เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ตัวโทษอยู่กับเรา
ก่อนจังหัน
วันนี้คนเยอะ เป็นวันพระ เรารู้ว่าวันพระดีแล้วละเราชาวพุทธ ชาวพุทธไม่ทราบวันพระวันโกนแล้วก็หมดท่า คือวันพระวันโกน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ ท่านเรียกว่าวันพระวันโกน นี่พระพุทธเจ้าประทานให้ พวกเราทั้งหลายถึงจะมีกิจการงานมากขนาดไหนก็ตาม ในช่วงสองวันนี้ เรียกว่าอาทิตย์ละสองวันๆ ควรให้ได้บำเพ็ญทั่วหน้ากัน ไม่มีใครจะมีพระเมตตาเกินพระพุทธเจ้า ที่ว่าเมตตาให้อาทิตย์หนึ่งสองวัน เช่น ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ หรือ ๑๔-๑๕ ค่ำนี้ ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงเห็นความวุ่นวายของโลก ถ้าจะปล่อยให้เป็นความวุ่นวายกิเลสเอาไปกินหมด หัวใจแห้งผากจากอรรถจากธรรมที่จะพาให้เป็นความสุข จึงต้องแยกเอาไว้ อาทิตย์หนึ่งควรจะมีสองวันเพื่อธรรมเข้าสู่ใจๆ นี่เป็นประเภทที่พึ่งเป็นพึ่งตายได้จริงๆ ส่วนนอกจากนั้นอาศัยเวลามีชีวิตอยู่ พอตายแล้วหมดค่าไม่มีราคา
ธรรมนี้มีราคา ในช่วง ๗ วันอาทิตย์หนึ่งควรจะมีสองวัน เช่น ๗-๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ เช่นวันนี้เป็นวัน ๑๕ ค่ำ เป็นวันสมบูรณ์แบบที่เราจะได้บำเพ็ญคุณงามความดีในวันเช่นนี้ รักษาศีลแล้วก็รักษาใจ ภาวนา ใจมันดีดมันดิ้นมันหิวมันโหย ไม่มีอะไรเกินใจ เอาสติจับเข้าไปเราจะรู้ว่าตัวหิวโหย ตัวเดือดร้อนที่สุด ตัวเป็นฟืนเป็นไฟที่สุดคือใจดวงนี้ ถ้าไม่มีสติจับแล้วก็ดิ้นไปตามมันไม่มีวันมีคืน ตายทิ้งเปล่าๆ ถ้ามีสติธรรม ปัญญาธรรมจับเข้าไปก็หักห้ามมันได้ ในสิ่งที่ควรหรือไม่ควรมากน้อยจะทราบด้วยตนเอง นี่ละคำว่าสติธรรม ปัญญาธรรม เป็นของสำคัญมาก
วันนี้เป็นวันพระ ขอให้ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญธรรมเข้าสู่ใจ อย่าเชื่อจนเกินไปเชื่อกิเลส มันพาจมมามากต่อมากแล้ว พระพุทธเจ้ามีเพียงพระองค์เดียวที่มาสอนโลกๆ แต่กิเลสนี้เต็มทุกหัวใจสัตว์หัวใจบุคคล สอนอยู่ทุกแห่งทุกหนบนหัวใจคนให้ลงทางต่ำๆ ทั้งนั้น ส่วนธรรมคือพระพุทธเจ้ามาสอนให้ฉุดลากขึ้นข้างบน มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว มันไม่หวาดไม่ไหวไม่ทันกัน ให้นำธรรมพระพุทธเจ้าเข้ามาช่วยตัวเอง วันหนึ่งๆ ไปที่ไหนถ้าระลึกพุทโธอยู่เรียกว่ามีค่ามีราคา
พุทโธไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ศาสดาองค์เอกทุกพระองค์อยู่ในคำว่าพุทโธทั้งนั้น แล้วก็รวมธัมโม สังโฆ มาอยู่เป็นธรรมแท่งเดียวกันนี้ พอระลึกถึงพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ก็เป็นอันว่าระลึกถึงธรรมแท่งเดียวกันนี้ สามรัตนะนี้รวมเป็นธรรมแท่งเดียวกันมีค่ามีราคา เราอย่าไปหวังเอาค่าเอาราคากับสิ่งภายนอกสกปรกโสมมที่มันแย่งกันอยู่เวลานี้เห็นไหมล่ะ แย่งกันนี้แหม ตายแล้วกระดูกก็เอาไปไม่ได้เลย เวลามีชีวิตอยู่นี้ได้เท่าไรไม่พอๆ เที่ยวรีดเที่ยวไถเที่ยวกอบเที่ยวโกยหมดผู้มีอำนาจมากทั้งนั้น อำนาจมากคืออำนาจของกิเลส มันไปเที่ยวกอบเที่ยวโกยเที่ยวบีบบี้สีไฟหมด ถ้าอำนาจของธรรมเฉลี่ยให้มีความสุขทั่วหน้ากัน นี่เรียกว่าธรรม อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ตั้งแต่สัตว์ถึงบุคคลเป็นความสุขเสมอหน้ากันถ้าเป็นธรรม ถ้าเป็นกิเลสแล้วเที่ยวกอบเที่ยวโกยเที่ยวรีดเที่ยวไถ บีบคั้นเอาได้ทุกแบบทุกฉบับ
เห็นไหมสงครามที่เกิดอยู่เวลานี้ เกิดเพื่ออะไร นั่นละสงครามความโลภ ได้ไม่พอๆ กินจนกระทั่งวันตายมันก็ไม่พอในหัวใจ เพราะกิเลสไม่เคยสร้างความพอ ท่านบอกว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำทั้งหลายเสมอด้วยตัณหา คือความอยากความทะเยอทะยานนี้ไม่มี อันนี้ไม่มีฝั่งพวกตัณหาความอยากความทะเยอทะยาน แม่น้ำมหาสมุทรยังมีฝั่ง เรื่องกิเลสตัณหาไม่มีฝั่ง ท่านจึงเทียบเอาไว้อย่างนี้แหละ เหล่านี้มันอยู่หัวใจใครล่ะ มันอยู่หัวใจเราทุกคน เอาธรรมเข้ามาเป็นขอบเขต บีบบังคับให้มันอยู่ในกรอบ เรียกว่าฝั่ง เอาธรรมเป็นฝั่งกั้นกิเลสไม่ให้มันล้นฝั่งไปเผาโลกเผาสงสารให้แหลกเหลวไปหมด พากันจำให้ดี
อยู่ร่วมกันให้เห็นใจกัน อย่ามองดูหัวใจตัวเองแล้วเหยียบหัวใจคนอื่น เหยียบคนอื่นใช้ไม่ได้ไม่ใช่ธรรม ต้องดูหัวใจเขาหัวใจเราให้สม่ำเสมอกัน อยู่ด้วยกันเหมือนกัน เช่นอาหารการบริโภคอย่างนี้ให้เสมอกัน ความเสมอกันนั้นแลเป็นธรรม ปากท้องเต็มท้องมันก็ไม่เป็นธรรมแหละ ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปวางความเสมอภาคให้ทั่วถึงกันแล้ว หาความสุขไม่ได้ เอาละจะให้พร
หลังจังหัน
คำว่าธรรม โลกยอมรับกราบไหว้กันทั่วดินแดน นี่เป็นความคาด คำว่าธรรมเป็นจุดใหญ่ แล้วก็หมายออกมาจากคำว่าธรรมเป็นความเคารพของแต่ละรายๆ ทีนี้ธรรมที่จะเด่นจริงๆ ก็คือผู้ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะพวกจิตตภาวนา ทางด้านจิตตภาวนานี้เป็นทางตรงที่จะเข้าสัมผัสธรรม ธรรมจะเข้าสู่ใจ ใจกับธรรมจะประสานกันโดยลำดับลำดา เรียกว่าธรรมซึมซาบเข้าถึงใจ ทีนี้ทราบแหละว่าธรรมเป็นยังไง ธรรมดาก็ทราบเฉยๆ ว่าธรรม ยอมรับกัน เวลาจะยอมรับจริงๆ ก็คือเวลาเราบำเพ็ญภาวนา จิตตภาวนากับธรรมเข้าสัมผัสกัน เกิดแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในใจนั้นแหละ ทีนี้ก็ทราบแหละที่นี่ว่าธรรมเป็นยังไง
มีใจเท่านั้นเข้ากันได้กับธรรมสนิท อย่างอื่นเป็นภาชนะของธรรมไม่ค่อยได้ เช่นอย่างตา หู จมูก ก็ไหลเข้าสู่ใจ อย่างเรามาฟัง ฟังนี่ก็เข้าสู่ใจ มาได้ยินได้ฟังได้เห็นก็ไหลเข้าสู่ใจ ใจเป็นที่รับธรรม ทีนี้เวลาธรรมกับใจได้เป็นอันเดียวกันแล้วด้วยความบริสุทธิ์ เรียกว่าธรรมธาตุ นั่นละที่นี่ความเลิศความเลอไม่มีอะไรจะเทียบได้เลย ท่านว่าธรรมธาตุ คือผู้บำเพ็ญเข้าถึงธรรมขั้นนี้แล้ว ท่านยังมีธาตุมีขันธ์มีชีวิตอยู่ก็ให้ชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าแล้วก็พระอรหันต์ นี่เรียกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน กลายเป็นธรรมธาตุขึ้นมาในใจของผู้บำเพ็ญธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เรียกว่าธรรมธาตุ
คำว่าธรรมเท่านั้นใจก็ลงได้ แต่พอเข้าถึงใจแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือเลิศเลอสูงส่งขึ้นไปเป็นลำดับลำดา เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พึ่งบวชใหม่นะ แต่ที่จับเอาต้นเหตุก็คือ ตอนเช้าเราก็อยู่ในโบสถ์กับท่านพระครู วัดโยธานิมิตร ท่านเป็นเจ้าอาวาส เราเป็นนาคอยู่ในนั้น ตอนเช้าท่านออกเดินจงกรม ตี ๔ กว่าๆ ท่านออกเดินจงกรมจนสว่าง ท่านกลับเข้ามาก็ทำวัตร พอสว่างพร้อมกันทำวัตรเสร็จก็ออกบิณฑบาต เราสังเกตท่านเดินจงกรมอยู่อย่างนั้น สังเกตเงียบๆ
ทีนี้พอบวชแล้วก็ไปเรียนคำภาวนากับท่าน มาเรียนคำภาวนาอยากภาวนา จะให้ภาวนายังไง ท่านก็บอกว่า เอ้อ เอาพุทโธนะ เราก็เอาพุทโธท่านว่างั้น เราก็เอาพุทโธไป พอหยุดจากการเรียนจะเว้นระยะหนึ่งชั่วโมง คือหยุดจากการเรียนแล้ว หนึ่งชั่วโมงนี้เป็นเวลาภาวนา หรือเป็นเวลาลงเดินจงกรม อยู่วัดโยธานิมิตร ภาวนาตั้งสติอยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ ก็เป็นธรรมดาทำไปสะเปะสะปะไม่มีความหมายอะไรแหละ จุดหมายปลายทางไม่มี เอาแต่พุทโธๆ ภาวนาแล้วก็นอน
บทเวลาจะเป็น นั่นละที่มันแปลกประหลาด วันมันจะเป็น นั่งภาวนาพุทโธๆ นี้ สติจับกับพุทโธไว้ พุทโธๆๆ แล้วปรากฏเหมือนเราตากแหไว้ คำว่าพุทโธๆ นั้นเหมือนเราจับจอมแหดึงเข้ามา ทีนี้ตีนแหก็หดเข้ามาๆ กระแสของจิตเท่ากับตีนแห จิตเท่ากับจอมแห พอพุทโธๆ นี้เหมือนกับว่าเราดึงจอมแหเข้ามา ตีนแหก็หดเข้ามาๆ คือกระแสของจิตมันหดเข้ามา เลยเป็นข้อสังเกตข้อหนึ่ง ทำให้จิตใจสัมผัส จ่อ ทีนี้พุทโธถี่ยิบ อันนั้นก็ย่นเข้ามาๆ บทเวลาจะเป็นนะ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เราบวชมา อยู่ที่วัดโยธานิมิตร
พอพุทโธๆ อันนี้หดเข้ามาๆ หดเข้ามาหาจุดว่าพุทโธ กระแสของจิตหดเข้ามาๆ พอมาถึงที่นั่นกึ๊กเลยนะ นี่เป็นโดยหลักธรรมชาติที่เราไม่คาดไม่ฝัน มันเป็นประจักษ์กับเรา มันถึงทำให้ตื่นเต้น แหมดีอกดีใจตื่นเต้น พอเข้ามาตรงกลางกึ๊กเลยนะ ขาดหมดเลย จิตที่มันยั้วเยี้ยไปกับอะไรในโลกธาตุนี้ หดเข้ามาอยู่จุดเดียวนี้เป็นจุดอัศจรรย์ โหย ตื่นเต้น ไม่นานละเพราะมันตื่นเต้น ความตื่นเต้นความอัศจรรย์เลยไปกวนจิตอันนั้นเสีย มันเลยถอยออกมา วันหลังเอาใหญ่เลยไม่ได้เรื่อง
ได้ของอัศจรรย์วันนั้น นี่เป็นครั้งแรกแหละเราตั้งแต่บวชมา เป็นครั้งแรกในคืนวันนั้น พอวันหลังเตรียมท่าจะเอาอีกนี้เลยไม่ได้ มันไปหมายตั้งแต่จิตที่รวมอัศจรรย์นั่น เลยลืมพุทโธ สติไปอยู่กับนอกนั่นเสียไม่อยู่ข้างในมันก็ไม่รวมซิ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีการภาวนานี่ไม่ละ ไปอยู่ที่ไหนไม่ให้ใครทราบ เพราะอยู่กับพวกลิงพวกค่างด้วยกัน พระลิงพระค่าง กิริยาพระลิงพระค่างกับภาวนามันเข้ากันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เวลาออกมาหาหมู่หาเพื่อน หมู่เพื่อนเป็นลิงก็เป็นลิงกับเขาไปเสีย แต่ภายในลึกลับที่ภาวนาไม่เคยละเป็นอยู่ในใจ มันหากเป็นเอง เป็นแต่เพียงว่าไม่พูดให้ใครฟังเลย หากเป็นอยู่ในใจ
เวลาเงียบๆ กลางวี่กลางวันเข้าไปภาวนา ครั้นออกมา ทำอะไร โฮ้ คนมันตายเป็นนี่นะต้องพักผ่อนบ้างแหละ ว่างั้นไปเสีย ไม่ได้บอกว่าภาวนา มันลงให้ ๓ หน เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีลงให้ ๓ หน นี่ละเป็นเชื้ออันสำคัญมาก ฝังลึก คือเราจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียว พูดออกมาแล้วว่าเรียนจบแค่ประโยค ๓ พอเป็นปากเป็นทางพอเป็นพอไปแล้วทางด้านปริยัติ นักธรรมก็นักธรรมเอกแล้ว เปรียญก็ ๓ ประโยค พอเป็นปากเป็นทาง แบบแปลนแผนผังที่จะปฏิบัติแล้ว ออกเลยละ
เวลาเรียนหนังสือก็ทำแต่ไม่บอกให้ใครทราบ เวลาเงียบๆ ดึกๆ ลงไปเดินจงกรม ถ้าเจอเพื่อนฝูงเดินผ่านมาถาม ทำอะไร โอ๊ย เปลี่ยนบรรยากาศ ก็ว่างั้นไปเสีย ไม่ได้บอกว่าภาวนา เราเคยเผลอพูดหลุดปากไปหนหนึ่ง โอ๋ย หมู่เพื่อนมันหยอกมันเล่นทุกอย่าง หือๆ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้หรือ คอยกันหน่อยน่ะ นี่ละมันน่าโมโห เราเผลอไปบอกว่าเดินจงกรม หือๆ ขึ้นเลยเพื่อน จะทำอะไรก็พวกเดียวกัน มันมีผิดมีถูกอะไร ตั้งแต่นั้นมาเวลาเจอหมู่เพื่อนก็บอกเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งดูหนังสือเหนื่อย ว่าไปอย่างนั้นเสีย ความจริงเดินจงกรม
มันหากเป็นอยู่ลึกๆ นะแปลกอยู่จิตอันนี้ เวลาออกสู่หมู่สู่เพื่อน กิริยาอาการก็เหมือนหมู่เหมือนเพื่อน เป็นลิงเป็นค่างของพระไปนั้นแหละ ไม่เป็นแบบโยม หากเป็นลิงเป็นค่างแบบพระ อยู่ในวงพระเล่นหยอกกันก็หยอกแบบพระ ในวงของพระ นั่นละจับอันนี้ไว้ ออกไปนี้จะเอาอันนี้ให้ได้เลย ทีนี้พอออกก็เอาจริงๆ ได้ ได้จริงๆ ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนมันจะไปไหนจิต มันก็ต้องอยู่ในเงื้อมมือของเราจนได้นั่นแหละ
เราฝึกหัดภาวนาเบื้องต้นที่จิตรวมนั่น เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็นได้ ๓ หนที่มันรวมกึ๊กขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่ใช่จิตรวมธรรมดา มันขาดหมดพูดไม่ถูก แต่ความเป็นไม่สงสัย มันอัศจรรย์ตื่นเต้น วันนั้นจิตจะไม่ไปไหนมันจะอยู่กับที่จิตตื่นเต้นกลางคืนภาวนานั่นละ จิตจะป้วนเปี้ยนอยู่ในนั้นไม่ไปไหน เป็นอารมณ์สำคัญมากกล่อมใจให้รักการภาวนา เพลินอยู่ในนั้น จากนั้นก็ออกปฏิบัติ ออกปฏิบัติก็มุ่งมั่นต่อพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียนหนังสือก็เรียน เรียนนิพพานก็เรียน อ่านนิพพานก็อ่าน แต่ความสงสัยมันก็คืบคลานเข้าไป นิพพานยังมีอยู่หรือไม่มีนา
นี่ละมันมีอยู่นะส่วนย่อย ส่วนใหญ่เชื่อ แต่ส่วนย่อยมันก็แบ่งกินอยู่งั้นละ นิพพานมีหรือไม่มีนา พอออกแล้วก็มุ่งหน้าใส่พ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ นั่นละที่นี่ลงใจละ สุดทุกอย่างเรื่องสงสัยมรรคผลนิพพานหมด แม้กิเลสยังมีอยู่แต่ความสงสัยมรรคผลนิพพานขาดสะบั้นไปหมดไม่มีสงสัย จากธรรมของหลวงปู่มั่น จากนั้นถึงได้เอาจริงเอาจังละที่นี่ เอาจริงนะ ไปเที่ยวกรรมฐานเราไปองค์เดียวเรา พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็ไม่เคยขัดข้องมีแต่เสริม ท่านว่าจะไปกับใคร
ถามท่านเสียก่อน คือก่อนจะไปไหนมาไหนนี้ ไม่ใช่อยู่ๆ จะลาท่านไปเลย ด้วยความเคารพมารยาททุกอย่างอยู่ในนั้นหมด เคารพท่าน ก็พูดขึ้น ถามถึงการถึงงานในวัดในวามีอะไรบ้างไหม พอท่านบอกไม่มีอะไร ถ้าไม่มีก็คิดว่าอยากจะกราบพ่อแม่ครูจารย์ไปเที่ยวภาวนาชั่วระยะ บอกชั่วระยะนะ เพราะท่านเมตตาผูกพันมากกับเรา เกี่ยวกับพระเณรทั้งวัดเราเป็นหูเป็นตาดูแลสอดส่อง พระเณรจึงกลัวเรามากแต่ไหนแต่ไรมา กลัวท่านละองค์ที่หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ของท่านโดยเฉพาะ ไอ้เรานี่มันสัมผัสสัมพันธ์กับพระเณรอยู่เรื่อย ดุกันอยู่เรื่อยนั่นซิ พระเณรก็กลัวเรามากด้วย
นั่นละที่จะไปไหนมาไหนต้องได้กราบเรียนท่าน ถามถึงการถึงงานว่าว่างแล้วก็ ถ้าว่างแล้วก็คิดอยากจะไปเที่ยวภาวนาสักระยะหนึ่ง ทีนี้เวลาท่านถาม แล้วจะไปทางไหน ก็บอกว่าจะไปทางนั้นๆ เพราะท่านเห็นหมดแล้ว เอ้อ ทางนั้นดีนะท่านว่างั้น พอถามว่าจะไปกับใคร ไปองค์เดียว ขึ้นทันทีนะท่านเสริม สำหรับเรานี้ท่านเสริมจริงๆ พอว่าไปองค์เดียว เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ชี้ไปนี้ส่ายนิ้วไปเลย ให้ท่านไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งกับท่านนะ เราเองก็ไม่เคยยุ่งกับใคร จึงตายใจนึกว่าจะไม่มีใครจดจ่อสนใจกับเรา เราก็เป็นเราไปเรื่อยๆ ตอนพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพนี้ เกาะพรึบเกาะเรา ถึงได้รู้ว่าพระเณรจ้องมองเราอยู่แต่เมื่อไร
นี่เราพูดถึงเรื่องออกภาวนา เราไปองค์เดียวๆ ท่านเสริมตลอดท่านไม่เคยขัดข้องถ้าไปองค์เดียว คึกคักขึ้นเลย เอ้า ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เพราะท่านรู้นิสัยแล้วว่าจริงจังมาก อยู่กับท่านท่านก็รู้อยู่โดยตลอด อยู่กับเพื่อนกับฝูงพระเณรกลัวทั้งวัด มันหากเป็นเองนะ เพราะความมุ่งมั่นจิตใจของเราเป็นธรรมล้วนๆ เลย เมื่อเป็นธรรมล้วนๆ มันก็มีอำนาจละซิ พระเณรก็กลัว เราทำอะไรๆ อันนี้เราเป็นธรรมทั้งนั้น ยิ่งเขามาถวายอะไรๆ อย่างนี้เราเป็นผู้จัดให้พระเณรทั้งหมดเราไม่เอาๆ ตลอด
ท่านก็คอยสอบคอยถาม แล้วท่านมหาล่ะ เป็นผู้จัดอะไรๆ ให้พระเณรทั้งหลายท่านเอาอะไรบ้างไหมล่ะท่านถาม โอ๋ ท่านไม่เอาท่านพอแล้ว คือปรกติเราใช้ผ้าสามผืน สี่กับผ้าอาบน้ำเท่านั้นแหละ จีวร สบง สังฆาฏิ แล้วก็ผ้าอาบน้ำนี่เป็นปรกติใช้ผ้าสามผืน แต่ก็จัดให้หมู่เพื่อนเราไม่เอา เราพอทุกอย่างแล้ว ทีนี้ออกมีแต่องค์เดียวๆ ชีวิตอยู่กับเราคนเดียว ป่าช้าอยู่กับเราคนเดียว อยากกินก็กินไม่อยากกินกี่วันช่างไม่สนใจ มันจะตายจริงๆ ก็บิณฑบาตมาฉันเสียๆ จึงได้เตือนพระเณรเรา เพราะพระเณรอาจจะไม่เข้าใจในการอดอาหาร เราอดมาก่อนแล้วจึงได้เอาคำเหมาะสมมาเตือนพระเณรให้ปฏิบัติอย่างนี้เหมาะสมดี
อย่างเรามันผาดโผนเกินไป ถ้าว่าอดก็อดเสียกี่วัน จนจะไปบิณฑบาตไม่ถึงหมู่บ้านเขา มันก็เคยยิ่งกว่าเคย แล้วอดตลอดเพราะมันภาวนาดีตลอด มันไม่คำนึงถึงธาตุขันธ์จะเสีย ธาตุขันธ์มันค่อยเสียของมันไปนะ แต่จิตใจมันมุ่งมั่นต่อธรรม พรรษา ๑๐ เท่านั้นละท้องเราเริ่มเสียแล้ว พรรษา ๗ ออกปฏิบัติได้ ๓ ปีนี้ส่วนมากไม่ค่อยฉันจังหันเพราะภาวนาดี ก็เลยหนักทางนั้น พอได้ ๑๐ พรรษาท้องเริ่มเสียแล้ว ตอนเช้าเราอดอาหารมาหลายวัน มาฉันเสียวันนี้ พอตอนบ่ายสามสี่โมงท้องนี่มันจะร้องโก้กเก้กๆ คือมันไม่ย่อย มันเป็นอะไรไม่รู้นะ นานๆ มาฉันมันไม่ย่อย ทีนี้มันก็ร้องโก้กเก้กๆ
พอตกกลางคืนมาถ่ายออกหมด ก็ไม่คำนึงนะ มันถ่ายออกจนหมดจริงๆ ถ่ายทั้งคืน บางทีไปอยู่ป่าเสือ ไปถ่ายนี้เสือมันจะงับเมื่อไรก็ได้ จนกระทั่งท้องเสีย ที่อดเลยจริงๆ ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ อันนี้เอากันอย่างหนัก พอพรรษา ๑๖ ผ่านไปแล้วก็ฉันธรรมดา แต่ท้องมันเสียแล้วนั่น เสียมาจนกระทั่งที่จะออกช่วยชาติ นี่มันจะตายปีนั้นละ มันเป็นมะเร็งในลำไส้แล้ว หมอเขาตรวจแล้วเขาไม่บอก จึงได้มาสอนหมู่เพื่อนให้มองดูธาตุขันธ์บ้าง เราจะมองตั้งแต่ธรรมอย่างเดียว ธาตุขันธ์เป็นเครื่องใช้ของธรรม ถ้าธาตุขันธ์ไม่ดีธรรมก็ก้าวไม่ออก
ต้องสอนหมู่เพื่อนให้อยู่ในความพอดี เวลามันจะเกินไปก็ให้ฉันเสียบ้างๆ เพื่อธาตุเพื่อขันธ์นี้จะได้เป็นเครื่องมือก้าวเดินในความเพียรต่อไป เรานี้เรียกว่ามันผาดโผนทุกอย่าง มักจะผาดโผนนะเรา ถ้าว่าอดอาหารก็เอาตายเข้าว่า เป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้เวลาผ่านไปหมดแล้วจึงนำเรื่องนี้มาประมวล แล้วสอนหมู่สอนเพื่อนให้อยู่ในความพอดี อย่าให้อดมากจนเกินไป อย่างเรานี้เป็นตัวอย่างแล้ว จึงได้นำอันนี้ออกสอนหมู่เพื่อนเรื่อยมาทุกวันนี้ละ
คือเวลามันหมุนใส่ธรรมนี้มันไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเป็นเรื่องตายแหละ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันไม่มานะ มันมุ่งต่อธรรมพุ่งๆ ทีนี้ธาตุขันธ์เมื่อทรมานไปเรื่อยๆ มันก็เสียไปละซิ ไอ้เราก็ไม่คำนึง จึงต้องได้นำมาสอนหมู่เพื่อนในเรื่องที่เราผ่านไปเรียบร้อยแล้วเป็นยังไง นำมาสอนหมู่เพื่อนให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี อย่าให้เกินไป เรื่องอดอาหารนี้ก็สอน เพราะเราอดมาก่อนแล้ว จิตมันพุ่งใส่ธรรมโดยถ่ายเดียวไม่คำนึงถึงธาตุถึงขันธ์จะเป็นจะตายไม่สนใจ มีแต่จะเอาธรรมให้ได้อย่างใจๆ ธาตุขันธ์ก็เสียไปเรื่อยๆ นี่ละการปฏิบัติเป็นอย่างนั้นละ สำหรับเรานี้เราพูดจริงๆ ว่าสมบุกสมบันมากทีเดียว เรื่องการทรมานการภาวนาเกี่ยวกับเรื่องอดอาหารนี้ เรียกว่าเป็นอันดับหนึ่งเลย
มันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตให้มันฉันเสียเท่านั้นละ เพราะจิตอยู่กับธรรม ไม่ได้มาอยู่กับธาตุกับขันธ์นะ จิตอยู่กับธรรม พุ่งๆๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งพรรษา ๑๖ ผ่านไปแล้วถึงได้มาฉันเป็นปรกติ ทีนี้ฉันปรกติท้องมันเสียแล้วมันก็เสียของมันไปเรื่อยๆ บางที ๖-๗ วันถึงถ่ายทีหนึ่ง ถ่ายถ่ายออกหมดเลยนะไม่ใช่ถ่ายธรรมดา ถ่ายหมดเลย แล้วฉันไปแล้วมีมาอีกแล้วถ่ายอีกเรื่อยมา จนกระทั่งที่จะออกช่วยชาตินี้มันจะไปละท้องเสีย จึงได้นำมาสอนหมู่สอนเพื่อน
เราก็ภูมิใจนะ การปฏิบัติของเรานี้ เราพิจารณาย้อนหลังถึงปฏิปทาที่เราดำเนินมาเพื่อมรรคผลนิพพานมีบกพร่องตรงไหนๆ อ่อนแอท้อแท้ ขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอที่ตรงไหนๆ ไม่มี.มีแต่ขยะๆ โอ้โห อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ คือมาดูระยะแก่นี้ ดูระยะเราหนุ่มมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน กับเวลาแก่แล้วมองย้อนหลังนี่ขยะนะ โอ๋ อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ คือมันเป็นที่หัวใจ หัวใจไม่ถอยเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรถอย ร่างกายมันไปไม่ได้ เอ้า นอน ภาวนาไม่ถอยอีกละ แน่ะ อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น แล้วนำเหล่านี้ละมาสอนหมู่เพื่อนให้พอเหมาะพอดี อย่าให้เลยประมาณ เพราะเราเคยเลยมาแล้วผลเสียมีแก่ธาตุขันธ์ แต่ส่วนทางด้านจิตใจยกให้
การอดอาหารนี้ส่วนมากจะถูก เพราะอาหารนี้เป็นเครื่องส่งเสริมธาตุขันธ์ เมื่อส่งเสริมมากเข้ามันก็ส่งเสริมราคะตัณหาเข้าด้วยกัน เราไม่รู้นะ มันจะมียิบแย็บในจิต เพียงเท่านั้นก็รู้แล้วเพราะจะฆ่ามันอยู่ตลอดนี่ อาหารมากเข้ามันจะไปกระเทือนธาตุขันธ์มีกำลัง แล้วราคะตัณหาจะมียิบแย็บภายในจิต ไม่ได้มาเป็นออกข้างนอก เป็นเพียงยิบแย็บเท่านั้นก็รู้ แล้วถือเป็นภัยอย่างมากเสียด้วย เพราะฉะนั้นจึงได้อดเรื่อยๆ ส่วนมากจะถูกทางอดอาหาร เพราะอดอาหารมันภาวนาดีเรื่อยๆ สติสตังนี้แน่วเลย วันหนึ่งตั้งแต่ตื่นนอนเมื่อมันก้าวเข้าธรรมะขั้นสูงขึ้นไปๆ นี้ ตื่นนอนจนกระทั่งหลับมันไม่เผลอนะ นี่กลายเข้าไปเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ
เราจะพูดให้ฟังอย่างชัดเจนสำหรับผู้ปฏิบัติทั้งหลาย เพื่อแก้กิเลสตัวเป็นภัยต่อเราทุกคนๆ เราเป็นผู้ผ่านไปด้วยการสู้รบกับอันนี้แล้วจึงนำมาสอนกัน จึงไม่มีอะไรเสียหาย เรื่องการพิจารณาร่างกายนี้หนักมาก ความเพียรมาหนักอยู่ที่ร่างกาย พิจารณาร่างกายให้เป็นอสุภะอสุภังเป็นป่าช้าผีดิบ กำหนดดู ถลกหนังออกแล้วเหลือตั้งแต่ตัวแดงโร่ เอ้า ถากเนื้อเถือหนังออกไปเหลือแต่กระดูก เหลือแต่โครงกระดูก นี่เรียกว่าอสุภะ พิจารณาอสุภะ พิจารณาเข้าไปข้างในก็ยิ่งมีแต่ของปฏิกูลโสโครก ความกำหนัดยินดีจะมาจากไหนล่ะเมื่อมีแต่อย่างนั้นแล้ว นั่นละมันระงับกันเรื่อย
อันนี้ต้องพิจารณากันอย่างหนักทีเดียว เวลามันพอมันก็รู้อยู่นะ เราก็ไม่เคยถามใคร เวลามันพอมันก็รู้ในตัวเอง เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เหมือนกัน พอพิจารณาร่างกายนี้พอหมดแล้ว อสุภะอสุภังพอตัวแล้ว เรื่องอสุภะอสุภังนี้มันจะหมุนเข้ามาภายในใจ จำเอานะผู้ปฏิบัติ คือกำหนดให้แตกกระจายเมื่อไรได้ทันใจ เพราะความคล่องแคล่วของสติปัญญา ให้ตั้งอยู่ก็ได้ให้แตกเมื่อไรก็ได้ เร็วขนาดไหนก็ได้ เอาจนพอแล้ว เรื่องกองอสุภะอสุภังที่พิจารณาชำนาญแล้ว กำหนดมาตั้งที่ตรงหน้า เอา เพ่งดู ทำไปด้นๆ เดาๆ ไปไม่มีใครบอกนะ เมื่อเป็นแล้วก็เป็นคติเครื่องเตือนใจจึงได้นำมาสอนหมู่เพื่อน
ทีนี้เวลาอสุภะอสุภังคล่องตัวพอแล้ว แล้วเอาอสุภะนั้นมาตั้งเป็นกองป่าช้าผีดิบ จะเป็นของเขาของเราก็ตาม ตั้งนี้ เอ้า มันจะเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนดู เพราะอย่างไรก็ทำหมดแล้ว กำหนดให้ทำลายเมื่อไรมันพรึบเลยเพราะมันชำนาญ ทีนี้ไม่ทำลาย เอ้า มันจะเป็นยังไงตั้งไว้ยังงี้ละ ป่าช้าผีดิบคือคนตาย ถ้าเน่าก็เน่าอยู่นั้นไม่ให้ทำลาย เพ่งดูมันเน่า เหลืออันนี้ละ หมุนเข้ามาๆ กำหนดดูๆ แล้วหมุนเข้ามาๆ เข้ามาสู่ใจ พอเข้ามาสู่ใจ กองอสุภะอันนั้นคือใจเป็นผู้ไปเป็น นั่น พอมันเป็นทางนี้พับมันปล่อยทางนั้นปึ๋งเลย พอปล่อยนั้นผึง กำหนดพับอันนั้นหมุนเข้ามา กำหนดพับหมุนเข้ามา สุดท้ายกลมกลืนกันกับใจเป็นอันเดียวกัน นี่อสุภะหมดแล้วนะที่นี่เรียกว่าพอ
กำหนดจากนั้นเร็วเข้าๆ จะกำหนดให้เป็นอสุภะอสุภังอะไรไม่ทัน พอกำหนดพับดับพร้อมๆ แตกกระจายพร้อม มีแต่แปรสภาพ ที่จะแยกแยะให้เป็นอสุภะอสุภังไม่สวยไม่งามนี้ไม่ทัน นี่คือจิตมันชำนาญ จากนั้นแล้วก็ตั้งขึ้นพับดับพร้อมๆ ตั้งพับหมุนเข้ามาภายใน ทีแรกก็หมุนอันนี้ก่อน พอหมุนอันนี้ฝึกซ้อมกันมากอันนี้ก็เร็วเข้าๆ ต่อไปตั้งพับดับ ยังไม่เข้าถึงนี้ พอตั้งพับดับๆ นี่ละอสุภะหมด ราคะหมดตรงนั้น ฟังให้มันชัดๆ ซิ หมดภายในจิตใจ ทีนี้อิ่ม นี่ละอสุภะอิ่ม ทางด้านวัตถุอิ่ม พอตั้งขึ้นพับมันเหมือนแสงหิ่งห้อยนี่ละ พอตั้งพรึบดับพร้อมเลย จะไปแยกเป็นนั้นเป็นนี้ไม่ทัน ความรวดเร็วของใจก็มีแต่เกิดกับดับพร้อมๆ
ต่อไปจิตก็ว่าง นั่น เข้าว่างละ พอตั้งพับดับลงไปก็มีแต่ความว่างๆ ทีนี้มันก็เข้าสู่ใจ คือสังขารปรุงขึ้นพับเป็นนามธรรมดับไปพร้อมๆ มันเกิดขึ้นมาจากจิตดับลงไปที่จิตที่นี่ ส่วนรูปร่างเป็นด้านวัตถุมันหมดปัญหาไป เหลือตั้งแต่ส่วนนามธรรม ตั้งขึ้นพับมันเข้าสู่จิตๆ มันก็ฝึกซ้อมเข้าไปๆ ในนั้น นี่เราสรุปเอาเลย จนกระทั่งมันพอตัวแล้วอันนี้เข้าถึงจิตๆ สุดท้ายก็ไปอยู่ที่จิต กิเลสตัณหาทั้งมวลอยู่ที่จิต อันนี้เป็นเครื่องฝึกซ้อมเพื่อจะเข้าไปหาต้นตอมันเท่านั้นเอง พอมันเข้าใจนี้แล้วมันก็ขาด ขาดไปเลย
อย่าง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันอยู่ในจุดกลาง พอจากว่างๆ แล้วตัวอวิชชาไม่ว่าง มันหากแสดงไปข้างนอกว่างไปหมด มองดูต้นไม้ภูเขาอะไรว่างหมด แต่จิตยังไม่ว่างจากอวิชชายังไม่รู้ เหมือนกับเราไปอยู่ในห้อง เดินเข้าไปยืนในห้องนี้ เรามองดูห้องนี้ว่างหมดเราก็ภูมิใจว่า เอ้อ ห้องนี้ว่างหมด ให้มีผู้ความรู้เหนืออีก นั่น ห้องนี้ว่างหมด ผู้ที่มีความรู้เหนือ มันไม่ว่าง ก็ท่านไปยืนขวางอยู่ที่กลางห้องนั้นน่ะ ถ้าอยากให้ห้องมันว่างท่านต้องถอนตัวออกมาห้องจะว่างเอง นี่หมายถึงว่าติดตัวเอง ตรงใจนี้ไม่ว่าง ใจนี้มันส่ายออกไปที่ไหนว่างหมด แต่ตัวใจไม่ว่าง นี่ละเป็นหัวตอ หรือเป็นคนขวางห้อง พอมารู้ตัวนี้พับ พรึบหมด อันนี้ก็ว่างอะไรก็ว่าง ว่างหมด นั่นหมดโดยประการทั้งปวง การพิจารณาแก้กิเลสก็มาสิ้นซากเอาตอนนี้ หมด นั่นละวิธีการพิจารณาทางด้านจิตตภาวนา
พวกที่ภาวนาข้างในให้ดูตัวเรานี้มีแต่ตัวนักโทษนะนั่งอยู่ด้วยกันนี้ เราจะว่ามาบำเพ็ญธรรมอะไร มันส่งเสริมกิเลสให้กิเลสหลอกล่ออย่างนั้นหลอกล่ออย่างนี้ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี นี่เห็นไหมกิเลสมันหลอก มันไม่ได้ดูตัวเองมันไปดูแต่ภายนอก ดูแต่คนอื่นว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี คนนั้นดูถูกคนนี้เหยียบย่ำคนนั้นทำลายเรา ไอ้ตัวของเราไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาหัวอกมันไม่ดู นั่น ไม่ใช่นักภาวนา ต้องดูตัวเอง มันจะคิดไปไหนมันออกจากใจ ปรุงแพล็บไปหาเรื่องบุคคลใดสัตว์ตัวใดนี้ออกจากนี้เป็นผู้ปรุง พอรู้นี้แล้วมันจะดับ มันจะไม่ปรุงไปหาผู้ใด มันจะเป็นขึ้นภายในตัวเอง ตามทันกันตรงนี้ มันจะทันตรงนี้
อันธพาลมันอยู่ในจิต แต่มันไปวาดภาพว่าคนนั้นเป็นอันธพาลต่อเราคนนี้เป็นอันธพาลต่อเรา ตัวเราเป็นอันธพาลใหญ่ไม่ดูตัวเอง พอย้อนจิตเข้ามาดูนี้แล้ว อันธพาลนี้ดับปุ๊บนอกนั้นไม่มี คือใจนี้เองเป็นตัวอันธพาล ให้พากันจำเอา ดูตั้งแต่ภายนอกไม่ดูตัวเองไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้ดูตัวเอง สอนให้รู้กรรมฐานสอนอย่างนี้แหละ อยู่ด้วยกันให้มีความเสมอภาคต่อท่านต่อเรา อย่าไปถือว่าคนนั้นยิ่งคนนี้หย่อน มันเพ่งนะนั่นน่ะ เพ่งนั้นยิ่งอันนี้หย่อนอันนั้นเลวอันนี้ดี แล้วเป็นข้าศึกกับตัวเอง แล้วก็เป็นอันธพาลยกโทษคนอื่นใช้ไม่ได้เลย ให้ต่างคนต่างดูตัวเอง
มาอยู่ด้วยกันเป็นผู้ปฏิบัติธรรม อย่าเอากิเลสมาเผากัน อย่างยกโทษยกกรณ์กันมีแต่เรื่องกิเลสมาเผากันนะ ถ้าปฏิบัติธรรมให้ดูตัวเอง มันคิดเรื่องไม่ดีไม่งามมันออกจากเรา ดูตัวนี้มันก็ดับ ที่จะไปคิดเรื่องของใครไม่คิดเพราะตัวอันธพาลอยู่กับเรา เราทันมันแล้วแย็บออกมารู้ทันที มันก็ดับทันที ถ้าไม่รู้ มันต่อสายยาวเหยียดไปไม่หยุดนะ เอาเท่านั้นละวันนี้
วันนี้เทศน์ให้ฟังทางด้านปฏิบัติภาวนา ให้พากันถือเป็นคติ.ให้พากันภาวนาดูใจดวงมันส่งเปลวอยู่ พุ่งๆ ส่งเปลวไปที่นั่นส่งเปลวไปที่นี่ ยกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้มันส่งออกไปไม่ดูมัน พอดูนี้ปั๊บมันจะระงับ ตัวโทษอยู่กับเรา จำให้ดี ไปอยู่ในป่าเมื่อมันเคยของมันแล้วเอามาเทียบหมด สมมุติว่าอยู่กับหมู่กับเพื่อน อันนั้นกระทบตาอันนี้กระทบหูแล้วก็มากระทบใจอยู่ด้วยกันเลยไม่ผาสุก ทีนี้ไปอยู่คนเดียว เสือมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้มันก็มากระทบใจ กลัวเสือ เป็นอย่างนั้นนะ มันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ใจนี้ ไปอยู่ในป่ามันก็ไปหาเรื่องใส่เสือ กลัวเสือ เป็นงั้นนะ ได้เอามาพิจารณาหมด ไม่มีคนก็ไม่มีอะไรจะยกโทษกัน แล้วไปอยู่ในป่าก็ไปกลัวเสือ ยกโทษเสือ เอ้อ ชอบกล
บางทีมันอ่าวๆ ขึ้นข้างๆ ทางจงกรม ไปเดินจงกรม เสือโคร่งใหญ่ คือที่ไปอย่างนั้นมันมีแต่ป่าสัตว์ป่าเสือทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ไม่มี ต้นไม้ทั้งหลายอยู่ในป่าในเขาซึ่งเป็นที่หลบซ่อนของสัตว์เหล่านั้นถูกทำลายทำไร่ทำสวนหมด สัตว์ทั้งหลายตายไปหมด เดี๋ยวนี้ไม่มีที่ว่าสัตว์ว่าเสือพูดเฉยๆ เดี๋ยวนี้ไม่มี แต่เรายังดีสมัยเราเที่ยวเหล่านี้มีสมบูรณ์ พวกป่าพวกเขาพวกสัตว์พวกเสือเนื้อร้ายมีสมบูรณ์ มาตั้งนี้สักสิบกว่าปีแล้ว เขาก็มาเริ่มทำลายป่า จากนั้นก็เป็นอำเภอหนองแสงขึ้นมา
เรามาอยู่นี้ตั้งสิบกว่าปีแล้วเขาจึงมาทำลาย แต่ก่อนเป็นป่าสมบูรณ์ อยู่ในป่ามันก็ไปกลัวเสือมันไม่มีที่ยกโทษ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ทีนี้ไปในป่ามันไม่ได้ว่านะว่าเสือไม่มี มีแต่กลัวเสืออย่างเดียวๆ บางทีก็อ่าวๆ ขึ้น เราเดินจงกรม อ่าวๆ เสือโคร่งนะ เขาก็ไปตามประสาเขาเขาไม่ได้มาอะไรกับเรา มันอ่าวๆ ทางนี้หมอบ หนูหมอบ แมวอ่าวๆ ขึ้น ขบขันดี เอาละเลิกกัน
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz