เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
เตือนเรื่องอดอาหาร
ก่อนจังหัน
พระเท่าไร (๓๐ ครับผม) พระ ๓๐ นอกนั้นหยุดไม่ฉัน ที่พระท่านไม่ฉันเพราะอะไร พระพุทธเจ้าทรงอดพระกระยาหาร ๔๙ วันไม่ได้ตรัสรู้ พอมาเสวยพระกระยาหารในเช้าวันนั้น พร้อมกับได้หลักเกณฑ์ของการภาวนาคืออานาปานสติ ทรงระลึกนี้ได้แล้วก็จับเอานี้เป็นที่ฝากเป็นฝากตาย ก็พอดีวันนั้นทรงเสวยพระกระยาหารที่นางสุชาดาไปทูลถวาย ๔๙ ก้อน เข้ากันได้พอดี ท้องกำลังว่างเอาอย่างมาก พออาหารหนุนเข้าไปมีกำลังบ้างแล้วก็ได้หลักเกณฑ์การภาวนาอานาปานสติ ใส่ผึงในคืนวันนั้นเลย ปฐมยามบรรลุนั้น ปัจฉิมยามบรรลุเรื่อยไปเลย จนกระทั่งตรัสรู้ ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม
อดอาหารนี้ไม่ได้เพื่อบรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมเพราะอดอาหารนะ การอดอาหารเป็นเครื่องหนุนกำลังความเพียร เช่นพระเรานี้ฉันแต่น้อยสติดีๆ สติสำคัญมากในการก้าวเดินความเพียร สติเป็นพื้นเพอันสำคัญมากทีเดียว ทีนี้เวลาเราฉันมากๆ นี้สติค่อยหลุดลุ่ยๆ เผลอบ้างไม่เผลอบ้างแล้วเผลอ ตัดทางนี้เข้าไป ทางนั้นค่อยแหลมเข้าไปๆ สติติดต่อกันไป นั่นแหละที่ท่านทำๆ ท่านอดอาหารอดเพื่อความพียร ไม่ได้อดเพื่อตรัสรู้ด้วยการอดอาหารเท่านั้น บางคนจะไม่เข้าใจ ว่าพระพุทธเจ้าทรงอดพระกระยาหาร ๔๙ วัน ไม่เห็นตรัสรู้
นี่จะเอามายันกันนะ นั่นเพื่อตรัสรู้ด้วยการอดอาหารล้วนๆ อันนี้เพื่อบรรลุหรือตรัสรู้ธรรมด้วยการภาวนา แต่มีการอดอาหารหรือวิธีการอื่นๆ เป็นเครื่องหนุนความเพียรต่างหาก ให้แยกกันอย่างนั้นซี ไอ้พวกตาบอดหูหนวกมันมุทะลุนะ มันไม่ได้ทำแต่มันอวดเก่ง พวกนี้พวกไม่ได้ทำทั้งนั้นละ พวกอวดๆ เก่งๆ นี่น่ะ ท่านผู้ทำท่านไม่ได้อวด ท่านทดสอบของท่านทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องอดอาหารนี้สำหรับพวกนักภาวนานี้ดีในการหนุนความพากเพียร พออาหารน้อยลงๆ สติจะดีขึ้นๆ สตินี่สำคัญมากทีเดียว ใครอย่าปล่อยนะสตินะ ตั้งแต่พื้นเลย ล้มลุกคลุกคลาน สติไม่ดีล้มลุกคลุกคลาน สติดีค่อยตั้งได้ๆ จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากนั้นก็เป็นมหาสติมหาปัญญา เอา กิเลสมาที่นี่ ตั้งแต่เริ่มสติปัญญาอัตโนมัติ เรียกว่าก้าวเรื่อยเลย ไม่มีถอย พอถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วขาดสะบั้น กิเลสโผล่ไม่ได้เลย
นักภาวนาท่านรู้ท่านเห็นในใจของท่าน ไอ้เราไม่ได้ภาวนา เป็นผู้อวดดิบอวดดีไปให้คะแนนตัดคะแนนท่าน นี่พวกตาบอด พวกขี้เกียจขี้คร้าน พวกไม่เอาไหน พวกที่อวดตัวเก่งๆ ไปหาตัดคะแนน ให้คะแนนท่านผู้บำเพ็ญธรรมด้วยความถูกต้อง มันน่าสลดสังเวชไหมล่ะ นี่ละกิเลสมันอวดเก่ง มันไม่เก่งนะแต่มันอวดเฉยๆ พากันจำเอา วิธีการที่ท่านทำมานี้ อย่างที่พระท่านอดอาหารเป็นเครื่องหนุนความเพียรต่างหาก ไม่ได้อดเพื่อตรัสรู้หรือบรรลุธรรม อันนี้พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาแล้ว แต่พอทรงเสวยพระกระยาหารในเช้าวันนั้น ทั้งๆที่อดอาหารมามากมาย พระสรีระเบาหวิวๆ แล้วก็ถูกกับหลักจิตตภาวนาด้วยอานาปานสติ ผึงในคืนวันนั้นเลย มันหนุนกันอย่างนั้นแหละ แต่โลกมันไม่ได้พิจารณานะ นี้พิจารณาด้วยจิตตภาวนาด้วยกัน เพราะฉะนั้นมันรู้ได้ชัด มันจะรู้ได้ชัดนะการภาวนา
หากว่าท่านอดพระกระยาหารมีภาวนาไปด้วยตั้งแต่นู้นแล้ว จะบรรลุธรรมเร็วยิ่งกว่านี้ แต่นี่ท่านพึ่งมาระลึกได้ในอานาปานสติ พร้อมกับการเสวยพระกระยาหาร ให้พากันเข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นอุปกรณ์ๆ การประกอบความพากเพียรสักแต่ว่าทำๆ ไม่ใช้ความพินิจพิจารณาไม่ได้ ต้องใช้ความพินิจพิจารณาละเอียดลออ เพราะกิเลสนี้แหลมคมมากทีเดียว ใครยังไม่ได้ขึ้นต่อกรกับกิเลสเสียก่อน มีแต่มาคุยโม้อวดเฉยๆ พวกตาบอด พวกคุยพวกโม้นี่ ท่านผู้ตาดีท่านไม่คุย ท่านนักภาวนา
ใครจะไปรู้ละเอียดลออยิ่งกว่านักภาวนาที่ตั้งใจต่ออรรถต่อธรรม ต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง ท่านเหล่านี้เป็นผู้ตั้งอกตั้งใจ คอยสังเกตสอดรู้ สติปัญญาอยู่กับท่านเหล่านี้ทั้งนั้นแหละ ไอ้พวกนอนบนเขียงเหมือนหมูมันจะได้อะไร แต่มันมาอวดเก่งนะ พวกนี้พวกอวดเก่ง เวลานี้กำลังกิเลสมันอวดเก่งเหยียบศาสนา ศาสนาจะไม่มีคุณค่าอะไร กิเลสแหละเสกตัวเองขึ้นเป็นของมีคุณค่าๆ ดีไปหมดถ้าเป็นเรื่องของกิเลส พากันเข้าใจหรือยังพวกนี้น่ะ มันโมโหนะ กำลังหิวเสียด้วยเอาคนทั้งศาลานี้มาต้มยำกินก็ได้ กำลังโมโหน่าจะอร่อยดี แต่สู้ไอ้ขอดเราไม่ได้ ไอ้ขอดเราต้มยำดี เขาเอามันไปต้มยำกลางวันอยู่ในครัว ค่ำๆ ถึงปล่อยมา ให้พร
พอพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าอดพระกระยาหาร ๔๙ วัน ก็พอดีเรามาจากบ้านตาดภูวง อยู่ในเขตอำเภอวาริชภูมิ เราไปภาวนาอยู่นั้น ทีนี้ออกมาข้างนอกมาบ้านคำบิดคำบ่อ แล้วก็มาพักอยู่ที่นั่น เขามีกระต๊อบเล็กๆ สำหรับกรรมฐาน พอดีเหมาะเราก็เลยมาพักก่อนจะมาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ทีนี้โยมคนนี้แกเคยเป็นลูกศิษย์ท่านมาหา แต่มันเก่งกว่าครู เราลงมาจากนู้นก็เราอดอาหารนี่ ผอมโซลงมา แกก็มารับบาตรเราบิณฑบาตมา อู๊ย ทำไมท่านผอมมากนักล่ะ ท่านเป็นไข้หรือ ก็ไม่ได้เป็นนะ หรือท่านอดอาหาร ก็อดบ้างแหละเราไม่ได้ทำนา เราก็ว่างั้น ก็ต้องอดบ้างอิ่มบ้างเราไม่ได้ทำนา อดทำไม พระพุทธเจ้าอดตั้ง ๔๙ วันไม่เห็นได้ตรัสรู้ แล้วท่านจะอดไปทำไม
ทีนี้เราก็สอดปั๊บ แล้วโยมกินทุกวันเหรอ โอ๋ย กินทุกวันแหละผมไม่อดแหละ แล้วได้ตรัสรู้ไหม ว่าได้ตรัสรู้ไหมฟาดมันตรงนั้น โอ๊ะ มาช่องนี้หรือ นั่นเห็นไหม มีแต่ผู้เซ่อๆ ไม่พิจารณา เอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง จากนั้นก็ว่ากินทุกวันแหละผม แล้วได้ตรัสรู้ไหม เป็นอย่างนั้นแหละ ร้องก้ากเลย มาช่องนี้เชียวนะ ก็คนหนึ่งไม่ได้ทำ คนหนึ่งทำ อย่างนั้นซิพูดเฉยๆ โม้เฉยๆ กินทุกวันแหละผม แล้วได้ตรัสรู้ไหม มันตอบยากนะ ถ้าว่าไม่ได้ตรัสรู้ก็จะว่าแล้วกินหาสะแตกอะไร สะแตกอิ่มแล้วมาอวดพุงทำไมใช่ไหม เราใส่เสียเปรี้ยง วันหลังเห็นเราหัวเราะก้ากๆ เลย
การอดอาหารเราก็เคยเตือนหมู่เพื่อนแล้ว คืออดอาหารแบบหนึ่งผาดโผน ไม่ได้เหตุได้ผลเสียก่อนก็ไม่ได้มาคลี่คลาย เวลาโดนตัวเองเข้าไปแล้วจึงได้มาแนะนำหมู่เพื่อน อย่าให้มันเลยเถิด เรานี่มันเลยเถิด อะไรมักจะเลยเถิดแหละเรา คือกำลังจิตมันรุนแรง ถ้าไปทางไหนมันพุ่งๆ เลย เพราะฉะนั้นการโต้ตอบหรือถามปัญหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น จึงหาตั้งแต่หลักเกณฑ์ๆ ถ้าไม่ลงก็เถียงกันอยู่นั่นแหละ คือเราหาความจริงจริงๆ ท่านก็ทราบ เพราะฉะนั้นท่านถึงใส่เปรี้ยงๆ กับเรา พอลงแล้วปั๊บผึงเลยที่นี่ นั่นหายห่วง
จึงได้บอกหมู่เพื่อนการอดอาหารให้สังเกตตัวเอง เรานี่มันเลยเถิดแล้วจนท้องเสีย เพียง ๙ ปีเท่านั้นที่สมบุกสมบันในการอดอาหาร จากนั้นมาก็เป็นโรคเรื้อรังต่อไปเลย ถึงเรามาฉันจังหันโรคมันก็ไม่หาย ต่อกันไป จึงได้มาเตือนหมู่เพื่อนให้เข้าใจเรื่องธาตุขันธ์ของตัวเอง ตามแต่นิสัยของใครจะถูกกับอะไร ส่วนมากมักจะถูกกับอดอาหาร คือมันเป็นกำลังเข้าไปหนุนจิตหนุนกิเลสนั่นแหละไม่ใช่อะไร ถ้าอดอาหารแล้วการอดนอนเป็นไปด้วยกัน ไม่ง่วง กลางคืนไม่ง่วง ถ้าอดสามวันไปแล้วความง่วงไม่มีเลย ความง่วงมันมากับอาหาร อาหารมากับกับ กับสำคัญมาก ถ้ามีแต่ข้าวเปล่าๆ ไม่ง่วง
หลังจังหัน
อันนี้เราก็ไม่เคยได้พูดนะ ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาด วันนี้มันบันดลบันดาลมาระลึกได้ หอบรรลือกิจ(นามสกุลผู้ถวายปัจจัยเช้าวันนี้) ทำไมพิลึกพิลั่นนักนะ เลยคิดได้เรื่องที่จะพูดอยู่เดี๋ยวนี้มันเข้ากันดี หอบรรลือกิจ มันพิลึกอะไรนักหนา ก็พอระลึกได้ มีคนสองคนทางภาคอีสานเขาเรียกว่าเป็นเสี่ยวกันเป็นเพื่อนกัน คำว่าเป็นเสี่ยวนี้เป็นเหมือนกับอวัยวะสองอันมาประกบเป็นอันเดียวกัน ถ้าว่าเป็นเสี่ยวกันแล้ว พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้เลย เหมือนเป็นครัวเรือนอันเดียวกัน เขาถือกันอย่างนั้นทางภาคอีสาน ถือมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าลงว่าได้เป็นเสี่ยวกันแล้วนี้ เป็นเหมือนอวัยวะสองอันมาประกบกันเป็นอันเดียวกัน
ก็มาระลึกได้ ชื่อมันก็ตรงกัน อีตาทิดพิณ แกอยู่มหาสารคาม อีตาทิดพาอยู่บ้านเหล่า แล้วมาเป็นเสี่ยวกัน หนองประจักษ์แต่ก่อนเป็นลานไม้สะแกเต็ม พวกละม่งละมั่งเต็มไปหมดทุ่งนั่นน่ะ คือแต่ก่อนไม่มีคน เริ่มแรกบ้านเหล่านี่ย้ายมาจากเวียงจันทน์มาตั้งเป็นบ้านเหล่า ๕ หลังคาเรือน เริ่มแรกก่อนอื่นบ้านเหล่าตั้งก่อน ๕ หลังคาเรือน จากนั้นก็ค่อยกระจัดกระจาย เลยมาตั้งเมืองอุดร เมืองอุดรไม่มีแต่ก่อน หนองประจักษ์ที่หน้าวัดโพธิฯ นั่นเป็นลาน แล้วพวกไม้สะแกเต็มไปหมดแถวนั้น พวกละมั่งเป็นฝูงๆ ไม่ใช่ธรรมดามันหลั่งไหลมาเที่ยวหากินอยู่ตามนั้น
ทีนี้อีตาทิดพิณกับอีตาทิดพานี้ตอนเช้าก็ไปหาล่าสัตว์ เขาอยู่บ้านเหล่า ไกลนะบ้านเหล่า ฟังซิ มาหาหนองประจักษ์ แต่ก่อนมีบ้านเหล่าบ้านเดียว ตอนเช้าก็พากันมาหาล่าสัตว์ ทีนี้ปืนแต่ก่อนไม่ใช่ปืนคาบศิลา ไม่ใช่ปืนอย่างทุกวันนี้ ปืนอันนี้เขาต้องจุดกาบมะพร้าว จุดไฟถือไปหาล่าสัตว์ นายพรานแบกปืน ลูกน้องก็ถือไฟ พอมาถึงหนองประจักษ์ที่เป็นลานเที่ยวหากินของสัตว์ทั้งหลาย พวกละมั่งพวกอะไรนี้เต็ม พากันไปคนนั้นถือปืนคนนี้ถือไฟตามหลังไป เอากาบมะพร้าวจุดไฟถือตามหลังไป เวลาจะยิงคนนี้ต้องเอาไฟจ่อให้ยิง
เขานุ่งผ้าโจงกระเบน ทางนี้เขาเรียกผ้าเหน็บเตี่ยว คลานไปมองดูตั้งแต่ละมั่ง มันไม่ใช่น้อยๆ นะ โอ๋ย ๓๐-๔๐ ยั้วเยี้ยๆ มันหลายพวกหลายฝูงด้วยมันเที่ยวหากิน ทางนี้ก็คลานเข้าไปเรื่อยๆ แล้วโบกมือให้มาๆ นายพรานโบกมือให้มา ไอ้ลูกน้องที่ถือไฟตามหลังไปติดๆ ทางนั้นก็จ่อปืนจะยิงเนื้อ พอดีคลานไปผ้าโจงกระเบนหลุดมันก็มองเห็นหำละซี แล้วก็โบกมือเรื่อยจะยิง ไอ้คนถือไฟตามจะทำยังไง แก้อะไรก็แก้ไม่ตก ก็พอดีไฟอันนั้นจ่อเข้าใส่หำ นี่เอาความจริงมาพูดนะ คนหนึ่งเจตนาจะยิงละมั่ง ไอ้คนนี้ก็ตั้งใจเจตนาจะจ่อไฟให้จุดดินระเบิดต่างหาก ทางนั้นก็โดดผึงเลย พวกละมั่งก็แตกฮือไปหมด
โดนไปแล้วยังไม่แล้วนะ โดดผึงเลยโดนไฟจี้หำเอา ก็ไม่คาดไม่คิดว่าจะเกิดเหตุอย่างนี้ มองดูตั้งแต่ละมั่ง โดนไฟเข้าโดดผึงเลย อย่ามานะแตนๆ อย่ามานะ ยังบอกลูกน้องอีก อย่ามาๆ แตนๆ ต่อยหำ นี่เรื่องจริง เออ ละมั่งก็แตกฮือหมดพอคนโดดเพราะมันเจ็บหำ โดนไฟจ่อหำ ก็เลยบอกว่า เออ ไปหมดเลยละมั่ง ไหนล่ะรังมัน ทีแรกก็บอกว่าแตนๆ อย่ามา บอกลูกน้อง ทีนี้พอละมั่งไปหมดแล้ว ไหนรังมันอยู่ไหนจะฟาดให้มันแหลก ว่างั้น กลับคืนมาเห็นแต่กาบมะพร้าวยังมีควันอยู่ เลยโมโหสุดขีด ไอ้นั่นนอนอยู่นั่นมันจะตายมันอดหัวเราะไม่ได้ ทางนี้ยังบอกให้หลบภัย อย่ามาๆ แตนๆ พอมารู้เรื่องควันอันนี้ก็คือไอ้นั่นเป็นคนจุดหำแก เฮ้อ คนหนึ่งทำจริง คนหนึ่งมาทำเล่นได้ไง เท่านั้นละจบแล้ว นี่พูดถึงเรื่องหนองประจักษ์ เป็นความจริง แถวนั้นแต่ก่อนไม่มีบ้านคน ก็มีบ้านเหล่า ๔-๕ หลังคาเรือนย้ายมาใหม่ๆ อีตาทิดพิณทิดพามาจากสารคามเป็นเพื่อนกัน เป็นเสี่ยวกันเขามาเยี่ยมกัน ไปเที่ยวหาล่าเนื้อ
...ให้พากันภาวนานะอยู่ข้างใน อย่าเพ่นๆ พ่านๆ หาทะเลาะเบาะแว้งกัน หาดูตั้งแต่คนอื่น ผิดถูกประการใดดูแต่คนอื่น ความผิดไปอยู่กับคนอื่นทั้งหมด เจ้าของเป็นคนถูกต้องดีงามทุกอย่างใช้ไม่ได้ คนนี้เป็นคนขวางโลก ขวางวัดขวางวา อย่านำมาใช้ในวัดนี้ การติฉินนินทากันอย่างนั้นอย่างนี้อย่านำมาใช้ในวงธรรมะ ธรรมะไม่มีการติฉินนินทากัน ผิดถูกประการใดเตือนกันได้เลยๆ
อย่างในวัดนี้ตั้งแต่สร้างวัดมาเราก็ไม่เคยมี ว่าติฉินนินทาอย่างนั้นอย่างนี้พระเณร องค์ไหนไม่ดีเรียกมาเลย เตือน เป็นอย่างนั้นๆ แล้วผู้นั้นก็มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม เตือนเป็นธรรมรับกันไปทันที ไม่มีเรื่องอะไรเลย นี่ก็อยู่ในความดูแลของเรา จึงขอให้พากันเรียบร้อยทุกอย่าง อย่าไปมองดูโทษคนอื่นมากกว่าโทษตัวเอง ที่มันคอยคิดคอยแส่เรื่องนั้นเรื่องนี้ กับคนนั้นคนนี้ นี่ละมันทะเลาะกันอันนี้ ไม่ใช่ของดีเรื่องสั่งสมกิเลส ไม่ใช่ผู้มาชำระกิเลสนะ ให้ระมัดระวัง ไม่ดีมีอยู่กับทุกคน เรื่องความชั่วมีอยู่กับทุกคน ให้ต่างคนต่างระมัดระวังรักษาตัวเอง ต่างคนก็จะดีขึ้นด้วยกัน ถ้าต่างคนต่างตำหนิกันเฉยๆ นี้เอาไฟมาเผากัน ไม่มีผลดีอะไรเลย มีแต่ผลลบล้วนๆ ฉิบหายได้ พากันจำเอา เอาละทีนี้ให้พร
พระวัดป่าหนองแสง อ.นาหว้า จ.นครพนม กราบถวายทองคำ ๑ บาท ๑ สลึง ปัจจัย ๑,๙๐๐ บาทเพื่ออุทิศให้แม่ชีวรรณีที่ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๘ ส.ค.๔๙ พร้อมกราบนิมนต์หลวงตาแสดงพระธรรมเทศนาและรับผ้าป่าสงเคราะห์โลก วันเสาร์ที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๙ เวลา ๑๔.๐๐ น.หลวงตาเมตตารับแล้ว
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |