เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ที่นี่ไม่ยุ่ง ที่นี่ไม่วุ่นวาย
ผู้กำกับ ปัญหาธรรมะจากเว็บไซต์หลวงตา คนที่ ๑
ลูกตั้งสัจจะภาวนาให้เต็มที่ในช่วงเข้าพรรษา ตอนนี้ลูกนั่งได้ ๗ ชั่วโมง เมื่อไม่กี่วันนี้เดินจงกรมได้ ๑๑ ชั่วโมง แต่เพียงแค่สองวันค่ะที่เดินได้นาน ๑๐-๑๑ ชั่วโมง ลูกพิจารณาตามคำสอนของหลวงตาให้สร้างกำลังใจให้ตัวเอง คือตั้งจิตแน่วแน่ในการปฏิบัติมันก็เลยเดินได้นานขึ้นค่ะ จิตขณะนี้ที่ผ่านการนั่งหรือเดินได้นานขึ้น มันรู้สึกดิ่งลึก เงียบ เย็น เวทนาไม่มี มันรวมเป็นจุดลึกๆอยู่ที่จิตกลางอกค่ะ ลูกรู้สึกผ่านเวทนาได้เร็ว แต่พิจารณาดูมันตลอด ยังไม่นอนใจค่ะ และทุกวันนี้ลูกคิดเสมอว่าไม่เอาเวลามายุ่งเกี่ยว และหลงไปกับเวลาที่ลูกนั่งหรือเดินได้นาน แต่ลูกยึดเอาที่จิตที่มันแยกจากกาย ไม่ปรากฏเวทนาในจิตลูกค่ะตอนนี้ เวลาออกจากทางจงกรมหรือเลิกนั่งภาวนา จิตก็ยังดิ่งเงียบอยู่นาน ขั้นนี้ลูกจะพยายามสังเกตดูจิตก่อนใช่ไหมคะ กราบขอเมตตาหลวงตาสอนลูกด้วยค่ะ รักหลวงตาที่สุด (จาก เด็กรักหลวงตา)
หลวงตา เออ หลวงตาก็รักเด็ก ที่เขาทำนี้เป็นความอุตส่าห์พยายามของเขา แล้วผลปรากฏขึ้นในขณะที่นั่งทนทุกขเวทนาด้วยสติด้วยปัญญา ถูกต้อง ไม่ใช่ทนแบบทนเอาเฉยๆ ไม่ใช้สติปัญญา นั่งกี่ชั่วโมงก็ไม่มีความหมาย คือจะทุกข์มากทุกข์น้อยให้เป็นไปด้วยสติปัญญาแก้ได้มากน้อยนี้ถูกต้อง
ผู้กำกับ คนที่ ๒
ลูกมีปัญหาที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับใจลูกเจ้าค่ะ ลูกไปชอบผู้ชายที่มีภรรยาอยู่แล้ว แค่คิดใจลูกก็ไม่ดีเลย เพราะไม่ใช่ของเรา ดังที่หลวงตาเทศน์สอนเสมอ ลูกจึงพยายามตัดใจตัวเอง จึงหันเข้ามาภาวนาพุทโธถี่ๆ ตามหลวงตาสอนเจ้าค่ะ และถึงเวลาพิจารณาอสุภะ ก็พยายามเพ่งมาที่ตัวลูกเอง ทุกอย่างให้อยู่ตามขั้นตอนที่หลวงตาสอนเสมอ ปรากฏได้ผลดี คือจิตลูกก็สงบเย็น จิตมีความระวังรอบคอบขึ้นมาก ใจก็ไม่ฟุ้งซ่านไปคิดถึงผู้ชายคนนั้น ยังได้เห็นความจริงของร่างกายลูก ร่างกายเขา จิตมันก็ตัดได้ทันที เพราะอานุภาพของธรรม ของการพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง ลูกจึงแค่เขียนมากราบเรียนสาธุถึงบุญคุณของหลวงตาไว้เหนือชีวิตของลูก ที่ให้ลูกหลุดพ้นจากความหลง และให้เห็นธรรมที่เป็นจริงเจ้าค่ะ (จาก นิภาพรรณ)
หลวงตา ก็ไม่มีอะไร ก็เป็นธรรมดาของจิตที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม อะไรมาเป็นข้าศึกก็เล่าออกมาตามเรื่อง ก็เป็นธรรมดาไป อย่างที่ว่าเขามีเมียอยู่แล้วไปรักเขา มันห้ามไม่ได้แหละจิตนี้มันเหมือนลิง ให้มันมีกี่ร้อยเมียมันก็รักได้จิต มีกี่ร้อยผัวมันก็รักได้เหมือนกัน นี่เรียกว่ากิเลส ทีนี้ธรรมแก้เข้าไปดังที่เขาแก้ ถูกต้อง พิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา มันเป็นเหมือนกันหมด ทีนี้มันก็ลดลงๆ จนกระทั่งราบไปเลย ที่เขาว่านี้ถูกต้องแล้ว อันนี้โลกมันมีอยู่ทั่วไป แต่เขาไม่ได้ภาวนา เขาไม่ได้มาเล่าให้ฟังเฉยๆ
เราพูดถึงเรื่องหมอเมื่อสองสามวันนี้มัง ว่าหมอไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับศาสนา อาจจะเป็นเพราะการลืมเนื้อลืมตัว อย่างนี้เราเคยพูด แล้วเราก็พูดมีน้อยมากคนมีเมียหนึ่ง ผัวเมียคู่นี้เรียกว่ารายหนึ่งมีจำนวนน้อยมาก มีจำนวนน้อย เป็นรายที่หมอสนใจในธรรม อย่างนั้นละภาษาธรรม เล็งดูๆๆ บกพร่องตรงไหนๆ เตือนเข้าไปๆ อย่างที่ว่านี้ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรเขานะ เตือนให้ได้ข้อคิดแล้วนำไปปฏิบัติเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนต่างหาก ไม่ได้ไปหาว่าเขาอย่างนั้นอย่างนี้แบบโลกว่ากัน อย่างนั้นไม่มี โลกว่ากันก็ตำหนิๆ ให้เขาเป็นโทษจริงๆ ส่วนธรรมไม่ ตำหนิก็ตำหนิเพื่อแก้เพื่อไขอย่างนั้นต่างหากเรื่องธรรม
นี่เราก็ได้พูดเรื่องว่าหมอ รู้สึกห่างไกลต่อศาสนาต่อวัดต่อวาอยู่มาก นี่ในสายตาของธรรมดู ไม่ได้ดูเพื่อความยกโทษยกกรณ์ ดูเพื่อเตือน ผู้ที่ควรจะได้สติให้ได้สติ เตือนตัวเองให้สนใจในอรรถในธรรม คำสอนของธรรมไม่ผิด ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด นำไปปฏิบัติแล้วเป็นคุณต่อผู้ได้รับฟัง อย่างนั้นต่างหาก
เรื่องศาสนาสำคัญมากคือพุทธศาสนา นี้ยกนิ้วเลย ให้ค้นคว้าทางด้านจิตตภาวนาตามทางของศาสดาสอน จะเบิกกว้างไปหมดจนกระเทือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไปเลยดูซิน่ะ ภาวนานี่ คือจิตดวงเดียวนี่มันกระจายถึงกันทั่วไปหมดหายสงสัย นั่นแหละที่ว่าแน่นอน แน่นอนจากการพิสูจน์ ไม่ใช่แน่นอนแบบด้นเดาเกาหมัดไปอย่างนั้น ไม่ใช่ ต้องแน่นอนด้วยการพิสูจน์พิจารณาแล้วมีสักขีพยานเป็นเครื่องยืนยันกันๆ ดังพระอรหันต์ทั้งหลายกับพระพุทธเจ้านี้เป็นอันเดียวกันแล้ว นั่น เป็นในใจท่านเอง วิ่งถึงกันหมด เป็นอันเดียวกันแล้วนำอันนี้มาพูดจะผิดไปไหน
ดังยกข้อเปรียบเทียบให้ฟัง แม่น้ำสายต่างๆ ที่ไหลเข้ามาสู่มหาสมุทรทะเลหลวง เวลายังไม่ถึงก็เรียกว่าแม่น้ำสายนั้นๆ อันนี้ได้แก่รายบุคคลๆ สัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญความดีงาม เท่ากับแม่น้ำสายต่างๆ เข้าสู่มรรคสู่ผล เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน สร้างบารมีมาก็ค่อยไหลใกล้เข้ามาๆ พอสร้างบารมีเต็มที่แล้วเข้าถึงมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นอันเดียวกันหมด นั่น แยกไปไหนไม่ได้อีก
จิตดวงนี้เวลายังมีกิเลส กำลังสร้างบารมีอยู่ก็มีท่านมีเรา มีสั้นมียาว แต่เวลาสร้างเข้าไปๆ พอเต็มปึ๋งเท่านั้น เข้าถึงขั้นบริสุทธิ์ปึ๊บวิ่งถึงกันหมด บรรดาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นอันเดียวกัน เหมือนแม่น้ำที่ไหลเข้าไปสู่มหาสมุทร พอถึงมหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด จะแยกว่าเป็นแม่น้ำมาจากสายนั้นสายนี้ไม่ได้ เป็นอันเดียวกันหมด นี่ละที่ท่านว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน ท่านยืนยันกันว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์แล้วนับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้ายเสมอกันหมด เท่ากับแม่น้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด เมื่อน้ำสายต่างๆ ไหลเข้าไปสู่นั้นแล้ว อันนี้เมื่อบารมีแก่กล้าแล้วเข้าถึงวิมุตตินิพพาน เป็นอันเดียวกันหมดเลย แล้วไม่ต้องถามเสียด้วย หากเป็นธรรมชาติที่จะว่าญาณหรืออะไรก็ไม่ใช่ญาณ เป็นหลักธรรมชาติที่รู้อย่างนั้นจริงๆ ด้วย ไม่ต้องแยกแยะไปไหน แยกแยะนี่เป็นเรื่องของญาณแยกดูนั้นแยกดูนี้ไป เป็นเรื่องธรรมชาติแท้เป็นอันเดียวกันหมด คือจิตที่บริสุทธิ์เป็นอันเดียวกันเลย
ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ ให้พยายามซักฟอกจิตใจ กิเลสเป็นของหยาบเป็นของสกปรก มีมากมีน้อยจะทำจิตให้สกปรกตามส่วนของกิเลสมีมากมีน้อย ถ้ามีมากหนาแน่นเสียจริงๆ ไม่ยอมรับบาปรับบุญนรกสวรรค์พรหมโลก ไม่ยอมรับอรรถรับธรรมเลย เรียกว่าเป็นหลังหมีดำไปแล้ว มันดำหมดเลย ไม่มีอะไรด่างๆ ดาวๆ เหมือนหมาด่าง หมาด่างเห็นไม่ใช่หรือ ทางด้านนี้ด่าง ทางนี้ขาว ทางนั้นดำ ทางนี้เหลือง มันหลายสี อันนี้ดำหมดเหมือนหลังหมี คือจิตมันดำเสียหมดเลย อันนี้รับอะไรไม่ได้ ประเภทนี้ท่านเรียกว่าปทปรมะ หมดค่าคอยแต่ลมหายใจฝอดๆ พอลมหายใจดับก็หมดไปเลย เรียกว่าคนหมดค่าหมดราคา ไม่มีความดีงามติดหัวใจเลย ไปก็จมไปเลย
แต่ผู้มีความดีงามมากน้อยนี้ฉุดไปๆ มีมากเท่าไรดีดขึ้นๆ เรื่อยๆ คิดดูตั้งแต่อยู่ในบ้านในเรือน แต่ก่อนก็อยู่ในบ้านในเรือนมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก พอโตขึ้นมาแล้วจิตใจค่อยรู้ทางโลกทางธรรมมากเข้าๆ สร้างบารมีมาแล้วนั่น ทีนี้บารมีจะเริ่มแสดงออกละ มองไปที่ไหนๆ ที่เคยอยู่เคยกินกลายเป็นข้าศึกศัตรูไปหมด มีแต่จะออกปฏิบัติตนให้พ้นจากความกังวลวุ่นวายนี้โดยถ่ายเดียว ถือว่าโลกเป็นของกังวลวุ่นวายไปหมด เวลาจิตจะดีดออกเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนก็วุ่น แต่จิตไม่ไปสำคัญมั่นหมายก็เหมือนไม่วุ่น ทุกข์ขนาดไหนเหมือนไม่ทุกข์ ยอมรับเอา พอถึงขั้นรู้เนื้อรู้ตัวแล้วทีนี้อะไรก็วุ่นไปหมด ยุ่งไปหมด
ดังพระยสกุลบุตรก็เคยเห็นแล้วในตำรา พ่อแม่มีลูกคนเดียว เอากองเงินกองทองมากองให้ดูไม่สนใจเลย กินกระทั่งวันตายก็ไม่หมดจะไปหาความสุขที่ไหนอีก นั่นพ่อแม่สอนลูก ลูกไม่สนใจ หนีไปเลย ทั้งบ่นพึมพำๆ ไป พอไปถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเดินจงกรมอยู่ บอกว่าให้มาที่นี่ ที่นี่ไม่ยุ่ง ที่นี่ไม่วุ่นวาย เทศนาว่าการชะล้างทันทีเลย สรุปแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา บริสุทธิ์เต็มที่ ความยุ่งเหยิงวุ่นวายที่บ่นมานั้นขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์
เมื่อถึงกาลเวลาแล้วอยู่ไม่ได้นะ หากร้อนเป็นฟืนเป็นไฟในหัวใจนั่นละ อำนาจแห่งธรรมผลักดันออก มีแต่จะออกท่าเดียว ออกเลย ถ้ากิเลสมีมากมีแต่จะเข้าท่าเดียว เข้าเลย ลงเลย จมไปเลย ต่างกัน ท่านแสดงไว้ ๔ ประเภท อุคฆฏิตัญญู ประเภทที่หนึ่ง รู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว วิปจิตัญญู รองกันลงมา เหมือนเดินตามหลังกันไป ประเภทที่สาม เนยยะ อันนี้พอแนะนำสั่งสอนฉุดลากไปได้ ถ้าอ่อนก็ลงได้ ถ้าแข็งขึ้นได้ อยู่ในทางสองแพร่งสามแพร่งนั่นละ จะไปแพร่งไหนแยกทางไหนไปได้เนยยะ ถ้ามีความเข้มแข็งผ่านได้ พ้นถึงนิพพานได้ ถ้าอ่อนก็ลงได้ ส่วนปทปรมะเรียกว่าหมดค่าแล้ว ไม่มีราคา สอนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ หมอไม่มีความหมาย ยาไม่มีความหมาย เพราะคนนั้นหมดความหมายไปแล้ว เอาอะไรมาใส่ก็ไม่มีค่ามีราคา เรียกว่าปทปรมะ
ทีนี้ย้อนเข้ามาหาจิตใจของเรา เวลากำลังเริ่มฝึกหัดทีแรกมันเป็น ปทปรมะ มันจะไม่เอาไหนนะเรื่องอรรถเรื่องธรรม ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้อย่างน้อยเหมือนจูงหมาใส่ฝน มันร้องแหง็กๆ มากกว่านั้นเหมือนจูงหมาใส่เสือ เข้าใจไหม จูงหมาใส่ฝนนี้มันร้องแง็กๆ เฉยๆ แต่จูงหมาใส่เสือนี้ร้องแหง็กๆ ด้วยขี้ทะลักออกด้วย เข้าใจไหมล่ะ นั่นมันไม่รับธรรม ร้องแหง็กๆ แล้วยังไม่แล้ว ยังขี้ทะลักด้วย ขี้โกรธ ขี้เกียจ ขี้คร้านอ่อนแอ ขี้เต็มตัวเข้าใจไหม นี่ละขี้เต็มตัว คนนี้ก้าวขาไม่ออกละ ไล่เข้าทางจงกรมนี้ร้องแหง็กๆ
เวลาฝึกไปๆ หลายครั้งหลายหน ก็เหมือนเราเขียนหนังสือ เขียนแล้วลบลบแล้วเขียนไม่เป็นตนเป็นตัว ครั้นเขียนหลายครั้งหลายหนก็ค่อยเป็นตนเป็นตัวอ่านออกเขียนได้ ต่อไปเขียนหวัดไปเลย เหมือนผู้ใหญ่จูมเข้าใจไหม ผู้ใหญ่จูมนี้เขียนคนอื่นอ่านไม่ได้เลย แต่แกเองผู้เขียนแกจะอ่านได้ไม่ได้ไม่รู้นะ เขียนหวัดไปเลย นี่ก็ได้เอามาพูดเพราะมันเป็นบทขบขันดี เขาเป็นเพื่อนกัน ปลัดอำเภอคำชะอี พวกห้วยทรายให้ได้ฟังด้วย ปลัดอำเภอคำชะอีเขาสนิทกันกับผู้ใหญ่จูม ปลัดนั้นจมูกบี้ เขาว่าผู้ใหญ่จูมเวลาแต่งตัวข้าหลวงสู้ไม่ได้ แต่เวลาเขียนหนังสือเหมือนไก่เขี่ย คือเขียนหวัดไปเลย เจ้าของอ่านออกหรือไม่ออกก็ไม่ทราบ แต่คนอื่นอ่านไม่ออก เรียกว่ามันเลยไปแล้ว มันพิสดารมากไป
เราฝึกฝนจิตใจของเราก็เหมือนกัน เวลาได้หลักได้เกณฑ์ก็คืบคลานไป จิตใจดูดดื่มในธรรมทั้งหลายหนักเข้าๆๆ ทีนี้คำว่าความเพียรนั้นเมื่อถึงขั้นมันดีดเต็มตัวของมันแล้วคำว่าความเพียรมันไม่มีในใจ ถ้าเพียรก็บอกว่าเพียรเพื่อพ้นทุกข์ คือยังไม่ได้พ้น แต่กำลังเพียรจะพ้นทุกข์ อันนี้ตอนประโยคพยายามเลยไม่เรียกว่าเพียร มันหมุนไปด้วยจิตใจที่ดูดดื่มกับธรรมทั้งหลายไปเรื่อยๆ จนพ้นไปเลย นี่ละตั้งแต่ต้นลากเข็นกันไปจนจะเป็นจะตาย ทีนี้พอเวลามันคล่องตัวฝึกหัดดัดแปลงคล่องตัว เขียนหนังสือเป็นผู้ใหญ่จูมแล้ว ลากก็ได้ ใครจะอ่านออกไม่ออกก็ตาม นี่ก็ลากกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามผ่านถึงนิพพานๆ สาวกทั้งหลายท่านถึงนิพพานๆ พวกหูหนวกตาบอดมันจะอ่านออกหรือไม่ออกช่างหัวมัน เข้าใจไหม เหมือนหนังสือผู้ใหญ่จูม อ่านออกไม่ออกก็ช่างหัวมัน
ที่เขียนถึงเรา เราก็ไม่ลืม แต่มันแก้กันทันนะ ครั้นเวลาเขียนหนังสือส่งมาหาเรา เราอยู่ห้วยทราย มันอ่านไม่ออกนี่ เราก็เลยเหน็บไว้ข้างหลัง ทีนี้สองสามวันแกก็ออกมา ท่านอาจารย์ได้รับจดหมายผมแล้วยัง ได้รับแล้วเราว่า เป็นไงล่ะอ่านออกไหม แกก็เชื่อฝีมือแกว่าจะไม่มีใครอ่านออก เป็นยังไงอ่านออกไหม ทำไมจะอ่านไม่ออก เพราะมันทันกันนี่เข้าใจไหม พอว่างั้นจดหมายมันเหน็บอยู่ข้างหลังที่เราฉันจังหัน เราเหน็บไว้นี้ นี่จดหมายเราว่างั้น เอ้า ท่านอาจารย์ลองอ่านให้ผมฟังหน่อยซิ เราก็กางมา มันอ่านไม่ออกละนอกนั้น เราไปอ่านได้สุดท้ายนี้ก็ว่า อืออาๆๆ ขำ อ้าว ทำไมถึงอ่านอย่างนั้น ก็เขียนอย่างนี้นี่นะ นามสกุลแก ผิวขำ ผิวนั้นอ่านไม่ออก ได้แต่ขำตัวเดียว สุดท้ายก็ว่า อืออาๆๆ ขำ
เวลาเราปฏิบัติธรรมฆ่ากิเลสนี้มันหมุนของมันไปอย่างนั้น เอาจนขาดสะบั้นๆ ไปเลย ทีนี้คำว่าถอยไม่มี เหมือนอย่างที่เขาเป็นชาวบ้านเป็นฆราวาส อยู่ในบ้านในเรือนสมบัติเงินทองเป็นไฟไปหมด มีแต่จะออกท่าเดียว ที่นี่ยุ่งเหยิง ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่เป็นทุกข์ มีแต่จะออก จนออกไปเสีย ฟังธรรมพระพุทธเจ้าบรรลุธรรมปึ๋งไปเลย อันนี้ก็เหมือนกันมันยุ่งมันเหยิงภายในจิตใจ มีแต่หมุนตัวจะออก เอากิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้วไม่มีอะไรจะมายุ่งเหยิงวุ่นวายอีกต่อไป นี่ละท่านจึงว่าพ้นจากทุกข์คือพ้นจริงๆ ไม่ได้พ้นแบบเสกสรรปั้นยอ ว่าพ้นพ้นจริงๆ เช่นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่มีทุกข์ในใจเลยหมดโดยสิ้นเชิง
กิริยาของสมมุติทั้งหมดที่มาแสดงให้เป็นทุกข์ในหัวใจสัตว์โลก ท่านทำลายขาดสะบั้นไปหมด ทุกข์ในกิริยาของโลกจึงไม่มีในใจท่าน ก็มีอยู่ในธาตุในขันธ์ของท่านเท่านั้น เจ็บท้องปวดศีรษะปวดหัวตัวร้อนหิวกระหายก็มีอยู่ประจำธาตุขันธ์ แต่ในใจไม่มี หมด เป็นอย่างนั้นละ เมื่อทุกข์ของกิเลสสร้างขึ้นมาขาดไปหมดแล้วไม่มีทุกข์ในหัวใจ ก็มีแต่ทุกข์ประจำขันธ์เท่านั้น ให้พยายาม ต้องฝืนไม่ฝืนไม่ได้ ต้องเอาอย่างหนัก อย่างที่เขาว่านั่ง ๖ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง นี่เขาก็ทนของเขาเขาพยายามของเขา เขามาเล่าให้เราฟัง เราก็เคยนั่งแล้วจะให้ว่าไง นั่งตลอดรุ่งๆ เรา จนก้นแตก เขาไม่ได้ก้นแตก
พอพูดอย่างนี้เราก็เข้าใจ ถึงขนาดนั้นก็นับว่าเขาเก่งอยู่ เขาอดเขาทนได้ถึงหกเจ็ดชั่วโมงถึงลุก นั่งไปด้วยการชุลมุนวุ่นวายกับกองทุกข์ทั้งหลายที่เป็นอยู่ในขันธ์ เวลานั่งนานๆ แต่จิตที่ขาดออกไปจากทุกขเวทนาในธาตุในขันธ์นี้แล้ว เป็นจิตแน่วลงอันหนึ่งนั้น มันเหมือนไม่มีกาย กายหายเงียบเลย เหลือแต่ความแปลกประหลาดและความอัศจรรย์ที่เลิศเลออยู่ในนั้น พูดได้ว่าเพียงปรากฏ สักแต่ว่าปรากฏ พูดอย่างอื่นไม่ได้ไม่ตรงกับความจริง เราจะพูดได้ว่าสักแต่ว่า คำว่าสักแต่ว่าไม่ใช่เป็นของไม่มีราค่ำราคานะ คือเลิศเลออยู่ในนั้น ปรากฏได้เท่านั้น สักแต่ว่าปรากฏ นั้นละอัศจรรย์ตรงนั้น พูดให้มากกว่านั้นไม่ได้ ผิด
จิตเมื่อลงถึงขั้นนี้แล้วทุกขเวทนาไม่มี ดับหมด ในร่างกายหายหมดเลย มีแต่สักแต่ว่าปรากฏ จนกระทั่งอันนี้ได้เวลาแล้วก็เคลื่อนไหวออกมาก็มารับทราบทุกข์ทางร่างกาย พอมารับทราบทีแรกมันก็ไม่ทุกข์ พอจิตถอยออกมาก็ร่างกายธรรมดา ครั้นนั่งไปนานๆ มันก็เป็นทุกข์ แต่เวลามันลงแล้วก็เป็นอย่างนั้น ให้มันเป็นในหัวใจซิ เป็นในหัวใจพูดได้ทั้งนั้นคนเรา ถ้าไม่เป็นยังไงก็พูดไม่ได้ ที่พูดเหล่านี้เราผ่านมาหมดแล้ว ไม่ได้มาโม้เฉยๆ เราผ่านมาหมด วันนี้จะไม่พูดอะไรมากละ พอสมควรเอาละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|