เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
เครื่องหมายดีเป็นมงคล
วันที่ ๑๐ เมื่อวานนี้ได้ทองคำ ๑๐ บาท ๔๗ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๑๐ ดอลล์ เวลานี้ทองคำที่ฝากและมอบไว้กับคลังหลวงนั้นรวมทั้งหมด ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ที่ได้ใหม่ยังไม่หลอม ๒๓๔ กิโล ๒๕ บาท นี่ยังไม่ได้หลอม ถึง ๔๐๐ กิโลแล้วถึงจะหลอมทีเดียว ยังไม่ถึงก็ยังไม่หลอม รอไปเรื่อย ๆ ก่อน ค่อย ๆ ก้าวเดินไปเรื่อยนะ ขอให้ระวังเหตุการณ์ที่จะทำลายชาติเรา คนชาติไทยเรานี้แหละมันจะทำลายชาตินะ จึงต้องระวังเหตุการณ์นี้ หัวเลี้ยวหัวต่อมากนะ เราพิจารณาหมดแล้วนี่พูดตรง ๆ อย่างนี้เลย เพราะฉะนั้นถึงได้เตือนพี่น้อง เตือนตรงไหนไม่ผิดนะ
เราก็พยายาม สิ่งใดที่เป็นวิสัยของพระของธรรมแล้วก็บอกไปตามนั้น ๆ ที่ไม่ใช่วิสัย เป็นเรื่องโลกไปก็ปล่อยให้โลกไปเสีย เรื่องของเรานี้เราพูดจริง ๆ เราไม่ให้บกพร่องว่างั้นเลย พิจารณาตรงไหนบอกตามนั้น ๆ ที่ไม่ขัดกับธรรมแล้วบอกตรงไปตรงมา ไม่ผิดไปเลยเทียว นี่ก็เตือนอย่างที่ว่านี้ พิจารณาให้ดีอย่านอนใจนะ ไส้อยู่ในท้องเรานั้นแหละมันเกิดเป็นหนอนกัดไส้กัดพุงเรานะ ก็คนไทยเรานั้นแหละมันอยู่จุดศูนย์กลาง มันเป็นหนอน มันกัดไส้กัดพุงพี่น้องชาวไทยทั้งชาติดูซิน่ะ โฮ้ เราพูดเราสลดสังเวชนะจะทำยังไง บางอย่างควรพูด บางอย่างไม่ควรพูด ทั้ง ๆ ที่รู้ตำตาตำใจอยู่อย่างนั้นละ
ศาสนาคือน้ำดับไฟล้วน ๆ นะ ไม่มีภัยอะไรเลย เรื่องศาสนานี่คือน้ำดับไฟล้วน ๆ กิเลสเมื่อได้ก่อตัวเข้ามาก ๆ แล้วก็เป็นไฟล้วน ๆ เลยสำคัญตรงนี้ เมื่อตั้งรากตั้งฐานขึ้นได้แล้ว เรื่องที่จะบำรุงรากฐานใหญ่ของเราก็จะค่อยเป็นไป หลักใหญ่ก็คือให้ฟังเสียงศาสนา ให้ฟังเสียงธรรมเสียงศาสนา อันนี้ละหลักใหญ่ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็รอดไปได้ ๆ ศาสนาไม่พาใครให้ล่มจม พาเล็ดพาลอดพาหลีกพาพ้นไปได้ตลอด จึงให้ฟังเสียงศาสนาเราเป็นลูกชาวพุทธน่ะ
คราวที่ผ่านมาแล้วนี้ก็เสียงอรรถเสียงธรรม เสียงศาสนา เสียงความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ผลก็เห็นขึ้นมาโดยลำดับใช่ไหมล่ะ ก็เห็นอย่างนี้แล้ว ความพร้อมเพรียงก็ผนึกเป็นกำลัง พร้อมเพรียงก็รวมเข้า สามัคคีรวมเข้า พร้อมเพรียงสามัคคีเรียกว่าผนึกอันใหญ่หลวงเป็นแท่งขึ้นมา สำเร็จไปได้ทุกอย่างความพร้อมเพรียงในทางที่ดี ความชั่วก็เหมือนกันถ้ามันรวมตัวของมันได้มันก็เอาพัง ก็อย่างนั้นแล้ว พลังอยู่กับความรวมนะ รวมแล้วก็เป็นพลัง เข้าสู่ใจก็เป็นพลังใจ ออกแสดงอาการก็รวมกันช่วยกัน ก็เป็นกำลังขึ้นมา
เมื่อวานนี้เอาของไปวัดดงฯ ไม่ได้ไปนานแล้ว พระมากอยู่นะอยู่ในวัดดงศรีชมภู คล้ายคลึงกันกับทางวัดในป่าในเขาทั้งหลาย เช่น วัดภูวัวอย่างนี้ อันนี้เรียกว่าคัดไว้เหมือนเป็นอันดับหนึ่งเลยเทียว คือเราเป็นผู้ดูแล เป็นผู้บำรุงรักษา เป็นผู้คอยตักคอยเตือนตลอด เหมือนว่าคัดเป็นประเภทนั้นอีก พระเร่ ๆ ร่อน ๆ ไม่ได้ สั่งหัวหน้าทันทีให้ไล่หนีเลย ของเล่นเมื่อไรวะ นี่ละคัดเลือกของดีฟังเอาซิ อะไรไม่ดีปัดออก ๆ เรื่องภัย อันใดดีส่งเสริม นี่เราก็พยายามเต็มเหนี่ยว หากว่ามีเวลาว่างเราก็ไป ไปแต่ละครั้งหลักใหญ่ก็คือธรรม พอเราไปนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่อยู่ในวงนั้น ส่วนอาหารการกินเราอุดหนุนอยู่แล้ว ไม่ลำบากลำบนอะไร แต่เวลาเราไปแล้วก็เอาไปเสริมเท่านั้นเอง ส่วนที่เราจัดให้เพียงพอเราจัดไว้เรียบร้อยแล้ว อะไรก็ตามเราเป็นอย่างนั้นทุกอย่างนะ ถ้าลงหยั่งตรงไหนแล้วขาดสะบั้น ๆ เลย ไม่ว่าจะแง่ใด
พอพูดอย่างนี้ก็ยังคิดถึงตาท่านทำนายแม่ นี่มันย้อนให้คิดถึงนะ ทำนายแม่ คือลูกอยู่ในท้อง แม่นี่ร้องแจ้ก ๆ วิ่งหาพ่อ เพราะมีลูกสาวคนเดียวท่านรักของท่านมาก ลูกอยู่ในท้องวิ่งมาหาพ่อ พ่อมาคลำท้องข้อยหน่อยน่า มันตายแล้วบ่ ขนาดนั้นนะ ทางพ่อก็ เฮ่ย มันบ่เป็นหยัง เขามีลูกกันทั้งบ้านทั้งเมืองเขาไม่เห็นเป็น ขนาดนั้นนะ ให้พ่อมาคลำเบิ่งมันตายแล้วเหรอ นี่เวลามันเงียบ ครั้นเวลามันดิ้นก็เอาอีกละ จะตายแล้วพ่อ มันเป็นอะไรกะด้อกะเดี้ย ท้องจะพัง อย่างนั้นนะ ร้องหาพ่อทุกอย่าง เวลามันดิ้นก็ร้องหาพ่อ มันจะเอาให้ตายจริง ๆ เวลามันเงียบก็เงียบไปเลยเหมือนตายแล้ว พ่อไม่ใช่มันตายแล้วเหรอมาคลำเบิ่ง ยังไม่ตายหรอก เขามีกันทั้งโลก มีมันก็บ่คือข้อยตั๊วล่ะ เขาบ่เว้าซิล่ะ มึงมันปากแว้ซื่อ ๆ นี่ละ ไปอย่างนั้นเสีย ผ่านไป อยู่อย่างนั้นมาตลอดฟังว่านะ
นี่ละพ่อของแม่นั่นละถึงได้ทำนาย เพราะเอะอะวิ่งหาพ่อว่าไง ทีนี้เวลามันเป็นหนักเข้า ๆ เวลาจะคลอดมันก็ไม่ยอมคลอด เอาอยู่นั่นละ ท้องจะระเบิดนู่นน่ะ แล้วเงียบไปอีก เป็นอย่างนั้นอีก จวนเข้ามาเท่าไรยิ่งเร่งใหญ่ ยิ่งหนักทุกอย่างเลย เวลานิ่งก็นิ่งเหมือนตาย มันดิ้นก็เต็มกำลัง มันตายแล้วมังว่าอีกแหละที่นี่ เอาอีกร้องอีก เวลาดิ้นก็เอาอีกแหละ พ่อถึงทำนายนะ แม่เล่าให้ฟัง ตัวแม่เองเล่าให้ฟัง ลูกเรานี้ทุกคนที่ผ่านมานี้ไม่เหมือนเรา มีคนเดียวที่ทุกอย่างผิดปรกติหมดไม่ได้เหมือนใคร เอาให้กระเทือนไปหมดครอบครัวว่างั้น
พ่อถึงได้ทำนาย กูจะทำนายให้นะลูกคนนี้ กูแน่ใจว่ามันจะเป็นผู้ชาย ลักษณะอย่างนี้กูแน่ใจเลยว่าเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้ชายถ้าไปฝ่ายชั่วแล้วมันตายไม่มีป่าช้าว่างั้น ที่มันจะไปตายในตะรางนี้มันไม่ตายแหละ มันจะตายนอกตะราง มันเหี้ยมมันโหดมันดุมันดันมันทุกอย่างว่างั้นเลยนะ เขาจะฆ่ามันนอกตะราง บอกขนาดนั้นนะพ่อ ที่จะให้จับมันไปเข้าคุกนี้ไม่ได้ จับมันไม่ได้แหละ ต้องฆ่ามันถึงจะได้ นี่พ่อทำนายนะ คือมันผาดโผนขนาดนั้นแหละ ถ้าไปทางชั่วเรียกว่าป่าช้ามันมีอยู่ทุกแห่งว่างั้น เหตุใดจะให้ไปตายในเรือนจำให้เขาจับได้ จับไม่ได้แหละ พูดถึงเรื่องความเด็ดขาดของมัน เรียกว่าตายนอกป่าช้า สู้กับเขาล่ะซีใช่ไหม เขาก็ยิงเอาล่ะซี ตายนอกป่าช้า คือตายนอกเรือนจำไม่ได้ตายในตะรางแหละ ตายนอกตะราง เขาฆ่านอกตะรางเพราะต่อสู้กับเขา เขาก็ฆ่า ถ้าไปทางชั่วนี้ไม่มีอะไรรอละสูนะ พินาศไปเลย
ถ้าไปทางดีก็เหมือนกันนั่นแหละ พูดเท่านั้นไม่มากสำหรับทางดี ถ้าไปทางดีก็เป็นแบบเดียวกันนี้แหละว่างั้น พูดไว้กลาง ๆ แต่พูดทางชั่วนี่ พูดแบบอย่างว่าแหละ บอกว่าไม่ได้ตายในเรือนจำนะสู ไอ้นี่ถ้าไปทางชั่วแล้วป่าช้ามันมีอยู่ทุกแห่ง ถ้าไปทางดีแล้วมันก็แบบเดียวกันนี้แหละว่างั้นเลย เด่นอย่างเดียวกัน พูดเท่านั้นไม่พูดมากทางดี แต่เวลาตกคลอดออกมาซี รกพันคอ พอตกมาพ่อละเข้าถึงก่อน คือพ่อของแม่เข้าถึงก่อนเลยปั๊บ โฮ้ สูนี่เครื่องหมายดีเป็นมงคลของมัน ขึ้นเลยนะพ่อตา นี่สายบาตรมัน ๆ พันคอแล้วนี่ แต่ท่านก็ตีความหมายไปถึง ๓ อย่าง ก็ถูกทุกอย่างนะ แต่เพื่อความเป็นมงคลจึงเน้นหนักทางเรื่องสายบาตรมากกว่า พอตกคลอดออกมามันมี ๓ อย่าง
๑.สายโซ่พันคอมัน
๒.สายกำยำ สายสะพายปืนเข้าใจไหม ไอ้เราก็เป็นทั้งสาม พอเริ่มโตขึ้นมาพ่อก็เป็นพรานนี่ ลูกก็เป็นพรานล่ะซีใช่ไหม เริ่มยิงสัตว์แล้วนะแต่ไม่มาก หากเป็นเครื่องหมายได้ใช่ไหมล่ะ สายโซ่นั่นก็ไปทางขโมย ไปค้าฝิ่นกับเขาเหมือนกัน สายโซ่นะเข้าใจไหม ไปขายฝิ่นกับเขาเหมือนกัน นี่ละคบเพื่อนไม่ดีเป็นอย่างนั้นนะ เพื่อนเขาชวนไปขายฝิ่น ซื้อฝิ่นไปขาย แต่ยังไม่ได้ขายนะ ซื้อมาแล้วเตรียมไปครั้งหนึ่งสองครั้งยังไม่สำเร็จ พอดีพ่อน้ำตาร่วงออกบวช อันนี้ปัดทันทีไม่ได้สนใจเลย ฝิ่นตกไปไหนไม่รู้ละไม่เคยถามจนกระทั่งป่านนี้ ฝิ่นไม่ได้อยู่กับบ้าน อยู่กับจุดศูนย์กลางกับเพื่อนขายฝิ่น นั่นมันก็ไปสายโซ่ใช่ไหมล่ะ ขายฝิ่นต้องติดตะราง มันไปได้ทั้งสามจึงว่า
พ่อตาทายก็ไม่ผิดนะ สายสะพายปืนหนึ่ง สายบาตรหนึ่ง ทายไว้ลงสายบาตรทันทีเลย สายบาตร ๆ มันก็เลยมาทางสายบาตรนั่นละนะ มาทางสายบาตร ไปทั้งสามสายเลยนะไม่ผิด ที่พ่อตาทำนายไว้ไม่ผิด ไปทางพราน พ่อก็เป็นพรานอยู่แล้ว พรานใหญ่เสียด้วยนะพ่อ พรานมีชื่อเสียงโด่งดังมาก พ่อเป็นพรานใหญ่ ปืนก็อยู่กับบ้าน ไปไหนฉวยปั๊บไปเลย อย่างนั้นแล้ว เริ่มแล้ว ยิงสัตว์ตายไปหลายตัวแล้วนะ เริ่มเท่านั้นละยังไม่มาก เพียงเริ่ม นี่ก็เป็นสายสะพายปืน ก็บอกอยู่ ไม่ผิด สายโซ่ก็ไปขายฝิ่น สายบาตรก็นี่ละมาเป็นหลวงตาอยู่เดี๋ยวนี้ มันก็มาได้ถึง ๓ สาย แต่ที่ผู้เฒ่าสะเดาะเคราะห์ก็คือว่า สายบาตร ๆ ขึ้นเลย ขึ้นก่อนเลย นี่ละสายบาตร ๆ ขึ้นเลย ขึ้นแต่สายบาตรเรื่อย อันนั้นตกลงออกหมดเลยสามสายนั่น มาสายบาตร
อันหนึ่งคือว่าไม่เคยกินของดิบนะ อันนี้เป็นมาดั้งเดิม เป็นเองไม่มีใครสอน ของดิบกินไม่ได้ พวกลาบพวกก้อย แม้ที่สุดปลาซิวเล็ก ๆ ก็กินไม่ได้ กินของดิบได้แต่กุ้ง กินกุ้งได้อยู่ แต่กุ้งตัวเล็กนะ ตัวใหญ่กินไม่ได้มันคาว เขาป่นกุ้งนี้กินได้ นอกนั้นปลาซงปลาซิวกินไม่ได้เลย เป็นเอง ทุกอย่างนี้เป็นเอง อันนี้ไม่มีใครบอก พวกดิบนี้ โหย ไม่ได้เลยนะ มันเป็นในนิสัยเองไม่มีใครสอน จนขนาดว่าพ่อตาทดลองดูทุกอย่าง อาเจียนออกมาต่อหน้า ทำไก่ป่าแล้วเอามาทำเป็นเหมือนป่น น้ำเหลว ๆ เราจับดู เราก็ไม่ลืมเหมือนกันนะอันนี้ พอจับลงไปเท่านั้น โหย มันยังไงไม่รู้นะ มันพุ่งเข้าไปข้างในเลย อาเจียนแตกออกเลย นั่นเห็นไหม เป็นเท่านั้นแหละ พ่อตาเลยวันนั้นฟังว่า ผูกแขนผูกมือให้ ๓ หนกลางคืน สงสารหลาน
กินพ่อตาก็โกหก ความหมายว่าจะทดลอง มันจะเป็นจริง ๆ เหรอ ทดลอง คือมันไม่ยอมกินเลยของดิบ ยังไงก็ไม่กิน หาอุบายทำท่าปิ้งไก่แล้วมาป่น นี้ไม่ใช่ลาบ พอใส่เข้าไปเท่านั้นละผางเลย อย่างนั้นละ ตั้งแต่นั้นไม่มีใครมาทำลายเลยมาแตะต้องเรา ทราบนิสัยเราแล้ว เราก็เป็นอย่างนั้น อันนี้ก็อันหนึ่งที่เป็นนิสัยดั้งเดิม ไม่มีใครบอกมันเป็นของมันเอง ในบ้านก็มีเราคนเดียว
นี่พูดถึงเรื่องความจริงจัง เรามีความจริงจังที่ออกมาบวช ที่พูดตะกี้นี้ คือมาจากนิสัยเดิม ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เหมือนกัน เพื่อนฝูงเราเหลาะแหละไม่เล่นด้วย มันดีอันหนึ่งที่นิสัยทางพาลไม่มี นิสัยทางฉกทางลักปล้นสะดมไม่มีเลย อันนี้ไม่มี เพื่อนฝูงใครมีลักษณะอย่างนั้นไม่เล่นด้วยเลย ปัดออก ๆ นี่ดีอันหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นก็สายโซ่ละนะ แต่นี้มันไม่ไป ทางพระนี้เลื่อมใส เลื่อมใสศาสนา เลื่อมใสพระ แต่ไม่อยากบวช แปลกอยู่ แต่เวลาจะบวชก็อย่างนี้ละ
เวลาบวชไปแล้วก็ไปอ่านหนังสือธรรมะ อ่านตรงไหน ๆ ตำหนิเจ้าของตลอด อ่านตรงไหนตำหนิตลอด เอ๊ ตรงนี้เราก็เคยเห็นมาแล้ว ตรงนี้เราก็เคยผิดมาแล้ว พยายามแก้ เห็นโทษเจ้าของเรื่อย ๆ หลายเรื่อง มันถึงได้หมุนเข้ามาทางด้านธรรมะ เวลามันหมุนก็หมุนเข้าเรื่อย ๆ ตลอดเลย สรุปแล้วว่านิสัยนี้จริงจังมากทีเดียว อย่างอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี่หลับหูหลับตาอยู่เฉย ๆ นะ หมู่เพื่อนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกุฏิมองดูพับ ๆ มันจับได้ทันที ๆ ความโง่ความฉลาดความแยบคาย ความจริงจัง ความเหลาะแหละ มันจะจับได้ทุกระยะ ๆ เลย นั่นฟังซิน่ะ ทีนี้ก็ใช้หูหนวกตาบอด ก็เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน หมู่เพื่อนก็มาเป็นเอง เราไม่ได้บังคับบัญชาให้มาปฏิบัติ เป็นเจตนาอันดี เรื่องความโง่ความฉลาดมีอยู่กับทุกคน ทิ้งไปนั้นเสีย เพราะฉะนั้นจึงแบบหูหนวกตาบอด แต่แม้เช่นนั้นใครก็ไปยุ่งหลายองค์ไม่ได้นะในวัด
ครูบาอาจารย์องค์ไหนจะมีเหมือนเราไม่มีนะ ธรรมดาครูบาอาจารย์พระเณรต้องรุม ๆ ลูกศิษย์ลูกหารุม ไปไหนรุม อาบน้ำอาบท่าอะไร การขบการฉันเคลื่อนย้ายไปมานี้พระเณรจะต้องรุมปฏิบัติอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ครูบาอาจารย์ท่านก็เรื่อย ๆ ของท่านไป เราไม่ได้นะ เพราะมันเป็นคนเดียวตลอดมา อย่างทุกวันนี้ก็เป็นคนเดียว อยู่กับหมู่กับเพื่อนพระเณรเต็มวัดนี้ใครไปยุ่งกับเราได้เมื่อไร ไม่ให้ยุ่งได้นะ เราอยู่คนเดียว ๆ ถ้าจะไปทำข้อวัตรต้องทำเวลาเราไม่อยู่ เวลาเราอยู่ที่นั่นจะไปเพ่นพ่านไม่ได้ นั่นละเวลาเราไม่อยู่ถึงไปทำ
เวลามามันก็เห็นกิริยาที่ทำสิ่งที่ทำเป็นยังไง ๆ มันจะจับของมันไปพร้อม ๆ ไปเลย ไม่ตั้งหน้าตั้งตาจะยกโทษยกกรณ์นะ แต่อันหนึ่งมันหากเป็นของมันเอง ผิดถูกมันจะรู้ของมันไปลำดับลำดา หยาบละเอียดมันจะรู้ของมันไปลำดับลำดา อย่างนี้พูดให้ใครฟังไม่ได้นะ เมื่อเวลาสรุปลงแล้วก็ว่าอยู่แบบหูหนวกตาบอดไปเลย เฉย นอกจากถ้าพูดภาษาโลกของเราก็ว่า นอกจากมันเหลือทนก็วากออกมาเสียทีนึง จากนั้นก็เฉยเลย ทีนี้เวลาเข้าธรรมะนี้มันเข้ากันได้หมด หาที่ต้องติธรรมะไม่ได้ มีแต่ตีเจ้าของ ตีเจ้าของเข้าเรื่อย ๆ ถ้าว่าความจริงจัง ธรรมะท่านบอกเรื่องความจริงความจังความมีความสัตย์ความจริงอะไร ท่านบอกไว้หมด อันไหนที่มันคล้ายคลึงกันเราก็จับเอามา อ๋อ เป็นอย่างนั้น ๆ อันไหนที่ผิดก็พยายามแก้ไปเรื่อย ๆ
เวลาที่มานำพี่น้องทั้งหลายนี่ กิริยาท่าทางมันจึงมีอยู่ตลอดอย่างนี้ละ กิริยาอันนี้ออกมาจากนิสัย นิสัยจริงจัง นิสัยมุ่งเหตุมุ่งผลมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ จิตใจกับเหตุผลเป็นอันเดียวกันเลย อะไรมาทำลายเหตุผลไม่ได้นะ เจ้าของเองก็ไม่ทำลาย สมมุติว่าเจ้าของได้สั่งอย่างนี้ หรือได้กำหนดตกลงใจอย่างนี้แล้ว ถ้าจะแก้ใหม่นี้เหตุผลต้องเหนืออันนี้ถึงจะมาแก้ได้นะแก้เจ้าของ แต่แบบเอามือเขียนตีนลบนี้ทำไม่ลงนะ เราเองก็ทำไม่ลง มันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้เวลามานำพี่น้องทั้งหลายนี้ ก็เรียกว่าแกงหม้อใหญ่ มันก็อืดอาดเนือยนายเป็นธรรมดา แต่กิริยาท่าทางของเราซึ่งเป็นผู้นำเราไม่เคยอ่อนนะ เรื่องอ่อนไม่มี นี่เป็นเรื่องของเราเองเราจะออกเต็มเหนี่ยวของเรา เรื่องเกี่ยวกับภายนอกนี้ก็เป็นธรรมดา อืดอาดเนือยนายก็ปล่อยไปเสีย เรื่องของเจ้าของเองต้องพุ่ง ๆ ตลอด นี่เป็นนิสัยเจ้าของเองเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรถ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับเราโดยเฉพาะที่เราจะทำหน้าที่โดยลำพังเราแล้ว เราจะต้องเป็นเราเต็มเหนี่ยวทันที เป็นเองโดยหลักธรรมชาตินะไม่ได้เสกสรร มันหากเป็นของมันเองอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการโต้ตอบการพูดการจานี้ ที่เรื่องมาเกี่ยวกับเราโดยเฉพาะนี้ เอ้า ๆ ถามมา นู่นน่ะฟังซิ นั่นเตรียมพร้อมแล้ว พอปั๊บ ๆ เลยทันที พอปั๊บ ๆ ทันทีเลย นั่นมันเตรียมไว้แล้ว
ยิ่งอย่างปัจจุบันนี้ด้วยแล้วเปิดโล่งเลยว่างั้นเลย ก็ไม่มีอะไรมาขวางหัวใจเลย มีแต่กิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อกิเลสพังลงไปแล้วเอาอะไรมาขวาง โลกธาตุนี่มันว่างเปล่าไปหมดเลยแล้วอะไรจะมาขวาง มันจะติดกับอะไรวะ นั่นฟังซิน่ะ เราไม่ติดเราเสียอย่างเดียวเท่านั้นไม่ติดอะไรทั้งโลก ไอ้เรื่องติดนั้นติดนี้คือติดเรานั่นเอง ถ้าไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่ติดอะไร เป็นอย่างนั้น เช่น เขาเห็นสิ่งนั้นเราไม่เห็น เขามาถามเรา เราก็บอกเราไม่เห็น แต่เราไม่ติดความไม่เห็นนั้น แน่ะ ก็อย่างนั้นซิ เราไม่ติดเราเสียอย่างเดียวก็ไม่ติดอะไร
ถ้าเราติดเรา ชนะใครทั่วโลกก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะแพ้ตัวเอง ถ้าชนะตัวเองตลอดเวลาแล้ว อะไรมันก็ชนะตลอดเวลา ตอบไม่ตอบ รู้ไม่รู้ แก้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เราไม่ติดเราเสียอย่างเดียว มันอยู่กับเรานะ เราคือกิเลสอยู่ในนั้น กิเลสมันขวางเราให้ก้าวไม่ออก ถ้าอันนี้มันพังไปหมดแล้วอะไรจะมาติด ไม่มีอะไรติดแล้วในโลกอันนี้ อะไรจะมาติด อดีตก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี ปัจจุบันก็ว่างไปหมด ติดอะไร แน่ะ
เวลาท่านรู้ ที่ว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญทางไหนท่านรู้ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง หรือแผ่นดินทั้งแผ่นนี้ ไม่ได้มาเป็นอุปสรรคต่อความรู้นั้นนะ ความรู้ที่ท่านพิจารณา สิ่งเหล่านี้จะไม่มีเลยนี่ ต้นไม้ภูเขา ความรู้อันนี้มันซ่านไปหมดทะลุไปหมดเลย ฟังให้ดีนะที่พูดนี่ ต้นไม้ภูเขาแผ่นดินทั้งแผ่นไม่มีความหมายเลย จิตเป็นจิตล้วน ๆ เพราะจิตเป็นนามธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุธรรม มันเข้ากันได้ยังไง เวลาพิจารณานี้จิตมันจะพุ่งถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นวิสัยของจิตจะรู้ ๆ นี้ปิดไม่อยู่ นั่นละถึงบอกว่านรกอเวจีอยู่ที่ไหนปิดไว้ได้ยังไง สวรรค์ พรหมโลก นิพพานอยู่ที่ไหน ท่านทรงนิพพานไว้แล้วปิดที่ตรงไหน เปรตผีประเภทต่าง ๆ เป็นวิสัยของจิต นั่นก็จิต อันนี้ก็จิตจะว่าไง วิสัยของกันและกันที่จะรู้จะเห็นกันปิดไม่อยู่ว่างั้นเลย กระจายออกหมด
ต้นไม้ภูเขาเหล่านี้ไม่มีความหมายนะ จิตไม่ได้มาเกี่ยวข้อง มันไม่ได้มีอันนี้กับจิตนะ ถ้ามีอันนี้ติดไปไม่ได้ ไปตรงนี้ก็ติดต้นเสานี่เสีย ไปนี้ก็ติดฝานี่เสียจิตน่ะ ถ้ามันติดอย่างนี้ เหมือนสายตานี่ สายตามองไปนี้มีฝามันก็ติดฝาเสีย มีต้นเสาก็ต้นเสาบังเสีย เป็นอย่างนั้นนะ จิตไม่มีอะไรบัง จิตไม่มีอะไรอายตนะ อายตนะแบบโลกไม่มีจิตอันนี้ ถ้าว่ารู้มันกระจ่างไปหมดเลย วัตถุทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีความหมาย เรียกว่าไม่มีในจิตดวงนั้นว่างั้นเถอะน่ะ จิตดวงนั้นจึงมีแต่ความรู้ต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรมด้วยกันเป็นวิสัยของกัน นี้ปิดไม่อยู่ ปิดไม่อยู่เลย นั่นละท่านทะลุอย่างนั้นท่านเห็นอย่างนั้น
ท่านไม่ได้เห็นเหมือนอย่างเรา เราไม่เห็น ก็จะเห็นอะไร เอาฝาปิดตามันไว้ตามันก็ไม่เห็นซี ท่านไม่มีฝาปิดตา ฝาคืออะไร คือกิเลส ปิดตามันไว้ ๆ มันก็ไม่เห็น เหมือนแก้วครอบไฟฟ้าก็ตาม ตะเกียงก็ตาม แก้วดำปั๊บไฟสว่างขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย แก้วดำครอบหมดมันก็ดำไปหมดนั่นละ เอาแก้วใสเข้าไปใส่ปั๊บก็กระจ่างออกไปเลย จิตของท่านเป็นอย่างนั้นไม่เหมือนเรา มันต่างกัน
อย่างนี้มันพูดไม่ได้นา แต่ผู้ที่เป็นอย่างเดียวกันไม่ได้ถามกันแหละ คือมันรู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน เรื่องของจิตมันรู้อย่างเดียวกันถามกันหาอะไร ท่านก็ไม่ถามกันเสีย มีเท่าไรท่านก็ไม่ถามกัน ท่านไม่สงสัยท่านแบบเดียวกัน นั่น อย่างพวกเรามันพวกตาบอด มีเท่าไรสงสัยเท่านั้น จึงว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร ทีแรกท่านนำมาพูดให้โลกฟังนี่ ท่านจะพูดแต่สิ่งที่ควรพูด จะเป็นประโยชน์แก่โลกมากน้อยท่านจะนำมาพูด อันใดที่ไม่เกิดประโยชน์ รู้ขนาดไหนเหมือนไม่รู้ เพราะธรรมไม่ได้เหมือนโลก ไม่ได้หนัก ไม่ได้กดได้ถ่วงไม่ผลักไม่ดัน อยากรู้อยากพูดอยากคุยไม่มี ธรรม มีแต่เหตุผลซึ่งเป็นธรรมล้วน ๆ อีกเหมือนกัน ควรจะพูดหนักเบามากน้อยท่านก็แย็บ ๆ ออกมาเสีย ถ้าไม่ควรก็หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องจิตล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ เป็นอย่างนั้น เข้ากันไม่ได้นะกับพวกเรานี่
อันนี้มันเครื่องมือหยาบ ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต สำหรับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสหยาบ ๆ อันนั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้ ท่านไม่ได้มีอายตนะอย่างนี้นี่นะ อายตนะแปลว่าเครื่องสืบต่อ เครื่องประสานกัน เช่น รูปกับตานี่เป็นอายตนะสืบกันต่อกัน ตาให้เห็นอันนี้ เรียกว่าอายตนะสืบต่อกัน อย่างท่านพูดว่าอายตนะนิพพาน กล่าวไว้เหมือนกันในธรรม อายตนะนิพพาน แต่ก่อนเราก็สงสัย นิพพานยังมีอายตนะอยู่เหรอ มีตา หู จมูก เหมือนเรามองดูรูป เสียง อยู่เหรอ สงสัย เรียนไป ๆ แต่เวลามันเป็นขึ้นมาแล้วถามหาอะไร เป็นบ้าเหรออยากว่าอย่างนี้ ว่าเจ้าของนะ
อายตนะนิพพานกับอายตนะของรูปธรรมมันต่างกันนี่นะ นั่นละที่ท่านทราบ จะเรียกอายตนะหรือไม่อายตนะล่ะ ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เปรต ผี นรก สัตว์ประเภทต่าง ๆ นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก นี่อายตนะสืบระหว่างนามธรรมกับอันนี้ รู้ ๆ อันใดมีมันก็สืบเข้าไปเห็น เห็นอันนี้ก็เรียกว่าอันนี้มี อันนี้ไปรู้ นี่มันสืบกันอยู่อย่างนี้ สืบในหลักธรรมชาติของจิต ไม่ได้เป็นอายตนะเหมือนเรานะ นี่ละถ้าว่าอายตนะก็อายตนะอย่างนี้ แต่ท่านไม่อยากพูดอายตนะ มันเหมือนฟ้ากับดิน โลกเขามีสมมุตินิยมท่านก็ว่าไปอย่างนั้น คือธรรมชาติอันนี้รู้ธรรมชาตินั้นว่างั้นเท่านั้นพอ ไม่เป็นไม่รู้
นี่ละพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสรู้ ตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย ตรัสรู้คือเอากิเลสขาดสะบั้นเสียก่อน เรียกว่าตรัสรู้ คือฆ่ากิเลส ผลแห่งการตรัสรู้ที่กระจ่างออกมานั้น รู้โลกวิทู รู้แจ้งโลกใน โลกในคือกิเลสก็แจ้งหมดแล้ว โลกนอกที่มีสิ่งเกี่ยวข้องต่าง ๆ กว้างแคบกระจายกันไปหมด เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง ท่านเป็นอย่างนั้นนะ ท่านไม่เหมือนพวกเรา
ธรรมอันนี้ใครกล่าวใครพูดมีไหม หาซิ เรียนก็เรียนมาด้วยกัน เราไม่ได้คุยนะ มันเป็นก็บอกว่าเป็น แต่เวลาไม่เป็นก็บอกไม่เป็น เวลามันเป็นจะให้ว่ายังไง จึงเรียกว่าถูกธรรม เป็นก็บอกว่าเป็นจึงเรียกว่าธรรม ไม่เป็นบอกว่าเป็นไม่ใช่ธรรม เรียกกิเลส เป็นแล้วเขาจะว่าอะไรก็ตาม เชื่อไม่เชื่อก็ตาม ลบล้างความเป็นไม่ได้เลย เป็น รู้ นั่นลบล้างได้ยังไง รู้อยู่นั้นจะให้ว่ายังไง นั่นละเรียกว่าธรรม พูดตามหลักความจริงออกมาเลย
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดนั้นละ ขอให้ปฏิบัติไปซี เบิกออกไป สวากขาตธรรม ๆ นี้ละเป็นทางเดินตั้งแต่พื้น ๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน นอกเหนือไปจาก สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ไม่ได้ ถูกตลอดแน่วเลย ตั้งแต่พื้น ๆ เรื่อย ก้าวไปตามนี้ละ เอ้า ไป ช้าหรือเร็วไปตามนี้อย่าปลีกอย่าแวะไป พุ่งถึงเลย นี่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้วไม่มีบกพร่องเลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้อย่างนั้น วันนี้ก็พูดเท่านั้นนะ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |