เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ท่านพูดอายุอย่างนั้นๆ มันก็ไม่เชื่อ
ก่อนจังหัน
พวกที่มาจัดอาหารอะไรๆ ในครัวมันหน้าด้านแล้วนะ พวกที่จัดอยู่ตามกุฏิเหล่านี้ๆ จัดนั้นจัดนี้ ทำนานเข้าๆ มันมาเป็นเจ้าตัวกี้ตัวการเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่ๆ มันจวนจะได้ออกจากวัดแล้วนะ เราดูมานานแล้ว ตัวไหนๆ อยู่ตามแถวนั้นน่ะ ทำเข้าๆ มันหน้าด้านเข้าๆ ไม่ทราบเป็นยังไงกิเลส นานเข้าๆ หน้าด้านเข้าเรื่อย พวกที่มาจัดอาหารอยู่ตามกุฏินั้นกุฏินี้ เช่นอย่างทางกุฏิอาจารย์หมออวย ไปแถวนั้น ระวังให้ดีนะ เราดูอยู่ตลอด ไม่เป็นท่าแล้วไล่หนีจากวัดไม่ให้เข้ามาเลย ของเลอะเทอะอย่าเข้ามา มันเป็นแท้ๆ นะกิเลสนี้เร็วที่สุดเลยมองไม่ทัน พวกที่เข้ามาในวัดในวาทีแรกก็ว่ามาเป็นบุญเป็นกุศล ต่อมามันก็เป็นแบบนี้ รวดเร็วที่สุดนะ โอ๋ย ธรรมต้องจับตลอดไม่งั้นไม่ทัน เหล่านี้ธรรมจับทั้งนั้นที่เอามาพูดนี่ เลอะเทอะพวกนี้น่ะ ให้พร
หลังจังหัน
พุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส ชี้นิ้วเลย ตั้งแต่ต้นจนถึงนิพพาน พุทธศาสนาคือศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นศาสนาที่ชี้แน่วเข้าสู่จุดมุ่งหมายๆ ตลอดเลย นี่เรียกว่าศาสนธรรม คือธรรมมาเป็นคำสั่งสอน ธรรมเป็นศาสนาสั่งสอนสัตว์โลก ทีนี้พลิกปั๊บศาสนกิเลส กิเลสสั่งสอนสัตว์โลก คือผู้เป็นเจ้าของของศาสนาเป็นคลังกิเลส สอนไปก็ต้องสอนเป็นแบบกิเลสๆ เพราะได้รู้เห็นตามกิเลส กิเลสว่าอย่างไรก็เดินไปตามนั้น เป็นศาสนกิเลส ไม่ใช่ศาสนธรรมเหมือนพระพุทธเจ้า นี่ละต่างกันตรงนี้ ทราบว่าเขาจะประมวลศาสนาว่าจะมาลงที่เมืองไทยเราว่าไง (ตอนนี้ศาสนาที่อื่นซบเซาไป มีเมืองไทยรุ่งเรืองอยู่ ปีนี้เขาให้ศูนย์พุทธศาสนาแห่งโลกอยู่ที่เมืองไทย อยู่ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาที่พุทธมณฑลครับ ตอนนี้ฝรั่งกำลังจะตั้งวิชาแผนกพุทธศาสนาขึ้นที่อเมริกา-ฮาร์วาร์ด กลัวไปเจอพวกปริยัติ อาจไม่ได้ของจริงทางพุทธศาสนาแท้ไป)
ถ้าเข้ามาเกี่ยวกับพุทธศาสนาก็จะใกล้ต่อความจริงเข้าไปเรื่อยๆ เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เป็นอื่นเลย จึงชี้นิ้วว่ามีพุทธศาสนาเท่านั้นในโลกนี้ เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร คู่บ้านคู่เมือง ชี้แจงสัตว์โลกให้ก้าวเดินไปตามศาสนาแล้วตั้งแต่พื้นๆ ถึงความพ้นทุกข์ไม่สงสัย คือพุทธศาสนา เพราะเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส ก่อนจะสิ้นกิเลสก็ภาคปฏิบัติเป็นสำคัญ ฟัดกันเต็มเหนี่ยวๆ จนกระทั่งได้ผลเป็นที่พอพระทัยแล้ว นำผลนี้ออกมาสั่งสอนให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ปฏิบัติตาม
พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอกเลย ศาสนธรรม-ศาสนกิเลส กิเลสสอนธรรมมันไม่ได้เรื่อง ธรรมสอนกิเลสถึงได้เรื่อง เอาธรรมมาสอนกิเลส ทรมานกิเลส นี่กิเลสไปสอนธรรมมันไม่ได้เรื่อง อะไรก็ทำตามความบงการของกิเลสก็เป็นกิเลสไปหมด ไม่มีธรรม พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ตายใจได้ พี่น้องทั้งหลายให้ยึดให้เกาะให้ติด พุทธศาสนาเป็นศาสนามีเป็นแถวเป็นแนวมาดั้งเดิม คำว่าพุทธศาสนาไม่มีเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว มีเป็นแถวเป็นแนวมาโดยลำดับ ตั้งแต่หนึ่งถึงล้าน หนึ่งเป็นสอง สองเป็นสามบวกกันถูกต้องโดยลำดับตั้งแต่หนึ่งจนกระทั่งถึงล้าน ไม่ผิดพลาดไปไหนเลย
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ หนึ่งถึงสองถึงล้าน มีแต่พระพุทธเจ้าองค์สิ้นกิเลสๆ นำธรรมมาสอนโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยลำดับทั้งนั้นทีเดียว ไม่ผิด พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว แล้วผู้ที่ดำเนินมาก็ปฏิบัติตามแถวแนวของพระญาณหยั่งทราบอีก พระญาณหยั่งทราบ เช่นอย่างพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันนี้ก็ทรงหยั่งทราบมาเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่อดีตมาโดยลำดับ ไปข้างหน้าก็หยั่งทราบไปเรื่อยๆ ว่าเป็นแถวเป็นแนว
เรื่องพระญาณหยั่งทราบนี้เป็นความจริงคืออนาคตังสญาณ หยั่งทราบไปข้างหน้า เช่นอย่างพระอริยเมตไตรย จากพระพุทธเจ้าของเรานี้ไปแล้วก็พระอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นศาสดาองค์หนึ่งขึ้นมา ท่านทรงบำเพ็ญอยู่ที่นั่นๆ เป็นเวลาเท่านั้นวัน แล้วตรัสรู้ขึ้นมา นี่ท่านก็ชี้แจงไว้ตามแถวแนวของพระญาณหยั่งทราบ แห่งพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันนี้ ถ้าหากว่าเราจะไม่เป็นที่แน่ใจ ก็ให้เอาหลักปัจจุบันที่ท่านสอนไว้นี้มาปฏิบัติแล้วมันจะหยั่งถึงอดีต-อนาคตไปได้ทั้งนั้น เพราะถูกต้องในหลักปัจจุบันแล้วจะกระจายไปทางไหนถูกต้องทั้งนั้น ถ้าปัจจุบันพาให้ผิดผิดไปหมด
พระพุทธเจ้าที่ว่าพระอริยเมตไตรยนี้ เสด็จออกทรงผนวชได้ ๗ วัน ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วย ครองราชสมบัติอยู่สี่หมื่นปี ออกจากสี่หมื่นปีแล้วเสด็จออกทรงผนวช ได้อีกสี่หมื่นปีแล้วปรินิพพาน ท่านแสดงไว้อย่างนั้น ที่ว่าเท่านั้นปีเท่านี้ปีโลกปัจจุบันอายุเพียงเท่านี้ แล้วท่านพูดอายุอย่างนั้นๆ มันก็ไม่เชื่อจะว่าไง ปัจจุบันนี้มันก็ไม่เชื่อ แต่เรื่องราวมันก็มีเป็นความจริงอย่างนั้น เช่น วินาทีมี นาทีมี ชั่วโมงมี เข้าใจไหม วันเดือนปีมี เป็นกัปเป็นกัลป์มี ยืดออกไปโดยลำดับๆ
อันนี้ก็แบบเดียวกัน อายุยืนเท่าไรๆ ควรจะเป็นยังไงพระองค์ทรงเล็งตามนั้น แถวแนวของสัตว์โลกเป็นอย่างไรอายุถึงได้สั้นเอานักหนาท่านก็แสดงไว้ เพราะมีแต่ความโหดร้ายทารุณ บีบบี้สีไฟ กินกันกลืนกันเหมือนยักษ์เหมือนผี ชีวิตจิตใจก็หดสั้นเข้ามาๆ ทีนี้พอจะหมดมนุษย์เสียจริงๆ ก็มาเห็นโทษเห็นภัยจับมือกันด้วยความสนิทสนมซึ่งกันและกัน เห็นโทษแห่งการทำลายกัน และเห็นคุณค่าแห่งการให้อภัยซึ่งกันและกัน แล้วก็ขยายจิตใจกว้างขวางออกไป ชีวิตจิตใจก็ค่อยเบิกกว้างออกไปๆ แล้วก็ ยืดยาวไปๆ ที่ท่านแสดงไว้ท่านมีเหตุมีผล ไม่ใช่แสดงเฉยๆ
นี่ท่านก็บอกไว้แล้ว พระองค์เองก็บอกว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพระชนมายุยืนนานทั้งนั้น ก็มีแต่เราคนเดียวอายุเพียง ๘๐ ปี แน่ะท่านก็บอกไว้แล้วอย่างนั้น พอถึง ๘๐ ปีแล้วเสด็จไปตายเลย เห็นไหมล่ะ นี่พระญาณหยั่งทราบ พิจารณาเอาซิ แน่หรือไม่แน่ ถึงวันเวลาแล้วเสด็จไปเลย พอไปถึงสวนมัลลกษัตริย์ เสด็จเข้าไปที่นั่น บอกว่าจะมาตายที่นี่ ว่าเลย นั่นเห็นไหม นั่นละพระญาณหยั่งทราบมาตลอดเลย จะมาตายที่นี่ ก็เสด็จไปธรรมดาเรานี้แหละ จะมาตายที่นี่ แล้วก็ไปตายที่นั่นจริงๆ ผิดไหมล่ะ นี่พระญาณหยั่งทราบ
ทรงปลงพระชนมายุจากนี้ไปสามเดือนเราจะปรินิพพาน เราจะตาย ตั้งแต่วันมาฆบูชา เดือนสามเพ็ญถึงเดือนหกเพ็ญเป็นวันปรินิพพาน ทรงปลงพระชนมายุฟ้าดินถล่มไปแล้วนั่นจะว่าไง คำพูดของพระพุทธเจ้าผิดที่ตรงไหน พอถึงวันแล้วก็เสด็จไปเลย ไปถึงก็บอกว่าจะมาตายที่นี่ แล้วถึงเวลาก็ตายที่นั่น นี่ละคำสอนของพระพุทธเจ้าของเราแน่นอนมาโดยลำดับ จะไม่ควรเชื่อถือได้อย่างไร ไม่ว่าเรื่องของพระองค์โดยเฉพาะก็ถูกต้องมาโดยลำดับ ตั้งแต่ทรงปลงพระชนมายุก็บอกแล้ว ว่าจากนี้ไปอีกสามเดือนเราจะตาย พอถึงวันนั้นแล้วก็เสด็จไปเลย ไปก็เข้าสวนมัลลกษัตริย์ บอกว่าจะมาตายที่นี่ แล้วก็ไปตายที่นั่นจริงๆ ผิดไหมล่ะ นี่ละพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า เป็นมาโดยลำดับ
สอนโลกด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง โลกวิทู รู้แจ้งโลกจริงๆ ไม่ได้สอนสุ่มสี่สุ่มห้า เป็นแถวเป็นแนวที่ถูกต้องดีงามมาโดยลำดับตั้งแต่พื้นถึงนิพพาน สอนโดยถูกต้องทั้งนั้น แล้วศาสนาไหนสอนอย่างนี้ เอา..พิจารณาซิ ทีนี้มาพูดถึงเรื่องภาคปฏิบัติอีก ใครจะว่าบ้าก็ให้ว่าไป มันเป็นอยู่ในหัวใจจะว่าไง ถึงวาระที่มันเป็นโรคที่เขาตายกันเกลื่อนนั้นเราก็มาเป็นขึ้นในปัจจุบันนี้ เป็นห่วงเป็นใยเรื่องตายยังไม่อยากตาย แน่ะ แต่ก่อนไม่เคยสนใจกับเรื่องความตาย กล้าหาญชาญชัยเป็นอริยสัจเหมือนกันหมด
พอถึงวันที่โรคภัยเป็นเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงเข้ามา ก็มาโดนเราอยู่ในป่าช้านี่ เป็นแบบเดียวกันอย่างรวดเร็วด้วย อ้าว แล้วทำอย่างไรนี่ มันจะตายแล้ว มองดูจิต ความละเอียดยกให้เลยว่าละเอียดสุดแต่ยังไม่สิ้นกิเลสมันก็รู้ชัดๆ อยู่อย่างนี้จะให้ว่าไง อ้าว นี่เราก็จะตายเสียเดี๋ยวนี้จะตกค้างแล้วนี่น่ะ ตกค้างวันหนึ่งคืนหนึ่งไม่อยากค้าง ถ้าสิ้นกิเลสเสียเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ นั่นเห็นไหมในใจ มันเป็นของมันอยู่ในนั้น นี่เรายังไม่สิ้น ละเอียดก็ยอมรับว่าละเอียดแต่ยังไม่สิ้นจึงยังไม่อยากตาย ถ้าตายนี้จะไปค้างตรงนั้นๆ มันรู้หมดแล้วนะที่จะไปค้างตรงไหน
พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ภาคปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ทรงพระนามว่าศาสดาองค์เอก ท่านก็ทรงพุทธวิสัยของท่าน ไอ้เราตัวเท่าหนูก็เป็นวิสัยของหนูมันก็รู้เต็มภูมิของหนู จะให้ว่าไง ตายนี่มันจะค้าง จึงยังไม่อยากตาย ฟังซิน่ะ ถ้าตายนี่ค้าง ค้างวันหนึ่งก็ไม่อยากค้าง ถ้าสิ้นกิเลสเสียเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ แน่ะมันเป็นขึ้นในใจนะ เลยคาราคาซังระหว่างความตายกับความเป็นอยู่รบกัน สักเดี๋ยวอริยสัจใหญ่ขึ้นมา อ้าว ท่านมายุ่งอะไรกับความเป็นความตายล่ะ นี่ก็เป็นอริยสัจแล้ว ท่านก็เคยผ่านมาแล้วไม่ใช่เหรอ คือเรานั่งหามรุ่งหามค่ำฟัดกับกิเลส ท่านผ่านข้าศึกสงครามเหล่านี้มาแล้วมิใช่หรือท่านมาหวั่นหาอะไร ว่าอย่างนั้นนะ อริยสัจอยู่กับท่าน พิจารณาให้เห็นอริยสัจซิ กิเลสจะสิ้นก็สิ้นเพราะอริยสัจ ไม่ได้สิ้นเพราะอะไร
มันก็หมันกลับปุ๊บเลยทันที มาก็ฟัดกันเลยกับกิเลส ที่ว่าจะเป็นจะตายเมื่อไรไม่สนใจ ซัดกันเลยกับที่มันเป็นหอกเป็นหลาวทิ่มแทงนี้ มันแยกทุกข์ แยกเวทนา แยกกาย แยกเวทนา แยกจิต แยกธรรม อยู่ภายในนี้ ฟาดเสียนี้ขาดสะบั้นลงไป กลางคืนหกทุ่มเป๋งจ้าขึ้นมาเลย ไม่ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ มันก็เป็นอย่างนั้น ทีแรกห่วงใยความตาย เพราะตอนนั้นมันจะค้าง รู้อยู่อย่างนั้นจะให้ว่าไง นี่คุยหรือไม่คุยก็มันเป็นอยู่ในจิต นี่ค้าง ถึงจะละเอียดขนาดไหนก็ยังค้าง ไม่อยากค้าง ถ้าสิ้นเสียเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้ได้เลย ก็ฟัดกัน พอเรื่องเหล่านี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่ตาย ไม่กลัว ก็เป็นอย่างนั้น
เวลามันค้างมันก็รู้กันอยู่อย่างนี้ ละเอียดขนาดไหนมันก็ยังอยู่ ยังต้องค้างๆ พอมันสิ้นปุ๊บลงไปแล้วทีนี้ไม่มีปัญหา นี่ก็พูดให้ฟังแล้ววาระสุดท้าย พอกิเลสมันขาดสะบั้นลงไปแล้วทีนี้ห่วงอะไร หมด สามแดนโลกธาตุปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ สุญฺญโต โลกํ โลกนี้เป็นโลกว่างเปล่าไปหมด โลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่เพียงแค่นี้ ส่วนนิพพานไม่มีไตรลักษณ์ เข้าไม่ถึง รู้แล้วนั่น นั่นละนิพพาน ท่านว่านิพพานเที่ยง มันก็เห็นทั้งสองแล้วหายสงสัย
นี่ละการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าถูกต้องโดยลำดับลำดามา ขอให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติ ภาคปฏิบัติคือจิตตภาวนาเป็นภาคสำคัญมากทีเดียว แกะรอยจิตทีเดียว มันไปยังไงๆ แกะรอยไปโดยลำดับ คือจิตตภาวนา ละเอียดขนาดไหนๆ สติปัญญานี้จะละเอียดตามกันๆ ติดตามกันไปเลย จนกระทั่งมีอะไรอยู่ภายในจิตที่เป็นเสี้ยนเป็นหนามต่อจิตใจจะพาให้เกิดให้ตายหาบหามกองทุกข์ต่อไปนี้ ฟาดให้ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วหมด กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีในจิตดวงบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว เรียกว่านิพพานเที่ยงหรือธรรมธาตุ มันก็รู้ขึ้นภายในใจทันทีเลยจะว่าไง ธรรมพระพุทธเจ้าแน่นอนขนาดนี้ละ ขอให้ท่านทั้งหลายไปปฏิบัติเถอะ อย่ามาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่นี้นะ ให้ตั้งใจปฏิบัติ
เรื่องกิเลสมันรวดเร็วนะ มันยึดอำนาจทันทีๆ เลย เรื่องธรรมนี้หมอบๆ กิเลสมันยึดอำนาจ มันรวดเร็วมาก เอาธรรมเป็นอำนาจฟาดกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไป ไม่มีอะไรมาเผยอเย่อหยิ่งอีกแล้วหมด นั่น กิเลสหมดเสียอย่างเดียวความพองตัวไม่มี หมด ความกล้าไม่มีความกลัวไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละการปฏิบัติธรรม ภาคจิตตภาวนาเป็นภาคสำคัญมาก เป็นภาคที่แกะรอยจิตโดยเฉพาะๆ ด้วยสติปัญญา มหาสติมหาปัญญา ตามเข้าไปๆ สิ้นสุดกันลงจุดที่ว่ามหาสติมหาปัญญา สติปัญญาอัตโนมัติก็แกะรอยไปแล้วๆ พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญานี้แล้วยิ่งละเอียดสุดยอด เข้ากันได้กับจิตที่ละเอียดสุดยอด กิเลสละเอียดสุดยอดตามกันไปๆ
พอกิเลสละเอียดสุดยอดขาดสะบั้นลงไป ด้วยมหาสติมหาปัญญาที่ละเอียดสุดยอดเช่นเดียวกัน ขาดลงไปเรียบร้อยแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่ต้องไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายประกาศป้างขึ้นมา ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน มันก็จ้าเป็นแบบเดียวกัน นี่ก็เคยพูดให้ฟังแล้ว ข้อเปรียบเทียบนี้เป็นที่แน่ใจหรือไม่แน่ใจ เราเคยยกมากี่ครั้งกี่หนแล้ว เทียบกับว่าแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง เดิมไม่ใช่เป็นแม่น้ำมหาสมุทรนะ แม่น้ำทั้งหลายไหลมาจากสายต่างๆ ไหลเข้ามาๆ รวมเข้ามาจนกลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง สายต่างๆ หมดปัญหาเมื่อน้ำเข้าสู่มหาสมุทรแล้ว จิตนี้เมื่อหมดสมมุติโดยประการทั้งปวงจากการบำเพ็ญบารมีของแต่ละรายๆ จนกระทั่งถึงที่สุดจิตทะลุเข้าถึงวิมุตติแล้ว เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด แล้วถามหาพระพุทธเจ้าทำไม ลงจุดนี้ละนะ ถามหาท่านอะไร
เป็นในจิตของผู้เป็นเองนะ ไม่ต้องไปถามหาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่ถามหาพระพุทธเจ้าแหละ เหมือนกับแม่น้ำมหาสมุทรไม่ถามหากัน ถามหากันอะไรก็เป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันแล้ว ถามหากันเพื่ออะไร อันนี้จิตเมื่อเข้าถึงวิมุตตินิพพานอันเดียวกันแล้ว ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร มันก็หมดปัญหาไปตามๆ กัน เมื่อเข้าถึงขั้นตายตัวเป็นอย่างนั้นไม่ต้องถามใครเลย พากันจำนะ ปฏิบัติให้ดีทุกคนๆ
นี้สอนอย่างแม่นยำไม่ได้ผิดได้พลาด การสอนนี้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ที่ว่านี่ไม่ได้มาโอ้มาอวด ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นขึ้นมา แต่ก่อนก็ไม่เคยเป็น ก็จะเอาอะไรมาพูดเมื่อไม่เคยเป็น เป็นแค่ใดขั้นใดก็พูดมาตามลำดับลำดาที่รู้ที่เห็นที่เป็นขึ้นมา พอถึงขั้นสุดขีดสุดแดนแล้วก็พูดได้เต็มที่เต็มฐานอย่างนี้ละ
จิตดวงนี้ละที่ว่าธรรมธาตุๆ จิตดวงนี้ไม่เคยตายไม่เคยฉิบหาย ที่ใครงูๆ ปลาๆ บอกว่าตายแล้วสูญ พวกนี้พวกจะจมตลอด จิตนี้ไม่เคยสูญ ตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่นานสักเท่าไรยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่มีคำว่าจะยอมรับความฉิบหาย จิตดวงนี้ไม่เคยฉิบหาย ทุกข์ขนาดไหนยอมรับ แต่อยู่ในกฎอนิจจังของโลกสมมุตินี้มันมีการเปลี่ยนแปลงได้ ตกนรกหมกไหม้อยู่กี่กัปกี่กัลป์ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนช้าเปลี่ยนเร็วเปลี่ยนมา จนกระทั่งพ้นจากนั้นขึ้นมาพลิกตัวเป็นคนดี ปฏิบัติตัวจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานเป็นธรรมธาตุได้จิตดวงนี้ จิตดวงที่เคยจมอยู่ในนรกอเวจีนี้ มันไม่ได้สูญนะ ผ่านจากนั้นขึ้นมาแล้วถึงนิพพานเป็นธรรมธาตุ สูญไปไหนล่ะ ให้มันเห็นชัดๆ อย่างนั้นซิ
จิตนี้ไม่เคยสูญ พอถึงขั้นนั้นแล้วก็เรียกว่าธรรมธาตุหรือว่านิพพานเที่ยง พูดได้เท่านั้น เลยนั้นไม่มีทางพูดแหละ ให้มันเป็นขึ้นในใจเถอะ ธรรมะเป็นอันเดียวกัน หัวใจนี้เป็นใจที่ควรแก่ธรรม ควรแก่สุขแก่ทุกข์ มีอะไรมารวมอยู่ที่ใจหมด ความสุขความทุกข์มากน้อยมีทั่วแดนโลกธาตุจะมารวมอยู่ที่ใจ ใจเป็นภาชนะอันใหญ่หลวงที่จะรวมทั้งสุขทั้งทุกข์ เวลาสร้างความดีงามเต็มที่แล้ว รวมบรมสุขเข้าตรงนั้นหมดเลย เรียกว่าอมตะมหานิพพาน หรือธรรมธาตุ หมดโดยสิ้นเชิง เรื่องสมมุติทั้งมวลไม่มีแล้วทุกข์จะมีมาจากไหน หมด เอาละวันนี้ เพียงเท่านั้นละ ก็ควรที่จะปฏิบัติได้แล้ว
พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าไม่มีใครทราบได้เลยนะ บาปบุญไม่สูญ สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาตายแล้วพัง ร่างกายก็พังสิ่งเหล่านั้นก็พัง ไม่มีการติดตามไป แต่บุญกับบาปติดกับจิต นี่ศาสดาองค์เอกสอนไว้ เพราะฉะนั้นจึงให้พากันระวังบาป ให้สร้างความดีให้มากมูนขึ้นไป บาปเป็นของชำระได้ด้วยความดีงาม เหมือนน้ำที่สะอาดชำระล้างบาปที่เป็นของสกปรก ด้วยน้ำคือความดีงามทั้งหลาย สะอาดสุดยอดแล้วนิพพานเที่ยง เข้าใจแล้วเหรอ เอาละพอ จะให้พร
(เขามาขอให้ช่วยเกี่ยวกับสร้างมณฑป ที่วัดพุทไธยสวรรค์) หายุ่งตั้งแต่วัตถุ สร้างหัวใจให้มันจ้าขึ้นมาซิไม่ต้องสร้างอะไร อ้าว จริงๆ นะ เพราะฉะนั้นในวัดนี้เราเดี๋ยวนี้ได้ออกไปเรื่อยนะ พอเย็นๆ ได้ออกไปดูวัตถุต่างๆ แล้วก็สั่งกำชับกำชากับ ต.ช.ด. ต.ช.ด. เป็นคนดูแล วัตถุนั้นวัตถุนี้ขนเข้ามาในวัดป่าบ้านตาด แล้วมาอยู่ที่ศาลาใหญ่กองพะเนินเทินทึก เราไปเห็น นี่เขาไม่ได้บอกเรานะ เราเป็นเจ้าอาวาสรับผิดชอบในวัด เวลาเขาเอามาเขาไม่ได้มาบอก เขามาทิ้งตูมแล้วไปเลย ทิ้งตูมไป มาแล้วก็ติดต่อกับ ต.ช.ด. ให้สืบถามเรื่องราว มาจากไหน ใครเอามา ให้ติดตามให้กลับมาเอาไป เข้าใจไหม ต้องอย่างนั้น ให้ขนออกไปให้หมด
ใครก็ตามมานี้ถ้าเรายังไม่ได้อนุญาตแล้ว เอามาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เราให้เอาคืนหมดเลย เราเป็นผู้รับผิดชอบในวัดนี้ เข้าใจหรือวัตถุ ไปที่ไหนมีแต่วัตถุ หัวใจมันจมอยู่ในส้วมในถานหาความเจริญที่ไหนมี ทำใจให้สว่างกระจ่างแจ้งเป็นลำดับอยู่ไหนจ้าเลยตลอดเวลา นี่ละจิตใจที่ว่างไปหมดแล้วไม่ได้ตีบตันอั้นตู้ด้วยวัตถุต่างๆ ที่มาทับทมวัดวาอาวาส สถานที่อยู่ของพระของเณรมีแต่วัตถุ กราบวัตถุนั้นกราบวัตถุนี้ยุ่งไปหมด หัวใจไม่ดู ฟาดตัวนี้ให้กระจ่างขึ้นมาแล้วอยู่ไหนสบายหมด ฟังให้ดีท่านทั้งหลาย นี่พูดออกมาจากหัวใจที่จ้าอยู่แล้วนะ พูดอย่างนี้พูดจากหัวใจที่จ้าอยู่แล้ว ไม่ได้มาพูดเฉยๆ ไม่อวด เวลาไม่รู้ก็บอกไม่รู้ เวลารู้แล้วจะให้ว่าไง ก็บอกว่ารู้แล้ว วัตถุอะไรเหล่านี้เป็นเหมือนส้วมเหมือนถาน ธรรมชาตินี้จ้าอยู่ทองคำทั้งแท่ง เอาอันนี้ให้ได้เสีย บังคับตัวนี้ให้ได้ กิเลสตัณหาเป็นส้วมเป็นถานปกคลุมหุ้มห่อทองคำทั้งแท่ง คือธรรมแท้ที่อยู่ในหัวใจนั้นไม่ให้มองเห็น เอาตรงนั้นนะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |