ติดสมาธิเป็นสมุทัย
วันที่ 12 มกราคม 2544 เวลา 9:00 น. ความยาว 42.37 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ติดสมาธิเป็นสมุทัย

          เทศน์วันที่ ๕ ตอนบ่ายพวกคณะครูฟังที่ว่า ครูทั่วประเทศไทยประมาณ ๖ แสนคน แต่เขาให้มาเพียงพอประมาณมันจะแออัดยัดเยียดเวลาไปมาในกรุงเทพ รถลำบาก เขาคัดเอามาเพียง ๕๐๐ แล้วรวมทั้งหมดคนฟัง กัณฑ์นี้ท่านทุยบอกว่าอยากให้พิมพ์ อย่ายุ่งเราก็ว่างี้ ยุ่งอะไร เขาจะพิมพ์ก็พิมพ์ของเขาเอง เราเทศน์แทบตายยังไม่ได้คิดอยากจะไป กุสลา ให้ ตายแล้วไม่ต้องไป กุสลา ให้พวกนี้ โยนเข้าไฟเลยถ้ามีไฟ ถ้าไม่มีไฟมีแต่น้ำ โยนลงน้ำเลยประเภทไม่เอาไหน ท่านบอกว่าเทศน์กัณฑ์นี้เรียกว่าเป็นประโยชน์ทั่วไปหมดในวงการต่าง ๆ ได้ทั้งนั้น ทั่วกันไปหมดกัณฑ์นี้ ท่านชอบมากท่านว่าท่านทุย เขาเคยพิมพ์มาก่อนแล้วนี่นะ ไม่เห็นบอกกัณฑ์ไหนดีไม่ดีเขาก็พิมพ์กัน

เดี๋ยวนี้หนังสือเรามันจะร้อยกว่าเล่มละมั้ง(ร้อยกว่าครับ) ร้อยกว่าแน่ ๆ แล้วที่พิมพ์นะ นี่ก็เทศน์ทุกวัน แล้วสุดท้ายมันก็จะไปเป็นหนังสือจนได้นี่นะ ออกอินเตอร์เน็ต ๆ นั่นซี อินเตอร์เน็ตนี้ออกทั่วไปเวลานี้ ในกรุงเทพที่ไหนมีอยู่ทั่วไปแล้วอินเตอร์เน็ต แล้วใครก็ถอด ๆ ใครอยากพิมพ์ก็พิมพ์ล่ะซี เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตแพร่หลายมากนะ หนังสือที่พิมพ์ก็ร้อยกว่าเล่มแล้ว ส่วนเทปนั้นเรียกว่ามากเหมือนกันนะ คือเทปนี้จะมากกว่าหนังสือ เพราะที่ไม่ได้ถอดก็เยอะ ๆ นะ หมายถึงว่าไม่ได้ถอดออกพิมพ์แจกทั่ว ๆ ไป ที่พิมพ์เป็นเล่มเก็บไว้เราให้เฉพาะผู้จำเป็น ๆ ในธรรมะที่เทศน์สอนพระ เป็นธรรมะขั้นสูงนี้มีไม่น้อยนะเทป

ที่อยู่ในวัดป่าบ้านตาดนี้ เรียกว่าคลังเทปแหละนะ ทั่วประเทศไทยกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นติดต่อมาทางนี้ ๆ สำนักเหล่านั้นได้หมดได้จากนี้นะ ได้แบบเงียบ ๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้ออกช่วยชาติบ้านเมือง คือเราไม่ได้ออกเปิดเผย แต่เทศน์ธรรมะที่สำคัญ ๆ นั้นในวงกรรมฐานทั่ว ๆ ไปในประเทศไทยได้หมด ไม่ว่าภาคไหนท่านติดต่อมาขอ ส่งไป ๆ อันนี้เป็นประจำมานานแล้ว

ธรรมะของเรามีทุกขั้นเลยนะ เริ่มไปตั้งแต่หลวงตาสอนเด็ก หลวงตาสอนผู้ใหญ่ หลวงตาสอนคนแก่ หลวงตาสอนคนไม่เอาไหนไปเรื่อย ๆ มันมีทุกอย่าง ธรรมะเรามีทุกขั้น ภูมิไหนเราก็สอนทั้งนั้น เด็กก็สอน อย่างพวกนักเรียนมานี้ก็สอน ไปที่อื่นได้อบรมนักเรียนก็มี ไปนักเรียนก็สอนนักเรียน ไปทางเด็กก็สอนเด็ก เกี่ยวกับพวกตำรวจก็ไปทางตำรวจ เกี่ยวกับหมอก็ไปทางหมอ ไปหาหมอก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เอาอ้อยไปขายสวน สอนหมอ ไปกระทรวงสาธารณสุขก็ไปสอนหมอ ก็อย่างนั้นแล้ว เรียกว่าสอนทุกขั้นของธรรม ทุกขั้นของคน

พูดให้มันเต็มหัวอกตามที่บรรจุไว้ในหัวใจนี้ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา จะมาว่าอะไรมนุษย์ขี้เหม็นนี่วะ พูดแล้วมันคันฟันนะ ที่รู้แล้วไม่มีใครรู้ด้วยนี่ซิมันโมโหน่ะ อ้าว จริง ๆ นะ เพราะฉะนั้นเวลาเขาถามปัญหาถึงผางออกเลย เอ้า ๆ ถามมาจะว่าไง วันนั้นเขาตบมือถึงโมโห โธ้ วันนั้นนะ ไม่งั้นมันจะพุ่งเลยนะวันนั้นน่ะ วันที่อยู่สวนแสงธรรม พวกคณะครูมาก ๆ คนเต็มหมดเลย พอเทศน์จบแล้วเขาก็ถามปัญหา เอ้า ๆ ถามมา เปิดแล้วนะ พอมาก็เปรี้ยง ๆ พอจะเร่งเครื่องเท่านั้นพวกนั้นตบมือกันทุกทิศทุกทาง เลยเสียตรงนี้ เราเลยทำมือตีทางโน้นไว้เพราะทางนี้กำลังจะออก อันนี้ก็เลยลด ธรรมเลยลด ไม่สมหวังตรงนี้ โห ถ้าหากมันเงียบสักหน่อย วันนั้นจะได้ฟังเทศน์ดีไม่ดีเปิดโลกธาตุนี่จะว่าไง

ไม่ใช่คุยนะเราพูดจริง ๆ เราอยากให้รู้ชาวพุทธของเรานี้ว่าธรรมพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ขนาดไหน พอดิบพอดีตลอดนะ ธรรมเป็นอย่างนั้น มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ หูหนวกไปด้วยกันได้ ตาบอดไปด้วยกันได้ หูดีตาดีไปด้วยกันได้ ไอ้ปุ๊กกี้ไอ้หยองไปด้วยกันได้ แต่โมโหเวลาเราเข้าไปในครัวมันเห่าว้อก ๆ ไอ้หยองมึงมาเห่ากูทำไม เล่นได้หมด เข้ากันได้หมดเลย เวลาหันหน้าเข้าใส่หมาเล่นกับหมาใครมายุ่งไม่ได้นะ ฟัดกับหมา เขาก็ว่าหลวงตาผีบ้า พวกบ้ามันต้องว่าอย่างนั้นนะ คือวิชาบ้ามันเต็มตัว วิชาธรรมมันไม่มี เป็นยังไงถึงเล่นกับหมานี้เป็นอะไร เล่นกับนี้เป็นเพราะอะไร ๆ มีเหตุมีผลพร้อมไปหมดทุกอย่าง พูดให้มันยันอย่างนี้เลยนะ เต็มหมดเลย

ท้าวมหาพรหมกราบธรรมทั้งนั้น อะไรจะเหนือธรรมวะ เพราะฉะนั้นเราถึงอิดหนาระอาใจ เล่นกับโลกสงสารดังที่สกปรกมอมแมมทุกวันนี้ แหม เราทนนะนี่ เราทนเพื่อคนดิบคนดีเพื่อหลักฐานมั่นคงอบอุ่นหรือสงบร่มเย็นแห่งชาติไทยเรานะ ที่เราไปพูดไปอะไรเหล่านี้นะ ธรรมดาไม่อยากเล่นด้วยเลย ก็เพราะอำนาจความเมตตานั่นแหละที่ให้บึกให้บึนอยู่นี้ ไม่งั้นจะเล่นกับอะไร เท่านั้นพอ

ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ของเลิศของเลอขนาดไหนไม่มีใครเห็น ให้ขี้หมูราขี้หมาแห้งไปกลบธรรมหมดเลย ธรรมแสดงออกไม่ได้นะ มีแต่พวกมูตรพวกคูถพวกขยะมูลฝอยต่าง ๆ กลบ ๆ เวลานี้กำลังส่งเสริมกันมากทีเดียว ยิ่งมากยิ่งอ่อนใจ มองไปแล้ว อู๊ย ดูไม่ได้นะ ไม่รู้จะทำยังไง

ไอ้พวกสร้างบาปสร้างกรรมนี่ก็เราทุเรศหนักนะ พวกที่สร้างบาปสร้างกรรมไม่ลืมหูลืมตา มีแต่กอบแต่โกยเอาฟืนเอาไฟเผาไหม้ ด้วยความรื่นเริงในไฟนั้น กิเลสมันรื่นเริงเข้าใจไหม รื่นเริงในไฟ หลอกคน-คนก็ดิ้นตาม โฮ้ น่าทุเรศนะ อำนาจของกิเลส วิชาของกิเลสนี้กล่อมได้สนิทมากทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้เลยว่า มีธรรมเท่านั้นแก้กิเลสได้ นอกนั้นไม่มี เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดในสามแดนโลกธาตุนี้ ธรรมเท่านั้นจับเข้าตรงไหน จับเข้าไปตรงไหนกิเลสกระจาย ๆ กิเลสกลัวแต่ธรรมเท่านั้นละ

นี่ละที่ว่าธรรม ๆ นี่โลกไม่เคยเห็นนั่นซิ โลกไม่เคยสัมผัสในใจ เพราะธรรมนี้จะเป็นคู่ควรกันกับใจเท่านั้นนอกนั้นไม่มี ที่จะไปสัมผัสสัมพันธ์ธรรมทุกประเภทได้ ไม่มี มีใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นถึงสอนให้ปรับใจเข้าให้ดีนะ อันนี้ภาชนะแห่งธรรม เวลานี้เป็นภาชนะของกิเลส เป็นส้วมเป็นถานของกิเลส เต็มอยู่ในหัวใจหมดเลย สามแดนโลกธาตุนี้มีแต่คลังกิเลสเต็มหัวใจสัตว์ จ้าอยู่อย่างนั้นจะให้ว่ายังไง เพราะฉะนั้นจึงได้กล้าพูดอย่างยัน ๆ ใครจะว่าบ้าก็ว่าอย่างนั้นเลย โลกไหนน่ะมันเจริญ เราอยากถามว่าอย่างนั้นนะ ถ้าไม่มีธรรมแทรกในหัวใจแล้วโลกไหนก็โลกเถอะว่างั้นเลย ไฟเผาหัวอกทั้งนั้นแหละ เผาหัวใจ

เรื่องบาปเรื่องกรรมเรื่องบุญนี้สูญหายไปที่ไหน ใจไปไหนติดกันไปเลย นอกนั้นอะไรไม่มีความหมายนะเหล่านี้ เราอยู่นี้ เวลาสิ้นลมหายใจแล้วอันนี้ก็หมดความหมาย อันนี้ก็หมดความหมาย ร่างกายหมด สิ่งที่เกี่ยวข้องกันควรแก่กันนี้หมดความหมายแล้ว ใจกับบุญกับบาปไม่ได้หมดนี่นะ นี่ซิที่พาให้เกิดให้ตายได้รับความทุกข์ความลำบากยากเย็นเข็ญใจ ด้วยความเพลิดความเพลินวิ่งตามกิเลสที่มันหลอกลวง ได้เท่าไรยิ่งเพลิน ๆ ทุกข์ขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้สนใจกับทุกข์ที่ดีดดิ้นเพื่อเอานั้นนะ นี่ทุกข์ตามหลังมันไม่ให้เห็นนะ มันให้บืนไปข้างหน้านู่น บืนไป ครั้นได้มามีแต่กองทุกข์เต็มหัวอกนั่นแหละ ไม่มีอะไรที่สมหวังเลย

กิเลสไม่เคยสร้างความสมหวังให้ใครเลย นี่มันชัดตรงนี้ เพราะฉะนั้นถึงได้ว่าในโลกนี้ใครน่ะ เมืองไหน ประเทศใดว่าเจริญ มีแต่กิเลสมันหลอกคน บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ ว่าไปพวกตาบอด อยากว่าอย่างนั้นนะ อ้าว จริง ๆ มันเจริญที่ไหน ถ้าไม่มีศาสนาแล้วเป็นไฟตลอดเลยเผาอยู่ในหัวอก ๆ ตลอดเวลานะ เอานั้นมาหลอก กิเลสหลอกพอให้ดิ้นไปตามนั้น อยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งพอมืดกับแจ้งเท่านั้น อยู่กันไปพอสิ้นลมหายใจ ความหวังนี่เต็มตัว ๆ แต่ไม่ได้อะไรนะ มันหากเป็น กิเลสมันดึงตลอดยังบอกแล้ว ดึงไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว ที่กิเลสจะพาให้ได้รับความสุขความเจริญนี้ กี่กัปกี่กัลป์ เกิดตายแบกหามกองทุกข์มานี้เท่าไร ก็จะไปแบบนั้นเท่านั้นเหมือนกัน

ไม่มีต้นมีปลายแหละถ้าให้กิเลสพาไป จึงเรียกว่าวัฏวน คือหมุนอย่างนี้ วัฏวนหมุน ธรรมพาไปคือธรรมสกัดเข้า ๆ มีธรรมมากธรรมน้อยค่อยสกัดเป็นวรรคเป็นตอนเข้ามา ธรรมเข้าตรงไหนเป็นวรรคเป็นตอนเข้ามา ธรรมมีมาก ๆ ตัดเข้าตัดออก ๆ เรื่อยมันเห็นอยู่ในหัวใจ จะไปดูอะไรดูวัฏฏะ วัฏฏะมันอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้อยู่ที่ดินฟ้าอากาศนะวัฏวน คือกิเลสพาให้หมุน ให้สัตวโลกหมุนเกิดหมุนตายได้รับความทุกข์ความลำบาก กิเลสจะพาหมุนตลอดเวลา เมื่อมีธรรม ธรรมก็ตามแก้กันไปโดยลำดับ ใครมีบุญมีกุศลมากน้อย นั่นละเป็นที่พึ่งอันนั้นนะ พอปลดพอเปลื้องกัน ถ้าว่าโรคก็มีหมอมียาพอรักษาบ้าง ไม่ใช่โรคแบบเป็นแล้วคอยตายแต่อย่างเดียว

ไอ้พวกที่สร้างบาปสร้างกรรมมาก ๆ นี้เราพูดจริง ๆ เราช่วยโลกอยู่เวลานี้จึงได้มาเห็นความสกปรกโสโครกเอาเหลือประมาณทีเดียว ต้านทานจนกระทั่งถึงศาสนาต่อหน้าต่อตา อู๋ย สลดสังเวชนะเรา พลิกนั้นเหลี่ยมนั้นคมนี้สันนั้นพลิก เรื่องของกิเลสพลิกไปไหนมันก็เห็นหมดจะว่าไง มันจะพลิกไปไหน มันจะหงายท้องขึ้นฟ้าก็เห็น เอาหน้ามุดดินก็เห็น ธรรมดูกิเลสดูขนาดนั้นนะเห็นหมดเลย มันจะออกเล่ห์ไหนเหลี่ยมใดสันไหนคมใดวิธีการใดนี้มันพลิก มันจะเห็น มันกลิ้ง กลิ้งไปไหนความชั่วก็ติดไปตามนั้น ไม่ใช่กลิ้งไปแล้วพลิกตัวออกไปได้ พ้นโทษ ๆ นะ กลิ้งไปไหนความชั่วของมันก็กลิ้งไปตามกันนั้นๆ เผากันไปอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา

นั่นน่ะธรรมเห็นทั้งธรรมชาติที่เผาไปตาม ตัวนั้นก็ว่าเรากลิ้งออกล่ะซี กลิ้งพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม ว่าตัวฉลาด ว่าพ้นจากผิดจากโทษอะไร มันพ้นอะไรมันพันไปด้วยกันจะเอาไฟมาเผา มันดูเพียงนั้น นั้นละธรรมดูโลก มันจะดิ้นไปแบบไหนมันก็เห็นอยู่นั้น แล้วสุดท้ายมันก็มาสลดสังเวชนะ โถ เวลาหนา-หนาอย่างนี้น้ามนุษย์เรา หนาไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย ความพลิกความแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคมว่าตัวฉลาด ๆ ไอ้ธรรมชาติความผิดที่มันติดแนบไป หลายสันพันคมขนาดไหน อันนั้นจะเท่ากัน ๆ ไปเลย เผาไปอย่างนั้น นั่นซีมันน่าทุเรศนะ ทำไง

นี่ที่พระพุทธเจ้าว่า อกาลิโก อกาลิโก ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา คือจ้าตลอดเวลา อย่างธรรมธาตุนั่นก็เหมือนกัน ธรรมธาตุกับจิตเข้าสู่กันแล้วปั๊บ สัมผัสเข้ามาเรื่อย ๆ ธรรมธาตุก็เข้าสู่จิตผู้ปฏิบัติธรรม เข้าสู่จิต จิตก็บรรจุ ๆ เข้าเรื่อยสั่งสมเข้าเรื่อย ทีนี้ก็จ้าออก ๆ ต่อกันไปอันนี้กับธรรมธาตุก็เป็นอันเดียวกันไปเลย เสร็จสิ้น นั่นฟังซิ ถึงขั้นอรหัตภูมิ เรียกว่าเสร็จสิ้นแล้ว จิตดวงนี้กับธรรมธาตุเข้าไปแล้ว ทีแรกก็เป็นอย่างนั้นเสียก่อน ธรรมกับจิต จิตกับธรรมสัมผัสสัมพันธ์กันเข้าไป ดูดดื่มเข้าไป ๆ มากเข้า ๆ กลายเป็นอันเดียวกันเลย เมื่อเต็มที่แล้วกลายเป็นอันเดียวกันหมดเลย นี่เรียกว่าธรรมธาตุ

การเทศน์นี้จึงบอกว่าไม่ได้แน่นะ บอกขนาดนั้นนะ แล้วแต่มันจะออกมาแบบไหนว่างั้นเลย การเทศนาว่าการนี่ เราจึงบอกตรง ๆ เลยว่าไม่อัดไม่อั้นว่างี้เลย ฟังซิน่ะใครมาพูดอย่างนี้ ก็มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้ ใจทั้งดวงนี้เป็นธรรมทั้งแท่งแล้วจะเอาอะไรมาแฝง เปิดออกแง่ไหนก็เป็นธรรมออกหมด ๆ เป็นที่ไหลออกของธรรมทั้งนั้น ๆ จนตรอกจนมุมที่ไหน เวลาไม่มีเหตุมีการณ์ที่ควรนั้นก็เป็นตุ๊กตาแหละ พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์เอกที่เรื่องของสัตวโลก ทรงทราบหมดเลย ผู้ไหนที่ควรจะได้รับประโยชน์หนักเบามากน้อยเพียงไรก็แย็บออกให้ ๆ ถ้าไม่เป็นประโยชน์แล้วก็หูหนวกตาบอดไปเลย อย่างนั้นนะ สุดวิสัยแล้ว เหมือนเราไปฉีดยาให้คนตายนั่นแหละ ฉีดยาให้คนตายมันไม่ฟื้นแล้ว นอกจากฉีดยากันเน่าเท่านั้นเองเข้าใจไหม ไปฉีดให้มันฟื้นขึ้นมาไม่มีทาง ตายแล้วก็ฉีดกันเน่าเท่านั้นเอง ไอ้นี้มันก็แบบฉีดกันเน่า คนประเภทหมดราคาทั้งที่ลมหายใจมีอยู่ นี่เรียกว่าฉีดกันเน่าไป ก็เท่านั้นแหละ

โห เรื่องบาปเรื่องบุญนี่ลึกลับมากนะ ไม่มีสัตวโลกตัวใดรู้ เพราะฉะนั้นสัตวโลกจึงสนุกทำแต่บาปแต่กรรมกันมาก เพราะบาปกรรมนี้เป็นได้ด้วยอำนาจของกิเลส เป็นเครื่องกล่อมของกิเลส เมื่อธรรมไม่มีในใจไม่เห็นโทษของบาปของกรรมของกิเลส มันก็บืนไปตามกิเลส บทเวลามีธรรมแทรกเข้าไปมันก็เห็น เริ่มเห็น ๆ เริ่มเห็นเริ่มขยะ ๆ เริ่มเห็นเริ่มปกป้องเรื่อยเข้าไป ต่อเข้าไปก็ปกป้อง ต่อไปก็ต่อยกัน เป็นอย่างนั้นนะ พอถึงขั้นต่อยแล้วไม่มีถอยละ ตายก็ตายเลย นั่นเห็นไหมถึงขั้นที่มีกำลังเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมมีกำลังเป็นอย่างนั้น

เหมือนกิเลสมีกำลัง ตายด้วยกิเลสตายวันยังค่ำตายได้ทั้งนั้นพวกเรานี่ ตายวันยังค่ำก็ตายได้นะ ตายเพราะอำนาจความเชื่อตามกิเลส นี่เวลามันหนา เวลามันจะฟัดกิเลสนี้ กิเลสไม่ตายเราต้องตาย ไอ้เรื่องที่จะถอยไม่มีเลย คอขาดไปเลย นี่อำนาจของธรรมมีแล้วเป็นอย่างนั้น แก้กันตก ถ้าต่างอันต่างมีกำลังแก้กันตก ถ้าธรรมไม่มีกำลังแก้ไม่ตก มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องแก้กัน ธรรมมีมากแล้วมันเป็นของมันเองนะ

ธรรมกับกิเลส กิเลสกับธรรม อยู่ด้วยกัน อยู่ที่ใจด้วยกัน อย่างที่พ่อแม่ครูจารย์ท่านเอาเรดาร์จับเราไปถึงวันแรกเลย โห เราไม่ลืมนะ สด ๆ ร้อน ๆ นี่ เพราะเรามุ่งมั่นอย่างเต็มหัวใจเลย ขอฟังจากครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่า มรรคผลนิพพานมีเท่านั้นเราจะเอาตายเข้าว่าเลย เวลานี้ยังลงใจไม่ได้ เรียนมาเท่าไรก็สงสัยไปเรื่อย ๆ เรียนไปถึงไหนความสงสัยก็ติดตามไป ถึงนิพพานความสงสัยมันก็ไปตั้งเวทีต่อยกันกับนิพพาน มีหรือไม่มีน้า ทีนี้กำลังมันจะแข็งได้ยังไงใช่ไหมล่ะ เมื่อมีสิ่งต้านทานกันอยู่ พอได้ไปฟังโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์ เพราะเรามุ่งมรรคผลนิพพานอย่างเต็มที่ มาสงสัยอยู่ที่ว่ามรรคผลนิพพานจะมีอยู่จริงหรือไม่น้าสมัยปัจจุบันนี้ นู่นน่ะฟังซิน่ะ เรียนมาแล้วนะ เรียนก็สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนั่นเอง แต่หัวใจมันไม่ชอบล่ะซีใช่ไหมล่ะ มันก็ขวางไปหมด นิพพานชอบหรือไม่ชอบ แต่กิเลสมันก็บอกว่านิพพานมีหรือไม่มีน้า แน่ะมันเข้าไปขวางนั้นเสีย

พอไปถึงพ่อแม่ครูจารย์ โห ผางขึ้นเลยนะ ท่านเอาเรดาร์จับไว้เรียบร้อย หือ ท่านมาหาอะไรขึ้นเลยนะ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอขึ้นเลย ก็อยู่ดี ๆ นี่ผางขึ้นเลย หือ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กระจายออกไป ๆ จนกระทั่งทั่วแดนโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ ลงมานี้เลยนะ ให้ท่านชำระใจให้ดี ใจนี่เป็นผู้จะรับบาปรับบุญรับกิเลสตัณหา มรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ ๆ เร่งลงที่ใจ เปรี้ยง ๆ เลย อย่าไปหาที่อื่นให้เสียเวล่ำเวลา สถานที่เวล่ำเวลาไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรมท่านว่า กิเลสจริง ๆ ที่มันเสียบหัวใจเราอยู่ตลอดเวลาอยู่ที่ใจหนา ธรรมก็อยู่ที่ใจที่จะแก้กิเลส

โถ เวลาท่านขึ้นผึง ๆ ๆ เลย นั่นละพลังของธรรมเห็นไหมล่ะ ออกเต็มเหนี่ยวเลย เหมือนจะไม่หายใจนะ แต่นิสัยท่านพูด เป็นตามนิสัยของท่าน ท่านไม่ได้พูดเร็วนักแหละ พูดธรรมดา นิสัยพูดบรรจงอยู่นะ แต่เราเป็นนิสัยพูดเร็ว พูดก็เร็ว อะไรเร็ว อันนี้มันเป็นนิสัยนะ ผู้พูดช้า ๆ ก็มี พูดเร็วก็มี  แต่นิสัยท่านดูจะอยู่ในท่ามกลาง แต่เวลาท่านเร่งธรรมะนี้ โถ ไม่ใช่ของเล่นนะ ทั้ง ๆ ที่นิสัยท่านพูดอย่างบรรจง ๆ ครั้นเวลาท่านหมุนธรรมะนี้พุ่ง ๆ ๆ นั่นเห็นไหมอำนาจของธรรมดันออก ๆ ท่านไม่มีกิเลสอะไรจะมาดัน กิเลสสิ้นซากไปหมดแล้ว เหลือแต่ เรียกว่าคลังแห่งธรรมล้วน ๆ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว พุ่งออกมามีแต่ธรรมล้วน ๆ พุ่ง ๆ

หือ ท่านมาหาที่ไหนมรรคผลนิพพาน ไล่เข้า ๆ ไล่เข้ามาที่นี่เลย อย่าไปยุ่งอย่าไปคิดให้เสียเวลาว่างี้นะ ดินฟ้าอากาศมืดแจ้งอะไร อดีตอนาคต  ท่านอย่าไปยุ่งให้เสียเวล่ำเวลา กิเลสอยู่ที่ใจ ๆ แก้ลงที่นี่นะ จากนั้นก็เน้นหนักทางด้านภาวนา เอ้า ๆ เอาให้ได้นะ เมื่อรวมลงไปแล้วกิเลสกับธรรมอยู่ที่ใจ เวลานี้ใจนี้ถูกปกปิดจากกิเลสทั้งหลายจนมิดตัว เอาเปิดออก ๆ ด้วยจิตตภาวนา จิตตภาวนานะ ก็เราไปตั้งหน้าภาวนาแล้วนี่ ท่านจะสอนไปแบบไหนวะ ให้เร่งลงตรงนี้ เอาให้ได้นะ ไม่ว่าอะไรนะว่าแต่เรื่องจิตตภาวนา เอ้า เปิดออกตรงนี้ เอาให้ได้จิตตภาวนานี่นะ ธรรมจะเกิดที่นี่แหละ เอ้าเร่งลง ยังไงจิตจะสงบให้เร่งลงท่านว่า ก็คือสงบแล้วก็เรียกว่ามีต้นทุน พอสงบแล้วก็มีที่พักที่อยู่บ้าง เอ้า เร่งลงที่นี่

จากนั้นท่านก็แย็บออกมา เอ้อ ท่านมหาก็นับว่าเรียนมามากพอสมควรถึงขนาดเป็นมหา ว่าอย่างนี้เราไม่ลืมนะ แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมพระพุทธเจ้านะ ขอให้ยกบูชาไว้เสียก่อนธรรมท่านเรียนมามากน้อย ไม่งั้นจะเป็นข้าศึกต่อกัน ท่านจะอดคิดไม่ได้ เมื่อปฏิบัติธรรมแล้วจะอดคิดทางด้านปริยัติที่เรียนมามากน้อยไม่ได้ นั่นละมันเข้ามากีดมาขวางทางดำเนินเพื่อความสงบจะไม่สะดวก ขอท่านยกบูชาไว้เสียก่อน ท่านว่าอย่างนี้นะ ธรรมที่เรียนมามากน้อยท่านอย่าเอามาเป็นอารมณ์ ให้ท่านมุ่งลงในจุดนี้ ที่จะสงบยังไงให้เอาลงจุดนี้อย่างเดียว ท่านพูดอย่างนี้ เมื่อเวลาถึงกาลที่ปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งออกประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ นี่อันนี้สำคัญ เอาไว้ไม่อยู่

เราก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่เวลานี้ยังไม่เป็นประโยชน์ เรียนมามากน้อยจะมาเป็นข้าศึก เป็นสัญญาอารมณ์ ไม่ดี เอายังไงให้สงบเอาให้หนักแน่นนะ อย่าเป็นอารมณ์กับอะไร เป็นอารมณ์แต่ภาวนาให้สงบ ๆ อย่างเดียวเท่านั้น เราก็เชื่อท่านเต็มเหนี่ยวแล้วนี่ เรียนแล้วหนังสือปาฏิโมกข์เล่มเดียว ก็เหมือนสมุดพกนี่แหละปาฏิโมกข์ติดไป เพราะนี้เป็นพระวินัย ต้องติดกับย่ามไป มีหนังสือปาฏิโมกข์เล่มเดียวติดไป ท่านพูดอย่างนั้นเข้ากันได้แล้ว จากนั้นมาไม่สนใจกับอะไร หนังสือหนังแส่ไม่ยุ่งทั้งนั้นนะ ฟาดแต่เรื่องจิตล้วน ๆ

ทีนี้พอได้ฟังท่านอย่างถึงใจแล้วนี้ โหย จิตมันกำลังวังชาเต็มเหนี่ยวเลยนะ คือหายสงสัยแล้วว่าเรื่องมรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี เพราะท่านสอนว่า นี่น่า ๆ อยู่นั่นน่ะ จะไม่ลงได้ยังไงใจ พอลงมาแล้วก็มาถามตัวเอง เอาละที่นี่ที่มาหานี่สมมักสมหมายแล้วเรื่องมรรคผลนิพพานหายสงสัย ไม่มีอะไรสงสัยแล้ว ทีนี้เราจะจริงไหมถามเจ้าของ โอ๋ย ต้องจริง ไม่จริงตายเลย โน่นน่ะฟังซิ ไม่จริงต้องตายเท่านั้น อย่าอยู่ให้เหลือหนักศาสนาเลย ตั้งแต่นั้นมาทีนี้พุ่งเลย เพราะมันหายสงสัยแล้วก็ออกเต็มเหนี่ยว ๆ

ทีนี้เวลามันแจ้งก็อย่างท่านว่าจริง ๆ นี่ เอาให้สงบ ๆ เวลาจิตไม่สงบมันยุ่งไปหมด ๆ ไม่มีอะไรเป็นตัวของตัวนะ ยุ่งไปไหนเป็นกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาเจ้าของ คิดไปเรื่องใด ๆ เป็นไฟกว้านเข้ามาเผาเจ้าของ ๆ นั่นน่ะเวลาจิตไม่สงบ คิดไปแง่ไหนมีแต่เป็นฟืนเป็นไฟทั้งนั้นนะ ทีนี้พอจิตสงบแล้วความคิดเหล่านั้นทีนี้มันเห็นว่าเป็นภัย แต่ก่อนไม่เห็นเป็นภัย มันเพลินไปตาม เพลินไปเรื่อย ๆ คิดเท่าไรยิ่งเพลิน เผาเจ้าของจนจะนอนไม่หลับ จนจะเป็นบ้า หรือเป็นบ้าไปมันก็ไม่รู้ตัวนะ เพราะความคิดพาเป็นพาไปมันหลงความคิด ทีนี้พอจิตหมุนตัวเข้าสู่ความสงบมัดมันเข้าไว้ มัดเข้าไว้ ไม่ให้คิดเรื่องอะไร ให้คิดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม อารมณ์ก็อารมณ์ของธรรม

เช่น พุทโธ ก็เป็นพุทโธอย่างนี้ จะธรรมบทใดก็ตาม เอาธรรมบทนั้นมาจับไว้ให้อยู่กับนั้น ทีนี้นานเข้า ๆ ความรู้นี้ก็มารวมตัว รวมเข้าไปมันก็สงบ ความสงบนี้คือความรู้ ๆ นั้นรวมตัวเข้ามา ทางนี้ก็จ่อเข้าเรื่อย เร่งเข้าเรื่อย สงบ ๆ จากสงบแน่นๆๆ ปึ๋งๆ  ทีนี้ความคิดทั้งหลายที่เราเพลินแต่ก่อนกลับเป็นพิษนะ เวลาความสงบมีมากเข้าคิดไม่อยากคิดมันกวนใจ นั่นเห็นไหมเพียงแย็บเท่านั้นกวนใจแล้ว อันนี้แน่วนี้ไม่มีอะไรกวนนี้สบายมากกว่า อันที่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ยิบ ๆ แย็บ ๆ นั่นกวนใจ นั่นเห็นไหมที่นี่ มันกลับตรงกันข้ามแล้วนะ แต่ก่อนความคิดนี้เป็นบ้าไปกับมันเลย แล้วกลับมาความคิดนี้กวนใจ ต่อจากนั้นไม่อยากคิด อยู่ทั้งวันแน่วอยู่ด้วยความสงบ จิตนี้เป็นอันเดียวเท่านี้มันก็เหมือนวิเศษมากอยู่นะล่ะ เพียงความรู้อันเดียวนี้

ทั้ง ๆ ที่กิเลสมันก็ฝังอยู่ในนั้น แต่กิเลสมันไม่ออก ความฟุ้งซ่านวุ่นวายอะไรไม่ออก มีแต่ความสงบตีหัวมันไว้ครอบหัวมันไว้มันก็สบาย เพราะฉะนั้นผู้มีสมาธิจึงติด ติดสมาธิ มันไม่อยากคิดอยากปรุงอะไรมันสบาย อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด นั่งนี้ไม่ได้กำหนดเวล่ำเวลานะ คือความรู้ความสะดวกสบายมันอยู่กับเจ้าของตลอดเวลานี่ จะไปหากาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรมากวนมัน มันก็อยู่งั้น นี่เริ่มได้รากฐาน เพียงเท่านี้ก็เริ่มเห็นความวุ่นวายแล้ว ทีนี้เห็นแล้วไม่อยากยุ่งกับอะไร ต่อจากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา นี่ที่แปลกตอนมันจะเปิดโลกธาตุแหละ เพียงสมาธินี้รู้ขนาดไหนก็รู้ ไม่ได้กว้างขวางอะไร เต็มภูมิของสมาธิเหมือนน้ำเต็มแก้วอยู่แค่นั้น จะทำยังไงก็ไม่เลยน้ำเต็มแก้ว เอาน้ำมหาสมุทรทะเลมันก็ล้นออกหมด ๆ ไม่เลยไปได้แหละ อันนี้ภูมิสมาธินี้แน่นขนาดไหนก็แค่นั้น น้ำเต็มแก้ว ๆ ให้เลยนั้นไม่ได้นะ

พอออกทางด้านปัญญา มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซี ทีแรกความคิดทางด้านปัญญามันก็ไม่อยากคิด กวนใจ แน่ะ จะคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มันเป็นการกวนใจ สู้อยู่แน่วไม่ได้ แต่ทีนี้คำสอนท่านสอนว่าอย่างนั้น ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้น ให้คิดให้พิจารณาทางด้านปัญญา มันก็ฝืนออกไป ฝืนออกไปทั้งที่ไม่อยากออกแหละ บืนออกไปพิจารณา ๆ เรื่องปัญญา เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นทางเดินของปัญญา แต่ก่อนเป็นทางเดินของความสงบเสียก่อน เช่น เกสา ๆ โลมาอันเดียวก็ตามสงบได้ในขั้นสมาธิ เอานี้เป็นอารมณ์แห่งสมาธิ ทีนี้พออันนี้พอสมควรแล้วแยกอันนี้ออกไปเป็นวิปัสสนาเป็นปัญญา

ผมเป็นยังไง ที่เกิดที่อยู่ของมันยังไง ขน เล็บ ฟัน หนัง ไล่กันไป ๆ ทีนี้มันกระจายออก ๆ มันก็เริ่มเห็นโทษของมันเรื่อย ๆ ๆ พอเห็นแล้วทีนี้ผลปรากฏขึ้นมาแล้ว ความสว่างกระจ่างแจ้ง ภูมิสมาธิไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิปัญญาเป็นอย่างนี้ โอ๋ย มันต่างกันนี่น่ะ เหมือนกับมองเมฆมองหมอกมองเห็นนั้นเห็นนี้เข้าไป อยู่สมาธิเหมือนกับอยู่ในไหเอาฝาปิดไว้ มันก็สบายอยู่ในไหนั่นซี มันไม่ได้ออกจากไหจากตุ่มไปละซี พอออกทางด้านปัญญา เปิดฝาไหฝาหม้อเข้าแล้วมันก็เริ่มมองเห็นอันนี้ ทีนี้มันก็โดดออกจากหม้อล่ะซี มันเห็นไม่ถนัดเข้าใจไหม โดดออกจากหม้อนี้ฟาดนี้เตลิดเปิดเปิง อ้าว เราเป็นนี่น่ะ

พอมันเห็นท่าแล้ว โอ้ ชอบกล ๆๆ ต่อไปก็มาตำหนิสมาธิ โอ๋ย สมาธิมันนอนตายอยู่เฉย ๆ ขึ้นแล้วนะ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส ปัญญาต่างหากที่จะเห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วก็หมุนทางด้านปัญญา เลยเห็นสมาธิเป็นหมูขึ้นเขียงนอนตายอยู่เฉย ๆ  แน่ะมันไม่พอดีนะ เพราะทางไม่เคยเดินสิ่งเราไม่เคยรู้ มันไม่ค่อยรู้จักประมาณ ทีนี้พอมันออกทางด้านปัญญา ออกเสียทั้งวันทั้งคืนเลยที่นี่ มันเป็นอย่างงั้นแหละ เรามันเป็นอย่างงั้น ทีแรกมันไม่ออก อยู่ในสมาธิก็ท่านลากออก ท่านนอนตายอยู่นั้นเหรอนั่น ลากหรือไม่ลากขนาดนั้น สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมันสุขขนาดไหน เอ้า เอาว่าซิ คือเนื้อติดฟันมันจะมีความสุขอะไรใช่ไหม นั่นละสมาธิมันก็แค่นั้นแหละความสุขของมันท่านว่า

นั่นท่านไล่ออกเราไม่ลืม เราก็ไม่อยากออก จากนั้นมันก็ฟาดเราทุ่มหมดเลย สมาธิไม่ให้มีเหลือเลย เอาโยนเข้าป่า ให้มันหาสมาธิใหม่ความหมายว่างั้น ถัดมาก็ หือ ท่านรู้ไหม ๆ สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่งท่านรู้ไหม หือ ขึ้นเลยนะ ทางนี้ก็ขึ้น เถียง ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยทั้งแท่งแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน ดูซิสู้ท่าน โอ๋ย สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้ากับสมาธิหมูขึ้นเขียงกับของท่านนี่มันเป็นคนละโลกท่านว่า สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องเป็นสมาธิ ปัญญาต้องเป็นปัญญาท่านกลมกลืนกันไป ท่านไม่ได้นอนอยู่บนเขียงเหมือนท่านนี่นะ ไอ้สมาธิบนเขียงหรือเอาไปแข่งสัมมาสมาธิพระพุทธเจ้าน่ะ หมอบนะหมดท่า หมอบ นั่นอย่างงั้นนะ มันเถียงตลอด

คือเราก็มีแง่หนึ่งของเรา แง่กิเลสมันก็มี พอท่านเอาอย่างงั้นแล้วลงมายังวิตกเจ้าของ เราไม่ลืมนะ คือทั้ง ๆ ที่เราไม่มีแหละไอ้เรื่องทิฐิมานะที่จะคัดค้านต้านทานเพื่อเอาแพ้เอาชนะอะไร เราไม่มี แต่มันผาดโผนซัดกันเต็มเหนี่ยว จนกระทั่งพระเณรอยู่ในวัดมาเต็มใต้ถุนกุฏิรอบนั้นหมดเลย ฟาดกันกับท่านสององค์ซัดกัน ลงมาแล้ว ก็เรามาถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน แล้ววันนี้เป็นยังไงมันถึงพิลึกพิลั่นนัก มันจะเป็นคู่ต่อสู้กับท่านยังไงว่านะ อดคิดไม่ได้นะ ทั้ง ๆที่เจตนาอย่างงั้นเราไม่มีว่างั้นเถอะ วันนี้ทำไมมันพิลึกกึกกือเอาเหลือเกิน มันมาเป็นครูเป็นอาจารย์หรือเป็นแชมเปี้ยนต่อสู้ท่านได้ยังไง คิดนะ เพราะมันฟัดกันเต็มเหนี่ยว

คือทางนี้มันก็มีภูมิของมันเข้าใจไหมล่ะ ทางท่านก็ภูมิของท่าน ภูมิตาดี  เราภูมิตาบอดนั่นซี ตาบอดมันชนเรื่อย ภูมิตาดีท่านก็ตีเอา ๆ ตีคนตาบอด คนตาบอดตีคนตาดีตีไม่ถูก แต่คนตาดีตีคนตาบอดนี้หงายเลยหงายทุกที หงายหมาเลย นี่ละเราลืมเมื่อไรวะ ท่านลากออกตรงไหนมีแต่อันตรายทั้งนั้น คำว่าสมาธินี้ถ้าท่านไม่ลากออกนี้มันจะเป็นของมันอยู่กระทั่งวันตาย พอท่านลากออก พอออกจากฝาหม้อก็มองโน้นมองนี้ก็โดดออกจากหม้อเลย ทีนี้ออก-ออกใหญ่เลย โถ ไปใหญ่เลย ไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน ขนาดนั้นนะ มันเพลิน

สติปัญญาออกทำงานนี้ โอ๋ย ไม่มีเวลานะ คำว่าอิริยาบถไม่มี ลงสติปัญญาขั้นหมุนตัวเป็นธรรมจักรนี้ไม่มีคำว่าอิริยาบถ คืออยู่ที่ไหนมันก็เป็นของมันตลอด นั่งหรือนอนก็ตามความหมุนของใจระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจนี้ มันจะหมุนของมันตลอดเวลา แม้ที่สุดเรานั่งฉันจังหันนี้มันไม่สนใจกับอาหารนะ มันหมุนของมันอยู่ในนั้น จึงเรียกว่าไม่มีอิริยาบถ ทีนี้พอจะตายจริง ๆ มันไม่ได้หลับได้นอนนั่นซิ ทางนี้ไม่หยุดก็ขึ้นไปหาท่านอีก

นี่ที่พ่อแม่ครูจารย์ว่าให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญามันออกแล้วนะ มันออกยังไง ท่านก็ว่ามันออกยังไง โห ไม่ว่ากลางคืนกลางวันมันไม่ได้หลับได้นอน แล้วนี้ก็ไม่ได้นอนได้สองคืนแล้ว มันยังจะไม่นอน มันยังหมุนตลอดเวลาพิจารณาอะไร นั่นละมันหลงสังขาร นั่นฟังซิ ท่านพูดกับเราท่านจะไม่กระจายนะ ไม่ว่าแง่ใดพูดกับเรา ถ้าเป็นไม้ก็เอาทั้งดุ้นมาเลย ให้เราไปเจียระไนเองทีหลัง นั่นละมันหลงสังขาร ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้เราว่างี้นะตอบท่าน นั่นละบ้าหลงสังขาร ขนาบใหญ่ บ้าหลงสังขาร คราวนี้หมอบนะ งูเห่าหมอบ มันก็จะถูกอย่างท่านแย็บเอาแหละ แต่มันยังไม่ถอยมันยังจะหมุนของมันอีกอยู่ นั่นละมันหลงสังขารท่านว่านะ ทางนี้ก็ว่า ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละมันบ้าหลงสังขาร ๆ ใหญ่เลย ทีนี้หมอบ ไป

ทีนี้เวลามันหมุนของมัน จะตายจริง ๆ มันก็ย้อนเข้ามาสู่สมาธิล่ะซิ มันจะตายต้องพัก ไม่พักไม่ได้ ทางก็ยังไกล เครื่องก็ร้อนแล้วน้ำมันก็จะหมดแล้ว ต้องเข้าพัก พักเครื่องละซี นี่ก็พักเข้าสู่สมาธิ เข้าสมาธิก็บังคับนะ ทั้ง ๆ ที่สมาธิเราเป็นเหมือนหินแล้วนะ แต่เวลาออกทางด้านปัญญา กำลังของปัญญามากกว่าสมาธิ จึงเห็นสมาธิเป็นอะไรพูดไม่ถูกนะ นอนตายเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นั่นเวลาปัญญาออกมันเหนือกันอย่างงั้น ทีนี้เวลาจะเข้ามาสู่สมาธิ ทั้ง ๆ สมาธิมันก็เก่งอยู่แล้วมันไม่ยอมเข้านะ ไม่ใช่ไม่มีสมาธินะ มันจะออกข้างหน้า บังคับเข้ามาให้เข้าสู่สมาธิ

ขนาดเอาพุทโธบังคับนะ เราไม่ลืม พุทโธ ๆๆ ให้มันอยู่กับพุทโธ คือออกจากนี้มันจะออกจากทางปัญญาเข้าใจไหม ไม่ได้ออกไปที่ไหน ออกจากนี้มันจะฟัดกับกิเลส มันเพลินอยู่นั้นแล้ว ลากเข้ามาให้อยู่กับพุทโธ ๆ บังคับเอาไม่ให้มันไปไหน เพื่อจะให้มันพักความหมาย เอา พุทโธ ๆ ถี่ยิบนี้ก็ลงแน่ว ลงแน่วเต็มที่เลยนะ สมาธิ ก็มันมีอยู่แล้วมันไม่อยากเข้ามาเฉย ๆ ลงเต็มที่แล้ว โอ๋ย มีความสุข เบากายเบาใจ เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามออกหมดเลย เวลานั้นสบายเต็มที่เลย นั่นอำนาจของสมาธิ คือความระงับความคิดความหมุนของสติปัญญา สงบแน่วอยู่นั้น

สงบอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ ต้องบังคับเอาไว้ไม่ให้ออก มันออกมันจะพุ่ง บังคับไว้พอเห็นว่ากำลังวังชาสมควร มีความสุขความสบายเบากายเบาใจเบาทุกอย่าง เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามสบาย พอได้กำลังแล้ว พอเรารามือ ไอ้เรื่องว่าเผลอเราไม่อยากพูด ก็มันไม่เผลอนี่ ถ้าว่ารามือคืออ่อนมือนิดนึง มันจะพุ่งของมันออกเลย นี่ละพอเรารามือมันก็พุ่ง ทีนี้ซัดกันใหญ่เลย นี่ละมันถึงได้เป็นทางเดินมา เมื่อมันจะตายจริง ๆ ก็แบบเดียวกันนี้ เข้ามาพัก ๆ พอหายเหนื่อยจากสมาธิแล้วก็ออกฟัดกัน ๆ

นี่ละพ่อแม่ครูจารย์สอนตรงไหน ๆ นี้แหม ไม่มีผิดเลย คำว่ามันหลงสังขาร ท่านพูดกลาง ๆ นะมันหลงสังขาร สมาธิหมูขึ้นเขียงเหมือนกัน เวลาเรามาจาระไนออกทีหลังนี้ โถ ท่านสอนเราไม่ค่อยจะสอนจะแจ้งไปนะ เอามาทั้งดุ้นให้มันไปจาระไนเอง เช่น ไม้ก็เอามาทั้งท่อนเลยให้มันไปเลื่อยเองพูดง่าย อะไรก็โยนตูมมาให้เลยให้ไปจาระไนเอง อันนี้ก็เหมือนกัน สมาธิหมูขึ้นเขียง สมาธิทั้งแท่งมันเป็นสมุทัยทั้งแท่ง นั่นน่ะท่านตีออกหมดเลย ไม่ให้เหลือสมาธิให้มันหาใหม่ ครั้นเวลามารู้ทีหลัง อ๋อ ที่ว่าสมาธิที่เป็นสมุทัยได้นั้นน่ะ เพราะความหลงในสมาธิความติดในสมาธิ แน่ะ เอาแล้วนะรู้แล้ว มันติดในสมาธินี้เองเป็นสมุทัย

ท่านไม่ได้ว่าสมาธิเป็นสมุทัย ความหลงในสมาธิต่างหากเป็นสมุทัย มันแยกของมันเองนะ ยอมท่าน ทีนี้ยอมเอง พอเราพิจารณา อ๋อ ท่านพูดอย่างนั้นเอง ความติดในสมาธิต่างหากเป็นสมุทัย ไม่ใช่สมาธิเป็นสมุทัย แต่ท่านเพื่อจะดัดสันดานเราคนเก่ง ท่านก็ฟาดหมด ยกทิ้งเข้าป่าหมดเลย สมาธิให้มันหาใหม่ ทีนี้เรื่องปัญญาก็อีกเหมือนกัน ปัญญานั่นมันหลงสังขาร ๆ เวลาพิจารณาเต็มเหนี่ยว มันย้อนเข้ามาชะมาล้างมาทบมาทวน โอ๋ย เข้ากันได้ปั๊บเลย อ๋อ ที่ท่านว่ามันหลงสังขาร คือใช้ปัญญาก็ใช้สังขาร คือความคิดนี้เอง กิเลสมันก็เป็นความคิดเป็นสมุทัย ธรรมก็เอาความคิดนี้เป็นมรรค คือคิดทางด้านสติปัญญาเรียกว่ามรรค ความคิดทางด้านกิเลสก็เป็นกิเลสเป็นสมุทัยไป ท่านว่ามันหลงสังขาร

สังขารตีไปได้สองอย่างเข้าใจไหมล่ะ ตีไปทางมรรคก็ได้ ตีไปทางสมุทัยก็ได้ นี่ละมันเลยเถิดมันไปทางสมุทัย สมุทัยแทรกแล้ว ๆ ความหมายว่างั้น ปัญญาถูกสมุทัยแทรกแล้ว ท่านว่ามันหลงสังขาร เวลามันพิจารณาเต็มเหนี่ยวมันแยกของมันเอง อ๋อเป็นอย่างงี้ ๆ เราจึงไม่ลืม กับพ่อแม่ครูจารย์นี้ไม่เคยบอกละเอียดลออ คือถ้าไม้ก็ไม้ทั้งท่อนมาโยนตูมให้เลย ๆ ทุกอย่าง แล้วค่อยเจียระไนตามหลัง ๆ เป็นอย่างงั้นนะ

เวลามันเปิดของมันนี้ โถ เปิดจริง ๆ สติปัญญา รู้ทั้งเรื่องละกิเลส รู้ทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่กำลังก้าวเดินฟัดกับกิเลสอยู่นั้น สิ่งที่จะรู้มันพาดพิงถึงกันมันก็รู้ของมัน ตัวสำคัญคือกิเลสมันก็หมุนใส่กิเลส ทีนี้สิ่งที่มันกระจายที่จะไม่ให้มันรู้มันเห็นได้ยังไง มันสัมผัสกันอยู่นี้มันรู้อยู่นี้ แต่ไม่ถือเป็นสำคัญยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส เพราะกิเลสเป็นตัวข้าศึกโดยตรง มันจะหมุนอยู่นี้ แต่จะอดให้มันรู้ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้นะมันรู้ เป็นแต่เพียงว่าเราไม่เป็นอารมณ์กับมันมากยิ่งกว่าอารมณ์ที่จะฆ่ากิเลส ทีนี้เวลาฟาดอันนี้เต็มเหนี่ยวแล้วมันจะปิดได้ยังไงพูดง่าย ๆ มันจ้าไปหมดแล้วปิดได้ยังไง ตั้งแต่กำลังฆ่ากิเลสอยู่มันยังรู้นี่สิ่งภายนอกที่มันเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่ตัวกิเลสนะสิ่งที่ว่า เช่น ต้นเสานี้ไม่ใช่กิเลส มันก็รู้ว่าต้นเสา แต่มันยังไม่สนใจนะ ต้องฟัดกับตัวที่เป็นข้าศึกอยู่ในหัวใจออกแล้ว อะไร ๆ อยู่ที่ไหนมันก็รู้หมดล่ะซี นั่นมันเป็นอย่างงั้นนะ

เรื่องธรรมภายในใจ ใครไม่รู้มันก็พูดอวดด้วยความโง่ความตาบอดของมัน ผู้ท่านรู้ท่านถึงอ่อนใจ ท่านไม่โอ้ท่านอ่อนใจ พวกเรามันบ้า สามโมงจะครึ่งแล้ว เอาละ วันนี้นะ ไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไรไปใหญ่แล้ว วันนี้เลยไปใหญ่ เอาละเป็นธรรมะประเภทนี้อีกอันหนึ่งเหมือนกันนะ ให้โลกทั้งหลายได้รู้เสียบ้าง วันนี้ไปอีกแบบหนึ่ง พอพูดเหล่านี้จบแล้วหายเงียบเลยนะ พอถึงเวลา เช่นอย่างค่ำมานี้ไม่ทราบพูดเรื่องอะไร หายเงียบเลย เพราะไม่ได้พูดด้วยความจำนี่ มีอะไรขึ้นปัจจุบัน ๆ จบแล้วหายเงียบ ๆ ไปเลย

เมื่อวานนี้ก็ไปภูเรือ เอาของไปส่งโรงพยาบาลเมื่อวานนี้ และปัจจัยไปให้หมื่นหนึ่งสำหรับเป็นค่าอาหารคนไข้ เมื่อวานนี้ทองคำได้หนึ่งบาทเท่านั้นเอง ส่วนดอลลาร์ไม่มี

โน่นเห็นไหมปั๊มน้ำมัน มาทั้งปั๊ม ๆ นะนั่น รถยนต์นี้น้ำมันเต็มถัง ๆ เอามาตั้งกึ๊ก ๆ เวลารถมาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ เติมน้ำมันที่นี่ จึงได้บอกนั้นแหละปั๊ม ปั๊มน้ำมัน เมื่อวานนี้ก็มาสี่โรง ๕ โรงกับเราไปส่งเมื่อวานนะ ๕ โรงเมื่อวานนี้ อย่างนั้นละวันละสองโรงสามโรงสี่โรง อย่างน้อยวันละโรงไม่ค่อยขาด ที่ว่าไม่มีเลยนี้ดูเหมือนหลาย ๆ วันจะปรากฏทีนึง นอกนั้นมีวันละโรงขึ้นไปเรื่อย ๆ สามโรงสี่โรงนี้มากกว่าเพื่อนนะ ทีละ ๕-๖ โรงก็มี นาน ๆ มีทีนึง บางทีถึง ๙ โรงก็มี แต่ ๙ โรงไม่ค่อยซ้ำ จนป่านนี้ยังไม่เคยซ้ำเลย ส่วน ๖-๗ โรงนี้ซ้ำบ่อย วันหนึ่ง ๆ ส่วนหนึ่งโรงสองโรงสามโรงนี้เรียกว่าเป็นประจำวัน ประจำเลยแหละ ยังไม่ให้พรนะ ให้พรเสียก่อนมันลืมแล้วนะ...

 

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก