เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
มีมากมีน้อยขอให้เป็นความเสมอภาค
การอยู่ร่วมกันความเป็นอยู่การใช้สอยทุกอย่าง ต้องเป็นความเสมอภาค ตามหลักธรรมท่านสอนไว้อย่างนั้น เมื่อเข้ามาในวัดนี้เหมือนว่าร่วมเป็นร่วมตายกัน ทุกสิ่งทุกอย่างต้องได้ดูแลกันให้ตลอดทั่วถึง ไม่ใช่สักแต่ว่าได้มากินไปใช้ไป มองดูแต่พุงของตัวเองหัวใจตัวเองไม่มองดูคนอื่น อย่างนั้นไม่ใช่ธรรม รับกันไปสักแต่ว่ารับไม่ใช่ธรรม เรื่องธรรมแล้วต้องมีความเสมอภาคหมดเลย ความเป็นอยู่ใช้สอย มีมากมีน้อยสำหรับการกินอยู่ปูวายให้เสมอกันหมด
ที่อยู่ๆ นี่ท่านทั้งหลายได้ดูไหม ตามธรรมดาเราจะนั่งขาขัดห้างอยู่เหมือนสูสุดทอที่เขามียศใหญ่อย่างนั้นก็ได้ แต่ทำไมเราอยู่ไม่ได้ ต้องดูตลอดทั่วถึงหมดไม่ว่าทางไหนๆ เพราะอยู่ในความรับผิดชอบของเราคนเดียวรอบนี่ เราเป็นธรรมไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องของเรา รับสุ่มสี่สุ่มห้ารับมาทำไม นั่น แต่นี้เราจะตำหนิเราทีเดียวว่ารับมาทำไมสุ่มสี่สุ่มห้า เราก็จะว่า ก็เรามองไม่ทัน มันเหมือนกับลิงเข้ามาในครัว โดดปั๊บเข้าไปในครัว อยากออกเมื่อไรก็ออก อยากเข้าเมื่อไรก็เข้า จะมาตำหนิเราทีเดียวก็ไม่ได้ ลงเป็นความยอมรับกันด้วยอรรถด้วยธรรมแล้ว ต้องดูแลให้ทั่วถึงทุกอย่างเลย นี่เรียกว่าธรรม
การอยู่ร่วมกันนี้ การขบการฉันการกินเป็นสำคัญมาก ให้มีความสม่ำเสมอกัน อย่าเห็นแก่มากแก่น้อย เห็นแก่เป็นผู้ใหญ่แล้วเบ่งๆ เบ่งทั้งท้อง เบ่งทั้งทิฐิมานะ เบ่งทั้งบ้าอำนาจใช้ไม่ได้ ต้องให้เสมอภาคทีเดียว ในครัวมีประมาณ ๑๕๐-๑๖๐ คน ไม่ทราบว่ามายังไงต่อยังไง ยังไงก็ตามถึงจะมาเงียบก็ให้เงียบเป็นความสงบ เป็นธรรม อย่ามาเงียบแล้วมาแผ่ฤทธิ์แผ่เดชอยู่ในความเงียบเหมือนมะเร็งในลำไส้ อย่างนั้นไม่ได้นะ มะเร็งเข้าตรงไหนพินาศๆ มะเร็งเป็นโรคร้าย โรคร้ายที่สุดคือมะเร็ง ในสมัยปัจจุบันนี้แก้กันไม่ตก
โรคกิเลสร้ายกว่านั้นอีก มันเข้าแทรกกับนักปฏิบัติธรรมเราไม่รู้ตัวนะ เพราะกิเลสมันแหลมคมกว่าเรา เราจะเห็นกันได้ชัดเวลาสติปัญญาแกล้วกล้าสามารถนี่จึงจะเห็นกิเลสได้ชัดเจน แพล็บออกมาทางนี้รู้แล้วเห็นแล้ว ขาดสะบั้นไปแล้ว ดังที่เคยพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ตั้งแต่เริ่มต้น พูดเพื่ออะไร เราไม่ได้พูดเพื่อโอ้เพื่ออวด อย่างนั้นเราไม่มี มีแต่ความเมตตาครอบไปหมด ถึงจะกิริยาท่าทางนิ่มนวลอ่อนหวานไพเราะเพราะพริ้ง ดุเดือดเผ็ดร้อนชนาดไหนก็ตาม เป็นกิริยาของธรรมออกแสดง เหมือนเขาทำงาน ควรถากถาก ควรฟันฟัน ควรไสไส เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ในงานที่ทำ อันนี้เพื่อเป็นประโยชน์ในการแสดงออกสำหรับผู้มาได้ยินได้ฟังได้นำไปคิดให้ทั่วถึงกัน
การแสดงออกไม่ใช่แสดงแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องแสดงออกด้วยธรรมๆ นี่พูดถึงเรื่องกิเลสมันแหลมคมมาก ตอนล้มลุกคลุกคลานก็คือว่า สตินี้ตั้งไม่อยู่เลยถึงขนาดนั้น เห็นชัดๆ เลยจนน้ำตาร่วง ได้อุทานภายในใจ นั่นละเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะให้ฟัดกับกิเลสอย่างหนัก ขึ้นไปบนภูเขาจะไปฟัดกันกับกิเลส ที่ไหนได้มันเอาเราหงายๆ ตั้งสติไม่อยู่ เห็นได้ชัด จนน้ำตาร่วง พอตั้งพับล้มผล็อย ตั้งล้มๆ ไม่ใช่ตั้งเพื่ออยู่ ตั้งเพื่อล้ม กระแสของกิเลสปั๊บเดียวขาดสะบั้นๆ นี่เวลามันรุนแรงให้ท่านทั้งหลายจำเอาเสีย ถ้ายังไม่เข้าใจให้พึงเข้าใจ นี้เอาเหตุการณ์มาเล่าให้ฟังจากตัวเอง
ก็ตั้งอกตั้งใจเต็มกำลังความสามารถ ขึ้นไปอยู่บนภูเขาให้กิเลสเตะถีบยันหงายตลอดเวลา อ้าว มันยังไงกันนี่ มาทำความเพียรยังไงจึงเป็นอย่างนี้ งงเจ้าของ งงก็งงกิเลสมันก็มีอำนาจอยู่ตามเดิมของมัน ตั้งพับล้มๆ ฟาดจนน้ำตาร่วง ไม่ลืมนะ ตั้งไม่อยู่เลย เวลามันเชี่ยวจัดเชี่ยวจริงๆ กิเลส คลื่นของกิเลสนี่ สตินั่นละจะเป็นเครื่องหักห้ามต้านทานและทำลายกิเลส แต่นี้สติตั้งไม่อยู่เลยถูกกิเลสเตะเอาๆ จนน้ำตาร่วง ขึ้นอุทาน ถ้าลงถึงใจมันถึงจริงๆ นะไม่ได้เหมือนใคร ไม่ว่าดีว่าชั่วถึงถึงจริงๆ ไม่มีวันถอน ถ้าเหตุผลไม่เหนือกว่าถอนไม่ได้ เจ้าของตั้งขึ้นยังไงต้องทำอย่างนั้น
พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงพระกรรมฐานเรา เอานี้เสียก่อนจำไว้นะ คือเอามาแทรก ไปเที่ยวกรรมฐาน เพื่อนเดียวกันท่านน่าชม ท่านองค์นี้ท่านปฏิบัติสุขุมมากอยู่ ทีนี้เที่ยวท่านก็ไปพักที่บ้าน...อย่าให้ระบุชื่อเถอะ ในสำนักนั้นเขามีแม่ชีแม่ขาวอยู่ เขาเห็นท่านไปพักที่นั่นเขาก็เอามะขามป้อมสมอมา มีมีดเล็กๆ ติดมาด้วย ท่านก็เอามาผ่าแกะเม็ดมันออก ในถ้วยนั้นเกลือกับน้ำตาลมันเหมือนกันเลย เขาก็มีขีดแบ่งเป็นฝ่ายน้ำตาลเป็นฝ่ายเกลืออยู่ แต่ดูแล้วดูไม่ออก
ท่านจับสมอได้ก็จิ้มลงไป พอจิ้มลงไปปั๊บลองดูก่อน เรียกว่าเป็นขั้นทดลอง จิ้มไปปั๊บไปถูกน้ำตาล โธ่ หวาน ยังไม่รู้ว่าน้ำตาลกับเกลือมันอยู่ในถ้วยเดียวกัน จิ้มลงไปว่าเป็นเกลือหรือเป็นน้ำตาล ทำไมมันเหมือนกันไปหมด เข้าใจว่าเป็นน้ำตาลทั้งหมด พอจิ้มปั๊บลงไปทีแรกถูกน้ำตาล ปัดโธ่ หวาน คราวหลังท่านเตรียมท่าใหญ่ จับสมอได้จิ้มลงไปแล้วกดให้น้ำตาลแทรกเข้าไประหว่างช่องว่างของเมล็ดที่แกะออก
ท่านก็เป็นธรรมดีนะ จึงเอามาเล่าให้ฟัง จิ้มลงไปแล้วรู้สึกว่าน้ำตาลน้อยไปก็กดลงอีกๆ ในร่องเมล็ดสมอนั่น เอาเมล็ดมันออกแล้วมันเป็นร่อง ท่านใส่ลงไปแล้วเอามือกด ทีนี้มันไปโดนเอาเกลือไม่ใช่น้ำตาลละซี ท่านนึกว่าเป็นน้ำตาลทั้งหมด ท่านเล่าให้ฟัง นี่ละถ้าไม่ลืมไม่ลืมนะเรา คือท่านเป็นธรรม ความโลภเป็นความโลภเอาใหญ่ คราวนี้เป็นกิเลสออกหน้า ทีแรกเป็นขั้นทดลอง กิเลสกับธรรมทดลองกันดู จะเป็นน้ำตาลหรือเป็นอะไรทดลองนิดหน่อยเสียก่อน โธ่ หวาน ทีนี้ขยับใหญ่ เป็นกิเลสละที่นี่ ทีแรกเป็นขั้นทดลอง กิเลสกับธรรมจะออกแง่ไหนคอยดู พอเห็นว่าเป็นน้ำตาลแล้ว ทีนี้ก็ผ่าสมอแกะเมล็ดออก ตักลงไปแล้วท่านว่ายังกดจะเอาให้ถนัดว่างั้น
ทีนี้มันเกลือไม่ใช่น้ำตาลละซี ฟาดใส่เกลือกดลงเต็มเหนี่ยว พอซัดเข้าไปนี้แหงนเลย โห มันไม่ใช่น้ำตาลมันเป็นเกลือ เอ้า เราเป็นคนทำเอง เราโลภ เอ้า กินห้ามไม่ให้คาย บังคับเจ้าของให้กินให้หมด ดัดสันดานมัน นี่เป็นธรรมเข้าใจไหม มันเก่งนักกิเลสนี่ดัดมันสักหน่อย ท่านมาเล่าให้ฟังเอง เรื่องกิเลสเป็นอย่างนี้
พูดถึงเรื่องตั้งสติไม่อยู่ๆ จนน้ำตาร่วง ขึ้นอุทาน โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ คือมันเอาจนน้ำตาร่วงตั้งสติไม่อยู่ ตั้งเท่าไรล้มเท่านั้น ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ ตั้งพับล้มผล็อยๆ กระแสของกิเลสมันรุนแรงมาก สติที่เป็นเครื่องสังหารกันเอาไม่อยู่เลย ถูกฟัดทีเดียวตกห้าทวีปๆ น้ำตาร่วง โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละที่นี่ตัดสินกัน ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ถึงใจแล้วนะนั่น ถ้าเป็นโกรธแค้นให้คนให้สัตว์นี้ก็เรียกว่าเป็นกิเลสเต็มตัว แต่นี้เคียดแค้นให้กิเลสของตัวเอง ธรรมกับกิเลสฟัดกันนี้ เคียดแค้นให้กิเลสตัวนี้ มึงเก่งขนาดนั้นเทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง นี่เป็นความโกรธ ความโกรธอันนี้เป็นธรรม ไม่ได้เป็นความโกรธเหมือนอย่างโกรธให้ใครต่อใคร ความโกรธให้สัตว์ให้บุคคลเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่ความโกรธให้กิเลสซึ่งอยู่ในตัวนี้เป็นธรรม ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เหมือนว่าปักใส่กันอย่างลึกเลย นั่นละเป็นมุมานะ
โรงงานใหญ่คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปหาท่านศึกษาอบรมกับท่านพอสมควร กลับมาอีก หงายอีกๆ ก็ยิ่งตั้งใหญ่เลยละที่นี่ ซัดกันใหญ่เลย เอาให้มันได้ความเลยว่า เอาจนกิเลสมันหงายได้ เหอ มึงก็มีท้องเหมือนกันเหรอมึงหงายให้กูดู แต่ก่อนมีแต่ท้องกูหงายหมาๆ หงายแมวมันตบได้ใช่ไหม หงายหมามีแต่ร้องแงกๆ จากนั้นอันนี้เป็นมุมานะ หนักมากทีเดียว เคียดแค้นให้มัน อย่างไรกูจะเอาให้มันพังมึงเอากูถึงขนาดนี้ ฟัดใหญ่เลยที่นี่ ก็ได้ นี่ละการโกรธการแค้นให้กิเลสในหัวใจตัวเอง เพราะเป็นภัยแก่ตัวเองนี้เรียกว่าเป็นธรรมแท้ ทางนี้โกรธแค้นมากเท่าไร ความมุมานะ ความอุตส่าห์พยายามนี้หนักเข้าๆ ไม่มีถอย เอาจนผ่านได้เป็นลำดับลำดา นี่ละความเคียดแค้นให้กิเลสของตัวเองเป็นธรรม ความเคียดแค้นให้ผู้อื่นผู้ใดสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นกิเลสทั้งนั้น ถ้าความเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นตัวภัยแก่ตัวเราเองนี้เป็นธรรม ได้เอามาพิจารณานะ นี่ละตั้งตัวได้เพราะอันนี้
เพราะน้ำตาร่วงบนภูเขา จนออกอุทานเลย โห มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ถึงจะล้มก็ล้ม ล้มเพื่อจะเอามัน นั่นละจึงตั้งหลักได้ เอาอย่างหนักเลย ตั้งแต่นั้นมาฟาดกัน มันกลับมาลบกันหมด เวลาทำความพากเพียรถึงขั้นจะเป็นจะตายมี มันเอานั้นเข้ามายันกัน เวลากิเลสเอาจนน้ำตาร่วงเป็นยังไง มันเก่งไหม ทีนี้เราเอากับกิเลสเป็นยังไง ทุกข์ขนาดไหน กิเลสเอาเราเอาขนาดนั้น ทีนี้เราจะเอากิเลสให้มันหนักกว่านั้นอีก นั่นละที่นี่แก้กันได้ๆ เรื่อยๆ ไป พูดถึงเรื่องความเพียรนะ เวลาหนักมันหนักจริงๆ รอไม่ได้เลย ถ้ารอกิเลสเอาขาดเลย เรารอไม่ได้ให้กิเลสขาด นั่นละจึงเป็นประโยชน์
พูดนี้หลงไปลืมไปนะไม่เหมือนแต่ก่อน พูดตั้งแต่ในครัวมาที่อยู่ร่วมกัน ในครัวให้มีความสม่ำเสมอทุกอย่าง อาหารที่นำไปจากทางนี้ท่านก็จัดให้ด้วยความเป็นธรรม พระจัดข้างนอกท่านก็จัดเป็นธรรม การจัดพระต้องจัดผู้มีความเฉลียวฉลาดพอสมควร อย่างน้อยพอสมควรและเป็นผู้ฉลาดให้จัดทำอาหารเข้าไปข้างใน ไม่ใช่ให้จัดสุ่มสี่สุ่มห้า เราเป็นผู้ดูแลเอง ข้างในนี้เราก็ดูเอง ถ้าธรรมดาจะนั่งขาขัดห้างอยู่ก็ได้ก็เราเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม นี่มันขัดไม่ได้นะ เพราะอำนาจแห่งเมตตาธรรมและความรับผิดชอบ ความสม่ำเสมอครอบอยู่ที่หัวใจจะต้องดูทุกสิ่งทุกอย่าง ลงทำให้เต็มใจแล้วจะผิดจะพลาดบ้างก็ตาม ใจนี้เต็มแล้วด้วยความสุจริตยุติธรรม เมตตาสม่ำเสมอกันแล้วอันนี้งามแล้ว อันนั้นจะผิดจะพลาดบ้างไม่เป็นไร จึงต้องได้ดูตลอดเวลาดูทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าธรรมดานั่งเฉยอยู่ก็ได้ นี่ไม่ได้เฉยท่านทั้งหลายก็ดูเอาเอง อันไหนไปทางไหนอะไรมากไปน้อยไปๆ แม้ที่สุดจะตักอาหารถ้วยไหนเป็นยังไงๆ ดูละเอียด แต่พระท่านคงไม่ค่อยพิจารณามากนัก ถูกเราตีข้อมือเอาเรื่อย ทำไมอันนั้นเป็นยังงั้นอันนี้เป็นยังงี้ ดูในถ้วยนั่นแหละ ถ้ามีปัญญาท่านจะนำไปคิด เพราะเราพูดพูดด้วยเป็นธรรมทั้งนั้น ด้วยสติด้วยปัญญา ไม่ได้พูดด้วยความโง่เง่าเต่าตุ่น ทำอะไรให้สม่ำเสมอทุกอย่างๆ เลย ทีนี้เวลาส่งเข้าไป พวกข้างในก็ให้เป็นธรรมให้มีความสม่ำเสมอ อย่าถือว่าเราเป็นใหญ่เป็นโต ปากท้องมีความจำเป็นเสมอกันหมดให้ถือเอาตรงนั้น
ความหิวความโหยไม่ไว้หน้าใคร เกิดในสัตว์สัตว์ก็ทุกข์ เกิดในบุคคลคนก็ทุกข์ เกิดในเด็กในผู้ใหญ่ทุกข์ด้วยกันหมด เพราะฉะนั้นจะเยียวยาความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ด้วยอาหาร อาหารต้องนำเข้าให้เป็นความเป็นธรรมเสมอกันหมดทุกปากทุกท้องถูกต้อง ต้องเป็นอย่างนั้น ผู้มาปฏิบัติธรรมด้วยกันอย่าไปคำนึงถึงตัวเองมากกว่าผู้อื่น ดูใจตัวเองดูท้องตัวเองดูท้องคนอื่นให้เสมอกันหมดนี้เรียกว่าธรรม ดูเป็นธรรม อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก มีมากมีน้อยขอให้เป็นความเสมอภาค นั่นละเป็นสุขอยู่ตรงนั้นถูกต้องอยู่ตรงนั้นเย็นใจอยู่ตรงนั้น
ถ้ามีสูงมีต่ำมีมากมีน้อยด้วยความลำเอียง เอียงหน้าเอียงหลังเพราะอำนาจของกิเลสแล้วใช้ไม่ได้เลย เต็มปากเต็มท้องก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อาหารประเภทนี้อาหารสกปรก ได้มาด้วยความโลภ เห็นแก่ปากแก่ท้องของตัวเอง ไม่ได้มองดูปากท้องหัวใจคนอื่นใช้ไม่ได้ ให้ดูอันนี้ ไม่งั้นไม่ได้ไม่เป็นธรรม ดังที่เราดูอยู่ตลอดเวลานี้ ทุกอย่างเอาจริงๆ ดูจริงๆ ไม่งั้นไม่ทัน กิเลสมันเร็วมาก ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
การเข้าการออกของวัดนี้ให้มีขอบมีเขตมีหลักมีเกณฑ์ ออกสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ ส่วนมากตอนห้าโมงเรามักจะออกมา คือเวลามันมากๆ จริงๆ คนมันเยอะ ออกมาไม่ได้มันรุมเหมือนแม่ผึ้งแม่แตน มองเห็นเราไม่ได้มันรุมใส่เลย เราต้องหลบๆ ถ้าไม่หลบก็วากใส่เลยหลงทิศไป เข้าใจไหม ส่วนมากขี้เกียจวาก หลบเอา จนกระทั่งสี่โมงกว่าๆ หรือห้าโมงเราถึงจะด้อมออกมา นี่จะไปดูนั้นนะ ที่ออกมาแต่ละครั้งๆ ไม่ใช่ออกมาธรรมดา ออกไปนี้ๆ แล้วดูทุกสิ่งทุกอย่าง บกพร่องตรงไหนๆ ตั้งแต่ภายในวัดขอบเขตกำแพงนี้ ออกนอกกำแพงนี้ไปก็เป็นเขตในวัดความรับผิดชอบของเราเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ดูนั้นดูนี้เรื่อย เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ออกอยู่เสมอ
ทีนี้อะไรที่บกพร่องกลับมาก็สั่ง สั่งละ อย่างเมื่อวานเย็นไป ก่อนที่พวกปุ๋ยพวกอะไรจะมีอยู่บ้างขอบสระนั้น ก็เราตาฝ้าๆ นี่ พวกนี้ตาใสเหมือนตาแมวแต่มันไม่เห็น ตามันบอดเพราะหัวใจมันบอด เราไปนานแสนนานมันจะไม่พอมีบ้างหรือปุ๋ยแถวนี้ ต้นไม้เหล่านี้ปลูกขึ้นมาก็เพื่อผลประโยชน์กับมัน เช่นขนุงขนุนอะไรเต็มนี้ ถ้าเมื่อไม่มีปุ๋ยผลก็ไม่ดี พอได้โอกาสก็สั่งให้เขาเอาปุ๋ยไปเทรอบๆ ขอบสระ เราเองเป็นคนสั่ง พวกนี้มันจะคิดเองไม่ได้ ในวัดนี้ไม่ว่าตรงไหนๆ มักจะมีแต่ไอ้เฒ่าตาฟางนี่ละไปดูแล้วมาบอกมาสั่งมาเสีย เพราะมันไม่ได้ดูด้วยสติปัญญา ไปด้วยความเซ่อๆ ซ่าๆ
นี้ไม่ได้คุย ไปที่ไหนดูจริงๆ ดูอยู่ลึกๆ ทางตาข้างนอกมันจะฝ้าจะฟางก็ตามแต่หัวใจสติปัญญาจะไม่ฝ้าฟาง ท่านทั้งหลายให้จำเสียบ้าง ไม่อย่างงั้นฆ่ากิเลสได้ยังไง ซุ่มๆ ซ่ามๆ งุ่มๆ ง่ามๆ ฆ่ากิเลสไม่ได้นะ ถึงขั้นที่มันเปรียวมันเร็วเร็วจริงๆ สติปัญญาขอให้ฝึกเถอะแล้วจะดีขึ้นๆ อย่างที่ว่าไปเห็นเมื่อวานนี้ เข้าไปเห็นเขากำลังเทปุ๋ยอยู่ก็เลยสั่งต่อไปอีก เป็นอย่างนั้นละ ไปที่นั่นดูที่นั่นดูที่นี่ แล้วไปทางไหนๆ ก็ดูไป ไม่ใช่ไปเซ่อๆ ซ่าๆ ธรรมดา ไปที่ไหนมีเหตุมีผลหลักเกณฑ์เต็มหัวใจแล้วออกไป
ส่วนมากตอนเช้าบางทีก็ออกแต่ก่อน เดี๋ยวนี้ไม่ออกแล้วจะออกเฉพาะตอนเย็น เวลาคนจางไปหมดแล้วจะค่อยด้อมๆ ออกไปดูนั้นดูนี้ ถ้าควรไกลก็ไกล ไปตรงไหนจะมีเรื่องมีราวตรงนั้นละ กลับมาแล้วสั่งเสียบกพร่องตรงไหนๆ ดู นี่การปกครอง ทั้งแนะนำสั่งสอนพระเณรภายในจิตใจเกี่ยวกับเรื่องกิเลส ทั้งสิ่งภายนอกเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ภายนอก ต้องได้คิดอย่างนั้นตลอด ทีนี้ย่นเข้ามาหาเรื่องอาหารการกิน เวลาเข้าไปในครัวทางนี้จัดเต็มกำลังด้วยความเป็นธรรมทั้งนั้นแล้ว พระที่จัดอยู่ข้างนอกก็เป็นธรรมสุดส่วน คัดเลือกพระเป็นผู้จัดผู้ทำอาหารการบริโภคทั้งหลาย ทางภายในเราก็ดูแล
ทีนี้เวลาเข้าไปข้างใน ทางโน้นให้พากันจัดเป็นอรรถเป็นธรรมต่อกัน อย่าเห็นแก่ได้แก่กินเห็นแก่ปากแก่ท้องเจ้าของคนเดียวคนนั้นเลว อยู่ในวัดนั้นคนเดียวเลวขึ้นแล้วนั่น ขวางเพื่อนขวางฝูงด้วย เลวประเภทนี้ขัดหูขัดตาขัดใจ อย่าให้มีเลวประเภทนี้เป็นสิ่งที่เราจะดัดแปลงได้ เพราะเรามาดัดแปลงสิ่งเหล่านี้แหละในตัวของเราเองให้เป็นความสวยงาม ขอให้พิจารณาทุกคนๆ ไปที่ไหนส่วนมากมักจะเป็นเราเป็นคนสั่งมันถึงได้เรื่องได้ราว นี่ก็บอกชัดเจนว่ามันตาฝ้าตาฟางใจมันฝ้ามันฟางมันไม่คิด ไม่ได้ยกตนอวดท่าน ก็เราสั่งทั้งนั้นนี่จะทำอะไร จะคิดโดยลำพังตนเองเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์แล้วก็คิดไม่เป็นทำไม่เป็น ต้องได้บอกได้เตือนกัน อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ หัวใจเช่นนี้ฆ่ากิเลสไม่ได้ หัวใจจะฆ่ากิเลสต้องแพรวพราวสติปัญญารอบตัวรอบภายในรอบภายนอกออก เป็นอย่างนั้นนะ
วันนี้พอพูดได้บ้างเสียงไม่อู้นัก เมื่อวานนี้พูดไม่ได้ พอพูดนี้ออกๆ ดังลั่นมันเลยไม่ออก วันนี้พูดได้บ้างก็เลยพูด เมื่อวานนี้ไม่พูด พูดให้เป็นคติแก่ท่านทั้งหลายทุกคนๆ มาในนี้พึ่งเป็นพึ่งตายซึ่งกันและกัน ถิ่นฐานบ้านเรือนเราปล่อยหมด ญาติมิตรสหายพ่อแม่พี่น้องปล่อยหมด มานี้มาอาศัยพึ่งเป็นพึ่งตายต่อกันและกันด้วยความเห็นว่าเป็นธรรม จึงขอให้มีธรรมภายในใจทุกคน นำไปปฏิบัติจะมีความสงบร่มเย็น การนินทากาเลกันอย่าให้มีเป็นอันขาด สำหรับวัดนี้มีไม่ได้ พอจับได้จริงๆ แล้วจะไม่มีอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่มี มีแต่ศาลเด็ดขาดศาลเดียวเลย ใส่ป๋างเดียวเท่านั้น เราไม่วินิจฉัยนะ ถ้าจับได้แน่นอนแล้วๆ ชี้นิ้วเลยไปเลยไม่ให้อยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะมาวินิจฉัยกันอีก อย่าให้มีในวัดนี้
การนินทากาเลโจมตีคนนั้นโจมตีคนนี้ต้องถือว่าตัวเป็นคนดี ดีกว่าเขาเหยียบหัวเขาลงไปๆ อย่าให้มีในวัดนี้ คิดดูซิวัดป่าบ้านตาดตั้งแต่ตั้งวัดมาไม่เคยมีพระที่จะมามีอะไรๆ ให้เราจับพิรุธได้อย่างนี้ มีแต่มุ่งต่ออรรถต่อธรรมดูหัวใจเจ้าของตลอดเวลา ท่านอยู่ด้วยกันผาสุกร่มเย็นตลอดมา มีกี่ชาติชั้นวรรณะอยู่ในวัดป่าบ้านตาด ฝรั่งมังค่ามีมากมีน้อยดูซิน่ะ ชาติไทยของเราก็ทั่วประเทศมาอยู่ที่นี่ นี่ละให้ธรรมดูแลรักษาให้ธรรมคุ้มครองสงบเย็นอย่างนี้
ไม่ได้มีอะไรเหมือนธรรมนะ ถ้าธรรมคุ้มครองมาจากไหนๆ มาอยู่ด้วยกันอบอุ่นไปหมดเย็นไปหมด อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม เราก็เป็นธรรมอยู่ตลอด ไปหาครูบาอาจารย์ท่านก็เป็นธรรมต่างคนต่างเป็นธรรม ธรรมต่อธรรมเข้าประสานกันก็มีความสงบร่มเย็น ฝากเป็นฝากตายกันได้จำเอานะ
ข้างในก็เหมือนกัน อย่ามาเบ่งไม่ได้นะ ไอ้ตัวที่ปากเปราะๆ นั้นน่ะ ขอให้เราจับได้เถอะน่ะ นินทาคนนั้นนินทาคนนี้ ยกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้ เป็นผู้ร้ายชายโจรอยู่ไม่เป็นสุข หาขโมยที่นั่นหาขโมยที่นี่ โจรผู้ร้ายนี้ลึกลับมาก ก่อความเดือดร้อนแก่ความสงบของส่วนรวมได้มากให้ระมัดระวัง สอนอย่างชัดเจนนะ อย่าให้มีอย่างนี้ เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่หยาบที่สุดด้วย มีอยู่กับหัวใจทุกคน แล้วตั้งใจจะมาชำระอันนี้ด้วยกันทุกคน อย่าให้มันมาเหยียบหัวตัวเอง และเหยียบหัวเพื่อนฝูงที่อยู่ในสังคมเดียวกันให้แหลกเหลวไปนะใช้ไม่ได้ พากันจำเอา วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz