เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
บุญสนองบุญ
สถานีวิทยุกระจายเสียงที่ออกจากวัดป่าบ้านตาดทั่วประเทศไทย เวลานี้ได้ ๙๘ แห่งแล้ว เสียงธรรมกระจายเข้าสู่จิตประชาชน จะค่อยพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ฟื้น เหมือนต้นไม้ใบหญ้าที่ถูกฝนจะฟื้นตัวขึ้นสดเขียวงดงาม ผลิดอกออกผลขึ้นมา แต่ก่อนมีแต่ความแห้งแล้งภายในจิตใจ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี อันนั้นก็เด่น มีตั้งแต่ภัยของหัวใจ ไม่ได้เป็นคุณของหัวใจ มีเท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้น ยิ่งเผาเจ้าของหนักเข้าๆ เรื่องของกิเลสมีเท่าไรก็เท่ากับมีฟืนมีไฟ ถ้าเรื่องของธรรมมีมากมีน้อยค่อยชุ่มเย็นๆ มันต่างกัน
พอพูดอย่างนี้ทำให้ระลึกได้ มันไปสัมผัส ก่อนจะบวชนั้นวันนั้นอาการหนัก ไข้อะไรก็ไม่รู้ อาการหนักมาก ถึงขนาดพ่อกับแม่มานั่งเฝ้าอยู่สองข้าง ไม่พูดอะไรละมานั่งอยู่นี้ เราก็มารำพึงในตัวเวลานั้น นี่จิตมันไม่ไปไหนนะ เวลาจำเป็นเข้ามาความดีเราได้สร้างอะไรไว้บ้าง นั่นมันคิดของมันเองนะไม่มีใครบอก หากเราตายเวลานี้เราจะพอมีที่พึ่งที่เกาะไหม มันวิ่งถึงตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กมา มันไปเองนะ เป็นเด็กเป็นเล็กไปใส่บาตรกับพ่อกับแม่ ไปวัดไปวาทำบุญให้ทาน นี่เราได้สร้างมา ว่าอย่างนั้นนะเป็นในจิต
มันวิ่งถึงความดี ถ้าสมมุติว่าไม่มีความดีแล้วมีแต่ความชั่ว มันก็วิ่งถึงชั่วเผาไปเลย จิตนี้มันไขว่คว้า ถ้ามีความดีเกาะติดๆๆ ถ้ามีแต่ความชั่วแล้วร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ นี้เราคิดเป็นเอกเทศเท่านี้ละ รู้สึกว่าอบอุ่นในใจ ระลึกได้ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กไปใส่บาตรเราก็เคยไป ไปวัดกับพ่อกับแม่ อบอุ่นใจ นั่นมันหาที่เกาะหาที่ยึด แต่ก็ผ่านไปแล้ว จะว่าพลังอธิษฐานก็ไม่เชิงมันเป็นขึ้นในขณะนั้น ถ้าหากว่าเราตายเวลานี้เราจะมีอะไรติดเนื้อติดตัว ก็มีบุญกุศลเพียงเล็กน้อยนี้ ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าเราไม่ตายเราก็ได้สร้างความดีงามขึ้นเรื่อยๆ
จิตหนักเข้าไปทางบวช อย่าให้ตายเดี๋ยวนี้เลย ขอให้ได้บวช มันเป็นของมันเอง อย่าตายเลยเวลานี้รู้สึกว่าหนักมากอยู่นะ อย่าด่วนตายเลยขอให้ได้บวชเสียก่อน ว่าอย่างนั้นนะ แล้วมันก็ฟื้นมาดีวันดีคืน ก็เหมาะจังหวะกับพ่อนั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา บวกกันเข้า ดีดผึงเลยนะ โห น้ำตาของพ่อไม่ใช่เล่นนะ ทีแรกยังมีลักษณะคาราคาซัง พ่อขอให้บวชให้ก็ไม่ตอบ ถ้าลงไม่ลงใจแล้วไม่ตอบละ ถ้าลงใจแล้วเป็นแน่เลย นิสัยอันนี้เป็นมาแต่ฆราวาส มีความสัตย์ความจริง ไม่เป็นนิสัยเหลาะแหละ อะไรถ้าไม่ลั่นคำแล้วเอาแน่ไม่ได้ ถ้าลั่นคำแล้วแน่
นี่ก็เหมือนกัน พอน้ำตาพ่อร่วงลงเท่านั้นละ โห สะเทือนแรงนะ อุปสรรคต่างๆ ที่เหมือนกับว่ากีดขวางอยู่รอบตัวนี้น้ำตาของพ่อนี้ชะล้างออกได้หมดเลย ถ้าเป็นไฟก็เผาหมดอะไรมากีดขวาง จึงได้ออกบวชพูดง่ายๆ เราไม่ลืมนะน้ำตาพ่อพัง ทีแรกคาราคาซัง ลงจุดไหนไม่ได้ พ่อก็ขอให้บวช พูดแล้วก็เฉย ไม่ตอบ พ่อก็แน่ใจว่าไม่บวชแล้วถ้าเป็นอย่างนี้ เราถ้าลั่นคำไหนเป็นคำนั้น พอลั่นคำว่าบวชก็เอาเลย เรื่องราวทั้งหลายน้ำตาพ่อนี้ชะล้าง หรือเป็นเหมือนไฟเผาแหลกหมดเลย..น้ำตา อุปสรรคทั้งหลายขาดสะบั้นไปหมดเลย รุนแรงมากนะ เราไม่ลืมสดๆ ร้อนๆ ที่ได้บวชและมาบำเพ็ญ บวชให้พ่อดีใจ
เวลาบวชนี้เราจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนเองต่อเพศของตนคือพระ ไม่ให้เคลื่อนคลาดจากหลักธรรมหลักวินัย เวลาสึกออกมาแล้วจะได้อาศัยความดีนี้พาไปสวรรค์ คิดไว้นะ แล้วไปบวช บวชสึกออกมาไม่ได้คิดว่าจะไปไหนนะ บวชแล้วสึกออกมาแล้วบุญกุศลที่เราทำตามความสัตย์ความจริงในเพศของพระนี้จะพาเราไปสวรรค์ เริ่มต้นนะ พอว่าอย่างนั้นก็เลยเข้าบวช บวชแล้วอ่านคัมภีร์ไหนเข้ามาสะดุดกึ๊กๆ มีแต่เราเคยผิดมาแล้วๆ ตั้งแต่เป็นฆราวาสผิดมาเรื่อยๆ เอ๊ อันนี้เราก็ผิดมาแล้ว อันนั้นเราก็ผิดมาแล้ว คำว่าผิดมาแล้วทีนี้มาบวชเป็นพระแล้วยิ่งตัดๆ จะไม่ให้ผิดอะไรเลยต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปสวรรค์
ต่อจากนั้นไปก็เอาละ อ่านหนังสือไปท่านพรรณนาถึงสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ อ่านไปๆ จิตคล้อยตามนะ จนกระทั่งถึงนิพพาน อ่านไปอยากไปสวรรค์ ถึงนิพพานเลิศเลอ ดับหมดเรื่องกองทุกข์ทั้งหลายในโลกธาตุไม่มีเหลือของจิตผู้ถึงนิพพานแล้ว อ่านอันนี้ นี่ไปสวรรค์พรหมโลก ทีนี้ไม่อยากไป อยากไปนิพพาน อ่านนิพพานดูดเข้า ดูดเข้าไป ทั้งๆ ที่อ่านตำราท่านก็บอก ตำราก็ออกมาจากธรรมของพระพุทธเจ้า แต่จิตใจของเราเมื่อมันปลอมแล้ว อ่านตำราแม้จะเป็นของจริงขนาดไหนมันก็ปลอมอยู่ในใจ อ่านอยู่นั่นละ เอ๊ นิพพานมีจริงหรือไม่จริงน้า เห็นไหมล่ะอ่านอยู่นั่นน่ะ นิพพานจะมีจริงหรือไม่นา
ถ้ามีท่านผู้ใดมาบอกให้เราลงใจได้ว่า มรรคผลนิพพานมีอยู่อย่างสมบูรณ์แล้วเราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น จากนั้นแล้วก็จะสละชีพเลยเพื่อนิพพาน ทีนี้สวรรค์ พรหมโลกไม่เอาแล้ว ไม่ลืมนะความจริงสดๆ ร้อนๆ อ่านนิพพาน ธรรมะพระพุทธเจ้าผู้ทรงนิพพานนั้นละเทศน์ไว้ แต่จิตเรามันสกปรก เอามาใส่ภาชนะสกปรกเหลวไม่เป็นท่า ความสงสัยสนเท่ห์ นั่นละความสกปรก จิตมุ่งใส่นิพพานละที่นี่ แต่เรื่องการบวชอยู่เป็นพระเป็นเณรนี้ไม่มีใครทราบนะ คือเป็นอยู่ลึกๆ ไม่บอกให้ใครทราบเลยเรื่องภาวนาเป็นอยู่ในใจ เป็นอยู่ลำพังตัวเอง ภาวนาตลอดนะ เรียนหนังสืออยู่ละเมื่อไร แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง หากเป็นอยู่ลึกๆ นั่นแหละ
ทีนี้ก็ลงใจว่าหยุดจากการเรียนนี้จะออกปฏิบัติ เพื่อให้ได้เป็นพระอรหันต์ถึงนิพพานเท่านั้น เน้นหนักๆ แล้วท่านผู้ใดที่จะชี้แจงเรื่องมรรคผลนิพพานให้หายสงสัยได้ ก็มองเห็นแต่หลวงปู่มั่นองค์เดียว พอออกจากนี้ก็บึ่งถึงท่านเลย ท่านก็เหมือนเปิดเรดาร์เอาไว้ มาท่านก็เปรี้ยงๆ ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลยนะ อย่างเปรี้ยงปร้างๆ ฟ้ามันร้องฟ้าผ่า เสียงเปรี้ยงปร้างๆ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ แล้วชี้ไป ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไล่ไปหมดทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไล่ไปหมดย่นเข้ามาก็มาหาใจ สิ่งทั้งหลายคือกิเลสก็ดีธรรมก็ดีอยู่ที่ใจ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ ขึ้นเลยที่นี่ ที่จะรับมรรคผลนิพพาน นรกอเวจี ใจเท่านั้นเป็นผู้รับ นอกนั้นไม่มีอะไรรับได้เลย
ท่านขึ้นอย่างขาดสะบั้นไปนะ เพราะท่านเห็นใจเรา ท่านกางเรดาร์ไว้แล้วว่าเรามุ่งมั่นอย่างหนักเชียว ท่านก็ใส่มาเปรี้ยงๆๆ เอาอย่างหนัก เด็ดเฉียบขาดทีเดียว ท่านจะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนๆ ที่ไหนก็ไม่มี มรรคผลนิพพานและกิเลสอยู่ที่หัวใจ เอา บุกเบิกออกด้วยจิตตภาวนา ท่านบอกวิธีนะ วิธีอื่นไม่ได้ เอาทางด้านจิตตภาวนาบุกเบิกออก มรรคผลนิพพานจะเปิดโล่งขึ้น กิเลสก็จะเจอกันที่นั่น ทำลายกันที่นั่น มรรคผลนิพพานก็จะเกิดที่นั่น เอาลงจุดนี้ๆๆ มีแต่ใจอย่างเดียวเป็นผู้รองรับทั้งนรก สวรรค์ พรหมโลก มรรคผลนิพพาน ใจดวงนี้เป็นผู้รับ เอาใจดวงนี้ให้ได้ ฟังแล้วมันถึงใจจริงๆ เพราะฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ มุ่งหน้ามุ่งตาไปฟัง ท่านก็ทุ่มลงให้อย่างเต็มที่
พอออกจากศาลาเล็กๆ ของท่านมาแล้วยังไม่ถึงที่พัก แล้วว่าอย่างไรที่นี่ ได้ฟังท่านแล้วถึงใจเต็มที่แล้วทีนี้เราจะจริงไหม คือท่านเทศน์นั้นจริงทุกอย่าง หาที่สงสัยไม่ได้แล้ว เรื่องมรรคผลนิพพานไม่มีคำว่าสงสัย ขาดสะบั้นไปหมด ทั้งๆ ที่กิเลสยังมีอยู่นะ อำนาจแห่งธรรมของท่านตีขาดสะบั้นไปหมด แล้วจะจริงไหมล่ะที่นี่ ฟังเทศน์ท่านถึงใจเต็มที่แล้ว ทีนี้จะจริงไหม ทางนี้ตอบทันทีเลยว่าต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น ลงแล้วนะนั่น ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น เอาตายเข้าแลกมรรคผลนิพพาน ไม่จริงก็ตาย ไม่ตายก็ให้ถึงธรรมของจริง
ตั้งแต่วันนั้นมาจึงได้สละทุกสิ่งทุกอย่าง การประกอบความเพียรเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ภาวนานี้ออกไปคนเดียวๆ เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดๆ อะไรมายุ่งไม่ได้เลย เอาจริงเอาจัง นั่นละต้นเหตุมาจากไปฟังธรรมท่านในคืนวันนั้น ซัดกันเต็มเหนี่ยวเลย จนกระทั่งหายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน หาที่ไหนมันจ้าอยู่ที่หัวใจ เมื่อถึงขีดถึงแดนมันแล้วปิดไม่อยู่ ใจเท่านั้นจะเป็นผู้รับรู้ จ้าขึ้นที่ใจแล้วไปถามอะไร อะไรจะเป็นนักรู้แข่งใจไม่มี ใจเป็นนักรู้เต็มที่แล้ว รู้อรรถรู้ธรรมก็เต็มหัวใจแล้วสงสัยอะไร นั่นละตรงนั้นละขาดสะบั้นไปหมดเลย..เรื่องมรรคผลนิพพาน
เริ่มมาตั้งแต่พ่อน้ำตาร่วง อะไรก็ขาดไปตามๆ กันหมด ออกมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายที่ว่านี่ละเรื่องมรรคผลนิพพาน จึงหายสงสัยแล้วที่นี่ ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยสงสัยมรรคผลนิพพาน บาปบุญนรกสวรรค์จ้าอยู่ในนี้หมดเลย มรรคผลนิพพานเต็มอยู่ในนี้ ไม่ต้องถาม มันจ้าออกหมด รับกันได้หมดเลย จ่อลงไปนี้คืออะไร เช่นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงกว้างแสนกว้างจนจะมองหาฝั่งหาแดนไม่เห็นไม่เจอ จ่อลงไปนี้มันเป็นน้ำมหาสมุทรหมดเลย มีแต่เรื่องสมมุตินิยม มหาสมุทรทะเลหลวง ทีนี้พอจิตมันสร้างความดีงามเข้ามาก็ไหลเข้ามาๆ
พอถึงมหาวิมุตติมหานิพพาน เข้าไปนั้นแล้วจ้าขึ้นมาเลย แล้วเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด เหมือนกันกับมหาสมมุติมหานิยม มหาสมุทรทะเลหลวง น้ำไหลลงไปนั้นเป็นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงเหมือนกันหมด เรื่องของคนมีกิเลสเกิดที่ใดแดนใด สูงต่ำที่ไหน เกิดในแหล่งแห่งมหาสมมุติมหานิยม เป็นแหล่งแห่งกองทุกข์ทั้งนั้น ไม่ใช่แหล่งแห่งความพ้นทุกข์ เกิดที่ไหนก็ตามก็เกิดอยู่ในแหล่งแห่งกองทุกข์ มหาสมมุติมหานิยม ทีนี้พอจิตพลิกเข้าถึงนั้นผางนี้เปลี่ยนไปหมด ๑๐๐% เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน
จ่อลงตรงไหนถามหาพระพุทธเจ้าทำไม มรรคผลนิพพานคืออะไรมันก็จ้าอยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าคือพระองค์ใดจ้าอยู่ในหัวใจ เป็นอันเดียวกันหมด จ่อลงไปนี้เป็นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงฉันใด จิตถึงวิมุตติพระนิพพานจ่อลงไปผางเท่านั้นเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ใดบ้าง มันเป็นอันเดียวกันหมดแล้วถามหาอะไร คำว่าพุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นอันเดียวกันแล้ว จ้าแล้วหายสงสัย หมดคำว่าสมมุติโดยประการทั้งปวง อดีตอนาคตไม่มี มีแต่ธรรมชาติที่จ้าอยู่ด้วยความอัศจรรย์ภายในใจนี้เท่านั้น
นั่นละการสร้างความดี ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานก็ล้มมาโดยลำดับ มาภาวนาก็ได้อาศัยครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่มั่นเป็นต้น เกาะติดแล้วก็เอาเลย จนกระทั่งถึงมันจ้าขึ้นมาเต็มหัวใจ หายสงสัยตั้งแต่บัดนั้นมาแล้ว การสอนโลกเราจึงไม่สอนด้วยความสงสัย วิทยุใครจะตั้งกี่ร้อยกี่พันแห่งก็ตาม นั้นคือสนามธรรมะ อ่านเข้าไปฟังเข้าไปธรรมะจะเข้าสู่ใจๆ จะเบิกกว้างออกๆ ด้วยอำนาจแห่งธรรม อย่างเขาตั้งวิทยุในที่ต่างๆ เพื่อแสงแห่งธรรมที่เข้าส่องใจ เวลาได้ยินได้ฟังจิตก็เปิดกว้างออกๆ เบิกออกหมดเลย มีธรรมเท่านั้นจะเบิกกว้างวัฏวนกองทุกข์ทั้งหลายออกได้ นอกนั้นไม่มี ให้ท่านทั้งหลายพากันจำเอาไว้
ฟังเถอะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรานี้มันรับมูตรรับคูถรับความสกปรก ทั้งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้มานานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์ ให้มันได้รับธรรมบ้าง พอรับธรรมแล้วจะดับไฟทั้งหลายที่มันเผาในหัวอกให้ลดลงไปๆ แล้วจ้าขึ้นมา มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหนไม่ต้องถาม พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ไม่ต้องถาม จ้าลงไปเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดแล้วถามกันหาอะไร ตัวใจดวงนี้ก็อยู่ท่ามกลางมรรคผลนิพพานแล้วถามหามรรคผลนิพพานอะไร พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์คือมรรคผลนิพพานเท่านั้นพอ พากันจำเอา เอาละวันนี้พูดแค่นี้ละ
วันหนึ่งๆ เราไปทำประโยชน์ทั้งนั้น วันนี้เอาของไปส่งโรงพยาบาลนี้ วันนั้นส่งโรงพยาบาลนั้นๆ ประจำ ด้วยเงินโรงละสองหมื่นๆ ให้เป็นประจำ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ นี้ไป ห้าวันนี้ไปโรงนั้นโรงนี้ นี้ก็โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ เขาว่าน้องสาวเราไปรักษาตัวอยู่ที่นั่น เขาไม่เก็บสักสตางค์เดียว เขาบอกว่า นี่คือเป็นน้องสาวของหลวงตามหาบัวที่ทำประโยชน์ให้ทั่วเมืองไทยเรา ไม่มีใครจะทำประโยชน์ได้มากเหมือนหลวงตาองค์นี้ เพราะฉะนั้นจึงขอบูชาคุณท่านด้วยการน้อมรับบุญรับกุศลไม่เอาเงิน น้องสาวที่มารักษาไม่เอาเงินเลย เขารับบุญรับกุศลจากเรา
เพราะเราเป็นพี่ชายได้ทำบุญทำประโยชน์ให้โลกครอบประเทศไทยว่างั้น เขาไม่รับ ทีนี้เขาก็มาบอก เอ้อ ดีละ บุญสนองบุญเราก็ว่างั้น เอ้า ถ้าเมื่อไม่รับแล้ว ทางนี้ถามเข้าไปในโรงพยาบาลขาดอะไรบ้างเราจะให้ นั่นเอาละนะ นี่ดูเหมือนได้รถคันหนึ่ง (เอารถคันหนึ่งไปก่อนครับ แล้วอย่างอื่นก็ว่ากันทีหลัง) เอ้อๆ นี่ก็เราสั่งไปอีกให้ติดต่อไปทางโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีขัดข้องอะไรโรงพยาบาลให้บอกมา รถยนต์คันหนึ่งให้แล้ว อานิสงส์ที่เขาถวาย เขาไม่เอาเงินเลย เพราะเป็นน้องสาวของหลวงตาบัวที่ทำประโยชน์ให้โลกกว้างขวางมากมาย เราก็ตอบรับกัน เอ้อ ขัดข้องอะไร ให้รถคันหนึ่งแล้วนะ เวลานี้กำลังสืบเข้าไปอีก ในค่ายประจักษ์ขัดข้องอะไรเราจะให้อีก เป็นอย่างนั้นนะ บุญสนองบุญเป็นอย่างนั้น
เราได้ทำเต็มกำลังความสามารถของเรา ในชาตินี้เรียกว่าเป็นชาติที่เราทุ่มเต็มทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่อง สมบัติเงินทองเปิดไว้นี้เลย ไม่มีกำ เปิดไว้อย่างนี้ มาออกๆๆ หมดมีเท่าไรเหล่านี้ออกหมดเลย เราทำให้เต็มเหนี่ยว พอเต็มที่แล้วผลบุญทั้งหลายที่เราทำมาทั้งเก่าทั้งใหม่ยกผึงเลยเชียว ไปเลย เข้าใจไหมไปเลย ไปเลยคือไม่กลับ เข้าใจไหม ไปเลยไม่กลับ แน่อยู่หัวใจนี้ ทุกอย่างบรรดาสมมุติทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุขาดสะบั้นจากหัวใจนี้หมด ยังเหลือแต่แดนวิมุตติพระนิพพานจ้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องถามถึงท่าน พระสาวกอรหัตอรหันต์ไม่ต้องถาม อันนี้กับอันนั้นเป็นอันเดียวกันเท่านั้นพอ เข้าใจไหมล่ะ นั่นละท่านว่า นตฺถ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ดูอันเดียวนี้พอหมด นั่น เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |