ไม่มีวาสนายังไงก็ไม่พบ
วันที่ 31 สิงหาคม 2549 เวลา 8:15 น. ความยาว 42.32 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ไม่มีวาสนายังไงก็ไม่พบ

ก่อนจังหัน

เราเห็นพี่น้องทั้งหลายเข้าวัดเข้าวา จิตใจเป็นกุศลๆ จิตใจสำคัญมาก เราพอใจนะ เห็นเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล ทำบุญให้ทาน นี้มีนิสัยของมนุษย์ที่มีความฉลาดกว่าสัตว์ สัตว์เขาไม่รู้ละเรื่องเหล่านี้แต่มนุษย์รู้ แต่มนุษย์ที่หนาที่สุดแล้วไม่รู้ ยังดูถูกเหยียดหยามอีก ผู้เข้าวัดเข้าวาเลยหลบๆ ซ่อนๆ เข้าไปนะ พวกกิเลสมันออกหน้าออกตาออกตีตลาด กองมูตรกองคูถนั่นละกองกิเลส มันยกตัวมันเป็นทองคำโอ่อ่าฟู่ฟ่า ถ้าไปวัดไปวาต้องหมอบๆ ลอบๆ คลานๆ ไป

นี่กิเลสมีอำนาจมากมันเหยียบหัวจิตใจของสัตว์โลก ความทุกข์ก็เหยียบลงไปตรงนั้น พูดให้มันถนัดนะ มันเป็นอยู่ในหัวใจนี้ พูดให้ชัดๆ มันจวนจะตาย พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังผลแห่งการปฏิบัติธรรม หัวใจเรานี้จ้าครอบโลกธาตุ มาพูดเหล่านี้มาพูดเล่นๆ เหรอ แทบเป็นแทบตายปฏิบัติมา เฉียดสลบไสล ผลได้มาเป็นที่พอใจ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง เอาไปปฏิบัติบ้างซิ

มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มหัวใจ จากนั้นก็กิริยามารยาทเป็นกิริยาของส้วมของถานสกปรกรกรุงรังดูไม่ได้นะ มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้นความสกปรกโสมมเต็มมนุษย์ เรื่องศีลเรื่องธรรมที่จะให้สะอาดสะอ้านภายในหัวใจของมนุษย์เรานี้ไม่ค่อยมีนะเวลานี้ เก่งไหมกิเลส ดูหัวใจเจ้าของอย่าไปดูหัวใจคนอื่น มันเก่งหรือไม่เก่ง ถ้ามันเก่งมันก็ครองมูตรคูถยกเป็นทองคำขึ้นมา ทองคำเหยียบลงไปคือศีลธรรมถูกเหยียบถูกย่ำทำลาย โอ๊ย เราพูดแล้วสลดสังเวชนะ

ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอสุดยอด โลกทั้งสามใครจะมาเป็นศาสดาสอนโลกได้ด้วยธรรมที่เลิศเลออย่างนี้ไม่มี มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวนี้เท่านั้น กระจายออกไปก็เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์สาวกได้ศึกษาอบรมกับพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตนจนได้หลุดพ้นจากทุกข์ แล้วก็มาเป็นสรณะของโลกต่อกันมาโดยลำดับอย่างนี้

ให้พี่น้องทั้งหลายดูศีลดูธรรมนะ อย่าไปดูตั้งแต่กิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มบ้านเต็มเมืองวิเศษวิโสอะไร ขอให้ธรรมะเต็มหัวใจเถอะน่ะ ไปที่ไหนเย็นไปหมด สง่างามไปหมด งามอยู่ภายในใจ สำคัญมากนะเรื่องธรรม ไม่มีใครมอง มีตั้งแต่เรื่องกิเลสตัณหายกตนโพนตัวขึ้นไป แล้วเหยียบย่ำทำลายธรรมลง แทบจะไม่มีธรรมติดหัวใจมนุษย์นะเวลานี้

นี้จวนจะตายเท่าไรเปิดออกมาๆ มันจ้าอยู่ที่หัวใจนี้น่ะ ท่านทั้งหลายว่าเราคุยเหรอเราโม้เหรอ พระพุทธเจ้าสอนโลกท่านโม้เหรอ ใครโม้ หรือว่าพระพุทธเจ้าโม้เหรอ พิจารณาซิ ตรัสรู้ขึ้นมาออกจากกองมูตรกองคูถ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา คือกองมูตรกองคูถ พ้นขึ้นมาเป็นธรรมทั้งแท่งสั่งสอนสัตว์โลก พระพุทธเจ้าโม้เหรอ นี่ก็นำธรรมพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เฉียดสลบไสลๆ การปฏิบัติธรรมมา ความทุกข์ในชีวิตของเรานี้คือความทุกข์ในการฆ่ากิเลสในหัวใจของเรานี้แหละ ทุกข์มากที่สุดทีเดียว

เป็นฆราวาสญาติโยมก็ทุกข์เหมือนโลกเขาทุกข์กัน แต่ไม่เคยสละเป็นสละตาย มันยากลำบากทำไม่เสร็จทิ้งไว้ วันหลังทำต่อไปก็ได้ แต่ฟัดกับกิเลสนี้ กิเลสไม่ตายเราต้องตาย ขั้นอย่างนี้มี ต้องเอากันขนาดนั้น เอา กิเลสในหัวใจเราไม่ตายเราต้องตาย ด้วยความเป็นนักต่อสู้ นี่ละที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ผลที่เกิดมาจากการต่อสู้ด้วยความตะเกียกตะกายเฉียดสลบไสลมันจ้าขึ้นมาที่หัวใจไม่ให้พูดได้ยังไง มันอยู่ที่หัวใจนี้ ธรรมมีหรือไม่มี

ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เต็มหัวใจ มีหรือไม่มี ดูเอาหัวใจแต่ละคน สิ่งที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นธรรมทั้งแท่งขึ้นมาในหัวใจขอให้มีเถอะน่ะ พูดได้อย่างเต็มปาก โฮ้ เราจวนจะตายแล้ว แทนที่จะมาคิดถึงเรื่องชีวิตจิตใจของตัวเองไม่คิด บอกตรงๆ เราไม่คิด เราพอทุกอย่างแล้ว สร้างความดีมานี้หาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ตายนี้จะไปเกิดไหน เวลานี้เป็นยังไง ก็จ้าอยู่อย่างนี้จะไปเกิดที่ไหน ก็ตัวเดียวนี้ตัวธรรมชาติที่เลิศเลออยู่ในหัวใจ เวลาเลวก็เลวอยู่ที่หัวใจ ตายจะไปเกิดที่ไหน ตัวเลวนี้พาให้ไปเกิด ได้รับความทุกข์ความทรมาน ผู้สร้างความดีงามก็ความดีนี้ละพาให้ไปเกิด ถ้าพ้นจากกิเลสแล้วไม่เกิด พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่เกิด

ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ วันนี้เป็นวันพระ ให้เป็นวันพระบ้างเถอะ วันไหนก็มีแต่วันญาติวันโยมวันยุ่งไปหมด เลยไม่มีวันพระวันศีลวันธรรม เราเห็นพี่น้องทั้งหลายเข้าวัดเข้าวาเพื่ออรรถเพื่อธรรมเราพอใจ นี่คือทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ ไอ้ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่ใช่ทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ มันเพื่อลงนรกอเวจีนั่นละ สุดยอดของกองทุกข์ที่คนลืมตัว ให้พร

หลังจังหัน

ไปบุ่งคล้าเมื่อวานนี้ ไกลนะ ๒๔๖ กิโล เลยบึงกาฬไปอีก ไกลขนาดนั้นเราก็ไป เมตตาสงสาร ทุกข์จนโรงพยาบาลอยู่ที่ลึกๆ ลับๆ หมอและพยาบาลก็หนักใจมากเหมือนกัน คนไข้ไหลเข้าไปเรื่อยๆ หาสิ่งที่เยียวยารักษาก็จะไม่มี ธาตุขันธ์อาหารการกินก็จะไม่มี เพราะฉะน้นเราจึงต้องไป ถ้าวันราชการนี้อยากว่าทุกวันไปเลย จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ ห้าวันนี้ วันนี้ไปโรงนั้น วันนั้นไปโรงนั้นๆ อย่างนั้นละ เดี๋ยวนี้ได้มอบปัจจัยให้โรงละสองหมื่นๆ เดี๋ยวนี้นะ แต่ก่อนให้แต่สิ่งของ ขนไปเต็มรถให้เลย แล้วถามดูรายจับรายจ่ายของเขาเอามาพิจารณา เลยตอบรับกัน จึงมอบเงินให้เขาโรงละสองหมื่น ถามเขาว่าเดือนหนึ่งนี้จ่ายหมดมากเท่าไร หมายถึงโรงพยาบาลอำเภอ ส่วนมากมีแต่หมื่นขึ้นไป อยู่ลึกๆ ลับๆ นะ

หมื่นสองหมื่น สองหมื่นกว่า เราถามเขา นั่นละเอามาคิดเฉลี่ย เลยตกลงให้เขาเดือนละสองหมื่นๆ ไปเลย สูงต่ำบ้างก็ไม่เป็นไร เราให้เดือนละสองหมื่น ไปโรงไหนให้ สงสาร เราไปดูโรงพยาบาลตั้งแต่เริ่มแรกที่จะก้าวเดินเพื่อโรงพยาบาลนี้ เราไปดูในครัวคนไข้เลยเทียว เข้าไปในครัวคนไข้ ไปดูซอกแซกขนาดนั้น ออกมาแล้วจึงได้มาพิจารณาแก้ไขดัดแปลงตรงไหนๆ ไปดูครัวคนไข้มีขาดเหลืออะไรๆ

เมื่อวานนี้ไปบุ่งคล้า จากบึงกาฬไปดูเหมือน ๔๓ กิโลถึงโรงพยาบาล ไกลนะจะถึงบ้านแพง จวนถึงบ้านแพง ไปทางหนองคายทางมันอ้อม ถ้าตัดไปทางสว่างแดนดิน เจริญศิลป์รู้สึกจะใกล้กว่ากันนิดเดียว ไปทางโน้นอ้อมแต่รถวิ่งสะดวก บึ่งเลย เราดูเข็มไมล์บางที ๑๔๐ ก็มี นี่หมายถึงขากลับมา ขาไปส่วนมากประมาณ ๑๓๐ มีบ้างถ้าทางดีๆ รถเรามันหนัก เราได้สั่งไว้แล้วว่ารถหนักนี้อย่าไปเร็วนัก บางทีถึง ๑๓๐ ก็มีแต่ทางดี ถ้าขากลับมาถึง ๑๔๐ จากนู้นมานี้ อุตส่าห์พยายามช่วยเหลือโลก

เพราะฉะนั้นเราถึงพูดได้เต็มปากทุกอย่าง ไม่ว่าจะแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวเด็ดขาดขนาดไหนเป็นไปด้วยธรรมทั้งนั้น เราไม่ได้เป็นไปด้วยความโมโหโทโสความเคียดความแค้นให้คนน้นคนนี้ ไม่พอใจดุด่าให้เขาอย่างนี้เราไม่มี กิริยาอาการนี้เหมือนดุด่าว่ากล่าว แต่เป็นเรื่องของธรรมภายใน ไม่มีกิเลสตัวดุตัวด่าตัวเคียดตัวแค้นในใจเรา มีแต่ธรรมล้วนๆ ดุอย่างนี้ก็ตีเข้าหาช่องถูกต้องดีงาม เช่นอย่างตอนเย็นๆ หลั่งไหลเข้ามาในวัด เข้ามาเที่ยวเฉยๆ  อย่างนี้ละที่เราดุเอา ๕ โมงแล้วยังเข้ามา ยั้วเยี้ยๆ เข้ามา เขาเคยไปเที่ยวดูวัดนั้นวัดนี้ ส่วนมากไปดูอย่างโก้ๆ เก๋ๆ โอ่ๆ อ่าๆ ที่จะไปดูเพื่อเป็นศีลเป็นธรรมมีน้อยมากคนไปวัด

วัดนี้ไม่ใช่วัดจะมาทดลองเครื่องนะเราบอก สำหรับวัดป่าบ้านตาดไม่ใช่วัดสำหรับทดลองเครื่อง มาดีไม่ดีหลงทิศไปนะ บอกตรงๆ เอาจริงๆ เรา ก็การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมที่ถูกต้องดีงามมานี้ เราปฏิบัติมาเป็นประจำอย่างเข้มงวดกวดขัน แล้วมาเพ่นๆ พ่านๆ ได้เหรอ จะมาดูพระปฏิบัติยังไง จะมาให้คะแนนพระตัดคะแนนพระ มันได้ความวิเศษวิโสอะไรมาให้คะแนนพระตัดคะแนนพระ มองดูมันก็ขวางตามาแล้วตั้งแต่ก้าวเข้าวัด ดูซิน่ะ ท่านรักษาอยู่แล้ว สิ่งที่ท่านรักษาเลิศเลอกว่าตัวของเขาเองเป็นไหนๆ

มานี่ถ้าเป็นเราแล้วไล่ออก ถามเหตุถามผลก่อน มาอะไรจนหมดเวล่ำเวลาแล้ว ห้าโมงแล้ว มาธุระอะไร ตอบยากๆ แสดงว่ามาเก้งๆ ก้างๆ มาดู ถ้ามีธุระก็บอกว่ามาธุระนั้นธุระนี้ก็ฟังได้อย่างชัดเจน เพราะการถามนี่ถามหาเหตุหาผล ถ้ามีเหตุมีผล เอ้า มา เข้าใจไหมล่ะ ถ้าไม่มีเหตุมีผลไล่ออกเลย ธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ว่าสุ่มสี่สุ่มห้านะธรรม มาอย่างมีเหตุมีผล บางทีเราไปตอนเย็นไปเจอที่ประตู คือเป็นเวลาที่คนหมดเวลาแล้วที่เขาจะเข้าวัดเข้าวา เราก็เริ่มออกมาจากในกุฏิ ออกมาดู ถ้าออกมากลางวี่กลางวันก็เป็นเวลาของเขา เราไม่ควรออกมา ให้เขามาตามประสาของเขาเราไม่ออก จนกระทั่งเย็นคนจะหมดไปแล้ว ออกมาละที่นี่ มารายไหนเพ่นๆ พ่านๆ เอาละที่นี่ ถามหาเหตุหาผลไม่ได้หลักได้เกณฑ์ดุด้วยไล่ด้วย เราไม่ได้เหมือนใคร

ในสามโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับสิ่งใดนอกจากธรรมอย่างเดียว เรื่องธรรมนี้เรากราบไหว้สุดหัวใจเรา สิ่งเหล่านั้นเราไม่กราบไหว้ ที่เพ่นๆ พ่านๆ มีแต่กองมูตรกองคูถจะไปกราบไหว้มันได้ยังไง มีแต่ไล่ออกจากวัด มันจะมาเป็นมูตรเป็นคูถโปะวัด เป็นวัดมูตรวัดคูถเสียทั้งหมดนั่นละ มาไม่มีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ มาเที่ยวเพ่นๆ พ่านๆ ดีไม่ดีมาให้คะแนนพระ มาตัดคะแนนพระ ให้คะแนนวัด ตัดคะแนนวัด วัดนี้ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ วัดนี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนมาให้คะแนนตัดคะแนนพระ

วัดนี้ไม่ต้องการคะแนนจากผู้ใด สวากขาตธรรมพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ปฏิบัติตามนี้ชอบแล้ว เข้ามาให้คะแนนหาอะไร จะมาตัดคะแนนหาอะไร ตัวผู้มาให้คะแนนตัดคะแนนเป็นคนเช่นไร ท่านผู้ปฏิบัติอยู่ท่านปฏิบัติเลิศเลอขนาดไหน ซัดกันตรงนี้ละ เพราะฉะนั้นถ้าลงเจอกับเราแล้วเอาทั้งนั้นละ ไม่มีคำว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม เราเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สุดหัวใจ สิ่งเหล่านี้เราไม่เคารพ มันมีแต่มูตรแต่คูถ เพราะฉะนั้นควรไล่ไล่

ส่วนมากมีแต่ถูกไล่นะ คือมาอย่างไม่มีเหตุมีผล เราถามอะไรเราต้องมีเหตุมีผลทุกอย่าง ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไล่เขา เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น มาธุระอะไรบ้าง เอ้าว่ามา ถ้ามาเก้งๆ ก้างๆ ถามหาเหตุหาผลไม่ได้เรื่อง ไล่ละที่นี่ นั่น อย่าพากันทำอย่างนี้อีก วัดนี้ไม่ใช่วัดตุ๊กตา ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมตุ๊กตา อย่ามาทำอย่างนี้ บอกเลย ธรรมมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ บอกตรงๆ อย่างนี้

มักจะมีเสมอ ตอนโน้นละตอนเข้าใจว่าคนเลิกกันไปหมดแล้ว ๕ โมง ตั้งแต่ ๔ โมงครึ่ง อาจจะออกมาตั้งแต่ ๔ โมงครึ่ง ถ้าธรรมดาไม่ออกมา ปล่อยให้เขาเพ่นพ่านตามเรื่องของเขา แต่เวลาที่มันหมด เป็นเรื่องเวล่ำเวลาของพระที่เคยปฏิบัติรักษาอยู่แล้ว ท่านจะได้ปฏิบัติตัวของท่านด้วยความสะดวกสบาย ไม่อยากให้มีใครมาเพ่นๆ พ่านๆ นั่นละออกมาตอนนั้น มาเพ่นๆ พ่านๆ ก็เอาจริงๆ

ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติดูซิธรรมพระพุทธเจ้ามีที่ต้องติที่ตรงไหน นี้หมอบราบเลย กราบราบ หาที่ต้องติไม่ได้เลย เอะอะมีแต่เราผิดๆ ทั้งนั้น ธรรมท่านถูกต้อง ถ้าว่าตรัสออกมาก็เป็นสวากขาตธรรม สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม นั้นเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ที่ไม่ชอบก็คือพวกเรานั่นแหละ สอนที่ยังไม่ชอบให้เป็นความชอบธรรมขึ้นมา ด้วยกายวาจาใจที่ประพฤติดี

วัดเป็นสถานที่อบรมความดีงาม ไม่ใช่เป็นสถานที่ก่อฟืนก่อไฟเผากัน ดูกันอย่าไปหาดูตั้งแต่ความชั่วของคนอื่น ให้ดูกิริยาของจิตเราที่เป็นอันธพาลมหาภัย มันจะออกจากจิตดวงนี้ไปเพ่งโทษคนนั้นเพ่งโทษคนนี้ ส่วนที่จะไปชมไม่ค่อยมี มันมักจะออกทางเพ่งโทษนั่นแหละ คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ เลยไม่ภาวนา มาหาแต่โทษคนอื่นไม่ดูโทษของเจ้าของที่เกิดอยู่ตลอดเวลา มันก็ได้โอกาสเกิดตลอดเวลาซิ การปฏิบัติธรรมปฏิบัติยังไงถ้าเป็นอย่างนั้น

การปฏิบัติธรรมต้องดูหัวใจเจ้าของที่มันคิด ส่วนมากมันจะคิดผิด มองคนอื่นมองเพื่อเพ่งโทษเขา โทษเจ้าของไม่ดู การปฏิบัติธรรมต้องดูหัวใจ มันจะเริ่มคิดเรื่องอะไรๆ ตีลงไปๆ สติเป็นสำคัญ ถ้าสติดีอยู่แล้วเรื่องสังขารอันเป็นเรื่องของสมุทัย เรื่องกิเลสตัณหาจะคิดออกไม่ได้ มันจะหนาแน่นขนาดไหนออกไม่ได้ อำนาจของสตินี้หนาแน่นมาก กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนขอให้มีสติเถอะว่างั้นเลย กิเลสจะออกไม่ได้ เคยฟัดกันแล้วนี่ถึงมาพูดได้อย่างอาจหาญละซี

สติเป็นฝั่งมหาสมมุติมหานิยม มหาวิมุตติมหานิพพาน คือสติ ฝั่งกั้นกิเลสทั้งหลายไว้ไม่ให้ล้นฝั่งออกมาได้ คือสติปัญญา ถ้ามีสติดีแล้วกิเลสเหล่านี้ล้นฝั่งออกมาไม่ได้ ถ้าไม่มีสติมันเหยียบหัวคนไปเลย โห ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เกิดมาไม่มีวาสนายังไงก็ไม่พบ ยังไงก็ไม่สนใจ ยังไงก็ไม่ปฏิบัติไม่เลื่อมใสธรรมพระพุทธเจ้า มันจะเป็นเหมือนไก่แจ้ไปพบพลอยเม็ดหนึ่งนั่นแหละ ดังที่เขาเขียนไว้นั้น ตั้งแต่เราเรียนหนังสือเป็นนักเรียน หนังสือเขาเรียกธรรมจริยา ชื่อหนังสือธรรมจริยา เป็นคติมาสอนนักเรียน ให้นักเรียนอ่าน เราก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ที่ว่า

ไก่แจ้ตัวหนึ่งคุ้ยเขี่ยหาอาหาร ไปพบพลอยเม็ดหนึ่งงามดีมีค่ามาก จึงร้องเปรยๆ ขึ้นว่า นี่ถ้าเจ้าของของเจ้ามาพบเจ้าเข้าเช่นนี้ เขาคงเก็บเจ้าไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม แต่นี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา สู้ข้าวสุกข้าวสารเมล็ดเดียวก็ไม่ได้ ว่าแล้วก็คุ้ยเขี่ยเลยไปในแปลงอื่นๆ ทีนี้เขาเรียกว่าเตือนหรือกระตุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของที่ดีย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รู้จักใช้เท่านั้น เพชรพลอยเป็นของดีมีประโยชน์แก่ผู้รู้จักใช้ ข้าวสุกข้าวสารกินไปวันๆ เป็นประโยชน์แก่พวกไก้แจ้ พวกเรานี่พวกไก่แจ้ เป็นประโยชน์วันๆ เท่านั้นก็เอา กินไปวันหนึ่งๆ พอถึงวันตายก็เอา แต่ตายไปจะเป็นยังไง

เวลายังมีชีวิตอยู่นี้ ชีวิตยังไง ความเคลื่อนไหวไปมาของตัวเราเองไปในทางถูกหรือผิด ไม่ได้ดูความเคลื่อนไหวของตัวเองมันก็ผิดไปเรื่อยๆ ถ้าดูความเคลื่อนไหวด้วยการมาปฏิบัติธรรมอย่างนี้มันก็รู้ที่ผิดที่ถูก แก้ไขดัดแปลงไปเรื่อยๆ มันก็ดีไปเรื่อยๆ พากันจำเอา ในหนังสือที่ว่าไก้แจ้ตัวหนึ่ง อันนี้เราก็ดูตั้งแต่เราเป็นนักเรียน ที่มันจำได้มันก็ไม่ลืมของมันนะ จำได้ไม่ลืม โน่นเวลาไปบวช อันนี้มันอยู่ในชาดก ท่านคัดออกมาจากชาดกมาเป็นหนังสือสอนประชาชน สอนนักเรียน แต่ก่อนเราเป็นเด็กนักเรียนเราไม่เห็น เราไม่ทราบว่าหนังสือนี้มาจากไหน บทเวลาบวชแล้วจึงไปเห็นอยู่ในคัมภีร์ โอ๋ ออกจากนี้ นักปราชญ์ท่านสงสารประชาชน เอาออกมาเป็นคติตัวอย่างสอนกระทั่งเด็กว่างั้นเถอะ

พวกเรานี่จนเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันได้เรื่องได้ราวอะไรไหมล่ะ ธรรมจริยานี้เขาเอามาประจำไว้ตามโรงร่ำโรงเรียน เรียกว่าสอนเด็กนั่นเอง พวกเราเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้มีอะไรเป็นเครื่องสอนกันล่ะ หรือเห็นกันแล้วยิบๆ แย็บๆ ปากบอนปากเปราะปากอมขี้ พูดออกมามีแต่เรื่องความโลภ ความโกรธ ความเคียดความแค้น ความอาฆาตมาดร้ายต่อกัน นี่มีแต่ขี้เต็มปากออกมาพูด ผู้ฟังฟังได้ยังไง ฟังไม่ได้ ขี้เต็มปากพูดออกมามันก็เหม็นคลุ้งไปหมดใครจะอยากฟัง พูดออกมาเป็นธรรมซิ ไม่ดียังไงก็บอกกันตามผู้มาปฏิบัติธรรม ก็ได้ของดีไปใช้ๆ ไม่ถือทิฐิมานะอวดดีอวดเก่ง ทั้งๆ ที่ตัวผิด ยอมรับกัน นี่เรียกว่าผู้มาปฏิบัติธรรม

ที่มันเด่นๆ เราก็ได้เอาออกมาสอนหมู่เพื่อน ประชาชน ที่มันเด่นมันติดอยู่กับหัวใจเราก็ได้มาสอนเรื่อยๆ เป็นเรื่องขบขันอยู่เรื่อยๆ คือข้อวัตรปฏิบัติแต่ก่อนพระเณรสู้เราไม่ได้นะ เป็นหัวหน้าคือเป็นบ๋อยของวัด นำหน้าทุกอย่างเลย คล่องตัวที่สุดแต่ก่อน ไม่ได้อืดอาดๆ อยู่อย่างนี้นะ ทุกวันนี้ลุกขึ้นก็จะล้ม แต่ก่อนดีดผึงๆ เลย พระเณรนี้ตามไม่ทัน มองเห็นเราเหมือนเห็นเสือโคร่งตัวหนึ่ง กลัว ไม่กลัวก็เอาจริงนี่ เพราะมาปฏิบัติจริงๆ มาเหลาะแหละไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ คืออนุโลมที่เพื่อนฝูงมารุมเรา

แต่ก่อนเราอยู่คนเดียวในป่าในเขาสะดวกสบาย เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดในตัวเองได้ทุกแบบทุกฉบับไม่เคลื่อนคลาดไปได้ คนอื่นยังอือๆ อาๆ มันเคลื่อนคลาดไปได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องดุเรื่อย แต่ก่อนพระเณรทันเราเมื่อไรข้อวัตรปฏิบัติ เรานำหน้าตลอด จึงมาถึงประโยคที่ว่า กำลังเป็นหนุ่มเป็นน้อยอยู่นี่ กระต๊อบหลังนั้นที่เราอยู่ ตอนนั้นยังไม่มีกุฏิหลังนี้ ยังอยู่กระต๊อบ พังไปสามหลังกว่าจะได้กุฏิหลังนี้ขึ้นมา คือต้นเสาเมื่อมันแห้งแล้วปลวกกินต้นเสาล้ม ถ้ายังไม่แห้งมันยังไม่กิน พอแห้งแล้วมันก็กิน ล้มสามหลังจึงได้ปลูกหลังใหม่ขึ้นมา

มองดูนาฬิกา อ้าว นาฬิกาเลยเวลาแล้ว ดูนาฬิกาผิด ปุ๊บปั๊บจับไม้กวาดกวาดเลยเทียว ปัดบริเวณกุฏิเรียบร้อยแล้วออกมา ธรรมดาออกมานี้พระเณรจะเต็มหมดแล้ว เราปัดกวาดบริเวณของเราเสร็จแล้วเราก็ออกมาส่วนรวม พระเณรก็เต็มหมดในวัด ตามธรรมดาเป็นอย่างนั้น แต่วันนั้นไม่เห็นพระเณรสักองค์เดียว เรากวาดของเราเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เราดูนาฬิกาผิด พอโผล่ออกมานั้นเห็นเณรหนึ่ง เณรก็ทิดจรวดนี่ละลูกพระ ตั้งแต่มันเป็นเด็กมันเป็นเณรอยู่นี่ มันคงรำคาญตา เห็นเรากวาดออกมานั้น มันรำคาญตาก็เลยถือไม้กวาดออกไป

เณร ขึ้นเลยเทียว พระวัดนี้มันตายหมดแล้ว ใครจะไปกุสลาใคร ถึงเวลาแล้วยังไม่รู้หรือ นี่ยังไม่แล้วนะ ตอนค่ำจะประชุมกันฟัดกันใหญ่นะนั่นของเล่นเมื่อไร  ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเหรอปัดกวาด มันเป็นยังไง นี้เป็นประโยคเบื้องต้น ตอนค่ำจะเอากันละ ถ้าลงผิดอย่างนี้แล้วจะเอาไว้ไม่ได้เลย ซัดกันเต็มเหนี่ยวเลย นั่นละการปฏิบัติศีลธรรม ถ้าเด็ดเดี่ยวเพื่อศีลเพื่อธรรมท่านเด็ดอย่างนั้น ไม่ได้เด็ดแบบยักษ์แบบผีนะ เด็ดแบบธรรม เป็นยังไงเณร มันก็อ่อแอ่ๆ ออกมา มันขัดสายตามัน เราไปร่ายบ้าคนเดียว ยังจะไล่พระ นี่พระตายหมดแล้วใครจะมากุสลาใคร

ถามไปถามมาไม่รู้เวลาหรือเณร เวลาได้เท่าไร มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที คือธรรมดา ๔ โมงปัดกวาด นี่พึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เราปัดกวาดออกมานี้ เหอ เณรพูดอีก มันนาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ หยุดๆ ขึ้นทันทีเห็นไหมล่ะ กำลังแผดออกมานะ หยุดๆ เดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด หยุดเราจะไปแก้บ้าเรา เดินกึ๊กๆ กลับคืน อย่างนั้นละ ธรรมะเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ถืออะไรใหญ่ยิ่งกว่าธรรม เราผิดต้องยอมรับว่าผิดซิ เณรมันคงจะหัวเราะ ก็เห็นขึงขังออกมานี้ จะกัดจะฉีกตลอดเลย พอมานี้ หือๆ ขึ้น พอได้ความเท่านั้น หยุดๆ ทันที เดี๋ยวพระจะมาเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา กึ๊กๆ เดินกลับเลย อย่างนั้นละ ฟังเอาซิท่านทั้งหลาย

นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ได้เอาอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ มาใช้ อำนาจเป็นอำนาจของธรรมทั้งนั้น อะไรถูกธรรมเดินตามนั้นขัดธรรมไม่ได้ นี่ก็เข้าใจว่าขัดธรรม ความพร้อมเพรียงสามัคคีตามเวล่ำเวลา ๔ โมงเย็นปัดกวาด แต่เราเป็นบ้าคนเดียว ออกมาขนาบพระทั้งวัดเลย ทีนี้พอรู้เรื่องแล้วก็บอกให้หยุดเดี๋ยวจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ก็กึ๊กๆ เดินกลับเลย อย่างนั้นละ ฟังเอาซิท่านทั้งหลาย นี่ละการปกครองหมู่เพื่อนปกครองโดยธรรม จะเด็ดจะขาดขนาดไหนไม่เหนือธรรม ไม่นอกจากธรรมไปเลย จะปฏิบัติตามนั้นๆ คำว่ามีอำนาจก็อำนาจในธรรม ไม่ใช่อำนาจเสือโคร่งเสือดาว อำนาจในธรรมต่างหากเอามาใช้

จึงต้องเคารพธรรมด้วยกันทุกคน เมื่อต่างคนต่างเคารพธรรมแล้วอยู่กันเป็นผาสุก นี่เรายกตัวอย่างมาให้ท่านทั้งหลายดู ออกมาเหมือนจะกัดจะฉีกทีเดียว พอมาได้ความเท่านั้นแล้ว ก็บอกให้หยุดทั้งวัด มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา ก็กึ๊กๆ กลับคืนเลยไปแก้บ้าเจ้าของ ป่านนี้แก้ได้แล้วยังไม่รู้แหละ นี่ละการปฏิบัติกับพระกับเณรเราจริงจังมากนะแต่ก่อน ทุกอย่างเป็นหัวหน้านำหน้าทุกอย่าง มันคล่องตัวแต่ก่อน พูดจริงๆ ไม่ใช่คุย ขยัน คล่องตัวตลอดเวลาไม่มีอืดอาดเนือยนาย ใครมาอืดอาดเนือยนายให้เห็นไม่ได้ นี่ละหัวหน้าวัดเราเป็นอย่างนั้นมา ไม่เหมือนทุกวันนี้ เดินไปกุฏิก็จะไม่ได้ละเดี๋ยวนี้ มันผิดกัน

นี่เราพูดเรื่องการปกครองด้วยความเป็นธรรม ให้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติต่อตนเอง ดูกันให้ดูด้วยความเป็นธรรม อย่าดูด้วยกิเลสตัณหาพาดู กิเลสตัณหาพาดูจะยกโทษยกกรณ์คนอื่นไปเรื่อยๆ เป็นนิสัยสันดานไม่ดี เห็นใครคอยที่จะดูยกโทษยกกรณ์เขา เพ่งโทษเพ่งกรณ์เขาไป นี่เป็นนิสัยอันธพาลอยู่ในใจ ถ้าเป็นธรรมแล้วดูเขากับดูเราให้เสมอกัน เป็นอย่างนั้นนะ พากันจำเอา เอาละวันนี้พอ ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก