มีนี้จิตไม่มีธรรมเลยแล้วแห้งผาก เข้าใจไหมล่ะ
เราเคยพูดให้ฟังแล้ว มันเป็นของมันเอง เวลามันได้เป็นแล้วเราไม่เคยคาดเคยคิดนะว่ามันจะเป็นขึ้นมาอย่างนั้น ให้ได้อุทานออกมาอย่างนั้น ไม่เคยคิด แต่ว่าเหตุผลพร้อมกันแล้วลงกันเต็มภูมิแล้วจ้าละที่นี่ขึ้นมานี่ เป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ความจริงก็มีแต่จิตกับกายมันพุ่งของมัน ร่างกายนี่เหมือนกระเด็นไปเลยเชียว คืออำนาจของจิตของธรรมของกิเลสที่ฟัดกัน ระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดจากกันพูดง่ายๆ ที่ว่าท่านตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรม นั่นละตอนนั้นที่ว่าโลกธาตุไหว แต่อันนี้จะไม่เป็นเหมือนกันทุกองค์ หนักเบาต่างกัน
เราพูดตามหลักความจริงที่เราตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตาย ไม่คาดไม่ฝันว่าจะแสดงเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา ก็ได้แสดงให้เราเห็น จึงได้นำมาพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง เวลามันขึ้นมานี้เหมือนว่าร่างกายของเราดีดผึงเลยเชียว นั่นละที่ว่าฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าก็เป็นฟ้า ดินก็เป็นดินธรรมดาเขาไม่มีอะไร มันเป็นอยู่ที่กายกับจิต คือมันแสดงฤทธิ์กันอย่างเต็มที่ ในขณะที่กิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกัน นี่ละที่ว่า โอ้โหๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ คือซ้ำลงไปให้มันถึงใจเข้าใจไหม ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ซ้ำเข้า เพราะไม่เคยเห็นนี่ พระพุทธเจ้าแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ท่านตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ
ไม่ใช่วัดรอยนะ มันหากเป็นของมันขึ้นเอง เต็มภูมิหนูภูมิช้างภูมิราชสีห์นั่นแหละ เต็มภูมิของตัวเอง ..เวลาสรุปลงมาตามหลักธรรมชาติแล้วนี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เราระลึกตั้งแต่เรานับถือพุทธศาสนามาจนกระทั่งขณะนั้นละว่างั้นเถอะ ไปถึงขณะนั้นละขณะที่ฟ้าดินถล่ม ทีนี้พุทโธ ธัมโม สังโฆเข้าเป็นอันเดียวกัน โอ้โห พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์.ว่าอัศจรรย์ๆ เหอ พระพุทธเจ้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนะนั่น ใครคาดใครคิดเมื่อไร เป็นอันเดียวกันแล้วเป็นธรรมแท่งเดียว เข้าใจหรือยัง นี่ละธรรมธาตุแท้เป็นอย่างนั้น เป็นธรรมแท่งเดียว หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่น เป็นแล้วนั่น
หากมีผู้ปฏิบัติอยู่ ธรรมเหล่านี้ก็คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อยู่ในหัวใจของทุกคน ตามศาสดาที่สอนไว้เรียบร้อยแล้วไม่โกหก ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีธรรมโกหก แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี แต่กิเลสโกหกหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ พ่อแม่ของมันโกหกหมด ธรรมพระพุทธเจ้านี้จริงล้วนๆ ลบสิ่งโกหกทั้งหลายออกแล้วจ้าเลย นั่น เข้าใจไหมล่ะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |