เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
วัตถุช่วยโลก ธรรมช่วยหัวใจ
ก่อนจังหัน
การจัดอาหารจะมากจะน้อยอะไรก็ตามที่พระท่านจัดแยกเข้าไปในครัว ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นใจพระนะ พระท่านทำเป็นธรรมอย่างยิ่งแหละ ทุกอย่างๆ จะให้สม่ำเสมอ หากจะผิดพลาดไปประการใดก็ไม่มีเจตนา จึงให้อภัยกันด้วยนะ ท่านพยายามสุดขีดแหละ ผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องท่านจัดท่านทำให้สม่ำเสมอ แต่อาจจะไม่เสมอก็ได้เพราะมันมากต่อมาก ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ การอยู่การกินการอะไรอย่าถือเป็นสำคัญ ให้สำคัญอยู่ที่หัวใจกับธรรม นี่ละสำคัญ
ดังที่พระกรรมฐานท่านเข้าไปอยู่ในป่าในเขา ท่านสนใจกับอาหารอะไรนักล่ะ บิณฑบาตได้ข้าวเปล่าๆ มา บางทีก็มีห่อหนึ่ง เขาเอาปลาร้าห่อมา ปลาร้าดิบ เอาไปแล้วก็เอาออกเสียกินไม่ได้ ท่านก็ไม่สนใจ ความมุ่งต่อธรรมของท่านรุนแรงๆ อันนี้ให้พากันมุ่งต่อธรรม อย่ามุ่งต่ออาหารการกิน ฐานะสูงต่ำของตัวเองที่เอามาวัดมาเทียบกับวัดกับวาไม่ได้นะ เอาโลกมาเทียบกับธรรมไม่ได้ เราอยู่ที่นั่นฐานะของเราเป็นอย่างนี้ ฐานะของเราเป็นอย่างนั้น มาอยู่ที่นี่เหมือนเศษเหมือนเดน นี้เป็นความคิดผิดของผู้มา เอากิเลสมาอวดธรรม ผู้มุ่งต่อธรรมแล้วจะไม่เอาอะไรให้เหนือธรรมไป
อยู่ยังไง กินยังไง ไปยังไง พอเป็นพอไปพอแล้ว แต่ธรรมกับใจไม่ให้พรากจากกัน หมุนติ้วๆ นี่ละผู้มาปฏิบัติธรรม ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ การจัดแจงอาหารผู้จัดท่านก็จัดเป็นธรรมอย่างยิ่ง มันอาจจะบกพร่องไปบ้างก็ต้องให้อภัยท่านด้วย แล้วให้มุ่งต่ออรรถต่อธรรม อย่ามุ่งต่อการอยู่การกินพุงหลวงใช้ไม่ได้นะ ถ้าพุงหลวงไปที่ไหนทะเลาะ ถ้าเป็นธรรมไม่ทะเลาะ มีอะไรกินได้กินไป พากันจำเอาทุกคนๆ
เราก็ดู ดูพระท่านจัด ท่านจัดอย่างเป็นธรรมๆ อย่างยิ่ง แยกทางไหนๆ พระเลยจะตาย ท่านจัดแยกโน้นแยกนี้ๆ เราเป็นผู้คอยดูแลสอดส่อง ถามนั้นถามนี้ เราก็เป็นพ่อครัวใหญ่เหมือนกันดูนั้นดูนี้ เพื่อให้สม่ำเสมอนั้นแหละ ผู้มาปฏิบัติธรรมให้เล็งธรรมมากกว่าอย่างอื่น อย่าเอาสิ่งใดมาอวดธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของโลก วัตถุต่างๆ เป็นเรื่องของโลก อย่าเอามาอวดธรรม ธรรมมีในใจสง่างาม อยู่ไหนสบายหมด สำคัญตรงนี้แหละ ถ้าเอาวัตถุมาอวดธรรมแล้วเหลวไหลโลเล เลว ถ้าเอาธรรมเหยียบสิ่งทั้งหลายไปแล้วสบายมากๆ พากันจำเอา
พระก็ให้ตั้งใจภาวนา เข้มงวดกวดขันในตัวเองทุกคนๆ การภาวนาเป็นสำคัญ เรื่องสติๆ เราเคยพูดตลอด ปราศจากสติไม่ได้นะ สติตั้งแต่พื้นๆ จนถึงมหาสติมหาปัญญา กิเลสขาดสะบั้นไปจากสตินี้ละ สติปัญญาๆ ต่อไปก็กลมกลืนเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติเป็นมหาสติมหาปัญญาไปเลย นี่ละความเพียร อันนี้ละฆ่ากิเลส อย่างอื่นฆ่าไม่ได้ เอาละให้พร
หลังจังหัน
เมื่อวานนี้ก็ไปไกลนะบึงกาฬ ดูเหมือน ๓๐๒ กิโลจากนี้ไปอำเภอบึงกาฬ รถวิ่งขาไป ๒ ชั่วโมง ๒๐ นาที ขากลับ ๒ ชั่วโมง ๑๐ นาที คือขาไปแวะซื้อนั้นซื้อนี้ จอดนั้นจอดนี้ ขากลับมาไม่แวะเลย จากนู้นพุ่งถึงวัดเลยเร็วกว่าขาไป ๑๐ นาที เพราะขาไปแยกเอานั้นเอานี้ตั้งแต่อุดรไปหนองคายพวกอาหาร เฉพาะอย่างยิ่งพวกไก่เขาขายตามแถวทาง เก็บเอาหมดเลย มีเท่าไรๆ กว้านเอาหมดเลย จนกระทั่งรถจะไปไม่ได้ จอดนั้นจอดนี้ไปอย่างนั้น พอเทของลงปั๊วะแล้วออกจากนั้นก็มาเลย
อันนั้นเขาก็มุงตึกสามตึก เครื่องมุงเสียหมดเราก็ตกลงให้แล้ว เขามุงแล้วเวลานี้ มุงได้เยอะแล้ว ที่มุงให้ทั้งหมดเลยดูว่าประมาณ ๒ ล้านกว่า บึงกาฬโรงพยาบาลใหญ่ด้วย ตั้ง ๙๐ เตียง อะไรต่ออะไรช่วยเยอะ รถยนต์ก็ให้อะไรก็ให้ เครื่องมือแพทย์ เวลานี้กำลังให้เครื่องมุงตึกสามหลังทั้งหมด เราให้ใหม่หมดเลย นี่ก็จ่ายกันไปแล้ว จ่ายเป็นงวดๆ ไปอันนี้แห่งหนึ่ง ทีนี้ทางภูเขียว ทางภูเขียวก็มาติดต่อ ดูว่าวันพฤหัสจะมาตกลงกันกับช่าง ไปทางภูเขียวอีก อันนี้เป็นตึกสองชั้นหรือเท่าไรก็ไม่ทราบ วันพฤหัสจะมาตกลงกับช่าง
ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นละเรา โรงพยาบาลนี้เลยกลายเป็นพ่อแม่กับลูกไปนะ โรงพยาบาลต่างๆ พอเห็นเรานี้เหมือนลูกเห็นพ่อเห็นแม่ วิ่งรุมมาเลย พอมาก็คนนั้นขาดนั้นคนนี้ขาดนี้ เอาแยกให้ๆ เป็นอย่างนั้นละ ช่วยขนาดนั้น เรียกว่าไม่มี มีแต่สิ่งที่จำเป็นที่เราจะช่วยๆ อย่างนั้นตลอดเลย
การเสียสละเพื่อน้ำใจของกันและกันที่อยู่ร่วมกัน เป็นสิ่งที่จะทำให้แน่นหนามั่นคง สมัครสมานตายใจกันได้ ความเสียสละเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร เป็นเรื่องใหญ่โตมาก แต่ความตระหนี่ถี่เหนียวนี้มันเป็นก้างขวางคอ ไปไหนขวางไปหมด การเสียสละนี้เปิดทางโล่งๆ เลย อย่างเรากับโรงพยาบาลนี้เขาเลยถือเป็นพ่อแม่กับลูกไปนะ พอเห็นรถเราเข้าปุ๊บนี่พรึบมาเลย คนนี้ถือสมุด คนนี้ถือบัญชี สมุดนั้นบัญชีนี้ อันนี้ขาดนี้ อันนั้นขาดนั้น เป็นอย่างนั้นนะ เอาแจง เราไม่ว่าอะไร เขาจะมาแจงเรื่องเขาจำเป็นขอ เอาแจงมา อันไหนจะให้ก็บอกว่าให้ อันไหนไม่ให้ก็บอกไม่ให้ ขู่ด้วย เป็นอย่างนั้นละ
ไปที่ไหนเหมือนกัน สิ่งก่อสร้างจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายบริจาคในการช่วยชาติคราวนี้ โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง มากที่สุดเลยโรงพยาบาล มีหลายอย่างอยู่ในนั้น พวกตึก พวกเครื่องมือแพทย์ พวกรถพวกรา บางทีที่ดิน ที่ดินคับแคบขยายให้ๆ บางแห่งซื้อให้หมดเลย มันแคบเกินไป เหมือนโรงพยาบาลไปอยู่ในครัวเรือนเขามีอย่างเหรอ ให้เขาติดต่อหาที่อื่นให้ เมื่อเขาตกขายแล้วซื้อให้เลย ยกไปเลย อย่างนั้นก็มี เราช่วย
อย่างนี้แต่ก่อนก็ไม่คิดนะ ที่เล่าเหล่านี้ นี่หมายถึงการช่วยโลกเราไม่เคยคิด มีแต่จะเอาตัวเองให้หลุดพ้นๆ อย่างเดียว อ่านตำราไปๆ อ่านถึงนิพพานๆ มรรคผลนิพพานสมัยปัจจุบันนี้จะยังมีอยู่ไหมน้า อ่านเรื่องมรรคผลนิพพานจากธรรมนั้นแหละ ธรรมก็มีอยู่นั้น แต่กิเลสมันแบ่งกินว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่หรือไม่น้า ทีนี้พอลงใจจากมรรคผลนิพพานโดยแท้จริงคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ชี้ป้างๆ เลย เปิดโล่งหมดเลย มรรคผลนิพพาน ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึง แต่เหมือนว่าเปิดจ้าไว้ที่หัวใจ อยู่ชั่วเอื้อมๆ แล้วที่นี่ คราวนั้นละ นี่ละคำว่าลงใจ ทุ่มเลยเชียว ลงหมดทุกอย่างแล้วกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะท่านเอาอย่างหนัก ท่านรู้เจตนา แล้วท่านกางเรดาร์ไว้ด้วย
มาก็จี้เข้าเลย ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลย ก็ไม่เคยเห็นท่านสักที เข้าไป ท่านมาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ นี่ละท่านกางมาเรียบร้อยแล้วกับเจตนาของเราที่มุ่งมั่นอย่างแรงกล้า มันก็รับกันละซิ แล้วก็ชี้ไป ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ปัดออกหมดเลยนะ จนกระทั่งครอบโลกธาตุไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ นั่นไล่ลงตรงนี้ เอา เปิดออกด้วยจิตตภาวนา เราไม่ลืมนะ พูดอย่างเด็ดเสียด้วย สมเจตนาที่เรามุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ เปิดจ้าขึ้นมาเลย โหย ฟังนี้จุใจนะ เปิดจ้าขึ้นมาเหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ
พอลงมาแล้วออกไปที่พักกุฏิ ยังไม่ถึงกุฏิเลย ว่าอย่างไรที่นี่ นั่นถามเจ้าของ มาหามรรคผลนิพพาน มาหาอรรถหาธรรม เป็นอย่างไรท่านแสดงวันนี้ถึงใจแล้ว เป็นอย่างไรเจ้าของจริงหรือไม่จริง ต้องจริง ขึ้นเลยทันทีนะเรา รับกันผึงเลย ไม่จริงตายเท่านั้น ต้องเอาให้ถึงนั้น ไม่ถึงนั้นตายก็ตาย นี่ละที่ว่ามันลงใจแล้วเป็นอย่างนั้นนะ นิสัยนี้ไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้นจึงเป็นนักโต้กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ถามครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของท่านมามากต่อมาก บอกไม่มีใครว่าอย่างนั้น ที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเหมือนเรา นั่นฟังซี เอากันเหมือนแชมเปี้ยนซัดกัน คือซัดหาความจริง ถ้ามันไม่ลง มันไม่ลงนะนี่ เป็นอย่างนั้นนะ มันคาราคาซัง ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าลงแล้วมันทุ่มเลย
พอฟังจากท่านแล้วถึงใจแล้ว ว่าอย่างไรที่นี่ เราจะจริงไหม ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นเอาละนะ นั่นละเราถึงได้ทุกข์ทรมานมาก ตั้งแต่ฟังเทศน์ท่านแล้วจะทุ่มใส่มรรคผลนิพพาน ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้จนได้ เป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องตายเท่านั้น นั่นกับความเชื่อมั่นในธรรมของท่านที่แสดงเข้าถึงใจแล้วมันก็เปิดกว้างละซิ ทีนี้เป็นตายไม่ว่าเลย มันสมใจนะ เป็นตายไม่ว่าแต่จะเอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ซัดกันใหญ่ จึงว่าหนักมาก ความเพียรของเรานี้รู้สึกว่าหนักมาก เราคิดย้อนหลังไปนี้ คือระยะนี้มันแก่แล้ว เราพิจารณาย้อนหลังไปตอนนั้นกำลังหนุ่มน้อย ความมุ่งมั่นก็เต็มหัวใจๆ มันก็พุ่งๆ เลย นี่ขยะ มันพิจาณาย้อนหลัง โห อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ คือทุกวันนี้ทำตายเลย เข้าใจไหม อันนั้นมันทำได้ๆ นี่ละคือความมุ่งมั่นมันรุนแรงมาก
ก็เคยพูดแล้ว จนเขาตีเกราะประชุมไปดูอดข้าวมันตายหรือยัง ก็เคยพูด พูดเอาความจริงมาพูด ไปที่ไหนเราก็เคยไป เมื่อเขาไม่ตีเกราะเราก็บอกไม่ตีเกราะ เรื่องของเราเป็นเรื่องของเราเรื่อยไป แต่ที่ไหนเขาตีเกราะประชุมเราก็มาเล่าให้ฟัง คือมันจริงมันจังมากทีเดียว พอจิตมันก้าวแล้วที่นี่ เพราะความมุ่งมั่นรุนแรงมาก จิตก็เริ่มได้รากได้ฐานๆ เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ อันนี้ท่านก็รั้งเอาไว้ คือนิสัยเรามันผาดโผน ถ้าว่าอยู่สมาธิก็เป็นหมูขึ้นเขียง ท่านลากลง
ทีนี้เวลาออกทางปัญญามันก็ออกไปเตลิดเปิดเปิง ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิไม่ได้แก้กิเลส เพียงตีกิเลสตะล่อมเข้ามาให้สู่ความสงบเท่านั้น ปัญญาเท่านั้นแก้กิเลส ทีนี้ก็พุ่งใส่ปัญญาละซิ เวลามันพุ่งแล้วมันก็ไม่มีเวลาหลับนอน มันจะเป็นจะตายจริงๆ ขึ้นหาท่าน พูดตามที่ท่านลากออกทางด้านปัญญา บอกว่ามันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน คือสติปัญญามันออกแล้วนะ มันออกอย่างไรท่านว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน นั่นละมันหลงสังขาร คือสังขารอันนี้มีทั้งสังขารฝ่ายมรรค สังขารฝ่ายสมุทัย ถ้าไปพอดีก็เป็นสังขารฝ่ายมรรค ถ้าเตลิดเปิดเปิงแล้วก็เหมือนกับเอามีดฟัน ทั้งเอาข้างลง เอาสันลง เอาคมลง มันไม่แม่นยำ ท่านให้อยู่ในความพอดีก็แม่นยำๆ มันหลงสังขาร สังขารสมุทัยเราไม่รู้ ตอนเวลาก้าวผ่านไปแล้วถึงมารู้ทีหลัง
นี่ก็เรียกว่าไม่ได้หลับได้นอนเลย ท่านก็รั้งเอาไว้ คือมันไม่พอดี มันเป็นมาแต่ท่านยังไม่ป่วยนั่นน่ะ ท่านรู้แล้ว เพราะฉะนั้นท่านพูดออกมาเลย นี่ในระหว่างที่เราตายนี่น่ะ จะมีพระหนุ่มสององค์รู้ธรรมตามเราอยู่สององค์ ได้ยินท่านพูดออกมาจริงๆ นี่นะ จะมีพระหนุ่มรู้ธรรมตามเราสององค์ แต่องค์ไหนไม่ทราบแหละ แต่ในระยะนั้นเรามันกำลังหมุนติ้วๆ จะใครก็ตามเถอะน่ะ หลังจากนั้นมาเดือนสามเผาศพท่าน เดือนหกก็เผาศพกิเลสเรา ใช่ไหมล่ะ ก็ไม่ได้ห่างกันอะไรนี่ นี่ละจึงได้ธรรมชาตินี้ขึ้นมาสอนโลก
แต่ก่อนมีแต่พุ่งๆ ใส่เจ้าของ เรียกว่าภูมิเรียนมานี้นักธรรมตรี-โท-เอก-มหาเปรียญไม่สอนใครเลย ผู้ใหญ่ท่านจะให้เป็นครูสอนทั้งฝ่ายนักธรรมทั้งฝ่ายบาลีไม่เอา เราจะนำธรรมที่เรียนมานี้ไปสอนตน บอกเท่านั้น แล้วไม่สอนใครเลยจริงๆ ไม่เคยเป็นครูสอนใคร ทางนักธรรมก็ดี ทางบาลีก็ดี ไม่สอน ไม่เอา ปัดทันทีเลย เราจะนำธรรมที่เราเรียนมานี้ไปสอนตน ก็ออกเลยตั้งแต่พรรษา ๗ สอบเปรียญได้พรรษา ๗ ก็ออกในพรรษานั้นเลยเรื่อย ๙ กับ ๗ เป็น ๑๖ พรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี นี่ที่ทุกข์มากที่สุดในระยะ ๙ ปีนี้ หมุนใส่ตัวเอง ไม่ได้หมุนกับใครเลย
เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้เป็นครูเป็นอาจารย์สอนใครนะ มันมีแต่หมุนตัวเองตลอดเวลา ความรู้มากน้อยนี้ไม่เคยไปสอนใคร ออก ๙ ปีนี้เข้าป่าทั้งนั้น อยู่ในป่าในเขา ที่จะสอนผู้สอนคนไม่เอา นอกจากเป็นความจำเป็นจริงๆ เราเดินธุดงค์ไปพักข้างบ้านเขา เขามีงานมีการในวัดเขา เขาก็ไปนิมนต์เรามาเทศน์ จำเป็นจริงๆ ก็ไปเทศน์ให้เสีย นานๆ จะมีทีหนึ่งเท่านั้น นอกจากนั้นมีแต่เทศน์สอนเจ้าของ พุ่งๆ เลย ตั้งแต่นู้นละ ที่ว่า ๒๔๙๓ ลงจากเวทีแล้วก็หาหลบซ่อน ไม่ได้ออกนะ แต่พระเณรหากรุมๆ คือรุมมาตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ แต่ก่อนเราไม่เคยสนใจว่าใครจะสนใจกับเรา
ท่านก็ช่วยด้วย เวลาลาท่าน จะไปกี่องค์ บอกว่าไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย ท่านเสริมมากทีเดียวเรื่องไปคนเดียวของเรา นอกจากนั้นไม่เห็นท่านเสริม ดีไม่ดีไปด้วยกันสององค์ ไปทำไม แต่อยู่นี้มันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตา มันจะไปตกหลุมไหนล่ะ ท่านว่าอย่างนั้นเสีย แล้วใครจะกล้าไปใช่ไหมล่ะ ไปทำไม ตั้งแต่อยู่ต่อหน้านี้มันก็ตกนรกให้เห็น แล้วออกไปนี้มันจะไปตกหลุมไหนล่ะ ท่านว่าเท่านั้นมันก็ถอยกรูดละซิ แต่กับเราท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้น พอว่าไปองค์เดียวเท่านั้นผางขึ้นเลยเทียว ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ชี้ส่ายนิ้วไปตามพระที่นั่งฟัง ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาไปองค์เดียว เป็นแต่อย่างนั้นทุกครั้ง ท่านเสริมตลอดเลย
เวลากลับมาหาท่านทีไรมีแต่หนังห่อกระดูก อายุ ๓๐ กว่ามันก็กำลังวังชาแน่นหนามั่นคง ธาตุขันธ์ต้องบังคับ อาหารบังคับตลอด ให้ฉันอิ่มไม่ได้ บังคับ พอฉันจังหันมีอาหารมากนี้กำลังวังชามี กิเลสแทรกขึ้นมาในนั้น ต้องได้ตีอาหารลงๆ กำลังวังชาก็อ่อนลง ธรรมก็ก้าวได้ สติก้าวๆ อย่างนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งลงจากเวทีวัดดอยธรรมเจดีย์ หาหลบซ่อนที่ไหนหมู่เพื่อนก็รุมตามๆ สุดท้ายก็เลยได้มาตั้งเป็นหลักเป็นแหล่งขึ้นมาเสียจนได้ มาเอาโยมแม่บวชก็ยิ่งไปใหญ่เลย จนกระทั่งทุกวันนี้จะไปที่ไหนมันได้ยินกระเทือนทั่วประเทศไทย นี่ก็พูดอยู่นี้
เราก็ไม่เคยคิดนะว่าเราจะได้สั่งสอนโลกกว้างขวางขนาดไหนดังที่รู้ๆ เห็นๆ กันอยู่นี้ ดังที่เป็นอยู่เวลานี้เลย เราไม่เคยคิดมันก็เป็นของมันเอง อย่างที่ว่าช่วยชาติเราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะช่วยชาติ แต่เวลามันเป็นขึ้นมามันหากเป็นในจิต พอมันเป็นขึ้นในจิตนี้มันก็หมุนติ้วเลย เอา จะช่วย นั่นขึ้นเลย ทีนี้ก็ออกทุกแง่ทุกมุม วัตถุนำหน้า ประชาชนรู้ทั่วหน้ากันหมด แต่ธรรมที่จะตามหลังซึ่งจะกว้างขวางลึกซึ้งมากมายนี้โลกเขาไม่รู้ ธรรมะจะได้ออกคราวนี้ นั่นมันรู้ไว้หมดแล้ว คราวนี้ธรรมะจะได้ออกสู่โลกไปพร้อมกับด้านวัตถุ
วัตถุเช่นอย่างทองคำนั่นเรียกวัตถุ ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด อะไรที่ช่วยโลกทุกแห่งทุกหนนั้นเรียกว่าด้านวัตถุ ประชาชนเขาจะทราบล่วงหน้าเลยอันนี้ แต่ธรรมเขาไม่ทราบ ส่วนเราทราบไว้แล้ว ธรรมะจะได้ออกสู่โลกคราวนี้แหละ วัถตุออกเพียงเล็กน้อย แต่โลกถือเป็นความเปิดเผยว่าวัตถุช่วยโลก แต่ธรรมช่วยหัวใจเพื่อช่วยโลกอันหนักหน่วงเขาไม่ได้คิด มันก็ออกอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ ทุกวันนี้ยังออกตั้ง ๙๕ สถานี (ยังไม่เป็นทางการ) เรียกว่าธรรมออกแล้ว ออกกระจัดกระจายไปจนกระทั่งถึงเมืองนอกเมืองนา ส่วนมากมีแต่ธรรมะของเรา ครูบาอาจารย์ท่านก็ช่วยบ้างเพียงเล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่เราเลยนำหน้าตลอด มันหากเป็นความจำเป็นที่จะเอามาเทศน์เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
เราเคยคิดเมื่อไรที่ว่าจะได้ช่วยโลกอย่างนี้ มันก็เป็นมาอย่างนี้จะว่าไง จนกระทั่งทุกวันนี้ละ แต่ก่อนมุ่งแต่ช่วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงว่าไม่สอนใครเลย ตรี โท เอก มหาเปรียญไม่เคยเป็นครูสอนใคร จะสอนตนบอกเท่านั้น ออกเลย แล้วก็สอนตนอย่างว่า หลังจากนั้นมาจึงได้เอาธรรมภาคปฏิบัตินี้สอนโลก นี่ธรรมภาคปริยัตินี้เพื่อเป็นแนวทางสอนตน ทีนี้พอเป็นผลขึ้นมาจากภาคปฏิบัติแล้ว ธรรมนี้ออกสอนโลกคือทางภาคปฏิบัติ การเทศนาว่าการจึงมีแต่ภาคปฏิบัติ
ถ้าคนไม่ได้พิจารณาและไม่ทราบสาเหตุมาก่อนแล้ว จะว่าเราคืออีตาบัวมันไม่ได้เรียน กอไก่ กอกา อะไรใช่ไหมล่ะ คือไม่เอาออกมาใช้เลย เอาตั้งแต่ธรรมะภายในออก คือเราเรียนนี้ความจำไม่ใช่สมบัติของเรานะ จำมาได้มากน้อยมันหลงลืมไปได้ๆ แต่ภาคปฏิบัติเอามาจากภาคเรียนนะมาเป็นแนวทางปฏิบัติ พอเกิดผลขึ้นมานี้เป็นสมบัติของตนล้วนๆ เลย เรื่อยเลย นี่ละออกสอนโลก ธรรมะที่เกิดเป็นผลจากภาคปฏิบัตินี้ออกสอนโลก จึงสอนได้ทั่วไปจนกระทั่งทุกวันนี้มีแต่ธรรมะภาคปฏิบัติ เปิดโล่งไปหมดเลย
มาว่าอะไรสอนมนุษย์ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมพูดถึงเมื่อไร นั่นละท่านเหล่านี้ท่านสงบท่านเงียบ เวลาเกี่ยวข้องกับพวกเทพก็มนุษย์ไม่มี เวลาเข้าเกี่ยวข้องกับมนุษย์นี้เทพท่านไม่มาเกี่ยวข้อง มนุษย์นี้ก็เลยเย่อหยิ่งเจ้าของว่ามีมนุษย์เท่านั้นนอกนั้นไม่มี เทวบุตรเทวดามากขนาดไหนยิ่งกว่ามนุษย์เรา นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านผู้มีตาในท่านเห็นซิ แต่จอมปราชญ์ท่านจะไปพูดอะไร ใครจะเชื่อไม่เชื่อท่านก็เอาความพอดีเข้าว่า ไม่ควรพูดท่านไม่พูด รู้เห็นขนาดไหนก็เหมือนไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย นั่นต่างกันนะผู้มีธรรมในใจ
ความเป็นธรรมกับความเป็นกิเลส ถ้าเป็นกิเลสอยากคุยอยากโม้อยากอวด ถ้าเป็นธรรมแล้วมีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ ถึงกาลเวลาที่จะออกหนักเบามากน้อยหากออกเองๆ ถ้าไม่ควรออกดึงออกก็ไม่ออก ถ้าควรจะออกทุ่มหมดทุ่มทันทีเลย เป็นอย่างนั้นนะธรรมภายในใจ กว้างขวางไม่มีขอบเขต ธรรมภายในใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มีขอบเขต ครอบโลกธาตุไปเลยเชียว นี่ละธรรมที่เกิดจากใจ ใจเป็นธรรมธรรมเป็นใจเป็นอันเดียวกันแล้ว เราจะไปคาดไม่ได้นะ เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น นี่ละพุทธศาสนาประกาศได้ลั่นโลกอยู่เวลานี้
อย่างที่หลวงตาบัวประกาศอยู่เวลานี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเราไม่เคยสนใจกับใคร พวกตาบอดว่างั้นถ้าให้พูดนะ พระพุทธเจ้าตาดีสาวกทั้งหลายตาดีมันไม่ยอมฟังเสียง ไปฟังเสียงแต่พวกตาบอด ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี สิ่งที่มีคืออะไร คือส้วมคือถานความสกปรกโสมมมันต่างคนต่างกอบต่างโกย ได้เท่าไรไม่พอๆ ตายแล้วยังเหลือแต่กระดูกเท่านั้นมันก็พอใจที่จะวิ่งเต้นขวนขวายหามา นั่นละตัณหา นตฺถิ ตณฺหาสมา นที มันพอเมื่อไรตัณหาคือความอยากความทะเยอทะยานดีดดิ้นไม่มีคำว่าพอ ตายแล้วก็เหลือแต่กระดูก ความทะเยอทะยานในใจยังมีอีกนะ
ส่วนธรรมของท่านว่าพอ พอจริงๆ ท่านสงบก็เย็นไปตามความสงบ ขั้นสมาธิเย็นไปตามขั้นปัญญา เวลาจะหมุนก็หมุนเต็มเหนี่ยวเพื่อฆ่ากิเลสตัวเป็นภัย พอฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมด มหาสติมหาปัญญานั้นยุติกึ๊กทันทีโดยอัตโนมัติไม่ต้องไปบังคับ นี่ละที่ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี ก็คืองานการอันใหญ่หลวง งานรื้อวัฏสงสารคือกองทุกข์ความเกิดตายจากหัวใจ ถอนนี้ออกหมดแล้วโล่งไปหมดแล้ว เรียกว่างานนี้สิ้นสุดแล้ว จากนั้นมาพระอรหันต์ไม่มีงานที่จะถอดถอนกิเลส
งานก็คือตัวยุ่งละมาทำให้มีงาน กิเลสมีมากมีน้อยยุ่งตลอด พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรยุ่ง ใช้กิริยากับโลกสมมุติก็ใช้ไปอย่างนั้น ไม่ได้หนักหน่วงถ่วงใจเหมือนกิเลส กิเลสนี้หนักหน่วงถ่วงหัวใจมากน้อยตามที่มันมีอยู่นั้นแหละ พอนี้สิ้นซากลงไปแล้วหมด ที่ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ หมด พระอรหันต์ท่านปล่อยหมด ท่านไม่มีงานอะไรที่จะมากวนใจท่าน พากันจำเอานะ ที่พูดเหล่านี้เป็นคำของศาสดาสอนโลก พระพุทธเจ้าสอนอย่างแม่นยำ ทรงไว้แล้วซึ่งมรรคผลนิพพาน ความพ้นทุกข์ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ อย่าพากันไปเที่ยวหากอบหาโกยเอาตามส้วมตามถานตลอดเวลา หาว่าเป็นของดิบของดีตลอด เอาละพอ
เราก็ไม่เคยพูดเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น นิสัยวาสนาท่านหนักทางทวยเทพทั้งหลาย ทางประชาชนนี้เกี่ยวกับเรื่องพระ ท่านอบรมสั่งสอนพระให้เป็นครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงาม นำธรรมนี้ออกสอนโลก องค์ท่านเองท่านไม่ค่อยได้สอน หลวงปู่มั่นเราท่านไม่ค่อยได้สอนประชาชน แต่ลูกศิษย์ของท่านอยู่ที่ไหนๆ เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ นี่ละออกสอนโลก ส่วนองค์ท่านเองสอนพวกทวยเทพเทวบุตรเทวดา เทพไม่ได้เว้นแต่ละคืนท่านว่างั้น พวกทวยเทพทั้งหลายมาฟังเทศน์ท่าน นี่เห็นไหมตาทิพย์ตาธรรมดูเห็นหมด พวกทวยเทพมาจนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหมมาหาท่าน สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น มาหมดไม่มีเว้นชั้นใด เป็นแต่เพียงว่าต่างวันต่างเวลาต่างวาระกันเท่านั้น หากมาหมดทั้งนั้น นี่ละท่านเทศน์สอนพวกเทพทั้งหลาย
ท่านบอกท่านไม่ค่อยได้ว่างกลางคืน นั่งสอนทวยเทพทั้งหลาย นี่ละองค์ท่านเองพูด เรามันนิสัยซอกแซก เวลาโอกาสดีๆ แล้วก็ซอกแซกถามท่าน ท่านจะเล่าให้ฟังๆ จะถามต้องระวังให้ดีเดี๋ยวนี้แตก จอมปราชญ์กับจอมโง่เข้าใจไหม เราจอมโง่ท่านจอมปราชญ์ เวลาจะถามท่านเรื่องอะไรต้องระวังให้ดี ค่อยสอดค่อยแทรก แล้วท่านก็เล่าให้ฟังเรื่อยๆ เลย ท่านทำประโยชน์ให้พวกทวยเทพมากยิ่งกว่าทำประโยชน์ให้มนุษย์ นี่ท่านพูดเองแหละ วันคืนหนึ่งๆ นี้มาเต็มหมดๆ เลย ส่วนมนุษย์ท่านไม่ค่อยได้ทำ แต่ลูกศิษย์ของท่านเป็นฝ่ายพระเจ้าพระสงฆ์ พวกประเภทเพชรน้ำหนึ่งเป็นอาจารย์สอนประชาชน ท่านสอนทวยเทพ ต่างกันอย่างนี้นะ เอาละที่นี่จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|