สายบุญสายกรรม
วันที่ 1 สิงหาคม 2549 เวลา 8:00 น. ความยาว 51.14 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

สายบุญสายกรรม

         (วัดประชาคมวนาราม อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด กำหนดการคารวะและถวายผ้าป่ามหากุศล ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี วันเสาร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ เวลา ๑๔.๓๐ น.) วัดท่านศรีนี้เรียกว่าวัดป่ากุง ขบขันดี ท่านเป็นพระที่มีเมตตามาก เลี้ยงสัตว์ไว้ในวัด พวกกวางนี้เป็นฝูงๆ เลย ทีนี้กวางเป็นกวางพระเป็นกวางวัดมันกินข้าวเหมือนวัวเหมือนควาย พอเจ้าของเผลอมันหลั่งไหลไปกินข้าวในนาเขา กวางเป็นฝูงๆ นู่นน่ะ พอเจ้าของเผลอมันออกไปกินข้าวในนาเขา เขาไล่ขนาบนี้แตกเข้าวัดหมดเลย จะปรับก็จะปรับยังไงกวางก็กวางพระ กวางอาจารย์ของเขาเสียด้วย เอ้อ ต่างคนต่างรักษาเอาเถอะ ท่านบอกให้ต่างคนต่างรักษาเอาเถอะ ส่วนท่านเผลอท่านไม่รักษา ปล่อยให้ไปกินข้าวเขา ท่านไม่พูด  ท่านว่าต่างคนต่างรักษาเอาเถอะ

นั่นท่านมีเมตตาธรรม นกยูงก็เยอะ หมูเยอะ กวางมาก เต็ม พวกสัตว์เยอะในวัดป่ากุง ข้างในมันเที่ยวเสียจำเจไม่ได้ไปไหน จำนวนมากเสียด้วย ก็คงอยากออกเที่ยวเหมือนคนเรานั่นแหละ พอได้โอกาสมันก็ออกนอก ออกจากวัดแล้วก็ไปเที่ยวกินข้าวในนาเขา กวางเป็นสิบๆ ลงนาแปลงไหนก็แหลกเลย เขาขนาบไล่เข้าวัด จะปรับไหมใส่โทษก็จะยังไง กวางก็เป็นกวางวัด กวางอาจารย์เขาด้วย ทางนี้ก็มีแต่ว่า เอ้อ ต่างคนต่างรักษาเอาเถอะ เขาจะปรับอะไรก็ไม่ลง ท่านก็เลยว่า ต่างคนต่างรักษาเอาเถอะ ขบขันดี

ท่านมีบารมีไปทางหนึ่งอาจารย์ศรี มหาวีโร อ่อนพรรษากว่าเรา เราเรียกท่านศรี เคยจำพรรษาหนองผือด้วยกัน แต่ท่านเคารพเรามากมายมาแต่กาลไหนๆ ตั้งแต่อยู่หนองผือท่านก็เคารพมากอยู่ตลอดมา อันนี้มีเรื่องขบขันอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อมันมาสัมผัสก็เล่าให้ฟัง กุฏิท่านอยู่ริมรั้วเข้าไปในป่า ทางจงกรมของเราอยู่ในป่าลึกๆ  เวลาเรามาจากกุฏิเราก็ออกหน้ากุฏิท่านศรีแล้วเข้าป่า ท่านมีโต๊ะเล็กๆ ขนาดนี้เห็นท่านศรีเขียนหนังสืออยู่ ท่านคงจะจำได้ตลอดแหละเพราะเป็นปัญหาอันหนึ่งอยู่ เราไปมาเห็นท่านเขียนหนังสืออยู่โต๊ะน้อยบ่อยๆ แต่ก่อนท่านเป็นครูแล้วจึงมาบวช

มีโต๊ะเล็กๆ กุฏิท่านก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร กระต๊อบเหมือนกัน แต่มีโต๊ะเล็กๆ วางไว้ข้างๆ เราเข้าออกอยู่เรื่อยไปเดินจงกรมในป่า เห็นท่านเขียนหนังสืออยู่โต๊ะเล็กๆ เรื่อยๆ ทีแรกเราก็ไม่ว่าอะไร ก็ผ่านไปผ่านมาอยู่แทบทุกวี่ทุกวันจะว่าไง เพราะทางจงกรมของเราอยู่ในป่าลึกๆ ผ่านเข้าไปนั้น พอหนักเข้าๆ ผ่านไปตรงนั้นเห็นท่านเขียนหนังสืออยู่โต๊ะเล็กๆ ใส่ปัญหาละที่นี่ ทางเราไปนี้ กุฏิก็อยู่นี้ พอไปถึงจังหวะพอดีท่านกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ เราก็เดินผ่านไปนั้น ท่านก็มองมาพอดี ห่างกันประมาณสักวากว่าเท่านั้นมั้ง เราเลยใส่ปัญหาว่า ทำอะไรเสมียน ท่านก็จับหนังสือยัดเข้าโต๊ะ เราก็เดินผ่านไป ตั้งแต่นั้นมาโต๊ะเล็กๆ หายเงียบไปเลย ทำอะไรเสมียนเราว่างั้น คำว่าเสมียนมันเป็นปัญหาแล้วเข้าใจไหมล่ะ

มาหาอรรถหาธรรมมาเขียนอะไร ความหมายก็ว่างั้น นั่นละตั้งแต่นั้นมาโต๊ะเลยไม่ทราบหายไปไหนเงียบเลย ดูเหมือนเคยจำพรรษาห้วยทรายด้วยกันปีหนึ่งหรือไง เราลืมๆ เสีย หนองผือเคยอยู่ด้วยกัน พอออกจากหนองผือแล้วดูว่าไปจำพรรษาห้วยทรายด้วยกันหรือไงน้า แต่ไปอยู่ห้วยทรายนี้ไป ท่านจำพรรษาด้วยหรือเปล่ายังสงสัย เราไม่แน่ใจ ดูว่าจำพรรษาด้วย

นิสัยวาสนาไปคนละทิศละทาง ท่านนิสัยวาสนาไปอีกทางหนึ่ง บริษัทบริวารมาก ไปไหนลูกศิษย์ลูกหารุมท่าน อย่างมาวันที่ว่า ๑๙ สิงหา นี้ก็คอยดูซี ลูกศิษย์ลูกหาท่านในอำเภอต่างๆ เขตจังหวัดร้อยเอ็ดนี้จะมาหมดแหละ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์และประชาชน ท่านเคยมาเสมอ ก็เรียกว่าเป็นนิสัยวาสนาอย่างหนึ่ง คือเป็นไปตามสายนิสัยวาสนา ถ้านิสัยวาสนาไม่เกี่ยวข้องกันมันก็ไม่สัมผัส มันก็ไม่ติดใจ หากเป็นอย่างนั้น

ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าเองเสด็จไป กับพระอานนท์ตามเสด็จไป เห็นพวกประชาชนฝ่ายผู้หญิงแม่ค้าเขาซื้อของขายของ มานี้เป็นแถวมาเลย พระพุทธเจ้าเสด็จไปนั้นเขาก็เคารพธรรมดา เคารพแล้วก็ไปเป็นแถวไม่ใช่น้อยๆ นะพวกแม่ค้า ท่านเสด็จผ่านไปนั้นเขาเคารพ เขารู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าเขาก็เคารพ พอผ่านไปสักนิดหนึ่งท่านเสด็จแวะเข้าข้างทาง รออยู่ที่นี่แหละอานนท์ เรารอคอยฉันอาหารกับพวกแม่ค้านี้ นั่นฟังซิ นั่นละพระญาณหยั่งทราบ พวกนี้เขาเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ พระกัสสปะกำลังเดินตามหลังเรามา ไปนี้เขาจะไปเทให้พระกัสสปะที่เป็นอาจารย์ของเขานั้นแหละ เราไม่ใช่อาจารย์เขา นั่นฟังซิ เป็นคนละนิสัยวาสนา

เราคอยอยู่นี้ละ พระกัสสปะตามเสด็จมาข้างหลัง พอท่านไปถึงนั้นเขาถวายหมดเลย ท่านบอกว่านี่เขาเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ เขาเคยเป็นลูกศิษย์ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว มันสัมพันธ์กันทันทีแหละถ้ามีญาณ อย่างพระพุทธเจ้าเล็งญาณปั๊บรู้แล้ว นี้เป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ เขาเคยเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะมา ไปนี้เขาจะไปเทลงพระกัสสปะทั้งหมด เราคอยฉันอยู่นี้ ไม่นานพระกัสสปะก็พาพวกบริษัทบริวารแห่มาเต็มเลย อย่างนั้นแล้ว ฉันจังหันที่น่น นั่นเป็นไปตามสายนิสัยวาสนา ไปคนละทิศละทาง

เรื่องสายบุญสายกรรมนี้ท่านผู้มีญาณท่านมองปั๊บรู้ทันทีเลย เคยเกี่ยวโยงกันมายังไงๆ มองพับรู้ แต่ความรู้ของท่านเป็นฝ่ายธรรม ท่านไม่แสดงความตื่นเต้น ไม่มีอะไร แต่ภายในมี..รู้แล้ว นั่นเป็นอย่างนั้นเรื่อย เขาเรียกว่าสายบุญสายกรรม สายบุพเพนิวาสชาติปางก่อนเคยเกี่ยวข้องกันมายังไงๆ พอมองเห็นกันนี้ ถ้ามีญาณด้วยกันก็รับกันทันทีเลย ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่มีญาณทราบ ฝ่ายหนึ่งมีก็ทราบไว้ๆ โดยลำดับลำดาอย่างนั้นละ ญาณอันนี้ไม่ได้ถามใครด้วย ลงปั๊บเข้าไปแล้วแม่นยำๆ ที่สุด ไม่ว่าญาณของพระพุทธเจ้าญาณของสาวก เป็นธรรมชาติฝังอยู่ในนิสัยของท่านเอง รู้เอง ไม่ต้องสงสัยอะไรแหละ

คำว่าญาณๆ นี้จะหมดไปต้งแต่พระพุทธเจ้าไปแล้วเหรอ ธรรมไม่หมดเมื่อไร ผู้ปฏิบัติธรรมไม่หมดเมื่อไรสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติ จะมีติดนิสัยของท่านตลอด นิสัยของใครมีมายังไงจะมีขึ้นมาเป็นขึ้นมารู้ขึ้นมา อย่างนั้นนะ คำว่าญาณคือความหยั่งทราบ พอมองไปปั๊บจะหยั่งทราบแล้ว ทราบแถวทราบแนวไปแล้ว เกี่ยวโยงกันมายังไงๆ จะทราบของมันโดยลำดับ แต่ท่านไม่ได้ตื่นเต้น ทราบธรรมดา เมื่อเหตุการณ์เข้ามาสัมพันธ์เมื่อไร ควรแสดงออกมากน้อยเพียงไรท่านก็แสดง ถ้าไม่ใช่โอกาสจะแสดงก็เหมือนไม่มี เหมือนไม่รู้ไม่เห็น เพราะอันนั้นเป็นธรรมท่านไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนโลก โลกมันตื่นเต้นกัน

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกได้กับพระองค์หนึ่ง แต่ไม่ใช่ตำหนินะ เราพูดถึงเรื่องพระญาณของพระพุทธเจ้า เราไม่ได้ตำหนิติชมผู้ใด เราพูดตามหลักความจริงโดยถือญาณนี่เป็นต้นเหตุ มีพระองค์หนึ่งท่านไปเที่ยวธุดงคกรรมฐานมา พอมาถึงนั้นหิวน้ำมาก เขาเอาน้ำมาถวายท่าน ผู้หญิงคนนั้นกับท่านเคยเป็นสามีภรรยากันมา แต่ท่านไม่ได้มีญาณทั้งสอง มันหากติดกันเลยโดยหลักธรรมชาติที่เคยเกี่ยวข้องกันมา พอไปฉันน้ำที่บ้านเขาแล้ว พอมานี่ไม่ฉันจังหัน คิดถึงหญิงคนนั้น

เป็นยังไงพระองค์นั้นไม่ฉันจังหัน ลองถามดูซิเป็นยังไง แต่ดีนะพระในครั้งพุทธกาลท่านพูดโดยตรง ท่านบอกว่าไม่สบาย ไม่สบายเพราะอะไร คิดถึงผู้หญิงคนนั้น เขาตักน้ำมาให้ฉันเลยติดตั้งแต่นั้นมา กินข้าวไม่ลง คิดถึงมาก นี่พระพุทธเจ้าไปตัดสายใยนะ ไปตัดสายใยขาดออกจากกัน เพราะไม่ใช่สายใยที่จะเจริญต่อกันไป มันเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงผู้หญิงคนนั้นกับพระองค์นี้เคยเป็นสามีภรรยา ผู้หญิงคนนั้นเคยทำร้ายสามีคนนี้แหละจนตายไม่ใช่ธรรมดา ไปรักผู้ชายคนอื่นแล้วฆ่าสามีตัวเอง

ทีนี้พระองค์นั้นไม่รู้ซิว่าผู้หญิงคนนี้เคยฆ่าตัวยังไงบ้าง สายใยของมันที่เคยเป็นสามีภรรยากันก็รักกันเลย พระพุทธเจ้าไปตัดสายใย ไปรักอะไร อยากตายอีกเหรอ นั่นเห็นไหมท่านว่า อย่าว่าตำหนิใครนะพูดตามสายบุญสายกรรมต่างหาก ผู้หญิงคนนี้เคยฆ่าเธอมาแล้วครั้งนั้นๆ เป็นอย่างนั้นๆ ยังจะอยากตายอยู่เหรอ ถ้าอยากตายก็ไป เลยหยุด ตัดสะพานขาดเลย เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าแล้วยังจะมีสายโยงสายใยติดต่อกันไปอีกก็ได้ พระพุทธเจ้าตัดสายใยขาดจากกันเลย ถ้าหากว่าดีหรืออะไรพระองค์ก็ไม่ว่าอะไร ถ้าจะมีอะไรต่อไปอีกพระองค์ก็ตัดสายใยขาดทั้งสองฝั่ง อยากตายอีกเหรอ อยากตายอีกก็ไป แต่ก่อนผู้หญิงคนนี้เคยทำลายเธออย่างนั้นๆ ไปรักผู้ชายอื่นแล้วฆ่าสามีตัวเอง เธออยากตายก็ไปซี ทีนี้หยุดเลยทันที นี่ละพระญาณหยั่งทราบเข้าไปปั๊บ ตัดขาดสะบั้นไปเลย ทางนั้นก็ยอมรับ นี่เรื่องราว เราพูดถึงเรื่องราว

ทีนี้ทางฝ่ายดีก็มีอีกแบบเดียวกันนี้ ฝ่ายดีที่เกี่ยวโยงกันมายังไง สร้างคุณงามความดีต่อกันมายังไงๆ พอเจอกันมันหากเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มันสัมผัสกันมันจะดูดดื่มถึงกันเลย ที่นี่ผู้มีญาณหยั่งทราบเข้าไปปั๊บเลย ทั้งสองรายนี้เป็นยังไงๆ หยั่งทราบไปเรื่อยๆ ดังที่พระองค์นี้กับผู้หญิงคนนั้น เริ่มมาตั้งแต่พระกัสสปะ พระพุทธเจ้าเสด็จไปทั้งองค์เขาเฉย เขามาไหว้แล้วเขาก็ผ่าน เต็มไปเลย พอออกจากนี้ไปก็แวะ แวะนี่แหละอานนท์ อย่างนั้นละพระญาณเหมือนตาข่ายตาแหนี่ครอบไว้เลย

เราคอยพระกัสสปะ พวกนี้เขาเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ คือชาติก่อนเขาเคยเป็นลูกศิษย์ของพระกัสสปะ ไม่ใช่ว่ามาเป็นในชาตินี้ชาติเดียว เขาเคยเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ เขาไปนี้ไปเจอพระกัสสปะแล้ว เขาจะนำสิ่งของเหล่านี้ถวายพระกัสสปะทั้งหมด แล้วพระกัสสปะก็จะพาเขามาที่นี่ เราคอยฉันอยู่ที่นี่ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็อยากเป็นพระพุทธเจ้านะ คอยลูกศิษย์ลูกหาให้นำลูกศิษย์ทั้งหลายเอาของมาให้ฉัน ตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยมี ท้องแห้งเข้าใจไหม

นี่เราพูดสายบุญสายกรรม เป็นอย่างนั้นละ มันเป็นอยู่ลึกๆ ถ้ามีญาณหยั่งทราบปั๊บติดกันเลยรู้เลย ผู้ไม่มีญาณก็ไม่รู้ แต่หากเป็นหลักธรรมชาติที่เคยเกี่ยวโยงกัน มันหากดูดหากดื่มกันอยู่ลึกๆ เป็นอย่างนั้น ถ้าผู้มีญาณก็หยั่งทราบพร้อมไปเลย นี่ละจึงเรียกว่าญาณ พระญาณ พระพุทธเจ้าเรียกว่าพระญาณหยั่งทราบ ลงหยั่งทราบที่ไหนไม่ต้องไปถามใคร แม่นยำๆ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ว่าสาวก เพราะเป็นหลักธรรมชาติความจริงเกิดขึ้นจากใจ จริงเหมือนกันไปเลย

พวกเราถ้ามีญาณหยั่งทราบเจ้าของแล้วนี้ จะกลัวภัยที่เคยผ่านมาสักเท่าไรๆ จนพูดไม่ถูก แต่นี้มันไม่ทราบ วันนี้เขาเอาไปฆ่าตายไปแล้ว วันหลังเกิดมาใหม่ให้เขาเอาไปฆ่าอีก ก็สนุกไปเรื่อยๆ ถ้ามีญาณวันนี้เขาฆ่า นี่วันหลังเขาจะฆ่าเราเผ่นเลย เข้าใจไหม มีญาณหยั่งทราบใครจะไปกล้าตายล่ะ เผ่นหนีเลย อันนี้มันไม่รู้อย่างนั้น ตายแล้วตายเล่าเกิดแล้วเกิดเล่ามันก็ไม่รู้อยู่อย่างนี้ละ กี่กัปกี่กัลป์มีแต่พวกนักเกิดนักตายด้วยกันทั้งนั้น ถ้าหยั่งทราบแล้วมันจะตื่นเนื้อตื่นตัว กระตือรือร้นในการที่จะเสาะแสวงหาความดี ปัดความชั่วช้าลามกทั้งหลายออกจากใจ ทีนี้มันไม่รู้มันก็ไปตามบุญตามกรรมอย่างนั้นละ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ

(กราบเรียนปรึกษา สถานีวิทยุ ๙๗.๕๐ เมกกะเฮิรตซ์ มาพูดว่าร้านค้าต่างๆ เป็นลูกสมุนของนายสนธิ เขาก็ออกเป็นหนังสือทำนองคุกคาม อาฆาต แล้วก็ปลุกระดมไม่ให้คนในอุดรไปซื้อของจากร้านค้าที่เขาโฆษณาทางวิทยุ ๙๗.๕๐ นี่ละครับ อันนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงตาทั้งนั้นละครับ มันชอบว่าพวกลูกศิษย์หลวงตาต่างๆ นานาเรื่อย ก็เลยปรึกษาว่าจะอ่านให้ฟัง หลวงตาเมตตาให้อ่านนะครับ เห็นว่ากลัวจะเป็นการรบกวนก็เลยปรึกษาก่อน) อ่านมาเลยเราฟังทั้งชมเชยสรรเสริญ ฟังทั้งตำหนิติฉินนินทา เราพอใจฟังทั้งนั้นถ้าจะเป็นประโยชน์ก็คัดมาเป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ปล่อยให้มันไป)

เขาขึ้นต้นดังนี้นะครับ

เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดอุดรธานีวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙

เรื่องขอความสนับสนุนร้านค้าที่มีรายชื่อดังต่อไปนี้

เรียนประชาชนทั่วไปตลอดจนร้านค้าทั้งหลาย

ตามที่มีกลุ่มก่อกวนป่าเถื่อนได้สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง ความแตกแยกในสังคมเมืองอุดรธานี เพื่อจะให้เกิดเหตุการณ์ปิดล้อมอาคารเฉลิมพระเกียรติมหาวิทยาลัยราชภัฏ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๔๙ ที่ผ่านมาแล้ว รวมทั้งได้จัดทำบัญชีรายชื่อร้านค้าต่างๆ โดยอ้างว่าร้านค้าเหล่านั้นเป็นลูกสมุนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล

จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้มีการคุกคามเสรีภาพในการประกอบอาชีพ พยายามทำให้ประชาชนเห็นว่าร้านค้าเหล่านี้เป็นพวกไม่รักชาติ สร้างความวุ่นวายและโน้มน้าวให้เกิดการแอนตี้ไม่ไปซื้อของจากร้านค้าดังมีรายชื่อท้ายนี้ ข้อสำคัญคือเป็นการข่มขู่อาฆาตหวังจะให้เกิดการทำลายทรัพย์สิน หรือปลุกระดมให้มวลชนก่อความป่าเถื่อน โดยออกข้อมูลผิดๆ ทางสถานีวิทยุ ๙๗.๕๐ เมกกะเฮิรตซ์ แล้วปลุกระดมเพื่อหวังให้มีการทำลายข้าวของร้านค้าต่างๆ เหล่านี้

ในนามของกลุ่มพันธมิตรประชาชนจังหวัดอุดรธานี รู้สึกเห็นใจและมีความห่วงกังวลในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือแจ้งพี่น้องสมาชิกพันธมิตร เพื่อให้ช่วยกันดูแลเป็นหูเป็นตาระวังความปลอดภัย และช่วยกันแก้ปัญหาในภาวะคุกคามต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับร้านค้าต่างๆ ในจังหวัดอุดรธานี

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ลงชื่อ นายเจริญ หมู่ขจรพันธุ์

ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดอุดรธานี)

คุณสนธินี้ไปสร้างความเสียหายอะไรให้แก่ประชาชนชาวอุดร ถึงได้ตั้งข้อรังเกียจ แล้วจะทำลายด้วยวิธีการต่างๆ ขึ้นมาเช่นนี้ เขาไปทำอะไร (เขาไม่ได้สร้าง เขาทำแต่ความดี ไอ้พวกปากอมขี้ไม่พอใจ เขาจึงออกหนังสืออันนี้มา) เปลี่ยนปากอมขี้นั้นเสียให้เป็นปากอมธรรมนะ มีความสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน อย่าสร้างความผิดพลาดอันเป็นการแตกแยกหรือแตกร้าวซึ่งกันและกันไม่ใช่ของดี ที่คุณสนธิพูดนั้นก็พูดเพื่อประชาชนทั้งชาติ เรียกว่าอะไรพันธมิตรฯเหรอ เป็นความดีงามอยู่แล้ว

เราทั้งหลายที่อยู่ในประเทศไทยเรานี้ ส่วนมากเป็นลูกชาวพุทธมีครูมีอาจารย์ ควรจะฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงครูเสียงอาจารย์ แล้วนำเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามาประสานจิตใจของตนที่มันร้าวราน เพื่อทำลายส่วนรวมนั้นให้ระงับดับไป สร้างแต่ความดีงามสมัครสมานซึ่งความสามัคคี มีความดีต่อกันเท่านั้น เป็นความเหมาะสมสำหรับพี่น้องชาวอุดรเรา ซึ่งเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนแต่ทางที่ดีที่ชอบ ทางความชั่วช้าลามกที่จะทำความแตกร้าวอย่างนี้รู้สึกว่าจะไม่มีครูอาจารย์องค์ใดแนะนำสั่งสอนเลย

อย่าพากันไปอุตริในสิ่งไม่ดีงาม จะเป็นลูกศิษย์ทำลายครูทำลายพระพุทธเจ้า แล้วสุดท้ายก็มาทำลายตัวเองให้ฉิบหายป่นปี้ไป หลวงตาบัวซึ่งทำประโยชน์แก่ชาติไม่ใช่ธรรมดานะ แก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทวยเทพอินทร์พรหมทั้งหลายประสานกันทั้งนั้น วันนี้พูดเสียบ้างนะ ภาษาของธรรมนี้เข้าได้หมด เข้าได้ในพวกเปรตพวกผีเทวบุตรเทวดามนุษย์มนาเข้าได้หมด ภาษาธรรมนี้ออกเพื่อพี่น้องทั้งหลาย ขอให้นำธรรมนี้เข้าไปประสานจิตใจซึ่งกำลังร้าวรานเวลานี้ แล้วจะทำลายตัวเองนั้นแหละ ให้กระจายออกไปอย่าให้เข้ามาทำลาย

ให้มีแต่ความสมัครสมานสามัคคีกัน สมเราเป็นลูกชาวพุทธ ศาสดาองค์เอก ลูกศิษย์ตถาคตนี้มีถึงสามแดนโลกธาตุ ส่วนในเมืองอุดรเรานี้ไม่มีกี่คนทำไมจึงไปทำลายพระพุทธเจ้าทั้งองค์ ซึ่งมีลูกศิษย์ทั้งสามแดนโลกธาตุให้เสียหายไปอย่างไม่มีเหตุผลเลย ให้พากันระงับดับเสียสิ่งเหล่านี้ ไม่ดีอย่านำมาใช้ หลวงตาขอบิณฑบาต เพราะหลวงตานี้ทำประโยชน์แก่โลกมา เวลานี้สละชีวิตไม่ได้สละเพื่อตัวเองนะ เราสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตลอดทั่วโลกดินแดน เราทำประโยชน์ทั้งนั้น เราไม่ไปทำโทษแก่ผู้ใด

กิริยาอาการที่แสดงออกเป็นธรรมล้วนๆ แม้จะแฝงไปกับโลกบ้างก็ไม่มีโลกอยู่ในนั้น เป็นธรรมล้วนๆ ต่อบรรดาพี่น้องทั้งหลาย จงพากันระงับดับสิ่งไม่ดีงามนั้นเสีย ให้ทำแต่สิ่งที่ดีงาม ความพร้อมเพรียงสามัคคีกันนั้น เราดูตั้งแต่เพียงร่างกายของเรา ร่างกายของเราสมบูรณ์พูนผลไม่เจ็บท้องปวดศีรษะ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือวิกลวิการในส่วนใดส่วนหนึ่งของอวัยวะ คนนั้นเป็นผู้มีความสุข ประกอบหน้าที่การงานได้สมมักสมหมายทุกอย่าง ถ้าร่างกายได้วิกลวิการเสียอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็เสียหายไปโดยลำดับ ถ้าวิกลวิการหมดทั้งร่างก็เป็นคนตายเท่านั้นละ สิ่งเหล่านี้เป็นการทำลายความพร้อมเพรียงสามัคคีอันดีงาม ซึ่งจะทำประโยชน์ให้โลกได้มากมายก่ายกองให้เสียไปอย่านำมาใช้ ให้ใช้แต่สิ่งที่ดีงามทั้งหลายต่อกัน หลวงตาขอบิณฑบาต

หลวงตายืนยันได้เลยว่าทำประโยชน์แก่โลกนี้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเคลื่อนไหวไปมาแม้ที่สุดพอตื่นนอนขึ้นมาปั๊บ จิตมันจะวิ่งแล้วประสานออกแล้ว แต่ไม่เคยพูดให้ใครฟัง วันนี้พูดเสียบ้าง อำนาจแห่งความเมตตามันครอบโลกธาตุจะว่าอะไร ไปที่ไหนทุกวันๆ นี้ ดูซิร่างกายนี้มันจะไปไม่ได้ เช่นอย่างเอาของไปส่งโรงพยาบาลอย่างนี้ก็ไม่ลงรถ เอาของส่งเสร็จแล้วไปเลยๆ โรงพยาบาลไหนก็ไม่ลง ลงลำบากลำบนขึ้นลำบากลำบน ไม่ขึ้นไม่ลงไปอย่างนี้ เราก็ตะเกียกตะกาย เพราะหัวใจไม่มีคำว่าชราภาพไม่มีวัยเหมือนสังขารของเรา เราไปอย่างนี้ตลอดเวลาทำประโยชน์ให้โลก

ทุกสิ่งทุกอย่างในวัดนี้ได้มาเพื่อโลกทั้งนั้นไม่ได้เพื่อเรา พูดได้อย่างเต็มปากทีเดียวว่าเราไม่เอาอะไร สามแดนโลกธาตุนี้เราปล่อยวางโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรติดหัวใจเลย เหลือก็เหลือตั้งแต่สิ่งที่เราปฏิบัติมาได้เต็มกำลังความสามารถของเรา ได้สนองความต้องการของเราให้สมมรรคสมผลคือความบริสุทธิ์ใจ เราพูดจริงๆ ว่าบริสุทธิ์สุดส่วนในหัวใจดวงนี้ ไม่มีอะไรที่จะชำระสะสางอีกแล้วเรื่องทั้งหลายที่เป็นเรื่องของกิเลสที่จะมาแผ้วพานในหัวใจเรานี้ไม่มี มีแต่ธรรมชาติบรมสุขล้วนๆ เต็มหัวใจ นี้เราอุตส่าห์พยายามเมตตาสงสารโลก แล้วตะเกียกตะกายไปทุกแง่ทุกมุมทุกแห่งทุกหนนี้เพื่อประโยชน์แก่โลก

เพราะฉะนั้นการทำลายความสามัคคีดีงามต่อกันนี้ จึงเท่ากับเอามีดมาตัดแข้งตัดขาตัวเองให้ขาดตรงนั้นให้วิการตรงนี้ให้เสียหายไปทั้งคน สุดท้ายคนคนนั้นก็ตาย นี่ละการทำลาย มากกว่านั้นก็ฉิบหายทั่วประเทศเขตแดน เพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็เหมือนอย่างหนามปักเรานี้เป็นยังไงเจ็บไหม เดินเขยกๆ ทั้งๆ ที่ธรรมดาเดินไปเป็นธรรมดาไม่โขยกเขยก พอหนามยอกเข้าไปปั๊บหนามเดียวเท่านั้นไม่สองหนามสามหนามก็คืบคลานไปแล้ว อันนี้เรื่องอุปสรรคเหล่านี้เหมือนขวากเหมือนหนามมาทิ่มแทงชาติไทยของเรา จึงไม่ควรจะให้มี ให้มีแต่ความพร้องเพรียงสามัคคีกันโดยถ่ายเดียว

ให้เห็นเจตนาหลวงตาว่ามีต่อพี่น้องชาวไทยเราตลอดสัตว์ทั้งหลายเต็มหัวใจ เราไม่เคยมีพิษมีภัยต่อผู้ใด การแสดงออกจะมีหนักมีเบาก็เหมือนเขาทำงาน ควรถากก็ถากควรฟันก็ฟันควรไสก็ไส เป็นธรรมดาของการทำงานเพื่อประโยชน์แก่งานนั้น อันนี้การทำงานต่อโลกเพื่อประโยชน์แก่โลกก็มีแง่หนักเบาเป็นธรรมดา บางทีก็มีลักษณะนิ่มนวลอ่อนหวาน บางทีก็มีดุมีด่า บางทีก็มีเด็ดขาด เพื่อผลประโยชน์ตามส่วนแห่งความต้องการของผู้ทำงานเพื่อผลประโยชน์นั้นเอง เราทำอย่างนี้ต่อโลก จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นใจ อย่าพากันร้าวรานซึ่งกันและกัน

จิตใจถ้าลงได้ต่ำทรามลงไปเท่าไร มีแต่การร้าวรานทำลายตัวเองและผู้อื่นไปโดยลำดับ ให้ฟื้นจิตขึ้นมาสู่ธรรม แล้วจะได้เห็นชั่วเป็นชั่วเห็นดีเป็นดี แล้วจะได้ปล่อยปละละเลยสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่ดีงาม บ้านเมืองของเราก็จะมีความสงบร่มเย็นโดยทั่วกัน วันนี้จึงขอบิณฑบาตกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย อย่าพากันทำในสิ่งไม่ดี เอาละเท่านี้ละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก