เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
มีแต่เทศน์หลวงตาออกหน้า
วัดนาแห้ว ตาหมูอยู่นั่นไปครึ่งกันที่จังหวัดเลย ครึ่งทาง เราไปจากนี้ไปจังหวัดเลย จากจังหวัดเลยไปนาแห้วไปครึ่งกันที่จังหวัดเลย ครึ่งทาง ไกลอยู่นะ เราจึงไม่ค่อยไป นั่งรถลำบากลำบน แต่ก่อนไปเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไป เหนื่อย ที่นั่นเหมาะสม จากอำเภอนาแห้วไปไม่ได้ใกล้นะ ตั้ง ๔๐ กว่ากิโล ไปจากอำเภอนาแห้ว เข้าไปนู้นตั้ง ๔๐ กว่ากิโล ลึก ตาหมูอยู่ที่นั่น ก็ดีอยู่ เป็นทำเลเหมาะสมมากทีเดียว ได้เทปครูบาอาจารย์ไปเปิดฟัง อย่างที่วัดนาแห้วก็เทปครูบาอาจารย์ทั้งหลายเปิดฟังเป็นประจำเลย
ส่วนมากมักจะมีแต่เทปหลวงตาบัวนะ เราพูดชัดๆ เพราะเรื่องนี้มันออกหน้าออกตามานานแล้ว เทศน์หลวงตาบัว ออกทุกแห่งทุกหน ทางวิทยุทางอะไรๆ ออก ครูบาอาจารย์ท่านก็ช่วยสนับสนุน หนุนกันไป เพียงเล็กน้อยนะ ไม่ได้มาก แล้วสุดท้ายออกหน้าออกตาจริงๆ ก็อีตาบัว เข้าใจไหมอีตาบัว อีตาบัวหลวงตาบัว ใครไม่เคยเห็นก็ดูเสียซิ นี่อีตาบัว นี่หลวงตาบัว
เราเสียดายที่สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีเทปนะ เทปไม่มี มามีครั้งแรกวันถวายเพลิงท่านนั่นแหละ เขาเอามาเทป มันเทปอะไรได้หามมาที่วัดสุทธาวาส หามมาแทนที่จะออกสนามโชว์ได้สบาย ก็มาเสียอยู่ที่นั่นเสีย เลยไม่ได้เรื่อง เพียงแต่ว่าได้เห็นเท่านั้น หลังจากนั้นก็ค่อยมีมาเรื่อยๆ ปี ๒๔๙๓ ก็มาเห็นเฉยๆ แล้วมันก็มาเสียต่อหน้าที่วัดสุทธาวาส ใหญ่มากได้หามกันไป หลังจากนั้นจึงได้มาปรากฏขึ้นที่วัดป่าบ้านตาด ปี ๒๕๐๔-๒๕๐๕ มัง มาที่นี่ นั่นละเริ่มต้นเทปมี ๒๕๐๔-๒๕๐๕ ที่วัดป่าบ้านตาด
เลยคิดย้อนหลังเสียดายพ่อแม่ครูจารย์มั่นเวลาท่านมีชีวิตอยู่ เทศนาว่าการธรรมะล้วนๆ ธรรมะอัศจรรย์ ฟังแล้ว แหม เดี๋ยวนี้ก็ยังสดๆ ร้อนๆ นะธรรมะของท่าน กังวานอยู่ในหัวใจ ธรรมะออกจากหัวใจที่เป็นธรรมทั้งแท่ง หัวใจท่านเป็นธรรมทั้งแท่ง เวลาท่านเทศน์ทีแรก ๔ ชั่วโมง ไปอยู่กับท่านทีแรกถ้าวันไหนท่านประชุมเทศน์ เทศน์ถึง ๔ ชั่วโมง แล้วขยับลงมา ๓ ชั่วโมงถ้าวันไหนประชุมเทศน์นะ แล้วขยับมาถึง ๒ ชั่วโมง เพราะ ๒ ชั่วโมงนี้ก็เป็นเวลาท่านหมดกำลังแล้ว หยุด มาตั้งแต่ ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง มา ๒ ชั่วโมง
เทศน์นี้แหม คือมันพร้อมกันนะ เทศน์ของท่านก็เป็นธรรมบริสุทธิ์สุดส่วนเต็มหัวใจ และผู้มาฟังมีแต่ผู้มุ่งหน้ามุ่งตาต่อการปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานด้วยกัน มันรับกันได้สนิท เพราะฉะนั้นการเทศน์ของท่านจึงไหลเอาเลย ไหลเลยเชียว คือไม่มีอะไรขัดข้องเลย ภาชนะรับก็พร้อมๆๆ มีแต่พระปฏิบัติล้วนๆ ไม่มีละประชาชน มีแต่พระล้วนๆ เรายังไม่ลืม จึงได้ย้อนหลังไปเชื่อถึงว่าเวลาพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทแต่ละครั้งๆ นี้เทวบุตรเทวดา มนุษย์มนาทั้งหลาย บรรลุธรรมมรรคผลนิพพานได้มากมาย ยอมรับเลย เอาองค์ท่านเป็นสักขีพยาน แล้วเราเป็นตัวยืนยัน
บางวันมันดับอยู่ถึงสามวันนะ ฟังเทศน์ท่าน คือมันไหลเข้าไป หมุนเข้าไปๆ มีแต่ธรรมล้วนๆๆ หมุนเข้าไป แล้วปรากฏดับหมดเลยโลก อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ คำว่าเป็นอย่างนี้ก็เป็นแบบอัศจรรย์นะไม่ใช่แบบตำหนิ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะฟังเทศน์ท่านกลางคืนดับพรึบเลย แล้วอะไรๆ ก็มีของเขา แต่อะไรที่มันดับนั่นคือสิ่งรบกวนทั้งหลายดับไปหมดเลย เหลือแต่ธรรมล้วนๆ นั่นละสงบสงัดอัศจรรย์อยู่จุดที่ว่าดับหมด ทั้งๆ ที่ไปมาได้อยู่ กลางวี่กลางวันกลางคืนไป ดับอยู่ถึงสามวันฟังเทศน์ท่าน เอ้อ อัศจรรย์นะเรา
คือท่านเทศน์มีแต่พระล้วนๆ ภาชนะพร้อมๆ ที่มาได้ยินได้ฟัง เต็มกุฏิท่าน แน่นหมดกลางคืนนะ ถ้าเป็นกลางวันมีวันอุโบสถ พระมาลงอุโอบสถก็เทศน์ที่ศาลา แต่กลางคืนเวลาท่านประชุมก็เทศน์ที่กุฏิท่าน พระนี่แน่นหมด ฟังเสียงธรรมท่านนี้กังวาน เสียงท่านเป็นเสียงกังวานด้วย เสียงท่านเป็นเสียงบรรจง แม้จะบรรจงก็ตามอำนาจแห่งธรรมที่หนุนออกมาๆ ให้ท่านเทศน์เลยกลายเป็นไหลไปเลย นั่นละเทศน์บรรจงก็เลยกลายเป็นไหลไปเลย เป็นเหมือนปืนกล เพราะอำนาจของธรรมดันออกๆๆ มีแต่ธรรมเต็มหัวใจ ไม่มีโลก มีกิเลสตัณหาอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องพอจะเป็นก้างขวางคอไม่มี ฟัง จิตเราดับอยู่ถึงสามวัน นี่ละมันถนัดเอาเหลือเกิน
คืออะไรก็ได้ยินแต่อันหนึ่งมันดับอยู่ภายในนี้ ดับแบบอัศจรรย์ พูดไม่ถูก แต่ไม่สงสัย มันเป็นอยู่ในจิต ดับถึงสามวันเชียว โถ ฟังเทศน์ มันอัศจรรย์ ย้อนหลังไปที่ว่าพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทแต่ละครั้งๆ สัตว์โลกทั้งหลายได้บรรลุมรรคผลนิพพาน มากมายๆ ยอมรับเลย เอาเราออกยัน เราได้เพียงเท่านี้แหละแต่มันเป็นพยานกันได้ดี นั่นละธรรมถ้าลงเข้าในหัวใจ ใจเป็นธรรมล้วนๆ แล้ว ไม่มีอะไรจะเลิศยิ่งกว่าใจเป็นธรรมนะ เอากิเลสมาเป็นธรรมนั่นซีมันเผากัน เวลานี้โลกร้อนมาก เพราะโลกเอากิเลสมาเป็นธรรม เห็นว่ากิเลสเป็นของดิบของดี ความได้ความรวย อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ กดขี่บังคับ รีดไถพวกเดียวกันนั่นละมากิน เขาจะตายจนไม่มีตับมีปอด เจ้าของสนุกกลืนสนุกกิน นี่ละกิเลส มันฟังไม่ได้นะ
อย่างที่ว่ารบกันอยู่ที่นั่นที่นี่เหล่านี้ละ อู๊ย เราสลดสังเวชจริงๆ คือธรรมออกกางกับฟืนไฟของกิเลสที่มันก่อเผาสัตว์โลก กับธรรมออกกาง ทีนี้คำว่าออกกางเป็นอย่างไร เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับธรรมที่กางออกดู ถ้ามีได้มีเสียอยู่ก็มีส่วนกระทบกระเทือนกับเรา นี่ไม่มีได้มีเสีย ถ้าจะพูดแบบโลกก็สนุกดู ดูด้วยความสลดสังเวช ธรรมดู นี่ละเวลากิเลสมันหนา กิเลสนี้มันแสดงตัวมันกลายเป็นธรรมไปหมดครอบโลกธาตุ ธรรมของกิเลสก็คือฟืนคือไฟเผาไหม้ซึ่งกันและกัน หาความสงบเย็นใจไม่ได้ แม้ผู้มีอำนาจมากขนาดไหน ก็นั่นละกองไฟใหญ่อยู่จุดนั้น
เราอย่าเข้าใจว่าจะไปอยู่กับตาสีตาสาผู้น้อย ไม่มีอำนาจบาตรหลวงอะไร ถูกเขาบีบบี้สีไฟ ว่าพวกนี้เป็นกองทุกข์ ตัวใหญ่ๆ กองทุกข์หนักมากนะ ตัวอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ โอ่อ่าฟู่ฟ่า นั่นกิเลสมันพาให้เป็น มันดูถนัดจนสลดสังเวช โอ้ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้งนี้มีได้เพียงพระองค์เดียว คือมันเหลือวิสัย เหมือนกับเอาฝ่ามือไปกั้นน้ำมหาสมุทร เอาธรรมมาสอนโลกเหมือนเอาฝ่ามือมากั้นน้ำมหาสมุทร มหาสมุทรก็มหาสมมุติมหานิยมของกิเลสนั่นแหละ มันเต็มโลกเต็มสงสาร เรามาพิจารณาแล้ว โอ๊ย สลดสังเวชนะ
นี่เราก็ได้ภาคภูมิใจการพิจารณาอะไร รำพึงคิดเรื่องราวอะไรก็ตาม เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเหมือนที่กิเลสเข้าแทรกอยู่ในจิต หรือควบคุมในใจของเรา ตัวนี้ถ้าพิจารณาไปอะไรความกระทบกระเทือนความได้ความเสียจะเข้ามาหาตัวเอง ดูทางนอกแต่มันก็ย้อนเข้ามาเผาตัวเอง ฟาดกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยแล้วนั้นเรียกว่าไม่มีคำว่าได้ว่าเสีย ถ้าจะพูดแบบโลกก็สนุกดูเต็มสัดเต็มส่วน เพราะไม่มีได้มีเสีย นั้นละดูชัดเจน ธรรมดูโลก ธรรมของท่านผู้บริสุทธิ์ดูโลกดูอย่างนั้น
ธรรมอันนี้มันอัศจรรย์เอาจริงๆนะ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด ที่ได้นำมาเทศน์สอนโลกอยู่เวลานี้ ประเทศไทยเราดูจะมีแต่ธรรมะหลวงตาบัวละออกกระจายทั่วประเทศไทย เป็นอย่างไรถึงเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่เคยคิดไว้เลยแต่ก่อน แต่มันเป็นไปได้อย่างไร คนกำลังจะตายอยู่ เรียกว่าสายบุญสายกรรมของพวกเรา เรียกว่ามีว่างั้นเถอะน่ะ เรากำลังจะตายชนพรรษา ดูว่าพรรษา ๔๑ ละมั้ง หนักเข้าๆๆ หมอเขาตรวจ เขาทราบชัดเจนแต่เขาไม่กล้าพูดว่าเป็นมะเร็งในลำไส้แล้ว จะไม่นาน เขาบอก เขาเงียบๆ เขาไม่ให้เรารู้ ถึงรู้ไม่รู้เราก็ไม่มีได้มีเสียกับมัน ประสาขันธ์ธาตุ แต่เขาก็ปิดไว้ตามประเพณีของโลกที่รักสงวนตัวเหมือนกันทั่วโลกนั่นแหละ เขาก็ปิดไว้กลัวเราจะเสียอกเสียใจ แต่เรามันไม่เสีย
นั่นละมันเตรียมจะไป คิดว่าเป็นสายบุญสายกรรมจริงๆ เราอดพูดไม่ได้ ก็เตรียมจะไปอยู่แล้ว อยู่ๆ ก็ได้ยาเทวดามา เรายังไม่ลืมนะตั้งฮั่วไถ่นั่นน่ะ เขามาพูดยืนยัน ตั้งฮั่วไถ่เองนะมาพูด พูดยาของเขาที่เอามากิน ยาขนานนี้ละ เขาบอกว่าไปที่ไหนๆ หมอก็เพียงทักทายปราศรัยให้หยูกให้ยามาด้วยมารยาทเขานั้นละ ความจริงคือเขาหมดหวังแล้ว ไม่มีทางที่จะรักษาได้ ว่าอย่างนั้น เขาก็เรียกว่าหมดหวัง จึงได้มาเจอยานี้เข้าไป พอเจอนี้แล้วดีวันดีคืนขึ้นไป จนกระทั่งเดี๋ยวนี้หาย แกมาพูดต่อหน้าเรา หายเลยนะโรคอันที่ว่ารอจะตายวันตายคืน หายเลย
จึงอยากให้ท่านได้ฉันยาขนานนี้ ก่อนที่จะตายก็อย่าด่วนทิ้งขันธ์ ขอให้ฉันยาขนานนี้เป็นขนานสุดท้ายเสียก่อน ถ้าไม่หายแล้วค่อยไป ภาษาเจ๊กมันพูดดีนะ เขาบอกเขาไม่ห้าม เวลานี้ขอไว้เสียก่อน ขอให้ฉันยาขนานนี้ก่อน ถ้าลงยาขนานนี้เอาไว้ไม่อยู่แล้วไปก็ไปเถอะ เราเอามาฉัน หมอเติ้งเราไม่ลืม พอฉัน โห มันดีวันดีคืน ดีดขึ้นเลย แล้วหมอเขาก็กำชับกำชาทุกอย่างแล้วว่า ยานี้เวลาฉันลงไปแล้วจะถ่าย เขาว่าอย่างนั้น ฤทธิ์ของโรคมีมากน้อยเพียงไรยานี้จะขับกัน จะถ่ายอย่างรุนแรง แต่ไม่ต้องตกใจ มันจะถ่ายขนาดไหนก็ตามจะไม่เสียกำลัง ไม่เพลีย ไม่ได้เหมือนโรคที่พาถ่าย โรคพาถ่าย ถ่ายเท่าไรอ่อนลงๆ อันนี้มันจะถ่ายแบบเดียวกัน ถ่ายเร็วแก้โรค พอมาฉันเป็นจริงๆ นะ มันก็ถ่ายเต็มเหนี่ยวของมัน แต่ไม่เพลีย
นั่นละดีดขึ้นๆ จึงได้ช่วยโลกมา นี่ที่มันอดคิดไม่ได้ จึงได้ช่วยโลกตั้งแต่บัดนั้นมา ๒๕๔๑ เรื่อยมา เรื่องวัตถุสิ่งของที่จะช่วยชาติบ้านเมืองเราก็คิดเพียงเล็กน้อย เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเหมือนหัวใจกับธรรม เราไปเน้นหนักอยู่ในหัวใจกับธรรม ว่า เอา จะช่วย ช่วยฟื้นฟูจิตใจที่ล้มเหลวมาด้วยอำนาจของกิเลสพาให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม จะทำชาติบ้านเมืองของตนให้ล่มจม ไม่มีอะไรที่จะฟื้นขึ้นมาได้นอกจากธรรม เราพิจารณาเรื่องนี้แล้ว จึงว่าเอาจะช่วย ช่วยก็สมบัติเงินทองข้าวของ เช่นอย่างได้ทองคำเข้าสู่คลังหลวง ดอลล่งดอลลาร์ วัตถุต่างๆ ที่ช่วยสร้างทั่วประเทศไทยนี้ โลกเขาเชื่อกันหมดว่าช่วยอันนี้แหละ แต่ใจของเรามันลึกลับ อันนี้เพียงเล็กน้อย เรื่องใหญ่คือธรรมจะเข้าช่วยจิตใจของประชาชนให้รู้เนื้อรู้ตัว เราถือเอาอันนั้น แล้วก็ออกจริงๆ อย่างนั้นด้วย
ช่วยชาติบ้านเมืองทางด้านวัตถุก็ช่วยไป จนกระทั่งหยุดลงไปแล้ว เดี๋ยวนี้ธรรมไม่หยุด เห็นไหมล่ะ ออกตั้ง ๙๐ กว่าสถานีแล้ว ออกทั่วประเทศไทย ธรรมเข้าสู่ใจๆ เมื่อธรรมเข้าสู่ใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นภัยจะค่อยสงบตัวลงๆ นี่ละที่ว่าไม่คาดไม่ฝันการช่วยโลกมันก็เป็นมาได้อย่างนี้แหละ เทศนาว่าการมาตั้งแต่การช่วยชาติเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แล้วที่ว่ามันจะตายๆ ชนพรรษา มันก็ไม่ตาย มันชนมาได้ ๗-๘ ชนพรรษาแล้ว ไม่ตายนะ เป็นอย่างนั้นละ จึงได้ช่วยโลกมา
เทศนาว่าการส่วนมากมีแต่ธรรมะของเรา ครูบาอาจารย์ท่านก็ช่วยบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่มาก ส่วนออกหน้าจริงๆ มักจะเป็นเรื่องของเรา ไปวัดไหนๆ เหมือนกัน อย่างไปวัดภูวัวก็เหมือนกัน วันนั้นไปก็ถาม เวลากลางคืนปฏิบัติกันอย่างไรอยู่ด้วยกัน เราว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เราก็ทราบจากท่านอุทัยแล้ว ท่านบอกว่าตอนค่ำก็มาประชุมกัน ที่กุฏิหลังนั้นแหละ มันเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งหินดานข้างล่าง ชั้นบนไม่มีใครขึ้นไปแหละ มาอยู่แต่ข้างล่าง ค่ำมาก็มาประชุมกันที่นั่น แล้วมาเปิดเทปฟังเทศน์ นั่งภาวนาฟังเทศน์ เปิดเทปฟัง
อย่างน้อยให้ได้หนึ่งกัณฑ์ หรือหนึ่งม้วน แล้วใครอยากจะลุกไปทำความพากเพียรในสถานที่อื่นใดก็ได้ หรือผู้ไม่อยากไปจะนั่งอยู่นั้นภาวนาต่อไปก็ได้ ว่าอย่างนั้น เราก็ถามแล้วเทปได้มาจากที่นั่นบ้างล่ะ โอ๋ย เทศน์ครูบาอาจารย์ก็มีเล็กๆ น้อยๆ ส่วนใหญ่คือเทศน์หลวงตานั่นแหละ ออกแล้วนะ มีแต่เทศน์หลวงตาละออกหน้าออกตาอยู่ทุกวันนี้ นี่ก็วัดภูวัว ที่อื่นก็แบบเดียวกัน มักจะมีแต่เทศน์หลวงตา มันเข้มข้นนะ เทศน์ที่ไหนคนตื่น วิ่งเข้าป่าเข้ารกหรือวิ่งเข้าไหนไม่รู้ละ มันหวดเรื่อยไป ตีเรื่อยไป ไปที่ไหนมักจะมีแต่เทศน์ของเรา
อย่างที่เขาเปิดทางวิทยุ เท่าที่ทราบตอนกลางวี่กลางวันก็มีเทศน์ประเภทหนึ่งๆ พอตกกลางคืนมามักจะมีเทศน์ธรรมะแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว ดึกเท่าไรยิ่งมีแต่ธรรมะประเภทแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วทั้งนั้น ส่วนมากเป็นเทศน์หลวงตา ไม่เห็นมีองค์ใด แน่ะก็มาหาเราอีก แล้วการเทศน์นี้เราก็พอใจ เราไม่มีที่ต้องติในธรรมเทศนาที่แนะนำสั่งสอนบรรดาประชาชนพระเณรทั้งหลาย เราพอใจภูมิใจทุกอย่าง ไม่มีที่ต้องติ เพราะถอดออกมาจากหัวใจที่กลั่นกรองมาแล้วด้วยความเพียร สุดกำลังถึงขนาดจะสลบไสล การคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาอรรถหาธรรม จนกระทั่งได้เป็นที่พอใจ นำออกเท่าไรก็ไหลออกเลย พูดให้มันชัดอย่างนี้
เทศน์นี่ไม่มีกำหนดว่าจะเทศน์มากเทศน์น้อยเพียงไร ไม่มีขอบมีเขต ควรที่จะออกหนักเบามากน้อยจะเป็นไปเอง เมื่อเรื่องเข้ามาสัมผัส สัมผัสหนักเบามากน้อย หรือไม่ควรพูดเลยนี้ดึงก็ไม่ออก มันหากเป็นอยู่ในนั้นละ ถ้าไม่ควรพูด พูดออกไปไม่เกิดประโยชน์ไม่พูด ควรพูดหนักเบามากน้อยจะออกตามสัดตามส่วน ถ้าควรจะทุ่มเลยนี้ไม่ต้องบอก ผางเลยทันที นี่ธรรมประเภทภาคปฏิบัติ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเทศน์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่ก็เทศน์มาตั้งแต่ ๒๔๙๓ เริ่มเทศน์สอนพระ ๙๓-๙๕ นี่เทศน์สอนพระทั้งนั้นแหละ พอหนักเข้าๆ ออกช่วยชาติก็เลยกลายเป็นแกงหม้อใหญ่ไป ที่เทศน์สอนพระล้วนๆ ซึ่งเป็นธรรมะเด็ดๆ ไม่ค่อยมี จะมีบ้างเป็นบางแห่ง เช่นอย่างไปจันทบุรีมีพระปฏิบัติอยู่มากมาฟัง นั่นละธรรมะประเภทนั้นมักจะออก ถ้าธรรมดาแล้วไม่ออก ดึงออกก็ไม่ออก หากเป็นเอง
เราก็ภูมิใจในเทศน์ของเราที่เทศน์ออกไป ว่ามีที่ต้องติที่ตรงไหนว่าผิดไปนี้ไม่มี แน่ตลอดเลย ออกจากความแน่ของใจออกไป เพราะฉะนั้นจึงมีรสมีชาติทั้งการเทศน์ทั้งการฟัง ไม่ว่าเก่าไม่ว่าใหม่ ไม่ได้ไปคำนึงนะว่านี่เก่านี่ใหม่ มันเป็นรสเป็นชาติมาจากธรรมแท้ๆ ตลอดไปเลย พอพูดอย่างนี้ก็เราก็ยังไม่ลืมเจ้าคุณอุดร นี่ละได้พูดอยู่ไม่แล้วนะ นิสัยท่านเรียบมาก ดูจะไม่เคยดุใครละอยู่ในวัดนั้น เหมือนว่าท่านดุคนไม่เป็น วันนั้นก็ไปชำระอธิกรณ์ พอชำระอธิกรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็เหนื่อย ชำระอยู่เพียงแค่ ๔๕ นาทีเสร็จ ที่ชำระมาก่อนๆ สองวันสามวันไม่เสร็จ ล้มๆ เพราะฉะนั้นเราถึงได้ไป ท่านเจ้าคุณนี้แหละเขียนจดหมายเท่าฝ่ามือนี้มาสองสามตัว เราก็ไม่ลืม อันนี้ก็อุ่นขึ้นมาก็ได้อยู่เพราะมันมีรสมีชาติอยู่
นิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิฯ ว่างั้นนะ ซึ่งเวลานี้กำลังเผาไหม้กันแหลก นิมนต์โดยด่วนว่าเท่านั้นแหละ เณรถือจดหมายมา คือแต่ก่อนไม่มีรถมีรา รถราเข้ามาไม่ได้ เขียนเท่าฝ่ามือนี้ให้เณรยื่นมาให้เรา เราก็อ่านดู นิมนต์ท่านอาจารย์ไปดับไฟวัดโพธิฯ ซึ่งกำลังแสดงเปลวเต็มที่โดยด่วน เราทราบแล้วที่ว่าประชุมกันสองวันสามวันไม่เสร็จๆ เราทราบมีประชุมอะไร เพราะฉะนั้นวันครั้งที่สามจึงมาเอาเราไป แต่ก็เดชะนะ พอเข้าไปก็ใส่ปั๊วะเลย ๔๕ นาทีเรียบเลย ทีนี้พอเรียบแล้วมันก็จะตาย แผ่สองสลึง นอนแผ่พระก็มานวดเส้นให้
แล้วมีเจ้าคุณอุดรนั่งอยู่ข้างๆ นี่ ดุใครไม่เป็นละนี่ บทจะขึ้นก็ขึ้นอย่างนั้นแหละ พระเณรนวดเส้นนะ ใครถ้าอยากดูฤทธิ์เดชของอาจารย์เราน่ะ ให้มาดูเวลาขึ้นเวทีท่านว่างั้นนะ ถ้าใครอยากดูฤทธิ์เดชของอาจารย์เราให้มาดูเวลาขึ้นเวที คือประชุมกันพึ่งเสร็จ เพราะเวลาประชุมมันเป็นไฟจริงๆ เรา ซักหาเหตุหาผล ผู้ว่าฯ ก็อยู่ที่นั่น ซัดกับผู้ว่าฯ นี้หงายไปเลย มันมีผู้ว่าฯ ที่ไหน ธรรมเหนือทุกอย่าง อะไรขัดซัดกันทันทีๆ เลย วันนั้นซัดผู้ว่าก็หลงไปเหมือนกัน เป็นอย่างนั้นนะ เหตุผลหนักเบามากน้อยนั่นละก้าวเดินๆ ๔๕ นาทีเรียบ พระสงฆ์อนุโมทนาสาธุการทั้งวัดเลย ไม่มีองค์ใดที่จะค้านขึ้นมาว่าไม่ถูกไม่ดีขัดข้องอะไรไม่มี
นั่นละที่นี่พอเสร็จแล้วก็นอนแผ่สองสลึง พระท่านก็มานวดเส้นให้ เจ้าคุณอุดรนั่งอยู่นี้พูดขึ้น ถ้าใครอยากดูฤทธิ์เดชอาจารย์ของเราแล้วให้ดูเวลาขึ้นเวที คือเวลานั้นซัดกันพอแล้ว หยุดลงมามาแผ่สองสลึง ทางนี้ก็ขู่ออกมา ก็เรื่องราวมันก็เรียบร้อยไปแล้วมันเน่ามันเฟะไปหมดแล้วมาอุ่นขึ้นกินอะไร มันบูดมันเสียพอแล้วนี่น่ะเราว่างั้น คอยฟังท่านจะตอบว่าไง ตอบเรียบนะ มันน่าอุ่น อุ่นกินวันยังค่ำก็มีรสมีชาติอยู่ตลอดไป พูดสบายเลย เราก็เลยขบขัน เอ๊อ จะทำให้ดุก็ดุไม่เป็นนะคนไม่เคยดุนี้ กินวันยังค่ำก็มีรสมีชาติอยู่ตลอดไป เป็นอย่างนั้นนะเรื่องราว ก็มีเท่านั้นละวันนี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz