เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ความเด็ดขาดของธรรม
ก่อนจังหัน
เมื่อวานนี้เขาไปภูวัว เราไม่ได้ถามดูพระเท่าไร (๓๖ ครับผม) ภูวัวนั้นองค์ไหนท่านอยากออกมาฉันท่านก็มา ไม่ฉันก็หยุดๆ เช่นเดียวกับที่นี่ พระทั้งหมด ๓๖ ภูวัว เรารับเลี้ยงทั้งวัดมาเป็นเวลา ๒๐ กว่าปีแล้ว ไม่ให้วิตกวิจารณ์เรื่องอาหารการกิน เรารับเลี้ยงทั้งหมดเลย นอกจากนั้นยังบริเวณแถวนั้นอีก เพราะภูเขาลูกนี้กว้างขวางมาก ทำเลที่ภาวนาอยู่ได้ในที่ทั่วๆ ไป มีแห่งละสององค์บ้าง สามองค์บ้าง หากจำเป็นก็ให้มาติดต่อกับทางวัดภูวัว เราสั่งเสียไว้เรียบร้อย ของก็เตรียมไปเหลือเฟือตลอดมา พระผู้เช่นนั้นแหละผู้ที่อดๆ อยากๆ ขาดๆ แคลนๆ นั้นเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรม และจะทรงต่อๆ ไป อิ่มหมีพีหมาอย่างวัดป่าบ้านตาดไม่ได้เรื่องนะ
ปากท้องให้อดบ้างธรรมจะได้เจริญภายในใจ ถ้าปากท้องอิ่มธรรมแห้งผาก ความเห็นแก่ได้แก่เอาก็มาก เห็นแต่จะได้จะเอาจะกินจะกลืนตลอด มาในวัดก็แฝงเข้ามา อย่าว่าแต่ที่วงรัฐบาลกินกลืนเลย แม้แต่ในวัดนี้คนที่ชั่วช้าลามกมันก็แอบเข้ามาในวัดนี้ มากินมากลืนอยู่ข้างในนี้แหละ ว่าหลวงตาไม่รู้หรือ รู้หมดนะหากไม่พูดเฉยๆ พวกที่มาล้างถ้วยล้างจานนั่นละพวกเลว จำให้ดีนะพวกเลวๆ น่ะ มาแล้วก็มาเป็นใหญ่เป็นโตในนี้ ทีแรกมาก็รู้สึกว่าเรียบร้อย ครั้นต่อมาก็กิเลสพอกหัวมันๆ เลยกลายเป็นใหญ่เป็นโตด้วยมูตรด้วยคูถ เห็นแก่ได้แก่กินไปหมดพวกนี้น่ะ ดูไม่ได้นะ ตัวสำคัญๆ มันมีอยู่ในนี้ เราสลดสังเวชนะ
ความเมตตานี้เราเมตตาทั่วโลก อย่าว่าแต่ทั่วแผ่นดินไทยนะ ทั่วโลกเลย เมื่อไปเห็นสิ่งสกปรก เห็นแก่ได้แก่กิน เพียงคนๆ เดียวเท่านี้มันดูไม่ได้นะ พวกที่เขาลำบากลำบนลำบาก พวกเห็นแก่กินแก่กลืนนี้ อันนี้พิลึก หยาบมากทีเดียว ดังที่เขาว่ากันอยู่ลั่นเมืองไทยเรา รัฐบาล รัฐบาลไหนจัดเข้ามาก็มีแต่มากินมากลืนมากน้อยๆ ฟาดเอารัฐบาลปัจจุบันนี้เข้ามากินเอาเสียแหลกเลย โอ๊ย เราก็สลดสังเวชนะ
เรามีส่วนด้วยนะรัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่ธรรมดา เรามีส่วนด้วย อุ้ม เพราะเราเห็นแก่ฐานะการเงินการทองพอเป็นพอไป จะไม่รีดไม่ไถกินตับกินปอดประชาชน เราก็อุ้มขึ้นให้เป็นรัฐบาล เพื่อจะได้ช่วยประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่ไหนได้ท้องมันกางครอบเมืองไทย อู๊ย น่าทุเรศนะ กิเลสนี้แหม มองไม่ทัน มองกิเลสนี้มองไม่ทัน เราสลดสังเวช ให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานนี้ไปภูเขียว ไกลอยู่นะ จากนี้ออกไปทางเขาสวนกวาง ไปเอาไก่ที่เขาขายเต็มอยู่นั้น กว้านเอาหมดเลยไก่ที่เขาขายในตลาดเขาสวนกวาง เอาไปให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลคนไข้นอนเกลื่อน พอเราไปนั้นบางแห่งเขาก็บริจาค เขาเอาถาดยื่นนั้นยื่นนี้คนวางใส่ถาดๆ บางแห่ง พอบริจาคปุบปับๆ ได้เวลาเราก็ขนของลงรถ แต่เราไม่ลงรถนะ อยู่ข้างบน เขาก็เอาถาดเงินมา เราก็เอาของเรารวมปุ๊บเข้าไป อันนั้นเป็นส่วนเกินที่เขาบริจาคทั่วๆ ไปในถาด ของเราก็ใส่ปุ๊บลงไปเลย ให้สองหมื่น ทุกโรงเลยนะ ให้โรงละสองหมื่นๆ อย่างนั้นทุกแห่ง
เมื่อวานไปภูเขียวไปดูเขากำลังสร้างตึกสองชั้น เก้าล้านกว่าดูว่างั้น กว่าจะเสร็จก็คงสิบล้านกว่า เอาที่ความเหมาะสม ไม่ดีไม่เอา อะไรบกพร่องสั่งเพิ่มๆ เรื่อย เราสร้างที่ไหนเป็นอย่างนั้นเหมือนกันหมด คือความบกพร่องไม่ให้มี ถ้าเราลงได้ไปทำงานจุดไหนๆ สิ่งใดสิ่งนั้นต้องสมบูรณ์ อย่างตึกเวลานี้กำลังภูเขียวเริ่มลงมือแล้ว ตึกสองชั้น คงประมาณสักสิบล้านกว่า
เรื่องมีเงินมีทองวัดป่าบ้านตาดไม่มี ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบไว้ทั่วหน้ากัน วัดป่าบ้านตาดไม่ใช่วัดหาเงินหาทอง เป็นวัดที่หาอรรถหาธรรมหาความสงบร่มเย็นเพื่อจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องเขียนไว้ที่หน้าประตูวัด ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน บอกไว้แล้ว นั่นละเสียงธรรมภาษาธรรม อ่านเอา แบบตรงไปตรงมาตามความสัตย์ความจริง ความประจบประแจงไม่ใช่ธรรม ตรงไปตรงมาตามความสัตย์ความจริงนั้นคือธรรม อย่างเราเขียนไว้นั้น ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน เมื่ออ่านแล้วคนต้องการความจริงก็ต้องทราบกันทันที นั่นละภาษาธรรม
เราไม่เห็นสิ่งใดในโลกนี้จะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม เพราะฉะนั้นธรรมจึงต้องออกหน้าเสมอๆ สิ่งอื่นสิ่งใดจำพวกวัตถุธรรมดาเป็นเครื่องบูชาธรรม แต่จะมาใหญ่ยิ่งกว่าธรรมไม่ได้ สำหรับวัดนี้เราพยายามเทิดทูนธรรมะ จึงไม่ให้มีอะไรจะมาใหญ่กว่าธรรม วัตถุจะมาใหญ่กว่าธรรมไม่ได้ วัตถุเป็นเครื่องบูชา อามิสบูชา ปฏิบัติบูชาคือผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมแล้วตรง อามิสบูชาก็คือดอกไม้ธูปเทียนวัตถุสิ่งของเงินทองอะไรที่นำมาซึ่งเป็นด้านวัตถุ เรียกว่าอามิสบูชา ปฏิบัติบูชาคือผู้ตั้งใจปฏิบัติ ไม่ว่าในวัดนอกวัด ปฏิบัติตัวเองให้ถูกต้องโดยอรรถโดยธรรมอยู่เสมอ นี่เรียกผู้ปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าชมเชยผู้นี้ว่ามีผลมากกว่าอามิสบูชา
เพราะฉะนั้นจึงต้องยกธรรมขึ้นเสมอ ยกธรรมขึ้นเหนือวัตถุเสมอไป พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกเพราะธรรม ไม่ใช่เพราะด้านวัตถุ สาวกทั้งหลายที่เป็นกษัตริย์จำนวนไม่น้อยเสด็จออกบวช เข้าป่าเข้าเขา นำธรรมมาประกาศสอนโลก วัตถุสิ่งของอะไรไม่เห็นนำไปประกาศเพราะใครๆ ก็มี ไม่วิเศษวิโสอะไร แต่ธรรมนั้นมีมากมีน้อยวิเศษวิโสขึ้นโดยลำดับลำดา ต่างกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นที่เขียนไว้นั้นจึงเขียนเป็นภาษาธรรม ให้รู้ว่าธรรมสำคัญอย่างไรบ้าง
อย่าเอาความเตร็ดเตร่เร่ร่อน ยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทองข้าวของมาอวดธรรม ซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถ มาอวดได้ยังไง จึงเขียนเตือนไว้นั่น นั่นละธรรมเตือนให้รู้ตัว เราไม่เห็นอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม วัตถุจะมากน้อยเพียงไรเป็นเครื่องบูชาธรรมเท่านั้น ไม่ใช่ใหญ่กว่าธรรม จึงต้องถือธรรมเป็นใหญ่เสมอ ผู้อยู่ในวัดเป็นผู้มีขอบเขตเหตุผลหลักเกณฑ์ ปฏิบัติตัวด้วยความถูกต้องดีงาม เพราะฉะนั้นที่มาสุ่มสี่สุ่มห้าเพ่นพ่านๆ จึงเขียนเตือนไว้นั่น
อย่ามาแบบนั้น บอก มาให้ดูวัดดูวา อย่ามาให้คะแนนวัดให้คะแนนพระ มาตัดคะแนนวัดคะแนนพระ ไม่ถูก ให้ดูตัวเองเทียบกับวัดกับวาที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นยังไง สถานที่อยู่ที่กิน ที่พักผ่อนหย่อนตัวของท่าน ตลอดถึงกิริยาอาการของท่านผู้รักษาศีลธรรมท่านปฏิบัติยังไง ให้เอานั้นไปเป็นตัวอย่างเพื่อเป็นที่ระลึกของใจ แล้วนำไปปฏิบัติ จะเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง
ไม่ใช่มาแบบโอ่อ่าฟู่ฟ่า มาแบบมูตรคูถใหญ่กว่าธรรม มันดูไม่ได้ นั่นละเรื่องมูตรคูถใหญ่กว่าธรรม มาโอ่อ่าฟู่ฟ่า ลืมเนื้อลืมตัว อยู่นอกวัดก็ลืมพอแล้ว เข้ามาในวัดยังจะมาลืมตัวในวัด มาให้คะแนนวัดให้คะแนนพระ ตัดคะแนนวัดตัดคะแนนพระ ใช้ไม่ได้เลย
สำหรับวัดนี้ได้ปฏิบัติตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าในขั้นอนุโลมนะ เพราะมันมากต่อมากมองไม่ทัน ก็เลยเป็นเรื่องอนุโลมไปในตัว บางทีหูหนวกตาบอดไปบ้าง แต่ก่อนไม่ได้ เรียกว่าไม่ได้จริงๆ แต่ก่อน เพราะฉะนั้นพระเณรมองเห็นจึงแตกฮือเลย เราก็เคยพูดให้ฟัง นู่นเราออกมาประตูโน่น ออกมาจากกุฏิ พระเณรฉันน้ำร้อนอยู่ที่นี่ พอเห็นเราเท่านั้นแตกฮือเลย เตะแก้วเตะอะไรเกลื่อน กลัวอะไรนั่น นั่นละกลัวด้วยธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่กลัวแบบโลก กลัวแบบธรรมกลัวด้วยความเคารพเลื่อมใส กลัวแบบนั้น มองเห็นปุ๊บแตกฮือเลย เตะแก้วเตะอะไรเกลื่อน
มานั่นไม่ใช่มาอะไรนะ มาดูอะไรบกพร่องๆ มาแล้วก็สั่ง นั่นละที่มามาอย่างนั้นไม่ได้มาทำลาย มาเพื่อการรักษา เข้มงวดกวดขันการรักษา เวลาขึ้นมาเห็นแก้วน้ำร้อนน้ำชาเกลื่อนอยู่ตามนั้น เจ้าของไปหมดแล้ว แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ ทั้งกินทั้งเตะทั้งถีบเกลื่อนอยู่นี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ พระเณรมองเห็นท่านอาจารย์เปิดหนีหมด เตะแก้วก็มี เอาอีกนะ กลัวแบบนี้ไม่ใช่ธรรม กลัวแบบธรรมต้องอยู่แบบธรรม อยู่ด้วยความสงบ ถูกต้อง
ครูบาอาจารย์ไม่ใช่เสือ ไม่ใช่ยักษ์ไม่ใช่ผี เป็นครูอาจารย์โดยธรรมล้วนๆ เราก็อยู่โดยธรรมล้วนๆ กิริยาที่แสดงออกเป็นธรรมล้วนๆ ก็เข้ากันได้สนิท สอนแล้วนะนั่น คือกลัวก็กลัวแบบธรรม ไล่หนีไปไหนก็ไม่ไป หากกลัว เป็นอย่างนั้น อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นไปไหนนี่พระเณรหมอบ เหมือนหนูเห็นแมว หมอบ ไม่หมอบก็เผ่นอย่างว่า นี่ก็แบบเดียวกัน อำนาจแห่งความเคารพเลื่อมใส ความศรัทธา ความยอมรับในการปฏิบัติของท่านทุกอย่างๆ หาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ต้องกลัวแบบนี้ เข้าใจไหม
นั่นละพระท่านอยู่ด้วยกันท่านอยู่ด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ กลัวก็กลัวแบบธรรมกล้าแบบธรรม อยู่ด้วยกันแบบเป็นธรรมล้วนๆ ดังที่ยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายฟัง ก็บักทิดหรวดมันก็ลูกพระละนี่ มันเป็นเณรอยู่นี้แต่ก่อน เณรจรวดมันเร็ว นิสัยมันคล่องตัว เลยเรียกว่าเณรจรวด มันก็มาวันนี้ก็มาละมั้ง มันเป็นลูกพระ ถึงเวลาอะไรเราดูนาฬิกาผิด พอมองดูนาฬิกา เอ้า ตายยังไง เพราะการทำข้อวัตรปฏิบัตินี้พระเณรทันเราเมื่อไร ตั้งแต่ก่อนหนุ่มน้อยนำหน้าตลอด ไม่ได้เป็นอย่างทุกวันนี้
อ้าว นาฬิกาเลยเวลาแล้วปุ๊บออกปัดกวาด เสร็จข้างในตัวเองแล้วก็ออกมาข้างนอก ไม่เห็นพระเณรสักองค์เดียวเลย ตามธรรมดาออกมานี้พระเณรจะเต็มหมด ปัดกวาดมารวมกันที่นี่ จากกุฏิตัวเองแล้วก็ออกมาส่วนรวม ปัดกวาดวันนั้นไม่เห็นพระเณรสักองค์เลย ก็พอดีมีเณรจรวดมันเฝ้าศาลาอยู่นี้ เณร เป็นยังไงวันนี้ถึงเวล่ำเวลาแล้วทำไมไม่เห็นพระเณรมาปัดกวาด มันเป็นอะไรตายกันทั้งวัดเหรอ ใครจะกุสลาใครเมื่อตายหมดทั้งวัดแล้ว เหอ ไม่รู้เวลาเหรอเณร เวลาได้เท่าไร ถาม มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาทีว่างั้น
คือธรรมดาแต่ก่อน ๔ โมงเย็นปัดกวาด นี่มันพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เราดูนาฬิกาผิด เสียงนี้แผดไม่ใช่เล่นๆ นะ นี้จะยังไม่แล้วนะนั่น พอตกค่ำมาแล้วจะประชุม ประชุมนี้อย่างแผดทีเดียวละไม่ใช่ธรรมดา เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องละเอียดพอที่จะท่องบ่นเหมือนเขาสวดมนต์สวดพร การปัดกวาดเช็ดถูเวล่ำเวลามีรู้จักกันอยู่ ทำไมจึงจำเป็นต้องให้บอกกัน แล้วมาแสดงอย่างนี้ให้เห็น เวลาเณรบอกว่า มันพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ยังไม่ถึง ๔ โมง ไหนว่าอีกน่ะ นาฬิกาพึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ อย่างงั้นเหรอ เอ้า หยุด
นั่นเห็นไหมขึ้นทันทีเลย แผด ทีแรกก็แผดแบบนั้น แผดที่สองว่าให้หยุด ให้หยุดทั้งวัดเดี๋ยวจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา แล้วก็เดินกึ๊กๆ กลับเลย เราไปเดินแก้บ้าเรา เณรมันคงหัวเราะเล่าให้พระฟัง มาทีแรกเสียงเหมือนฟ้าดินถล่ม เปรี้ยงๆ นี่ละดุเป็นธรรม ดีเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น พอทางนี้ถูกเราผิดคนเดียวนี้ก็บอกให้หยุดๆ อย่ามาปัดกวาดเดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา เราก็ปึ๊บๆ กลับเลย นั่นละคือความเป็นธรรม ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ เป็นธรรมไม่ได้ สำหรับเราเองปฏิบัติตนมาอย่างนั้นกับเพื่อนกับฝูงใครก็ตาม จะไม่ให้มีอำนาจที่เหนือธรรมไป
จะพูดนิ่มนวลอ่อนหวานดุด่าว่ากล่าวเด็ดขาดขนาดไหน ต้องเอาธรรมเป็นเกณฑ์ ธรรมเป็นเครื่องพาเดิน ไม่ได้ทำแบบโลกๆ เขาทำซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส ไว้เนื้อไว้ตัววางเนื้อวางตัวสงวนอำนาจ ไม่เอาอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ต้องเป็นอำนาจของธรรม ปฏิบัติกันอย่างนั้นเรื่อยมา เราไม่เคยแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวตลอดถึงขับไล่ออกจากวัดให้ผิดธรรมไม่มี ต้องให้ตรงแน่วต่อธรรมเลย ที่ไล่พระออกจากวัดมีจำนวนน้อยเมื่อไร ค้านไม่ได้ถ้าลงได้ไล่แล้ว เหตุผลเต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้น
นี่ละการปฏิบัติธรรมต้องถือธรรมเป็นใหญ่ จะถือผู้หนึ่งผู้ใดเป็นใหญ่กว่าธรรมไม่ได้ ต้องถือธรรมเป็นใหญ่แล้วชุ่มเย็นหมดทั้งวัด ก็คิดดูซิเราเดินมานี้พระเณรเห็นแตกฮือๆ กลัวไหม กลัว นั่นคือกลัวเป็นธรรม ไม่ได้กลัวแบบเสือกับวัวกลัวกัน กลัวเป็นธรรม ไล่หนีไปไหนก็ไม่ไปหากอยู่หากกลัว อย่างนั้นละ เพราะปฏิบัตินี้เป็นธรรมล้วนๆ ให้ผิดจากธรรมไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้เป็นธรรมด้วยกัน การปฏิบัติต่อตัวเองก็อย่างนั้น ถึงคราวเด็ดๆ เอา เป็นก็เป็นตายก็ตายเด็ดขาดลงไปเลยโดยธรรม เอาธรรมเป็นหลัก ผ่านได้ๆ ถ้าธรรมเป็นหลัก ถ้ากิเลสเป็นหลักล้มระนาวไปหมดไม่เป็นท่า ต้องเอาธรรมเป็นหลัก
การปฏิบัติตัวต้องมีขั้นเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดต่อตัวเอง เพื่อดัดสันดานกิเลสตัวมันดื้อด้านหาญธรรม ไม่มียางอายต่อตัวเองและผู้ใดเลย ต้องเอาให้หนัก ทีนี้กิเลสเหล่านี้มันก็หมอบๆ มันเหนือธรรมไปไม่ได้ สุดท้ายมันก็หมอบแล้วหมอบราบเลย หายเงียบไม่มีอะไรเหลือในใจเลย เพราะความเด็ดขาดของธรรม ต้องปฏิบัติอย่างนั้น นี่ละที่ว่าธรรมปกครองโลก มาปกครองวัดก็เป็นแบบเดียวกัน อะไรที่มันแสลงหูแสลงตาก็มาเขียนประกาศเอาไว้นั่น นี่แสดงว่าแสลงหูแสลงตาแล้วเข้ามา ขัดต่อผู้ปฏิบัติธรรมเข้มงวดกวดขันอยู่ในวัดในวา
ปรกติมันก็เพ่นพ่านไม่มีขอบเขตเหตุผล ครั้นเข้ามาในวัดนี้ก็มาเพ่นพ่านอีก ท่านก็เตือนเอาไว้นั่น อย่ามาเพ่นพ่าน ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน เตือนไว้แล้วนั่น เพราะไม่มีอะไรใหญ่กว่าธรรม ในโลกนี้ไม่มี ธรรมนี้ใหญ่เหนือโลกเหนือสงสาร ท่านจึงเรียกว่า โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก ธรรมเหนืออยู่ตลอดเวลา ใครจะเอาอะไรมาอวดธรรมไม่ได้ ธรรมเหนือตลอดเวลา ต้องยกธรรมขึ้นเสมอ ถ้ายกธรรมขึ้นแล้วโลกสงบร่มเย็นตายใจกันได้ ตั้งแต่ส่วนย่อยถึงส่วนใหญ่ตายใจกันได้ถ้ายอมรับธรรม ต่างคนต่างยอมรับธรรม ถ้าขัดธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้นร้าวรานแล้วแตกได้ พากันจำเอาไปปฏิบัติ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น ไม่พูดมาก
(หลวงตาครับ ของที่จะไปช่วยประเทศลาวจัดไว้ดังนี้นะครับ เครื่องบริโภคต่างๆ ที่จะนำไปสงเคราะห์ สปป.ลาว เวียงจันทน์ วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๙
๑. ปลากระป๋องลังละ ๑๐๐ กระป๋อง จำนวน ๑,๐๐๐ ลัง
๒. น้ำมันพืช ลังละ ๑ โหล ๖๐๐ ลัง
๓. น้ำปลา ลังละ ๑ โหล ๖๐๐ ลัง
๔. ขนมปัง ๖๐๐ ปี๊บ
๕. วุ้นเส้น เส้นก๋วยเตี๋ยว ๖๐๐ มัดใหญ่
๖. มาม่า กล่องละ ๓๐ ซอง ๖๐๐ กล่อง
๗. ข้าวจ้าว จากโรงสีสมหมาย ๑,๐๐๐ ถุงๆ ละ ๑๒ กิโล
๘. ข้าวเหนียว ถุงละ ๑๒ กิโล ๒,๕๐๐ ถุง
อันนี้เป็น ๓,๕๐๐ จากโรงสีสมหมาย ทั้งข้าวเหนียวทั้งข้าวเจ้าครับ ทีนี้ข้าวเจ้าจากของศรีไทยใหม่ ข้าวเจ้าถุงละ ๑๒ กิโลเหมือนกัน ๑,๐๐๐ ถุง ข้าวเหนียวถุงละ ๑๒ กิโลเช่นเดียวกัน ๕๐๐ ถุง อันนี้จากโรงสีศรีไทยใหม่ รวมแล้วข้าวเหนียวนี้ก็จะเป็น ๓,๐๐๐ ถุง ข้าวเจ้า ๒,๐๐๐ รถสิบล้อ ๘ คัน ) นี่จะข้ามไปทางเวียงจันทน์ ช่วยทางเวียงจันทน์ สพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ช่วยเหลือกัน ใครมีอะไรๆ ช่วยกันแล้วเข้ากันสนิท การให้นี้เป็นความสนิทสนมทางด้านจิตใจ แน่นหนามั่นคงตายใจกันได้ รักกันโดยไม่ต้องไปถามหาชาติชั้นวรรณะ การเสียสละเป็นเครื่องสมานได้หมดเลย เราทำนี้เพื่อเหตุผลกลไกสงเคราะห์คนทุกข์คนจน การที่มันจะสะท้อนกลับก็คือความดีงามที่จะประสานกัน อันนี้ใหญ่โตมาก วันที่ ๕ เวียงจันทน์นะ (ครับ วันที่ ๕ ตุลาคม เขามาเอาเอง หลวงตาจัดของไว้แล้วเขามาเอา)
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |