เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ธรรมะประเภทนี้ไม่ได้ออกง่ายๆ
ก่อนจังหัน
พระไม่ได้เหมือนฆราวาส ต้องได้มีผู้ให้ เรียกว่าประเคน ไม่ให้ตะกละตะกลาม เข้าใจไหม กันความตะกละตะกลามของพระ ให้สวยงาม เรียกว่าทุกอย่างที่ได้มาเป็นความบริสุทธิ์ล้วนๆ ไปเลย
การปกครองมันแทรกเข้าๆ การปกครองเลยลำบากนะเรา ผู้ปกครองลำบาก ภายในนี้แต่ก่อนมีแต่พระล้วนๆ ผู้ชายที่มาแทรกอยู่กับพระนี้ไม่มี ทางนู้นมีผู้หญิงก็ผู้หญิงล้วนๆ อยู่แล้วตามปรกติ นี้ผู้ชายเข้าไป ผู้ชายผู้หญิงเข้าไปแทรกกันไม่ได้นะ พระท่านเองไม่ได้เข้าไปในครัว ผู้ชายที่มาอยู่ที่นี่อย่าไปแทรกไม่ได้นะ ลำบากมากที่เราปกครอง สับสนปนเปกัน ฝ่ายผู้หญิงก็เหมือนกัน ฝ่ายผู้ชายอย่าเข้าไปข้างใน เห็นไหมพระท่านมีองค์ไหนเข้าไป ก็มีแต่หลวงตาองค์เดียวเท่านั้น อยากไปเมื่อไรก็เดินไปเท่านั้น นอกนั้นพระเข้าไปไม่ได้นะ ถ้าไม่มีกิจจำเป็นที่ได้สั่งเสียเรียบร้อยให้เข้าไป เข้าไปไม่ได้ เข้าไปก็ไล่ออกจากวัดเลย นู่นของเล่นเมื่อไร
พวกญาติโยมที่มารักษาศีลรักษาธรรมหรือรักษาอะไรก็ไม่รู้นะ เข้ามาอยู่ที่นี่เพ่นพ่านเข้าไปข้างในหรือสวนนั้นสวนนี้ไปนู้นไม่ได้นะ ปกครองยากนะ เดี๋ยวนี้มันมีสองสามแทรกเข้ามาแล้วนี่ แต่ก่อนมีแต่พระล้วนๆ มีแต่ทางนู้นล้วนๆ อยู่ก็สบาย ทีนี้มีฝ่ายผู้ชายเข้ามาพักอยู่ข้างในนี้ สวนกันไปสวนกันมา ความเสียหายมีนะ เรื่องธรรมละเอียดมากทีเดียว เราไม่สบายใจเลย ให้พากันจำเอา พวกผู้ชายให้ไปอยู่ข้างนอกศาลาใหญ่เสียดีกว่า ที่จะมาอยู่สับสนปนเปกับพระ พวกฝ่ายผู้ชายอยู่ข้างในนี้ให้ไปอยู่ข้างนอก ไม่อยู่ข้างนอกก็ไปอยู่บ้านเจ้าของเสีย อย่าให้เข้ามาลำบากในการปกครองเลย ฝ่ายผู้หญิงก็ให้อยู่ทางนู้น นี่มันสับปนกันมา ลำบากการปกครอง ให้พากันจำเอาอย่างนี้ พูดเป็นคำสัตย์คำจริง ให้พร
หลังจังหัน
เขื่อนอุบลรัตน์นี้เขาสร้างกุฏิไว้หลังหนึ่ง เขาบอกว่าสร้างไว้เพื่อหลวงตา หลวงตามาจะได้เมตตาพักแถวนี้ เราก็อย่างว่าแหละ แถวนี้เป็นยังไงผีดุหรือ มันผีดุหรือคนดุน่ะ เราว่า เขาสร้างกุฏิไว้ดีนะติดกับเขื่อน มันเป็นเหมือนภูเขานั่นแหละ เรียกว่าภูเขาย่อมๆ เตี้ยๆ บริเวณนั้นดี เขานิมนต์ไปเทศนาว่าการที่เขื่อนอุบลรัตน์ เราก็ได้ไปหนหนึ่งหรือสองหน เขาทำกุฏิไว้เรียบร้อย เราได้ไปพักที่นั่น ทางจงกรมเขาก็ทำไว้ ทุกอย่างทำไว้เรียบร้อยหมดเลย ไปพักที่นั่นอากาศก็ดี ข้างหน้าน้ำเขื่อนเต็มไปหมด ทางนี้เป็นป่าเป็นเขาเตี้ยๆ อากาศดี ไปเทศน์ที่นั่นหนเดียวหรือสองหน (สองครับ) นั่นละไปถึงสองหน ไปเทศนาว่าการที่เขื่อนเกี่ยวกับช่วยชาติเรานั้นแหละ อากาศดี เขาทำกุฏิไว้เรียบร้อยแล้ว มีทางจงกรมเหมาะสม เราไปพักที่นั่น
ธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ตั้งแต่มนุษย์เรานี้ยังไม่สามารถปฏิบัติได้ พูดกันยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ถกเถียงยุ่งกันไปหมด ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี แล้วตัวสร้างบาปส่วนมาก สร้างบุญไม่อยากพูดแหละเรา คือมันขี้เกียจสร้างบุญ สร้างบาปนี่มันไหลไปเลย มันสร้างแต่สิ่งเหล่านี้ มันจึงไม่ค่อยเชื่อธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงโลกวิทู โลกวิทู แปลว่า รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง กิเลสขาดจากพระทัย เป็นพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นำธรรมมาสอนโลกด้วยความเป็นศาสดาองค์เอก
ทีนี้โลกมันมีแต่โลกตาบอด ไม่ใช่โลกวิทูตาแจ้งตาสว่างทั้งภายนอกภายในเหมือนพระพุทธเจ้าผู้ทรงสอนโลก ผู้รับโอวาทมันมีแต่พวกตาบอดหูหนวก หัวชนไปเลยไม่ยอมเชื่อ แล้วหัวชนก็หัวเจ้าของละแตก มันก็ไม่รู้โทษของตัวเองว่าเจ้าของดื้อด้านเอาหัวไปชนต้นเสา หัวแตกยังหาว่าต้นเสานี้มากีดขวาง สมมักสมหมายกูแล้ว กูพยายามโดนต้นเสาต้นนี้มาตั้งแต่เมื่อวานนี้ พึ่งมาเจอกันวันนี้ แล้วเป็นยังไงล่ะต้นเสากับหัวคน หัวคนแตกนะ ต้นเสายังดี นี่ละทรงตำหนิสิ่งไหนๆ สิ่งเหล่านั้นเท่ากับต้นเสา ผู้ที่โดนความทุกข์ความทรมานจากเจ้าของผู้ไปโดน บาปบุญนรกสวรรค์จะเป็นอะไร เจ้าของผู้ดื้อด้านหาลบล้างสิ่งที่มีอยู่ตามหลักธรรมชาติว่าไม่ให้มี ก็มีแต่โดนสิ่งเหล่านี้
ธรรมนี้จึงว่ามีผู้นำมาสอน หลักธรรมชาติแท้นี้ธรรมมีอยู่ในโลกเป็นพื้นฐานมาดั้งเดิม แต่ไม่มีใครที่จะคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมาทำประโยชน์ ก็เทียบเหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ ที่คนตาบอดหูหนวกโง่เขลาเบาปัญญาเหยียบย่ำไปมาอยู่นั้นแหละ มันอยู่ใต้ดินก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร นอกจากคนตาดีค้นแร่แปรธาตุ นำแร่ธาตุต่างๆ ขึ้นมาทำประโยชน์ โลกก็จึงได้มองเห็นได้เป็นประโยชน์จากแร่ธาตุต่างๆ เพราะอำนาจแห่งคนฉลาดเขาคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมา
ธรรมก็เหมือนกัน ธรรมเป็นเหมือนกับแร่ธาตุต่างๆ มีทุกประเภท คนตาบอดหูหนวกก็เหยียบย่ำไปมาอยู่นั้น ไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้นเลยว่ามีคุณค่าอะไร ผู้ฉลาดต่างหากเอาไปคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมาทำประโยชน์แก่โลก นี้ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกคุ้ยเขี่ยขุดค้นธรรมขึ้นมา เฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ทรงบำเพ็ญ เรียกว่าคุ้ยเขี่ยขุดค้นธรรมนั้นแหละอยู่ ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้ขึ้นมา เรียกว่าเจอแล้ว เจอแร่ธาตุที่เลิศเลอคือธรรมอันประเสริฐขึ้นที่พระทัยแล้ว จึงได้นำมาสอนโลก
จากนั้นก็กระจายออกไป อบรมสั่งสอนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายได้รับการอบรม บรรลุธรรมขึ้นมาเป็นสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้า แล้วเป็นสรณะของโลกเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ที่เราได้กล่าวอยู่ทุกวันนี้ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายของเราของสัตว์โลก ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ คือแร่ธาตุอันเลิศเลอที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนั้นแหละขึ้นมา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็คือพระสงฆ์ผู้มาสดับตรับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แล้วคุ้ยเขี่ยขุดค้นด้วยความพากเพียรด้วยวิธีการต่างๆ จนได้บรรลุธรรมขึ้นมาถึงอรหัตภูมิ เรียกว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์เหล่านี้เป็นสรณะของพวกเราทั้งหลาย นอกนั้นเป็นไม่ได้นะเป็นสรณะ จึงต้องได้หาหลักยึดที่ตายตัวมาเป็นสรณะ
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นธรรมชาติที่มีจริง ผู้คุ้ยเขี่ยขุดค้นก็มีตนมีตัว ธรรม-พระสงฆ์มีตนมีตัวมีหลักมีเกณฑ์ทั้งนั้น ไม่ใช่งมเงาเกาหมัดเอามายกขึ้นกราบไหว้บูชา ว่านี่คือศาสดาของเรา นี้คือธรรมของเรา เป็นศาสดาโดยแท้ เป็นธรรมโดยแท้ เป็นพระสงฆ์โดยแท้ ที่มาสั่งสอนสัตว์โลก ซึ่งควรจะยึดถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์สำหรับเราชาวพุทธพอที่จะเดินตามท่านได้ ให้พากันปฏิบัติอย่างนี้แหละ
ทุกวันนี้รู้สึกว่าพี่น้องชาวพุทธเรานี้เหินห่างจากอรรถจากธรรมมากทีเดียว เอาธรรมจับ อย่าเอากิเลสตัณหาทิฐิมานะของตนออกมากาง จะมีแต่ความเลวร้ายเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วก็ยอกันว่าดีๆ ที่โลกกิเลสตัณหามันยกยอกันว่าดีๆ นี้แลคือไฟกำลังเผาโลกอยู่เวลานี้ ได้แก่ธรรมชาติเหล่านี้แล มันไม่เหลียวแลธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ประพฤติตัว ให้จิตใจได้รู้เนื้อรู้ตัวแล้วจะเป็นความสงบร่มเย็นขึ้นแก่ตัว ส่องแสงสว่างออกไปทั่วโลกดินแดน ในบรรดาสัตว์ที่มีหัวใจด้วยกัน แบกกองทุกข์อยู่ด้วยกัน จะได้เห็นภัยของกันและกัน เห็นความทุกข์ของกันและกัน แล้วเฉลี่ยเผื่อแผ่ความสุขที่มีมากน้อยให้ทั่วถึงกันตามเกิดตามมี
นี่เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ท่านสอนไว้อย่างนี้ แล้วพวกเราเป็นอย่างไร มันไม่ได้เรื่องได้ราว หาแต่สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟมาเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของดี มันดีอะไรก็ไฟเผาโลก ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้คือไฟเผาโลก จะเป็นอื่นที่ไหนไป อยู่กับเราๆ ท่านๆ ทุกคนนี้ พระพุทธเจ้ามีตนมีตัว สอนธรรมก็สอนลงจุดที่กำลังเป็นไฟอยู่เวลานี้นั่นเอง ผิดไปไหนคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วชอบแล้ว แล้วสอนลงที่หัวใจเรา มันเป็นอย่างไร ควรจะยึดมาเป็นคติเครื่องเตือนใจ เอาธรรมมาบังคับ บังคับจิตใจเรา ไม่อย่างนั้นกิเลสทำลายตลอด
กิเลสกลัวแต่ธรรม ธรรมกับกิเลสเป็นข้าศึกกันมาแต่ไหน เหมือนความสกปรกกับน้ำที่สะอาดชะล้างกัน น้ำที่สะอาดคือธรรม ความสกปรกคือกิเลส ชะล้างกันก็ค่อยสะอาดขึ้นมาๆ ควรจะมีอรรถมีธรรมชะล้างเราวันหนึ่งๆ เช่นวันพระวันโกน วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ ตามพุทธบัญญัติ ท่านทรงบัญญัติไว้เพื่อความผ่อนผันสั้นยาวแก่พุทธบริษัทจะได้มีโอกาสไปบำเพ็ญความดี พักผ่อนจิตใจซึ่งเป็นตัวหมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน ด้วยศีลด้วยธรรมเสียบ้าง จิตใจจะมีความสงบ จึงมีวันพระวันโกน
โลกสากลทั่วๆ ไปที่ถือศาสนาหรือไม่ถือก็ตาม เขาก็ถือวันเสาร์-วันอาทิตย์เป็นวันว่างงาน วันว่างงานทั่วๆ ไป ส่วนความว่างของแต่ละคนๆ จะเอาไปทำประโยชน์อะไรก็แล้วแต่ มันมีว่างอยู่นี้ เราก็ควรจะให้มีว่างบ้าง คิดจากตื่นนอนกระทั่งถึงหลับหนักมากไหม เหยียบตั้งแต่คันเร่ง ไม่ได้เหยียบเบรกห้ามล้อ มันก็เป็นไฟไปได้ ความคิดความปรุงตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ ถ้าไม่มีหลับแล้วมนุษย์ตายง่ายที่สุด นี้เอาความหลับนอนเป็นเวลาพักเครื่องของธาตุของขันธ์ นอน ตื่นขึ้นมาทีนี้เริ่มทำงานๆ
เราก็เอาวันเช่นนี้ร่างกายของเรานี้แหละไปบำเพ็ญความดีงาม เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ เรียกว่าพักเครื่อง ไปบำเพ็ญศีลธรรม เช่นไปวัดไปวา หรือไปทำภาวนา ทำความสงบใจที่มันเป็นตัวหมุนติ้วๆ ตลอด ให้สงบได้ด้วยธรรม ธรรมจะเป็นธรรมบทใดก็ตาม เป็นเบรกห้ามล้อได้เป็นอย่างดี พุทโธก็เป็นเบรก ธัมโมหรือสังโฆ หรือคำบริกรรมใดก็ดี เป็นเบรกห้ามล้อคือกิเลสพาหมุนนั้นได้เป็นอย่างดีๆ นี่ละวันเสาร์-วันอาทิตย์หรือว่าวันพระวันโกน ผู้เสาะแสวงหาความดีงามจึงหาวันว่างอย่างนี้ เพื่อทำความสงบใจแก่ตนเอง จิตใจเมื่อมีความสงบร่มเย็นแล้ว นั่นละโลกจะมีความหมายที่ใจมีความสงบร่มเย็น
ถ้าใจหาความสงบไม่ได้นี้มืดกับแจ้งมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์มีความหมายอะไร เราสร้างความหมายเพื่ออะไร เราสร้างความหมายเพื่อความมืดความแจ้งหรือ ความมืดความแจ้งมันมีมาตั้งแต่เรายังไม่เกิด สร้างความหมายให้ตัวของเรา ที่เกิดมาแบกกองทุกข์มา เอาความสุขชะล้างมันให้มีความสงบเย็นใจบ้างด้วยศีลด้วยธรรม ศีลธรรมก็คือศาสดาองค์เอกเป็นผู้มาประกาศสอนโลก มอบมรดกอันล้นค่าให้พวกเราชาวพุทธได้นำไปปฏิบัติในวันที่ว่าง อย่างน้อยวันว่าง มากกว่านั้นให้มันว่างด้วยศีลด้วยธรรมไปตลอดยิ่งดี ไปประพฤติปฏิบัติตนบ้าง
เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธเรานี้รู้สึกเหินห่างจากอรรถจากธรรมมากทีเดียว มองหาคนทั้งคน มองหาพระหาเณรในวัดในวาแทบมองไม่เห็น ถ้ามองดูประชาชนก็เหมือนเปรตเหมือนผี มองดูเราก็เหมือนมูตรเหมือนคูถ คือมองดูพระก็เหมือนมูตรเหมือนคูถ มองดูวัดนั่นคือส้วมคือถาน สิ่งที่อยู่ในส้วมในถานคืออะไร ก็มีแต่มูตรแต่คูถคือพระเณรที่ปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนว หาสาระที่น่ากราบไหว้บูชาไม่ได้ มีแต่สิ่งที่เลวร้ายเต็มหัวใจพระ แสดงออกมาทางกายวาจามีตั้งแต่มูตรแต่คูถเต็มตัวของพระของเณร แล้วในวัดนั้นก็กลายเป็นส้วมเป็นถาน บรรจุมูตรคูถคือพระเณรที่เลวร้ายไว้เสียทั้งหมด แล้วเป็นที่เจริญใจที่ไหน พิจารณาซิ
นี่ละเทียบเข้ามา เอาทีนี้ย่นเข้ามา ร่างกายของเรานี้มันจะเป็นของสกปรกโสมมก็ตาม แต่บรรจุธรรมไว้ในนั้น เหมือนกับวัดนี้บรรจุพระเณรที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเอาไว้ วัดนั้นก็เป็นวัดที่น่ากราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ กลับมาบ้านแล้วยังคิดถึงวัด เพราะเป็นที่สงบร่มเย็น มองเห็นพระเจ้าพระสงฆ์งามหูงามตาไม่แสลงแทงใจ ให้เกิดความไม่เป็นมงคลขึ้นมาในใจ เป็นความทุกข์ ตำหนิติเตียนพระที่ทำไม่ดี ซึ่งก็เป็นความตำหนิถูก แต่ก็ไม่พ้นที่จะเอาทุกข์เข้ามาเผาตัวเอง เพราะความตำหนินั้นจนได้นั้นแหละ
ไปที่ไหนให้มีความเย็นตาเย็นใจบ้างซิ ธรรมพระพุทธเจ้ามีที่แสลงตาแสลงใจตรงไหน เอามาค้าน พวกกองทัพกิเลสอยู่ในวัฏวนนี้มีแต่กองทัพกิเลส ธรรมของพระพุทธเจ้าเอาออกมากาง ชะล้างมันลงไปกองทัพกิเลสที่สกปรกด้วยความประพฤติ กาย วาจา ใจนี้ให้สะอาดสะอ้านลงไป อยู่ด้วยกันก็ผาสุกเย็นใจๆ เราไม่ต้องเอาที่อื่นที่ใด ให้เราปฏิบัติธรรม อยู่ในตัวของเรานี่ไปที่ไหนก็เย็นๆ นี่ละผู้มีธรรมมากน้อยเย็นนะ เช่นได้ไปในวัดมองเห็นพระเจ้าพระสงฆ์น่าเคารพเลื่อมใส ไม่แสลงตาแสลงใจด้วยความประพฤติเลวร้ายของพระของเณร เห็นแต่ความเป็นมงคลที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มาแล้วก็มาเป็นสิริมงคลแก่จิตใจอยู่โดยดีๆ
นี่ละธรรม ที่ไหนที่แสลงแทงใจไม่มี มีแต่กิเลสนั่นละไปที่ไหนแสลงแทงใจเพราะกิเลส เพราะธรรมไม่มี แต่โลกไม่ต้องการธรรม สู้กิเลสไม่ได้ จึงวิ่งหาแต่เรื่องกิเลส ก็เท่ากับวิ่งหาฟืนหาไฟ หามูตรหาคูถมาโปะตนเองให้เหม็นคลุ้งไปหมด ให้พากันพินิจพิจารณานะ เราเป็นชาวพุทธควรจะมีการหักห้ามจิตใจเราจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย คือการทำบาปทำกรรม ทำมาเท่าไรก็ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เหมือนไฟเอามือจี้เข้าไปร้อนทั้งนั้น จะมือใครก็ตาม มือเทวดามาก็ร้อน อย่าว่าแต่มือมนุษย์เราเลย ไฟไม่เข้าใครออกใคร ความชั่วไม่เข้าใครออกใคร ความดีไม่เข้าใครออกใคร ขอให้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีจะเป็นคนดีได้ด้วยกัน
อย่างธรรมที่ว่าพระพุทธเจ้าเลิศเลอ พระสงฆ์สาวกเลิศเลอ ท่านเลิศเลอแล้ว เราเอาท่านเป็นที่สักการะบูชา กราบไหว้เป็นขวัญตาขวัญใจแล้วนำธรรมนั้นมาปฏิบัติตนเพื่อให้เป็นความสงบร่มเย็นแก่ตัวเราและครอบครัวของเรา อย่างน้อยในครอบครัวของเราแต่ละคนๆ ก็สงบร่มเย็นถ้านำธรรมมาปฏิบัติ ถ้าเอากิเลสตัณหามาปฏิบัติแล้วแหลก สุดท้ายผัวเมียเจอกันนี้ว่าคู่รัก คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย มันเป็นคู่เดือดคู่แค้นกันได้เพราะกิเลส เข้าใจเหรอล่ะ ถ้าลองกิเลสแทรกตรงไหนครอบครัวนั้นแตก ผัวเมียแตกกัน อย่างน้อยร้าวราน ให้เกิดข้อระแวงแคลงใจ สงสัยกัน
เมื่อคืนนี้ไปไหน เมียถาม ไอ้ตัวแสบนั่นก็ว่าไปฟังเทศน์ เมียมันสงสัยก็ถาม เมื่อคืนนี้ไปไหนไม่เห็น ไปฟังเทศน์ แหม พระท่านเทศน์ดีนะ มันเอาเรื่องธรรมมาโกหกเมียมัน แล้ววัดไหน ไม่บอกละเดี๋ยวเราจะเป็นกบเฝ้าบ้าน เมียจะไปฟังเทศน์เสียหมด นั่นมันหาทางออก เข้าใจไหม นี่ไอ้ตัวกิเลสเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าธรรมแล้วตายใจได้เลยๆ คำสัตย์คำจริง เรากับเมียเราเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นทองแท่งเดียวกัน ทำผิดเมียก็ผิดเรา ศาสนาท่านสอนอย่างนั้น ไม่มีที่ว่าลับหูลับตา นตฺถิ โลเก รโห นาม ขึ้นชื่อว่าที่ลับไม่มีในโลก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วทั้งที่แจ้งที่ลับ ธรรมท่านไม่มีที่แจ้งที่ลับ ทำแล้วเป็นอันทำทั้งดีทั้งชั่ว
ให้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติ เปิดเผยตัวเองตลอดเวลา อย่าทำความลี้ลับแก่ตนเองแล้วไปหลอกคนอื่น ว่าไปฟังเทศน์มา นี่หลอกคนอื่น ตาเขาก็ตาคน ใจเขาก็ใจคน มันจะใจคนแต่เราคนเดียวหรือ ไปหลอกเขาได้ที่ไหน ถ้าเป็นธรรมแล้วไม่ต้องถามกัน มันตายใจกันตลอดเวลา นี่ละธรรมเป็นที่ตายใจได้ ขอให้นำธรรมไปปฏิบัติท่านทั้งหลายจะอบอุ่น เงินทองข้าวของเราเกิดมาเราไม่ได้เกิดมากับกองเงินกองทอง เกิดมาจากท้องแม่ของเรา ตัวล่อนจ้อนๆ เหมือนกัน ปฏิบัติตัวให้ดีก็ดีไปเลย ถ้าเลวก็เลวไปที่ตัวของเรา เอาตรงนี้ให้ดี ฟิตตัวให้ดี ถ้าดีตรงนี้แล้วจะค่อยดีไป
เวลานี้พุทธศาสนากำลังห่างเหินจากพี่น้องชาวพุทธเรามากมายทีเดียว อย่าว่าตั้งแต่ประชาชน แม้แต่พระก็เหมือนกัน เวลานี้ดีที่วัดเราเขาไม่ไปติดป้ายไว้หน้าวัด แล้วเขียนการ์ตูนไว้ด้วย ติดป้ายไว้หน้าวัด เช่นหน้าวัดป่าบ้านตาด เขาติดป้ายไว้ว่า นี่คือสถานที่อยู่ของเปรตของผีของมูตรของคูถ เขาติดป้ายไว้นั้นน่ะ เข้าใจไหมล่ะ มูตรคูถคืออะไร คือพระเณร สถานที่อยู่ของเปรตของผีตัวเลวร้ายก็คือพระคือเณรหาความเป็นสิริมงคลไม่ได้ เขาติดไว้นั้นแล้วอ่านแล้วเป็นยังไง
นี่เราพูดย่อๆ นะ ถ้าจะขยายการ์ตูนนี้ออกมานี้ทั้งวัดเป็นการ์ตูนทั้งหมด เพราะพระเณรมีแต่พระเณรเลวร้ายใช้ไม่ได้เลย นี่เขาไม่ได้ติดการ์ตูนไว้ตามวัดต่างๆ ก็ยังดี เขายังบอกว่าวัดนั้นวัดนี้ เขาไม่ได้บอกว่า นี่ส้วมใหญ่ส้วมชื่อว่างั้นส้วมชื่อว่างี้ ส้วมวัดป่าบ้านตาด มูตรคูถคือพระคือเณรในวัดป่าบ้านตาด แล้วติดไปทุกวัดทุกวาดูได้ไหม แต่ความประพฤติมันเป็นอย่างนั้น แล้วประพฤติได้ทำได้แต่ไม่อยากให้คนอื่นเขาตำหนิมีอย่างเหรอ เจ้าของยังทำได้ชอบทำได้ คนอื่นเขาตำหนิไม่ได้มีอย่างเหรอ
เพื่อไม่ให้เจ้าของได้ตำหนิตนเพราะการทำชั่วให้ทำความดี เมื่อเราทำความดีแล้วใครจะตำหนิติชมก็ตามเถอะ มันเป็นปากเขาออกมาจากใจเขาน้ำลายเขานั้นแหละไม่ได้มาแปดเปื้อนเรา มันเป็นขึ้นจากผู้สร้างผู้ทำความแปดเปื้อน บาปกรรมทั้งหลายอยู่กับผู้ตำหนิติเตียน ความเป็นมงคลอยู่กับผู้พูดชมเชยสรรเสริญตามหลักความจริง ให้ท่านทั้งหลายจำเอา ให้ส่งเสริมตัวให้เป็นคนดีอย่ามีที่ลับที่แจ้ง บาปบุญไม่มีที่ลับที่แจ้ง กิเลสกับธรรมไม่มีที่ลับที่แจ้ง อยู่กับตัวของเราเอง ทำที่ไหนเป็นที่นั่น เป็นบาปก็เป็นได้เป็นบุญเป็นได้ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ พูดมากกว่านี้มันก็หมดโวหาร หลวงตานี้เป็นหลวงตาประถม ๓ เทศน์มากไปๆ มันจะขายภูมิตัวเอง ทีนี้จะให้พร
(นักเรียนอุดรพิทย์ ชั้น ม.๖/๙ ๔๘ คน ครูหนึ่งคน ทำบุญ ๖๐๐ บาทครับ) บรรดาลูกหลานนักเรียนมาฟังให้ดีนะฟังเทศน์ ได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่ใจใจเป็นมงคลนะ มีแต่เสียงเปรตเสียงผีเข้าสู่จิตใจใจเป็นยักษ์เป็นผีเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันได้ ถ้าใจเป็นธรรมได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมเป็นน้ำดับไฟเข้าไป ใจจะพากันสงบร่มเย็นไปทั่วโลกนั้นแหละ ธรรมเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร มีตั้งแต่เสียงเปรตเสียงผีเข้าหัวใจเผากัน ไม่มีเสียงอรรถเสียงธรรมไปชโลมใจหรือน้ำดับไฟบ้างเลยไม่ดี ลูกหลานให้จำให้ดี ให้ปฏิบัติ
นี่พวก ม.๕ ม.๖ มาของเล่นเมื่อไร หลวงตานี้เรียนจบ ป.๓ หลวงตาบัว หลวงตาประถมสาม ฟังทางนั้น ม.๖ หลวงตาผู้สอนอยู่เวลานี้เป็นหลวงตาประถม ๓ คือแต่ก่อนไม่มีประถม ๔ มีเท่านั้น เรียนจบประถม ๓ แล้วออกเลยๆ ประถม ๔ ไม่มี ต่อมาเขาก็ต่อกันไปถึงไหนก็ไม่รู้ นี่เล่าให้ลูกหลานฟัง ที่ได้มาสอนลูกหลานนี้ก็หลวงตาประถม ๓ เอาขยับเข้าไป ประถม ๓ เดี๋ยวก็จะสามๆๆ ไปเรื่อย หลวงตานี้มันเป็นสามแล้วนะเดี๋ยวนี้ เรียนประถมโลกก็เป็นประถม ๓ จากนั้นนักธรรมตรี โท เอก ก็สาม แล้วเปรียญมหาก็ ๓ ประโยค เลยสามเรื่อยเป็นเก้าแล้วนะนั่น รวมกันแล้วมาสอนลูกหลานได้อย่างละสามๆ ได้มาสอนลูกหลาน เป็นเก้านะนั่น
เดี๋ยวนี้วิทยุ ๙๕ แห่งแล้ว นับว่ามากโดยลำดับ เราก็พอใจ คือธรรมะส่วนมากจะออกจากเรา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีหลายท่านหลายองค์ ท่านก็ช่วยบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนที่จะแบกให้หนักจริงๆ ก็คือเรามักออกหน้าอยู่ตลอดๆ ไม่ว่าสถานีใดเราต้องเหมือนว่าเป็นแนวหน้า เราก็พอใจ แนวหน้าของธรรมที่เราออกนี้ เราออกเป็นที่พอใจแม่นยำภายในจิตใจ ไม่ผิด เพราะคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นจากที่นี่ รู้เห็นได้มากได้น้อยจนเต็มหัวใจก็ออกจากที่นี่ จึงไม่เคยมีคำว่าสะทกสะท้านว่าจะผิดไป ธรรมที่เราออกสอนโลกที่ว่า ๙๐ กว่าสถานี เอ้า ร้อยก็ร้อยเถอะว่างั้นเลย
ธรรมประเภทนี้ไม่ได้ออกง่ายๆ นะ เหตุใดจึงไม่ได้ออกง่ายๆ เพราะไม่มีใครปฏิบัติคุ้ยเขี่ยขุดค้นพอที่จะออกมา พระพุทธเจ้าเป็นปฐมฤกษ์มหามงคลใหญ่ คุ้ยเขี่ยได้มาเป็นศาสดาเอก พระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็รองศาสดาเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คุ้ยเขี่ยขุดค้นออกมาประกาศธรรมสอนโลก นี้ก็อยู่ในเครือข่ายของ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ถ้าจะอ้างนะ ใครไม่อ้างก็ตามเราเป็นที่พึ่งของเราพอตัวแล้ว เราไม่หาอะไรอีกแล้ว นี่ละเอาธรรมอันนี้มาสอนโลก เราจึงไม่เคยสะทกสะท้าน จ้าอยู่ในหัวใจนี้มาได้เท่าไรปี เคยพูดแล้ว ๕๖ หรือ ๕๗ ปี นี่เรายังไม่ลืม
แต่ก่อนพอไปวัดดอยธรรมเจดีย์ พอไปปั๊บจะขึ้นเลย ขึ้นไปสถานที่ของเราที่สมบุกสมบันหั่นแหลกกับกิเลสขาดสะบั้นกัน บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ กุฏิตรงนั้นแหละ ขึ้นเลยแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ขึ้นไม่ได้ ไปก็ถึงแค่ข้างล่าง นั้นละตั้งแต่นั้นมา เป็นยังไงความรู้ความเห็นประเภทนั้นเราก็ไม่เคยเกิดเคยเห็น ได้เกิดขึ้นแล้วในคืนวันนั้น แล้วนำธรรมะเหล่านี้ที่ออกมาสอนอย่างไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ในสามโลกธาตุนี้เหนือหมดเลย เป็นอย่างนั้นละธรรมถ้าลงได้จ้าขึ้นหัวใจแล้วเหนือหมด ท่านจึงว่าธรรมสอนโลกๆ โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก มันเป็นอยู่ที่ใจนี้เหนือหมดเลย
พระพุทธเจ้าสอนโลกเพียงพระองค์เดียว สามโลกธาตุเป็นศาสดาทั้งหมด สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราก็เป็นครูสอนโลกได้เช่นเดียวกัน แล้วธรรมนี้เป็นธรรมประเภทเดียวกัน ออกมาจากหัวใจเป็นธรรมอันเดียวกันสอนโลกไม่ได้มีเหรอ พากันจำเอานะ การพูดนี้เราไม่ได้พูดเพื่อความโอ้อวดอะไร แม้แต่เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยมี นอกจากความเมตตา เรื่องความเมตตานี้ครอบโลกธาตุ เป็นขึ้นมาเองทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นวัดนี้จึงไม่มี บอกตรงๆ ถ้าเราไม่ตายไม่มี ตายแล้วจะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ เพราะอะไร มันแบอยู่อย่างนี้ละอำนาจแห่งความเมตตา กวาดๆๆ ความเมตตา
มันเป็นขึ้นมาเองนะ ใครไม่คาดไม่คิดขอให้เจอเข้าก็รู้เองที่ว่าธรรมอัศจรรย์ พระเมตตาสุดส่วนคือศาสดาองค์เอก ดังที่ว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์แก่สัตว์โลกไม่มีประมาณเลย นั่นขึ้นเอง อันนี้พอเปิดจ้าขึ้นมานี้มีแต่ความเมตตานิ่มไปหมดเลย อ่อนนิ่มไปหมดความเมตตา มันก็เป็นขึ้นมาเองจะให้ว่าไง ให้เป็นขึ้นที่หัวใจใครก็เถอะน่ะ มันพูดขึ้นมาได้เอง ไม่เคยคิดสะทกสะท้านว่าสูงไปต่ำไปไม่มี บอกว่าธรรมเหนือโลกแล้วพอ เป็นอย่างนั้น
จ่ายตลอดนะ เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ที่บึงกาฬจะเป็น ๓ ล้านละ ที่ภูเขียวจะ ๑๐ ล้าน กำลังเริ่มแล้วเวลานี้ อำเภอเพ็ญพึ่งเสร็จมา อำเภอเพ็ญบักหมาวิชัย อำเภอเพ็ญเป็นอำเภอของหมาวิชัย มันเหยียบหัวหลวงตาไปบักห่านี่น่ะ เข้าใจบ่ บักหมาวิชัยบักห่านี่น่ะ มันออกทั่วโลก เราไปทำคุณประโยชน์แก่โรงพยาบาลมากขนาดไหน เราไม่ได้ลืมนะหมาวิชัยนี้เองมาทำปัญหาสร้างปัญหาขวางหน้าเรา เราเข้าไปขอนั้นขอนี้ ฟาดเสียเป็นหลายๆ ล้านพอเข้าไปเท่านั้น ห้องผ่าตัดห้องอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด ดูเหมือน ๓ ล้านหรืออะไรในห้องทั้งเครื่องทุกสิ่งทุกอย่างเราให้หมดดูเหมือน ๓ ล้านกว่า
ทีนี้พอเดินออกมามันเอารถโปเกเข้ามาขวางหน้าไว้ บักห่านี่น่ะ หมาวิชัยนี่น่ะ มันเอารถโปเกมาให้ แล้วจะทำยังไงก็รถนี้ใช้ไม่ได้เลยมันยังเอามาขวางหน้า คือขอรถเรา ตกลงเราก็เลยให้ทันทีเลย เมื่อเร็วๆ นี้ทางตำรวจอำเภอเพ็ญเหมือนกัน นั่นก็มาขอตึกอะไรต่ออะไร นี่เราก็ให้อีก ให้เร็วๆ นี้ ให้หมาวิชัยนี้มากต่อมาก มันยังเหยียบหัวเราไปได้สบายๆ บักห่านี่มันเกิดมาจากโคตรใด๋บุ๊บักนี่น่ะ นี่ออกแล้วเข้าใจไหม เอ้า เวลาจะพูดมันต้องออกเต็มเหนี่ยวซิ ก็มันเป็นอย่างนั้นจะให้เราว่าไง เราช่วยมากที่สุด แล้วมันเหยียบหัวเราไป มันเหยียบหัวไปเพื่ออะไร เพื่อเก้าอี้รัฐมนตรีบักห่านั่น มันเห็นเก้าอี้ดีกว่าธรรม เข้าใจไหม เอาละมากกว่านี้พวกลูกศิษย์ลูกหาจะรุมตีเรา เราจะไปละ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|