กลายเป็นโรงเลี้ยงสัตว์
วันที่ 13 กันยายน 2549 เวลา 8:10 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

กลายเป็นโรงเลี้ยงสัตว์

ก่อนจังหัน

พระเท่าไร (๓๐ ครับผม) ก็อยู่ในย่านนี้แหละ พระทั้งหมดรวม ๕๘ องค์มาฉันในย่านนี้ วัดอื่นๆ ก็เหมือนกันวัดกรรมฐาน มีพระเต็มอัตราเท่านั้น แต่เวลามาฉันก็อย่างว่า คือเป็นนิสัยของวัดกรรมฐานที่ท่านม่งต่ออรรถต่อธรรม ส่วนมากจะไม่สนใจในอาหาร อาหารชนิดใดๆ เป็นภัยหรือเป็นข้าศึกต่อการภาวนา ท่านจะพยายามคัดออกๆ เอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ทางด้านจิตตภาวนา ธาตุขันธ์ก็ไม่กำเริบ ให้ได้ประโยชน์ทั้งสอง ท่านเรียกว่าอาหารสัปปายะ

ท่านแสดงไว้ในธรรมว่าอาหารสัปปายะ คืออาหารเป็นที่สบาย ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อธาตุขันธ์ และไม่เป็นภัยต่อธรรม ท่านคัดเลือก คิดดูซิพวกเราโง่ขนาดไหน ยิ่งพระด้วยแล้วนี้แหม พระพุทธเจ้าสอนไว้ในเสขิยวัตร ๒๖ ข้อ ล้วนแล้วแต่การปฏิบัติต่อการขบการฉัน จากนั้นก็การรับการขบการฉัน ละเอียดขนาดนั้นพระพุทธเจ้า จึงสมชื่อสมนามว่าพุทธศาสนา หาที่ต้องติไม่ได้เลย คือพิสูจน์กันทางด้านจิตตภาวนา จากนั้นสติปัญญาพิจารณาแยกแยะต่างๆ แต่เวลาลงก็ลงในจิตตภาวนา ได้ของจริงจากนั้นละมา จึงได้ยอมรับว่าพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส สมชื่อสมนาม

พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลส นำศาสนามานี้เป็นศาสนาเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ชี้บอกตรงไหนตรงนั้นๆ ไม่มีผิดพลาด คือศาสดาองค์เอก ท่านสอนว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นี่ติดแนบเบอร์หนึ่งไม่มีเคลื่อน นรกประเภทต่างๆ รวมแล้วมีจริง สวรรค์มีจริง พวกเปรตพวกผีประเภทต่างๆ มีจริง จนกระทั่งพรหมโลก นิพพาน มีจริง องค์ศาสดาทั้งนั้นทรงรู้ทรงเห็นทุกอย่างแล้วนำมาสั่งสอนสัตว์โลก อันที่เป็นภัยก็บอกว่าเป็นภัย อันที่เป็นคุณก็บอกเป็นคุณ ส่วนเป็นภัยสอนสัตว์โลกให้ละให้ถอน ถึงจะอยากทำขนาดไหนก็อย่าทำ นั้นคือพิษคือภัยสังหารตัวเอง แต่สิ่งใดที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ถึงไม่อยากทำก็ให้ทำเพราะเป็นประโยชน์ นี่คือศาสดาองค์เอกสอนโลกสอนอย่างนี้

พวกเรานี้เกิดมาพบพุทธศาสนา เรียกว่าเลิศแล้ววาสนาของพวกเรา อย่าปล่อยวางนะ พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแบบฉบับมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ เรื่อยมา ไม่ใช่ไปคว้าเอาโน้นมาเป็นศาสดา คว้าเอานี้มาเป็นศาสดา ไม่ทราบว่าเป็นพ่อของใครแม่ของใครลูกของใคร คว้าเอามาเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ เข้าใจไหมล่ะ ดีไหมล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเป็นยังไง พิจารณาซิ

ตั้งแต่คนเขายังรู้ว่าลูกของเขา พ่อแม่ของเขาเขายังรู้ เราที่จะคัดเลือกศาสนาเพื่อเป็นสาระพึ่งเป็นพึ่งตายของใจ ทำไมไม่คัดเลือกศาสนา ศาสนาเป็นธรรมชาติที่ใหญ่โตมากที่สุด เพราะเป็นวิถีทางเดินของจิต ถ้าได้คำสอนไม่ถูกแล้วจมๆ พาจม ถ้าได้คำสอนที่ถูกต้องแล้วขึ้นเรื่อยๆ ดังคำสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นคำสอนที่ถูกต้องแม่นยำ ก้าวเดินตามนี้ ตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพาน ออกจากคำสอนนี้ไม่ผิดพลาด ให้พากันจำเอานะ

พุทธศาสนาเราพูดเต็มสัดเต็มส่วนเต็มกำลังความสามารถของเรา ซึ่งแต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดเคยคาดว่าจะได้รู้ได้เห็นได้คำพูดนี้ออกมา แต่ก็เพราะการปฏิบัติตามทางของพระพุทธเจ้า ท่านสอนไปๆ แยกไปตรงไหนเห็นๆ พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไงปิดไม่อยู่ๆ รู้ๆ เรื่อยเข้าไปจนเปิดจ้าเลย ถามหาพระพุทธเจ้าอะไร ถามหานิพพานทำไม นี่ละถึงขั้นไม่ถามกันแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายไม่ถามกัน ถึงขั้นแล้วไม่ถาม หมดสงสัยโดยประการทั้งปวง

จิตที่ลงได้จ้าเข้าถึงที่ว่านี่แล้วไม่ถาม ไม่ว่าท่านว่าเราว่าหญิงว่าชาย เพราะธรรมสอนของจริงล้วนๆ ปฏิบัติตามของจริง รู้ของจริงแล้วถามใคร นี่ละคำสอนพระพุทธเจ้าจึงแม่นยำมากทีเดียว เราก็ไม่เคยคิด แต่เวลามาคุ้ยเขี่ยขุดค้นทางด้านจิตตภาวนานี้ ค่อยแตกออกไปๆ ตรงไหนที่โลกหูหนวกตาบอดปฏิเสธนั้น นั่นละคือไฟ เช่นนรก เป็นสิ่งที่ร้ายแรงมากที่สุด นรกหลุมต่างๆ ท่านบอกไว้ว่ามี ๒๕ หลุม ล้วนแล้วตั้งแต่ไฟทั้งนั้น ขนาดต่างๆ ต่างกัน หนักเบามากน้อย พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด มันดื้อด้านมันก็ฝืนทำ ความอยากทำนั่นละคือกิเลส กิเลสนั้นละปิดธรรมปิดความจริง พระพุทธเจ้าสอนไว้มันไม่ยอมรับ สุดท้ายพวกเก่งๆ นี้ละจมๆ ทั้งนั้น พวกที่เชื่อตามองค์ศาสดาไม่จม ไปได้ เล็ดลอดจนกระทั่งถึงนิพพานได้ ล้วนแล้วแต่ผู้ที่เชื่อองค์ศาสดา ถ้าใครเก่งแล้วจมทั้งนั้นๆ

เป็นยังไงลูกศิษย์หลวงตาบัวในศาลาหลังนี้ มันมีแต่ผู้เก่งๆ นั่นเหรอ มันเก่งไปทางไหนล่ะ เหอ เราก็อยากถาม เราคิดว่าบรรดาลูกศิษย์ลูกหานี้อาจเก่งกว่าครูเราถึงถามว่า ใครที่เก่งกว่าครูอยู่นี้มีไหม ให้แสดงตัวออกมา เข้าใจแล้วนะ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         (เมื่อวานนี้ ๑๒ กันยายน ๒๕๔๙ เมตตาสงเคราะห์สองแห่ง

โรงพยาบาลหนองบัวลำภู

๑. เครื่องสลายต้อกระจก ๑ เครื่อง ราคา สองล้านห้าแสนบาท

๒. รถพยาบาลพร้อมอุปกรณ์กู้ชีพ ๑ คัน หนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นบาท

รวมสองรายการเป็นเงิน สี่ล้านสามแสนห้าหมื่นบาท

แห่งที่สอง โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

๑. เครื่องสลายต้อกระจก ๑ เครื่อง ราคา สองล้านห้าแสนบาท

๒. เครื่องยิงเลเซอร์สำหรับตา ๑ เครื่อง ราคา สองล้านบาท

๓. กล้องจุลทรรศน์ตรวจตาชนิดลำแสงแคบ ๑ เครื่อง ราคา สี่แสนบาท

รวมทั้งหมด ๓ รายการ โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น เป็นเงิน สี่ล้านเก้าแสนบาท ๒ แห่งรวมแล้ว ได้ เก้าล้านสองแสนห้าหมื่นบาท)

         เมื่อวานโรงพยาบาลท่านอาจารย์ฝั้นสี่ล้านเก้าแสนบาท เขามาขอก่อนหน้านี้สองวันละมั้ง คือเรากำลังยุ่งในการให้ทางนู้นให้ทางนี้ ชุลมุ่นวุ่นวาย ยังลงตัวไม่ได้ เมื่อเขามาขอก็บอกให้รอเสียก่อน เราจะพิจารณาทีหลัง เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้จึงตามไปพิจารณาทีหลัง ได้ตั้งสี่ล้านกว่า เห็นไหมล่ะ อย่างนั้นแหละ โห ของเล่นเมื่อไร

         (ที่จ่ายสตางค์เมื่อวานนี้ สร้างตึกโรงพยาบาลภูเขียวหนึ่งล้านบาท เซ็นเช็คจ่ายเขาไปเรียบร้อยแล้ว แล้วให้เครื่องคอมพิวเตอร์พวกทหารปืนใหญ่ที่ ๑๓ นี่ ๒๐ เครื่อง สามแสนหนึ่งหมื่นบาท แล้วก็สงเคราะห์ผู้ป่วยโรคไตโรงพยาบาลท่าบ่อ ๓ ราย แปดหมื่นกว่าบาทครับ จ่ายเรียบร้อยแล้วครับ) เรามันจ่ายตลอด ที่ไหนจำเป็นๆ ก็วิ่งมาหาเรา เราก็รับเป็นคนไข้ของเราๆ เข้าโรงพยาบาลนั้นโรงพยาบาลนี้เป็นคนไข้ของเราๆ พอเสร็จแล้วเขามารับเงินจากเรา ที่พูดตะกี้นี้คือเป็นคนไข้ของเรา เขามาขอร้องให้ช่วยเหลือเขา เราก็รับๆ จ่ายเงินๆ เป็นอย่างนั้นละ

         เวลานี้จ่ายเป็นฟืนเป็นไฟไปเลย แต่นี้จ่ายด้วยธรรม จึงไม่มีอะไร มีแต่ความชุ่มเย็นไปหมดเลย จ่ายด้วยอำนาจแห่งความเมตตา มีเท่าไรๆ ปัดๆ ออกหมดๆ เลย ที่จะเก็บไว้ไม่มี เก็บก็เก็บไว้เพื่อจุดนั้นๆ ไม่ได้เก็บไว้เฉยๆ เป็นอย่างนั้นละ ท่านทั้งหลายดูเสียธรรมไปที่ไหนสนิทสนมกลมกลืน ตายใจกันได้เลย ไม่ต้องถามหาโคตรหาแซ่ หาญาติหาวงศ์ ฐานะสูงต่ำประการใด ธรรมครอบหมดเลย ความเสียสละความเห็นแก่ใจกันเป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว ความเห็นแก่ใจกัน สละช่วยเหลือกัน นั่นละสนิทกันจนกระทั่งวันตายไม่ลืม ต่างกันอย่างนี้นะ ธรรมเข้าตรงไหนแนบสนิทๆ เลย ตายใจกันได้ๆ เลย

         นี่ทราบว่าจะไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ให้เอาของเต็มรถไปเลย กำลังบอกพระให้พระมาเอาของที่สำคัญๆ ให้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ให้นะเรา เวลาได้อะไรมานี้ได้แบบโยนข้าวให้หมามันก็ไม่กิน เข้าใจไหม ตัวเองขี้ริ้วขี้เหร่โยนข้าวให้หมากินมันก็ไม่กิน ถ้าไปเจอเอาอย่างนั้นได้อย่างนั้นมาแล้วทำอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหาแต่ของดีๆ ให้ ได้ให้ได้แต่ของดีๆ ได้เมียมาก็ปากหวาน อย่ามีแว้ดๆ ๆ ต้องเงือดเงื้ออยู่ตลอด.ตบปากเมีย มันบ่นเก่ง อย่าให้ได้เมียอย่างนั้น ให้ได้เมียปากหวาน หาอะไรก็ได้อย่างนั้นซิ ไปที่ไหนก็ว่าเมียผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มันเป็นเพราะเจ้าของทำไว้แล้ว จะไปว่าให้เขาอะไร

มันมาลงจุดนี้เข้าใจไหมล่ะ คือเอาของดีไป เวลามาจะได้มีแต่ของดีๆ มา ของชุ่ยๆ ไม่มี เป็นไปจากต้นตอคือหัวใจ เหตุก่อสร้างอยู่นี่ ดี-ชั่วอยู่ที่นี่ เวลากลับมาก็มาอันนี้ อันนี้ออกไปฉันใดมาฉันนั้นเลย ไปทางไหนก็อย่างนั้น วัดนี้มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนะ มันเปิดโล่งตลอดเวลา ที่จะกำไม่มี บอกชัดๆ เลยไม่มี มีแต่เปิดอยู่นี้ตลอด มีเท่าไรปัดออกๆ เพราะความเมตตา อำนาจความเมตตานี้ปัดออกๆ หมดเลย นี่ก็ทราบว่าจะไปวัดดอยธรรมเจดีย์จึงให้พระไปดูสิ่งของ เป็นอย่างไรๆ ให้เอาของดีๆ ทั้งนั้นใส่รถเต็มเอี๊ยดไปเลยๆ เราเองก็เหมือนกัน ไปไหนนี้เต็มรถไปเลย

เมื่อวานนี้ก็ไปโรงพยาบาลท่านอาจารย์ฝั้นเต็มรถไปเลย เดี๋ยวนี้มันเป็นประเพณีหรือเหมือนว่ามันชินอย่างนั้นแล้ว ไปโรงพยาบาลไหนก็ต้องมอบให้โรงละสองหมื่นๆๆ ทุกโรงไปเลย เราไปเองนะ ของนั้นเต็มรถเทปั๊วะเลย เทปั๊วะแล้วก็สั่งเสีย ว่าสมัยนี้เขาสอนประหยัด ให้พากันกินประหยัดนะ กล้วยนี้กินหมดทั้งเปลือกเลย บอกว่าใช้ประหยัดกินประหยัด เหล่านี้ๆ พวกกล่องพวกนี้กินหมดเลย มันถึงเรียกประหยัด ไปแบบนั้นละเรา เพราะฉะนั้นพวกโรงพยาบาลต่างๆ เห็นเราไปนี้เหมือนพ่อแม่กับลูกนะ รุมใส่เลย เราต้องทำอย่างนี้ไว้ นี่เราปิดปากแล้วอย่ามาถาม เดี๋ยวตีปากเอานะ ก็เรางด เราหยุดปาก ปิดปากไว้แล้ว ทางนั้นอย่ามาถาม ทางนี้เงือดเงื้อเอาไว้จะตีปากคน เป็นอย่างนั้นละ

นี่ก็ให้เอาของเต็มรถไปเลย เพราะเราไม่ได้ไปวัดดอยธรรมเจดีย์นี้ โอ๊ย นานเป็นปีๆ ละมั้ง ถ้าเราไปที่ไหนรถนี้เป็นแถวเลยละแน่นๆๆ เทปั๊วะลงเลย อย่างวัดภูวัวก็ไม่ได้ไปนานแล้ว คือที่ภูวัวนี้เป็นอาหารเสริม อาหารที่ให้เป็นพื้นฐานไว้ประจำแล้วสำหรับวัดนั้นมีเท่าไรเรารับเลี้ยงหมดเลย เดี๋ยวนี้ดูเหมือนมีพระ ๓๖ เรารับเลี้ยงหมดเลย เผื่อไว้ๆ หากวัดนั้นวัดนี้อยู่ข้างๆ มาติดต่อขอจากนี้ให้ไปเลย เพราะเราไม่สามารถที่จะไปส่งซอกแซกซิกแซ็กได้ ไปก็ไปรถยนต์ ไปก็เทปั๊วะลงมาเลย เผื่อไว้ๆ อย่างนั้นละเรื่อย

ทางภูวัวก็มีพระกรรมฐานอยู่ตามป่าตามเขา หินดานเหล่านั้นท่านอยู่ เวลาท่านจำเป็นท่านก็เอาตาปะขาวมาญาติโยมมา มาเอาของไป เราสั่งไว้แล้ว ทางนั้นท่านก็จัดให้เต็มเหนี่ยวๆ เพราะเราไปนี้เผื่อทั้งนั้นนะ เผื่อไว้หมด  นี่ท่านอุทัยที่อยู่วัดภูวัว ทีนี้จำเป็นทางเขาใหญ่เขามาขอ เขาถวายที่ให้เรา ที่ดูเหมือน ๗๐ ไร่หรืออะไร ลืมๆ แล้วแหละ เขามาถวายแล้วจะทำไง คือใครถวายที่เรารับสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ ถ้าเรารับแล้วเราต้องเป็นตัวประกัน เขาให้ด้วยศรัทธาของเขา เราก็รับด้วยความเป็นธรรม รับสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ทีนี้ใครจะมาอยู่ แน่ะเอาละนะ เมื่อถวายวัดนี้แล้วองค์ไหนๆ ก็เลือกได้ท่านอุทัย เลยเรียกท่านอุทัยมา ให้ท่านอุทัยแยกจากวัดภูวัวมาอยู่เขาใหญ่นี่เสีย นี่กำลังสร้างวัดทางนู้นเวลานี้ ก็อย่างนั้นละ ทางนั้นองค์รองก็มี ดีอยู่แล้วองค์รองอยู่นั้น ท่านอุทัยให้ไปอยู่ทางโน้น

คือเราหาพระดีๆ ไป ไม่ใช่พระสุ่มสี่สุ่มห้าที่มองดูแล้วมันดูไม่ได้ ไม่เอาอย่างนั้น ต้องจริงจังทุกอย่างเลย เช่นรับเขานี้ ไอ้เรื่องวัดนี้เขาจะถวายเรามากต่อมากนะ แต่เรารับไม่ได้เพราะเหตุนี้ละ ต้องหาตัวตั้งตัวตีมายืนยันรับรองวัดนี้ให้เป็นสารประโยชน์ต่อไป เราจึงรับ รับแล้วก็ต้องหาพระมา นี่ก็ให้ท่านอุทัยไปก็เหมาะสมแล้ว อย่างวัดอาจารย์เจี๊ยะ ปทุมธานี ก็เราไปนิมนต์อาจารย์เจี๊ยะมา เขาถวายที่ วัดภูริทัตตะนั่นละ แล้วก็นิมนต์อาจารย์เจี๊ยะมา ท่านก็รับให้ ทีนี้วัดป่าหลวงตาบัว วัดเสือ นั้นก็นิมนต์ท่านจันทร์มา เขาถวายที่ไหนเมื่อเรารับแล้วเราต้องเป็นตัวรับรองหาพระมา ที่วัดเสือนั้นก็ได้ท่านจันทร์ เข้ากันได้ดีนะ

ท่านจันทร์ท่านเมตตาสัตว์ เดี๋ยวนี้สัตว์อยู่ในป่าลงมาเอง อยู่ในภูเขานู่นน่ะ ลงมาในวัดมากินกับวัดเหมือนสัตว์บ้านเลย เป็นอย่างนั้นละ ที่ว่าวัดป่าหลวงตาบัว อยู่ที่เมืองกาญจน์ เต็มวัด อยู่ในภูเขานั่นลงมา ตอนเช้าหมูเป็นหลายร้อยตัว นกยูงก็เป็นร้อยๆ หลั่งไหลลงมา ท่านจัดอาหารเลี้ยงให้หมด พอกินอิ่มแล้วไหลขึ้นไปบนภูเขาหมดเลย ตอนเย็นๆ ถึงจะด้อมๆ ลงมาอีก ตอนเช้านี้มามืดแปดทิศแปดด้านพวกหมู นี่ให้พอๆๆ ทั้งที่ว่าเป็นพื้นก็คือว่านกยูงกับหมู ตอนเช้านี้ให้พอเลย แล้วเวลาอื่นๆ ก็มีไว้ ลงมาจากไหนๆ ก็มากินที่นั่นๆ อันนี้ก็ดีอันหนึ่งนิสัยท่าน

ท่านจันทร์เข้ากับสัตว์ได้นะ เสือตั้ง ๙ ตัว ๑๐ ตัว เวลานี้อยู่วัดท่านจันทร์ ท่านเลี้ยงไว้จนกระทั่งเสือ นั่นอำนาจความเมตตา นี่เราก็รับ รับแล้วก็นิมนต์ท่านจันทร์มา ท่านก็รับให้ มาอยู่ที่นี่ก็พอดีเลยเป็นโรงเลี้ยงสัตว์ไป วัดป่าหลวงตาบัวกลายเป็นโรงเลี้ยงสัตว์นะ เต็มหมด อยู่ในภูเขาไม่เคยเห็นม้าป่าลงมา ม้าป่าเราก็ไม่เคยเห็น นี่มาจากภูเขานะนี่ว่างั้น มากินอยู่กับคน ไม่สนใจกับคนเหมือนสัตว์บ้านนะ สัตว์ที่ออกมาจากภูเขาลงมากินนี้กลายเป็นสัตว์บ้านไปหมด นี่อำนาจแห่งเมตตาธรรมสัตว์ก็ไม่กลัว เต็มวัด ตัวไหนอยากกินเมื่อไรก็มา

ตอนเช้าที่มากเวลานี้ละ หมูนี้เป็นร้อยๆ ไหลลงมา ทางโน้นก็จัดอาหารให้พอเลย พออิ่มแล้วเขาก็ไปเขาไม่มายุ่ง พออิ่มแล้วก็ไหลขึ้นไปเลย นกยูงก็เหมือนกันอิ่มแล้วไปเลยส่วนใหญ่นะ ส่วนย่อยก็อยู่ตามนั้นกินตามนั้น นี่วัดป่าหลวงตาบัวเป็นโรงเลี้ยงสัตว์ ท่านจันทร์ก็พอดีเข้ากันได้กับสัตว์ กับสัตว์ท่านเข้ากันได้ดี เมตตาสัตว์ ก็อยู่ด้วยกันได้สบาย ตกลงก็คงไม่มีแหละไอ้เรื่องภาวนานั้นคงไม่มี มีแต่วนกับสัตว์ตัวนั้นสัตว์ตัวนี้อยู่อย่างนั้นแหละ ก็มันสัตว์เต็มวัด พวกวัวพวกควาย เสือตั้ง ๑๐ ตัวกว่าตัว เสือโคร่งนะ เสือกับสัตว์เหล่านั้นเลยเป็นเพื่อนกัน

ทีแรกพวกวัวพวกควายนี้ร้องโอ้กอ้ากๆ พอเห็นเสือวิ่งเข้าป่าเข้ารก เสือก็ไล่ ไล่ไปก็โดดขึ้นบนหลังวัวหลังควาย ฟังเสียงร้องอ้ากๆ ขึ้น เขาไม่ใช่อะไรนะเขาหยอก เข้าใจไหม เขาไล่กันไป ไล่ควายก็ไล่โดดขึ้นบนหลัง ควายตกลงก็หมอบร้องอ้ากๆ เขาไม่ทำไมนะ คือเขาหยอก เสือหยอกควายนี้ควายมันจะตายมันกลัว หยอกวัวหยอกควาย เสียงร้องอ้ากอี้กๆ ไอ้เสืออยู่บนหลัง มันขบขันดีนะ คือไม่ทำไม แล้วก็ไม่ใช้เล็บ เล็บไม่ใช้ กัดก็ไม่กัด มีแต่หยอกเล่น แต่ควายตั้งแต่เกิดมามันคุ้นเสือเมื่อไรใช่ไหม เพราะฉะนั้นเขาถึงวิ่ง วิ่งเสือก็ไล่ ไล่โดดขึ้นบนหลัง ควายก็หมอบร้องอ้ากๆ โอ๊ย ขบขันดี ตัวหนึ่งเล่นตัวหนึ่งกลัว เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้วนะ ที่ว่านี้ว่าแต่เริ่มแรก เดี๋ยวนี้อยู่ด้วยกันได้แล้ว ไม่ว่าเสือว่าวัวว่าควายอยู่ด้วยกันได้สบายเลย นี่อำนาจเมตตาธรรมไม่มีอะไรกันเลย.ให้พร

(หลวงตาครับ สัตว์นี่มันภาวนาได้ไหมครับ) มันจะภาวนาได้ยังไงตั้งแต่คนยังไม่รู้จักภาวนา จะไปถามเรื่องสัตว์ภาวนาได้ไหม (ผมเคยได้ยินแต่ว่าสัตว์ฟังธรรม) มันอาจมีได้ตามธรรมชาติของสัตว์ ที่จะให้ภาวนาเหมือนอย่างเรานี้ก็เป็นแบบเราไปเสีย สัตว์จิตมันเป็นธรรมอยู่ในนั้นมี คืออุปนิสัยของสัตว์ของคนมีด้วยกัน เวลาเขาเป็นสัตว์เขาก็เป็นตามอำนาจแห่งกรรมเป็นระยะๆ ไป แต่นิสัยของเขามีอยู่ในใจ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคลอย่าประมาทกัน นิสัยวาสนามีอยู่ในหัวใจของทุกตัวสัตว์ตัวบุคคล เวลาเขาผ่านกรรมอันนี้ไปแล้วเขาอาจสูงกว่าเราก็ได้ ว่างั้นนะธรรมท่านสอนไว้ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน แม้เขาเป็นสัตว์ก็อย่าประมาท

หัวใจนั้นไม่มีสัตว์มีบุคคล เป็นธรรมชาติรู้ๆ ฝังความดีงามและบาปกรรมทั้งหลายไว้ที่นั่น ถ้าใครสร้างบาปกรรมนี้ไปแล้วจมลงๆ ถ้าสร้างความดีงามแล้วไปดีดเลย นี่ละคือนิสัยมีอยู่กับใจ เพราะฉะนั้นจึงว่าสัตว์ทั้งหลายท่านห้ามไม่ให้ประมาทกัน เวลานี้เขาเสวยกรรมตามวาระของเขา พอพ้นจากนี้แล้วเขาอาจสูงกว่าเราก็ได้ นี่คำสอนพระพุทธเจ้า สัตว์ทั้งหลายมีนิสัยฝังลึกอยู่ในใจ มีมากมีน้อยเหมือนๆ กัน

พูดอย่างนี้เราก็ไม่ได้พูดง่ายๆ นะ ดูเราพูดสองหนละมั้ง เหตุที่จะได้มาพูดมันเรื่องแปลกประหลาดอัศจรรย์ ไปกับท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ เจ้าคุณอุปัชฌาย์ไปสกลนคร ไปกับรถคันนั้น พอเลยอำเภอหนองหานไป มันสร้างอุปสรรคตลอดรถคันนั้น เราก็นั่งอยู่ข้างใน แต่เรานั่งภาวนาไปละซิ ทีนี้พอไปถึงที่ใดที่หนึ่ง รถมันโปเกมันไปไม่ได้ อันนั้นเสียอันนี้เสีย พอเขาแก้เครื่องอะไรบ้างแล้วไป ไปแล้วก็ติดเรื่อยเป็นเรื่อย เราก็นั่งภาวนา ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจดูอะไร มันควรจะพูดพูดเสียบ้าง ก็มันเป็นอย่างนั้นพูดไม่ได้มีอย่างเหรอ ทีนี้พอไปถึงวาระสุดท้าย ยังไม่ถึงสว่างฯละ รถก็เป็นอย่างนั้นละเรื่อย ไปตามสายทางตั้งแต่หนองหานไปยังไม่ถึงสว่างฯ ระยะนี้ละมันสร้างอุปสรรคมากทีเดียว ไปสักเดี๋ยวติดๆ คือมันไปมันไปไม่ได้ เครื่องนั้นเสียเครื่องนี้เสีย เขาก็ไปตรวจดูๆ

ทีนี้เรานั่งภาวนา ทีแรกไม่ได้สนใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอะไร พอเห็นมันเกิดหนักเข้าๆ มันเลยสะดุดจิตแป๊บหนึ่ง เอ๊ รถคันนี้มันเป็นอะไรนะมันถึงเป็นอย่างนี้ กำหนดจิตออกดูซิ ที่ไหนได้มีบุรุษสี่คน โอ๋ย น่ากลัวมากนะบุรุษนั้นน่ะ แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนยักษ์ทีเดียวไม่ได้เหมือนมนุษย์ มาดักหน้าดักหลังรถคันนั้นอยู่นั้น พอดีกำหนดจิตออกไปก็พอดีกับตาของยักษ์สี่ยักษ์นั่น มาพาดกับใจของเรา กับตาเราว่างั้นเถอะ พอมองเห็นเรานี้พรึบเดียววิ่งหนีหมดเลย ไปเลยนะ ทั้งสี่คนเลย มันมีอย่างนั้นจะให้ว่าไง

ทีแรกไม่สนใจอะไร รถติดก็ติด รถเสียก็เสียไปไม่สนใจ ทีนี้เมื่อมันเสียเข้าๆ เสียเรื่อยๆ มันเป็นอะไรรถคันนี้ เพราะฉะนั้นจึงใช้จิตออกพิจารณา ก็ไปเจอเอาบุรุษสี่คนที่ว่าแต่งตัวเป็นยักษ์ พอตาเขากับตาเรา ตาเราคือหมายตาใจ พอมองเห็นกันปั๊บนี้ โอ๋ย พรึบเดียววิ่งหนีหมดเลย นี้เราก็บอกว่าเอาละทีนี้ไปได้สบาย ตั้งแต่นั้นไม่มีอะไรเลย นี่มันมีอย่างนั้นจะให้ว่าไง (เขามากวนทำไมครับ มีสาเหตุไหมครับ) อันนั้นเราไม่พูดละ เราเอาเฉพาะ.. (เฉพาะวิ่งหนีนะครับ) เอ้อๆ นี่ละมันมีอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก่อนไม่ได้สนใจ ก็ภาวนาธรรมดา แต่เมื่อมันเกิดบ่อยๆ มันเป็นอะไร เลยกำหนดจิตออกดู ก็ไปเจอเอาอย่างว่า เอาละที่นี่นะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก