เทศน์อบรมคณะสงฆ์จังหวัดอุดรธานี เข้ากราบคารวะ
ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
เก่งกว่าศาสดาไปไหน
วันนี้หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ของบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั้งพระทั้งประชาชน เป็นมงคลมหามงคลอย่างยิ่ง ใจก็คิดเกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรม ตามองเห็นสิ่งที่เป็นมงคล เช่น ประชาชนหรือพระทั้งหลาย ก็จะได้เห็นว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะผู้สงบ กาย วาจา ใจ จากบาปกรรมทั้งหลายนั้นเป็นมงคลอันสูงสุด หูก็ได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ผิดกับวันทั้งหลายอยู่มากทีเดียว หูได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมตลอด แล้วมาพูดกันนี้ส่วนมากมีแต่พูดเป็นสิริมงคลเข้าสู่จิตใจ
จมูกก็ได้ดมกลิ่นศีลธรรม ดอกไม้ ธูปเทียนนำมาบูชา ดมกลิ่นก็หอม บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็มีอานิสงส์มาก ลิ้นสัมผัสสัมพันธ์อะไรในสถานที่นี่ก็เป็นมงคล ใครจะเอาเหล้าเอายามากินกันในสถานที่เช่นนี้ ก็เอาแต่ของดิบของดีที่โลกนิยมมากินกันเท่านั้นเอง กายนั่งตรงไหนก็นั่งในสถานที่เป็นมงคล ใจเป็นความคิดที่ถูกต้องดีงามอยู่แล้วในอรรถในธรรมทั้งหลายก็เป็นสิริมงคล วันนี้กาย วาจา ใจ ของพี่น้องทั้งหลาย ทั้งฝ่ายพระและฆราวาส นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง
ถ้าคนเราเฉพาะเมืองไทยเรา ซึ่งเป็นเมืองพุทธ มีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรม ยินดีในศีลในธรรมโดยทั่วกันแล้ว โลกแห่งเมืองไทยของเรานี้จะสงบร่มเย็นมากมาย ผิดกับกิเลสออกเพ่นพ่านจากกาย วาจา ใจ ของแต่ละคนเป็นไหนๆ เพราะสิ่งเหล่านี้แสดงออกเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นพิษเป็นภัย เป็นมหาภัยต่อกัน ไม่มีใครพึงปรารถนา แต่ชอบนำไปใช้เผากัน วันนี้ เรื่องเช่นนี้ไม่มีในวัด ในสถานที่นี่
เราอยากพบอยากเห็นพี่น้องทั้งหลาย มีความสนใจใคร่อรรถใคร่ธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์กาลไหนๆ คำว่าธรรมนี้โลกยอมรับกัน พอว่าธรรมเท่านั้น ใจยุบลงทันที ไม่เผยอเย่อหยิ่งเหมือนสิ่งที่เป็นภัยมากระทบกัน เป็นฟืนกับไฟเผากันขึ้นมาทันที นี่ศีลธรรมทุกคนต่างมีในใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นภาชนะสำหรับรับอรรถรับธรรมในเวลาเช่นนี้ เวลามาพบมาเจอกันทุกสิ่งทุกอย่างก็แสดงความเป็นมงคลต่อกัน เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นมงคลอันสูงสุดสำหรับวันนี้
ท่านว่า สมณานญฺจ ทสฺสนํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การพบเห็นสมณะผู้สงบกายวาจาใจ เป็นมงคลอันสูงสุด ย่นเข้ามาภายในจิตใจของเรา การอบรมจิตใจได้พบเห็นใจของตนที่มีความสงบร่มเย็น เพียงเท่านั้นก็เย็นฉ่ำไปหมดแล้วภายในใจ ถ้ายิ่งได้รับการอบรมให้มากเท่าไร ใจดวงนี้จะแสดงฤทธาศักดานุภาพแห่งความสงบร่มเย็นแก่โลกได้กว้างขวางมากมายเพียงนั้นทีเดียว เราจึงควรได้รับการอบรม
ทุกๆ คนที่เกิดมานี้ เราไม่ได้เกิดมาด้วยความตั้งใจของเรา การบังคับบัญชา การบ่งบอกของเรา ว่าเราต้องไปเกิดในสถานที่เช่นนั้นเช่นนี้ การบ่งบอกเหล่านี้ไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเต็มตัว คือกรรมที่อยู่เหนือเรา ที่ทำกันทุกคนๆ ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กลางๆ นี่ละทำด้วยกันทุกคน ทำดีเป็นผลดีขึ้นมาแก่เรา ทำชั่วเป็นผลชั่วขึ้นมาแก่เรา ทำดีซ้ำๆ ซากๆ ผลดีเพิ่มพูนขึ้นมา เป็นความสงบร่มเย็นภายในใจของเรา ทำชั่วซ้ำๆ ซากๆ ก็เป็นการสั่งสมฟืนไฟขึ้นมาเผาตัวเอง เผาแล้วเผาเล่า เผาไม่หยุดไม่ถอย คนหนึ่งไม่ได้ใหญ่โตเท่าภูเขา ย่อมถูกเผาเป็นเถ้าเป็นถ่านไปด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่วนั้นแล ท่านจึงสอนให้ระวังกรรม
ในพุทธศาสนานี้ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ทรงสอนสัตว์โลกให้เคารพกรรมเสมอ เพราะกรรมนี้เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านแสดงไว้เป็นบทบาลีว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดจะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้เลย เพราะฉะนั้นเราทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วนี้ จงระวังสำรวมตัวเอง อย่าให้ใจถูกกิเลสฉุดลากหลวมเข้าไปสู่กรรมชั่ว แล้วสร้างตั้งแต่ความชั่วขึ้นมา แล้วก็เผาตัวเอง เริ่มต้นตั้งแต่เริ่มสร้าง ก็เริ่มเป็นความชั่วขึ้นมาที่ตัวของเรา วันนี้ก็เผาวันนี้ก็สร้าง สร้างความชั่ว วันนี้ก็เผาวันหน้าก็สร้าง วันหน้าก็เผา สร้างตั้งแต่วันเกิด จนกระทั่งถึงวันตาย สร้างความชั่วทั้งหลาย คนทั้งคนมองไม่เห็นตัวเลย เห็นแต่ภูเขาแห่งความชั่ว เต็มตัวของคนๆ นั้น
ทีนี้ตรงกันข้ามผู้สร้างแต่ความดี วันนี้ก็สร้างวันหน้าก็สร้าง วันไหนก็สร้าง สร้างตั้งแต่ความดีงาม ความดีนี้ก็เพิ่มพูนขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เป็นกองมหาสมบัติในบุคคลคนนั้น ภูเขาทั้งลูกนี่น้อยไป กองแห่งสมบัติคือความดีงามของผู้สร้างความดีนั้น ยังยิ่งใหญ่กว่านี้ไปอีกมากมายก่ายกอง ชีวิตจิตใจของผู้มีความดีงาม มีความสดชื่น ทั้งภพนี้คือชาตินี้ และภพหน้าชาติหน้าต่อๆ ไป มีตั้งแต่ความดีงามเต็มตัวของเรา อยู่ที่ไหนมีแต่ความเป็นมงคล นี่คือผู้สร้างความดี ผลความดีผลิตให้เป็นอย่างนี้แหละ
ส่วนความชั่วสร้างเท่าไร ก็ผลิตฟืนผลิตไฟขึ้นมาเผาตัว ท่านจึงเรียกว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดเหนือกรรมดีกรรมชั่วไปได้ เราทุกคนตกอยู่ในอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วทั้งสอง จงพากันเลือกเฟ้นแต่กรรมที่ดี อย่าไปทำกรรมชั่ว จะทำตัวให้เสียหายเป็นลำดับลำดาไป ให้สร้างตั้งแต่ความดีงาม
ธรรมดาเราจะสร้างความดี มารคือกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรานั้นแหละ คอยที่จะมากีดกันการสร้างความดีของเราทุกวิถีทาง จะไปมันก็ไม่ให้ไป จะคิดมันก็ไม่ให้คิด จะพูดมันก็ไม่ให้พูด จะทำมันก็ไม่ให้ทำ ขึ้นชื่อว่าความดีทั้งหลายแล้วไม่ให้ทำทั้งนั้น แต่ความชั่วนี้เปิดทางไว้ตลอด ตั้งแต่ตื่นนอน เปิดประตูแห่งความชั่ว ให้ทำตลอดจนกระทั่งหลับ เปิดตั้งแต่ชาตินี้จนกระทั่งถึงวันตาย มีตั้งแต่ความชั่วเต็มเนื้อเต็มตัว
นรกนั้นไม่ต้องถาม เพราะนรกนั้นเป็นผล เป็นสถานที่อยู่ของคนทำชั่ว เช่นเดียวกับเรือนจำเป็นสถานที่อยู่ของคนที่ถูกคุมขังที่เขาเรียกว่านักโทษ เต็มไปหมดนักโทษในเรือนจำ เราไปถามดูซิ หน้าไหนที่ไปเสวยความสุขความสบาย เป็นอิสระอยู่ในเรือนจำนั้นไม่มี มีแต่ผู้จมอยู่ในกองทุกข์ ขาดความนับถือ โลกเขาไม่ยอมรับ โลกเขาติฉินนินทา โลกเขาสาปแช่งคนประเภทนั้น พวกสัตว์นรกทั้งหลายนี้ กรรมดีสาปแช่ง กรรมชั่วยอมรับเสวยกรรมสำหรับผู้ทำ ให้พากันระมัดระวัง
คำว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดถึงเปรตผีประเภทต่างๆ นับจำนวนไม่ได้นี้ ไม่ใช่คนตาบอดหูหนวกมาสั่งสอนโลก มีตนมีตัว มีหลักมีเกณฑ์ คือ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ แนะนำสั่งสอน แล้วก็วางร่องรอยคือแนวทางอันถูกต้องดีงามไว้ให้สัตว์ทั้งหลายไต่เต้าหรือดำเนินตาม ไม่ใช่คนตาบอดหูหนวก ท่านเป็นคนตาดีหูดี ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไปได้เลย จึงเรียกว่าศาสดาองค์เอกแต่ละพระองค์ แล้วการที่จะอุบัติขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าได้นั้น เป็นสิ่งที่อุบัติยากมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น คนอยู่ในศาลาของเรามีจำนวนเท่าไร ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าที่จะได้นี้จะมีรายหนึ่งหรือไม่มีเลย ส่วนมากจะไม่มีเลย
ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระมารดาชั้นดาวดึงส์ เสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์มาสู่แดนมนุษย์ของเรา ทรงเปิดฤทธาศักดานุภาพแห่งธรรม ให้สมภูมิของศาสดาองค์เอก ให้โลกได้เห็นทั่วถึงกัน ทั้งแดนนรกทุกขุมแห่งนรก ที่สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ ได้รับความทุกข์ความทรมานตามอำนาจแห่งกรรมของตน ขึ้นมาหาแดนเปรตแดนผี ขึ้นไปสวรรค์ พรหมโลก ทั่วไปหมด ให้มองเห็นกัน พวกสัตว์นรกกับพวกเทวดา อินทร์ พรหม ให้มองเห็นกัน พร้อมทั้งกรรมชั่วกรรมดีที่ตนเสวย ให้ได้รู้ให้เห็นกันอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
สัตว์ทั้งหลายที่ได้เห็นกันอย่างเปิดหน้าเปิดตาที่ไม่เคยมีมาเลย แต่มีมาเพราะอำนาจแห่งพระบารมีของพระพุทธเจ้า ให้สัตว์โลกทั้งหลายทั่วดินแดน ได้พบได้เห็นกันต่อหน้าต่อตาในเวลานั้น เกิดความยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน แล้วต่างคนต่างปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแน่นไปหมดที่ได้เห็นได้ยินพระพุทธเจ้าในเวลานั้น มีความซาบซึ้งตื้นอกตันใจขึ้นในทางที่ดี ใครก็จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า โลกจะได้เห็นความอัศจรรย์จากพระพุทธเจ้า คือได้เห็นความอัศจรรย์จากเรา เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว โลกจะได้เห็นเป็นความอัศจรรย์ จึงปรารถนาเป็นพุทธภูมิกันทั่วหน้า
พระองค์ทรงยิ้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสออกมาว่า นี่ละขึ้นชื่อว่าความดี ไม่ว่าสัตว์โลกรายใด มีความกระหยิ่มยิ้มย่อง อยากพบอยากเห็นอยากกราบไหว้บูชา อยากเป็นเจ้าของสมบัติที่เลิศเลอนั้นเสียเอง เช่น อยากเป็นพระพุทธเจ้า ต่างคนต่างปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อทรงยิ้มพระโอษฐ์แล้วก็รับส่งออกมาว่า คนทั้งหลายที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านี้จำนวนมากขนาดไหน อย่างมากก็มีรายหนึ่งหรือสองรายเพียงเท่านั้น จะผ่านพ้นอุปสรรคของกิเลสที่มันกีดขวางทางเดินเพื่อบำเพ็ญความเป็นพระพุทธเจ้าไปได้ นอกนั้นจะจมไปตามอำนาจของกิเลสทั้งนั้นแหละ
ฟังซิพวกเราทั้งหลาย นี่ละเรื่องของกิเลสมันหนาแน่น พออำนาจของธรรมเปิดทางชั่วระยะ เป็นฤทธาศักดานุภาพของศาสดา เปิดให้สัตว์โลกทั้งหลายได้เห็นกันทั่วหน้า ตั้งแต่แดนนรกขึ้นถึงแดนสวรรค์ ได้เห็นกันหายสงสัยว่า นรก สวรรค์ พรหมโลก ประชาชนคนธรรมดาเดินดินนี้มีหรือไม่มี ได้เห็นทั่วหน้ากันแล้วหายสงสัย ต่างคนต่างมีความกระหยิ่มที่จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และปรารถนาที่จะสร้างความดีต่อไป แม้เช่นนั้นก็ยังเล็ดลอดออกจากปากแห่งมาร คือมหามารได้แก่กิเลส อันเป็นกองทัพใหญ่อยู่บนหัวใจของสัตว์ทั้งหลายไปได้ไม่กี่ราย ให้ท่านทั้งหลายคิดให้ดี
ทีนี้ย่นเข้ามาหาบรรดาพี่น้องเรา ทั้งเป็นฝ่ายพระและเป็นฝ่ายฆราวาส ที่สร้างความดีหรือมาฟังเทศน์อยู่เวลานี้ จิตของเราใฝ่ฝันในทางที่ดีงาม ใฝ่ฝันในเพศของตน เช่น พระนี้ท่านบวชมาแล้ว ว่ามีศีล ๒๒๗ เรามีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อศีลของเรา ศีลของเราบริบูรณ์หรือบกพร่องประการใด หรือขาดทะลุไปอย่างไรบ้าง ต้องย้อนเข้ามาดูตัวของเรา ดูรายไหนก็เหมือนกัน เขานุ่งผ้าขาด นี่ละฟังซิ นี่ท่านให้ย้อนเข้ามาดูตัวของเรา มีความดีงามประการใดบ้างเต็มอยู่ในตัวของเรา
ยกตัวอย่างเอาหลวงตาบัวนี้เป็นเกณฑ์ในท่ามกลางแห่งสังคมอันนี้ว่า หลวงตาบัวดูศีลของตัวเป็นอย่างไร ดูสมาธิของตัวเป็นอย่างไร ดูปัญญา ดูวิมุตติหลุดพ้น ธรรมอันเลิศเลอของตัวเป็นอย่างไร มีหรือเปล่า ปัญหามาตั้งถามหลวงตานะ แล้วก็เหมือนกับตั้งถามทุกๆ ท่านที่เป็นนักบวชด้วยกัน ว่าพระก. พระข. ตลอดถึงพระค. พระง. เป็นร้อยๆ พันๆ เป็นอย่างไรศีลน่ะ ได้สำรวมได้ดูศีลของตนหรือเปล่า ดูสมาธิของตน ได้นั่งภาวนาพอทำใจให้สงบร่มเย็น เป็นทางก้าวเดินเข้าสู่สมาธิหรือเปล่า เป็นปัญญาความเฉลียวฉลาดแก้กิเลสได้มากน้อยเพียงไรหรือเปล่า หรือเป็นอย่างไรจิตได้หลุดพ้นแล้วยังอย่างนี้
ให้ถามทุกคนสำหรับพระเราที่บวชมา ถามองค์ไหน ที่นี่ก็จะเอาหลวงตาบัวตอบอีกเหมือนกัน ถามองค์ไหนก็เป็นแบบเดียวกัน เอาหลวงตาบัวเป็นที่ตั้ง หลวงตาบัวเป็นอย่างไร ศีลบริสุทธิ์ดีเหมือนเขาครองผ้า ครองจีวร นุ่งสบง ครองจีวรสังฆาฏิใหม่เอี่ยมอยู่ตลอด ไม่มีมลทินแปดเปื้อนในสบง ในจีวร ในสังฆาฏิ หรือมีมูตรมีคูถ มีขี้ติดสบงจีวร แล้วก็ติดเข้าไปหาตัวเอง ติดพันเข้าไปถึงใจตัวเองผู้กำลังครองจีวรอยู่นั้นเป็นอย่างไร หลวงตาบัวจะต้องได้ตอบก่อนเพื่อนว่า หลวงตาบัวนี้นุ่งสบงขาด ใครมองมาก็เห็นหำเลย เพราะหลวงตาบัวศีลขาด องค์นั้นล่ะศีลด่างพร้อยไม่เห็นหำก็เห็นโค็ย มองไปขาดๆ วิ่นๆ มองดูข้างหน้าก็ตาม มองดูข้างหลังก็ตาม มีแต่สบงขาดสบงวิ่น ไม่มีสบงดี จีวรดี สังฆาฯดีมาครอง สมความเป็นพระสมบูรณ์แบบด้วยศีลด้วยธรรมเลย
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เป็นอย่างไรศาสนาพุทธเรา มองดูพระก็ขาดๆ วิ่นๆ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ด้วยวิชชาวิมุตติหลุดพ้น ซึ่งเทียบกันได้กับสบงขาด จีวรขาด สังฆาฏิขาด ขาดๆ วิ่นๆ มองหาตัวของพระ มองเห็นแต่หำแต่โค็ย ไม่มองเห็นศีลเห็นธรรม คือความบริสุทธิ์ของศีลของธรรมอยู่ภายในตัวเองบ้างเลย มันไม่น่าอายหรือ
เรามานั่งอยู่ที่ศาลาวัดป่าบ้านตาด กว้างขวางขนาดไหนศาลาหลังนี้ ความกว้างศาลาหลังนี้ ๑๕ เมตร ความยาว ๖๐ เมตร ทั้งประชาชนทั้งพระเณร นั่งนี้เต็มหมด ยังเหลือออกไปข้างนอก ยังมากกว่าที่เต็มอยู่ในศาลานี้อีก เหล่านี้ต้องขออภัยนะ พูดนี่หลงหน้าหลงหลัง จับติดจับต่อกันไม่ได้ นี่พูดถึงเรื่องจำนวนมากนี้ ก็มาลงได้แต่ว่า มีแต่พวกสบงจีวรขาด หำขาด หาศีลหาธรรมอันดีงามไม่มีในตนเลย อย่างนี้เราสลดสังเวชไหม พิจารณาซิ
ดูองค์ไหนก็ศีลแทบไม่มีในตัวพระเรา ไม่สนใจในการรักษาศีล ศีลว่า ๒๒๗ นั้นน้อยไปมากกว่านั้นอีก แต่ไม่ว่าศีลข้อใดมีแต่ความด่างพร้อยขาดๆ วิ่นๆ ไปตามๆ กันหมดเลย ดูองค์นี้ก็แบบเดียวกัน ดูองค์นั้นแบบเดียวกัน พระที่มานี้จำนวนมากน้อยเพียงไร มีแต่พวกพระสบงจีวรขาด ปล่อยหำมาด้วยกัน แล้วก็จะปล่อยหำไป ไม่มีความรู้สึกตนสำรวมระวัง ให้เป็นความดีต่อไป ทำให้ศีลบริสุทธิ์เพื่อสมาธิต่อไป ปัญญาต่อไป เพื่อวิมุตติหลุดพ้นต่อไปเลยแล้วศาสนาก็มีแต่คัมภีร์
คัมภีร์ท่านเขียนไว้เต็มบทเต็มบาททุกอย่าง แต่เราผู้ครองคัมภีร์ อ่านคัมภีร์จากศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า กลายเป็นพระปลอมไปหมด ปลอมด้วยศีล ศีลไม่มี แต่เอาผ้าเหลืองมาครองไว้ แล้วดีไม่ดี เบ่งในตัวเองด้วย ใครมองมาเห็นถ้าเขาจะตำหนิติเตียนก็ว่า ปิดบ้างหำท่านนั่นน่ะ จีวรสบงขาดท่านเห็นไหม อาตมาเป็นพระ นู่นน่ะฟังซิ มันไม่ได้ดูหำของตัวเองเลย อาตมาเป็นพระ อาตมาเป็นสมุห์ ขึ้นต้นตั้งแต่อาตมาบวชใหม่ จะตั้งเป็นสมุห์ใบฎีกาในวันพรุ่งนี้ อาตมาเป็นพระครู อาตมาเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ขึ้นเป็นชั้นๆ อาตมาเป็นสมเด็จไปเลย มันให้มองดูตั้งแต่ยศถาบรรดาศักดิ์ลมๆ แล้งๆ มันไม่ให้มองดูหำของมัน คือศีลธรรมที่อยู่ในตัวนั้นบ้างเลย
ทีนี้ศีลธรรมไม่มีในตัว มันก็เป็นพระเปลือยกาย มองเห็นแต่หำแต่โค็ยไปหมดดูไม่ได้ พระไม่มีศีลมีธรรม เป็นพระเปลือยเนื้อเปลือยตัวเปลือยกาย มองไปที่ไหนใครดูได้เมื่อไรถ้าเป็นอย่างนั้น อันนี้พระเรามีตั้งแต่ผ้าเหลืองครองตัว แล้วมองดูศีลดูธรรมประจำตนไม่มี อย่างนี้เป็นสง่าราศีที่ตรงไหน นี่เป็นข้อเตือนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ในนามว่าให้หลวงตาบัวเป็นผู้แนะนำอบรมในสมาคมวันนี้ จึงได้นำธรรมนี้ฝากบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ให้พิจารณาเรื่องอรรถเรื่องธรรม ให้เป็นคนสะอาด พระก็ให้เป็นพระที่สะอาดสมบูรณ์ด้วยศีล อยู่ที่ไหนเย็นหมด พระที่มีศีลสมบูรณ์เย็นฉ่ำภายในใจ
นอกจากนั้นยังมีสมถธรรม คือความสงบใจเกิดจากการภาวนา ภาวนาจะเป็นธรรมบทใดก็ตาม ท่านเรียกว่าการอบรมใจให้สงบทั้งนั้น ด้วยบทธรรมต่างๆ เช่น พุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง อานาปานสติบ้าง มรณัสสติบ้าง ตามแต่จริตนิสัยชอบแล้วนำธรรมเหล่านั้นเข้ามาอบรมจิตใจตนเองให้เป็นความสงบ ศีลก็ชุ่มเย็นบริสุทธิ์บริบูรณ์ภายในตัวของเรา ไม่ได้ล่วงเกินศีล ข้ามเกินเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป แม้ศีลข้อหนึ่งก็ไม่เคยทำลาย เรียกว่าไม่เคยเหยียบหัวพระพุทธเจ้า มีแต่เทิดทูนท่านด้วยความสำรวมระวัง รักษาศีลรักษาธรรมของตนให้บริสุทธิ์ตลอดไป นี่เรียกว่าพระที่สมบูรณ์แบบ
จากนั้นการบำเพ็ญภาวนาเป็นงานประจำของพระ ไม่เรียกว่าพระบ้าน พระป่า แต่ก่อนท่านว่าอรัญวาสี-คามวาสี คามวาสีคือแดนบ้าน อยู่ใกล้บ้านก็มี ขั้นที่เรียกว่าเป็นแดนบ้านแดนป่านั้นท่านเรียกว่า อรัญวาสี คือห่างจากหมู่บ้านไป ๑ กิโล กิโลหนึ่งมีเท่าไร นั่นละวัดตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไป ๑ กิโลขึ้นไป ท่านเรียกว่า อรัญวาสี ผู้ที่อยู่ป่าเป็นปกติ คามวาสี ที่ตั้งของวัดใกล้กว่านั้นลงไปๆ ขาดกิโลลงไปโดยลำดับ จนกระทั่งตั้งอยู่กลางบ้าน ท่านเรียกว่าคามวาสี
พระเหล่านี้ไม่นิยมว่า พระบ้านพระป่า เป็นพระลูกศิษย์ตถาคต ผู้บวชมาเพื่อมุ่งหวังมรรคผลนิพพานด้วยกัน มรรคผลนิพพานจะได้จากอันใด ก็ได้จากแนวทาง คือพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงชี้แจงแสดงบอกไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ให้พากันดำเนิน เราก็ดำเนินตามนั้น ศีลเราก็บริสุทธิ์ การอบรมใจของเรา จิตตภาวนากับเรา ซึ่งเป็นพระปล่อยวางกันไม่ได้ เพราะเป็นงานจำเป็นของพระ คือ การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานของพระโดยตรง ทั้งแดนบ้านแดนป่า เป็นความจำเป็นเสมอกัน
ต่างคนต่างอบรม ผู้อยู่แดนบ้านอยู่แดนป่า ก็มีความสงบเย็นใจ ทรงไว้ซึ่งมรรคซึ่งผลซึ่งนิพพานได้เช่นเดียวกันหมด เราจะเป็นผู้สง่างามในตัวของเรา เราอยู่ในวัดป่า แดนแห่งป่านั้นเป็นป่าศีลป่าธรรม ป่ามรรคผลนิพพาน อยู่แดนบ้านก็เป็นบ้านแห่งศีลแห่งธรรม แห่งมรรคผลนิพพาน แล้วเป็นความสง่าราศีทั้งแดนป่าแดนบ้าน จากศีลธรรมของผู้ปฏิบัติดีอยู่ในที่ทั้งสองแห่งนี้ด้วยกัน ก็เป็นสรณะของประชาชนของโลกทั้งหลายได้เป็นอย่างดี สมนามว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
เราขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยความฝากเป็นฝากตาย ก็สมชื่อสมนามที่เขาเปล่งวาจาอุทานออกมาจากทางจิตใจ กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยเศียรเกล้าว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสิริมงคลแก่ผู้ระลึกถึง เราผู้เป็นองค์สรณะเสียเองก็สร้างสรณะ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติหลุดพ้น เต็มอยู่ในหัวใจของเรา เราก็มีสรณะอันเอกอุเต็มหัวใจ สมควรที่จะรับการต้อนรับบรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่เข้ามากราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ ทำบุญให้ทานด้วยทักษิณาทานต่างๆ ไม่ทำทักษิณาทานของเขาให้ด้อยไป หรือทำจิตใจของเขาที่มาให้ทานแก่เนื้อนาบุญของโลกให้ด้อยลงไป เกิดความอับเฉาแทนที่ขึ้นมาอย่างนั้นไม่มี เป็นความชื่นอกชื่นใจสำหรับผู้นำไทยทานมาให้ทานด้วยความเต็มใจ ก่อนให้ก็ชื่นบาน กำลังให้อยู่ก็ชื่นบาน ให้ไปแล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดไปมีผลมาก
เราที่ได้อาศัยประชาชนเขาเลี้ยงอัตภาพ อัตภาพของเราทั้งร่างกายนี้ก็มีชีวิตเป็นอยู่จากประชาชน ทางจิตใจของเราก็เป็นอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยมรรคผลนิพพาน เรามีความสงบร่มเย็นภายนอกภายใน นี่สมชื่อสมนามว่า เราเข้ามาบวชในแดนพุทธศาสนา จึงขอให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วกัน เฉพาะอย่างยิ่งพระเณรเป็นแนวหน้า พระลูกพระหลานให้พากันจำเอาไว้
วันนี้เป็นวันสำคัญที่จะแสดง ความเสนียดจัญไรและความเป็นมงคล ให้แก่พระลูกพระหลานทั้งหลายฟัง สิ่งที่เป็นภัยต่อพระเณรของเราตลอดมานั้นคืออะไร พระพุทธเจ้าเวลาท่านทรงอุปสมบทบวชให้พระทั้งหลายแล้ว ท่านสั่งเสียพระทั้งหลาย รับสั่งให้พระทั้งหลายไปอยู่ตามป่า เช่น รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย.บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่รุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การบำเพ็ญเพียรเพื่อชำระกิเลสได้ดี จงอุตส่าห์พยายามอยู่ และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่คือพระโอวาทสั่งสอนพระ ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ
ทีนี้เราก็ให้เป็นผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติศีลธรรม ภาวนาเป็นความจำเป็นของเรา เราจะได้ธรรมสมบัติเข้าสู่ใจ เรื่องโลกสมบัติมีอยู่ทั่วไป สำหรับธรรมสมบัตินี้คนจะมีน้อยมาก และต้องขออภัยด้วยนะ เทศน์นี้ขาดวรรคขาดตอน เพราะความจำตัดขาดๆ ไม่ค่อยสืบเนื่องกัน ตรงไหนที่ขาดก็พึงทราบว่านั่นสัญญาตัดขาดไปแล้ว กรุณาทราบตามนี้ เทศน์มานี้ก็ขาดไปเรื่อยๆ กรุณาจำเอา
เกี่ยวกับเรื่องพระที่อยู่ในป่า เพื่อเสาะแสวงหาคุณธรรมอันประเสริฐเลิศเลอเข้ามาครองใจ เป็นสรณะของโลก ใครตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ต้องพูดถึง เกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ขึ้นต้นว่า อกาลิโก ธรรมนี้ให้ผลตลอดเวลา ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาใดมาเป็นอุปสรรคได้ กิเลสก็เป็นอกาลิโกเช่นเดียวกัน ใครสร้างกิเลสสร้างได้ทุกเวล่ำเวลา เป็นกิเลสเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นบาปเป็นกรรมเผาตัวเองได้ทุกเวล่ำเวลา จึงพากันระมัดระวัง สร้างความดีงามก็เหมือนกัน พระเราอย่าอยู่นอนใจ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ตะกี้นี้พูดถึงเรื่องสิ่งที่เป็นภัย นี่ระลึกได้นะ ไม่งั้นมันจะเตลิดไปอีกแล้ว ท่านสอนว่าสิ่งที่เป็นภัย แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนสิ่งที่เป็นคุณมหาคุณไว้ก่อน เช่น บวชแล้วให้อยู่ในป่าในเขาอย่างนั้น ตามเพศของพระ หน้าที่ของพระ งานของพระ ให้บำเพ็ญอย่างนั้น สิ่งที่เป็นภัยต่อพระตั้งแต่กาลไหนๆ มาปัจจุบันนี้ ก็คือเรื่องโลกเรื่องกิเลสนั่นละ ไม่ใช่เรื่องอะไร กิเลสเป็นข้าศึกกับธรรมตลอดมา ไม่เคยเป็นคุณต่อกัน เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนไว้ว่า สิ่งที่เป็นภัยคืออะไรปัจจุบันนี้ ที่เราเห็นประจักษ์อยู่เวลานี้คืออะไร สิ่งที่เป็นภัยต่อพระเรานี้คืออะไร
ท่านสอนให้เข้าอยู่ในป่า เพื่อตัดสัญญาอารมณ์ทั้งหลายให้น้อยลงๆ เพราะตามธรรมดาต่างคนต่างสั่งสมอารมณ์ที่เป็นกิเลสเต็มหัวใจอยู่แล้ว ทั้งพระทั้งฆราวาสมีเต็มอยู่ด้วยกัน ด้วยอารมณ์ของกิเลสอันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตน ท่านจึงประกาศสอนภัยของกิเลสคืออะไรบ้างสำหรับพระเรา เราจะรักษาอย่างไร ภัยคืออะไร ที่จะมาเผาไหม้เรานั่นน่ะ ภัยคืออะไร
นี่จะบอกสิ่งที่เป็นภัยว่า หนังสือพิมพ์หนึ่ง นี่คือข่าวคราวของโลกชาวโลกีย์สกปรกรกรุงรัง ไม่ใช่เป็นข่าวคราวของอรรถของธรรม ที่พระจะสนใจนำมาอ่านมาดู มาคิดมาตวงซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสไปล้วนๆ ห่างเหินจากอรรถจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเป็นลำดับจนไกลกันลึกลับ กลายเป็นพระหน้าด้านสันดานหยาบ มองเห็นหนังสือพิมพ์นี้เป็นกล้วยหอมกล้วยไข่ไปหมดแล้วเวลานี้ ให้พากันทราบ นี่คือภัยอันดับแรก หนังสือพิมพ์
จากนั้นก็วิทยุ ประกาศข่าวคราวของโลกโลกีย์ที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันแทบทั้งนั้นทีเดียว ที่จะประกาศข่าวคราวของอรรถของธรรมมีน้อยมาก ไม่ค่อยมี อันนี้ก็เป็นภัย แล้วก็โทรทัศน์ วิดีโอ นี้หนักเข้าไปนะ แล้วก็โทรศัพท์มือถือ นี่ละภัยของพระ ให้ท่านทั้งหลายทราบไว้ทุกคน ที่กล่าวมาเหล่านี้ ที่รุนแรงที่สุดก็คือโทรศัพท์มือถือ ได้จับเข้าไปเท่านั้นแหละ คอขาดได้เลยไม่สงสัย จับโทรศัพท์มือถือไปแล้ว โทรศัพท์ไปหาอีสาวๆ อยู่ที่ไหน โทรศัพท์นัดกันเข้าห้องไหนหับไหน ที่แจ้งที่ลับจะอยู่ที่ไหน ทำกันเหมือนหมาก็ได้ นี่โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องประหารพระเราอย่างรุนแรงอย่างมากมาย
ขอให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ นี่ละคือมหาภัย ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไล่พระเข้าอยู่ในป่าในเขา กับเราเที่ยวสั่งสมหรือกว้านหาสิ่งเหล่านี้มาเผาตัวเองทั้งเป็น ทั้งๆ ที่เป็นพระอยู่นี้ ไม่สมควรอย่างยิ่งกับพระเรา ถ้าไม่ใช่พระสันดานหยาบ อย่าให้มีในวัดในวาของเรา ให้มีแต่เรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องการทำจิตใจให้มีความสงบร่มเย็น สิ่งที่จะได้รับก็คือ ตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา องค์นั้นสำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นสรณะของพวกเรา ท่านเรียกว่า เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ
ท่านเหล่านี้ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นี่ละ สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นั่นคือสาวกของพระพุทธเจ้า เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ เป็นผู้ควรแก่ทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาปัจจัยไทยทาน ที่ประชาชนทั้งหลายนำมากราบไหว้บูชา แล้วก็ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญใดที่จะเสมอเหมือนเนื้อนาบุญแห่งพระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นธรรมอัศจรรย์ขึ้นมา ซึ่งเป็นเหมือนกับสมบัติอันเลิศเลอ เป็นเนื้อนาบุญแก่สัตว์ทั้งหลาย ที่เขามาเกี่ยวข้องกราบไหว้บูชา ขอให้ทุกๆท่าน ได้ปฏิบัติตามนี้ นี่ละแนวทางของพระ
เราอย่าบวชมาแล้วเอาผ้าเหลืองคลุมหัว ตามองไปแต่ทางโลกทางสงสาร หูมองไปข้างนอก เราอยู่ในวัด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่งออกไปนอก เพื่อกิเลสสับเอาเผาเอาอยู่นี้ตลอดเวลา หามรรคผลนิพพานไม่ได้นะ แล้วก็ย้อนกลับมาให้กิเลสมันหลอก ย้อนบังคับกลับมาว่า เวลานี้ศาสนาไม่มีมรรคมีผล มรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ปี มรรคผลนิพพานไม่มี มันจะมีได้อย่างไร ก็หัวใจมันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันส่งออกไปข้างนอก เพื่อกิเลสตัดคอขาดสะบั้นๆ ไปทั่วโลกดินแดนให้เห็นอยู่กับตา แล้วมันจะเอามรรคผลนิพพานมาอวดโลกได้อย่างไร
ผู้ที่จะเอามรรคผลนิพพานมาอวดโลกได้นั้น ต้องอวดตัวเองเสียก่อน ให้ตัวเองได้รับความแปลกประหลาดอัศจรรย์จากการประพฤติปฏิบัติของตน เริ่มต้นตั้งแต่อบรมสมาธิภาวนา จิตใจทำอย่างไรจึงจะสงบ ธรรมดาของจิตนี้ลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ ในจิตของแต่ละบุคคลคนเดียวเท่านั้น เพราะความคึกความคะนองของจิตไม่มีประมาณ ไม่มีเฒ่ามีแก่ ไม่มีวัย มีแต่ความคึกความคะนอง แล้วเอาธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ มันแสดงเปลวออกไปทาง ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งล้วนแล้วแต่ไฟ น้ำดับไฟคือสติปัญญา หมุนติ้วเข้าไปด้วยจิตตภาวนา
เอ้า บังคับไม่ให้มันคิด มันจะคิดไปเรื่องโลกสงสาร มันคิดมาตั้งแต่วันเกิด มันเอาความอัศจรรย์อะไรให้เรา มันมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้เรา ทีนี้จะเอาน้ำดับไฟ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยน้ำดับไฟ สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยน้ำดับไฟ คือด้วยภาวนา ดับกิเลสทุกกองฉิบหายไปหมด เป็นศาสดาของโลก เป็นสรณะของโลกขึ้นมา เราจะเอาน้ำดับไฟให้เป็นสาระของตัวเองขึ้นมาภายในจิตใจของเรา แล้วก็ภาวนาพุทโธ
เอ้า ลองดูซิท่านทั้งหลายเป็นลูกชาวพุทธใครระลึกถึงพุทโธไหม ไม่มีใครจะระลึกเป็นส่วนมากนะ นี่ละเอาพุทโธไประลึก เอาพุทโธมาบริกรรมเวลาจะหลับจะนอน เวลาไปไหนพุทโธให้ติดเนื้อติดตัว เป็นคนมีสง่าราศี ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวไปเลยด้วยพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรือด้วยคำบริกรรมใดก็ตาม เหมือนเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าว แล้วมรรคผลนิพพานจะไปอยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจซึ่งมีธรรมเป็นน้ำดับไฟอยู่ในใจของเรา จิตไม่เคยสงบจะสงบขึ้นมาจากการภาวนา
การภาวนาเราเอาคำบริกรรมเสียก่อนนะ มานึกเฉยๆ ไม่ได้ เอาคำบริกรรมให้ติดกับจิตเสียก่อน แล้วเอาสติติดกับคำบริกรรมไม่ให้เผลอ ยิ่งเวลาภาวนาแล้วเผลอไปไม่ได้บอกงั้นเลย ตัดขาดสะบั้นไปเลยกับความเผลอ ไม่ให้เผลอ เอ้า จิตมันจะดีดดิ้นไปโลกไหนวะ ธรรมจะเอาไว้ไม่อยู่ไม่เคยมี ธรรมนี้ปราบได้ทั้งนั้นแหละ เอาธรรมนี้มาปราบความดีดความดิ้นของใจ แล้วก็สงบลงได้ด้วยสติ ด้วยคำบริกรรมภาวนาของเรา จากนั้นไปใจเมื่อได้มีการรักษาด้วยอรรถด้วยธรรม คือคำบริกรรมและสติกำกับเป็นต้นแล้วจะมีความสงบเย็น พอจิตมีความสงบเย็นลงไปแล้ว จะหยั่งเข้าไปหาสมาธิคือความสงบอย่างแน่นหนามั่นคง
พอจิตมีความสงบอย่างแน่นหนามั่นคงแล้ว เป็นโอกาสอันดีงามที่เราจะได้พินิจพิจารณาทางด้านปัญญา เพราะจิตอิ่มอารมณ์ เราจะพิจารณาทางด้านปัญญาได้ ถ้าจิตกำลังฟุ้งซ่านรำคาญ นำไปพิจารณาทางด้านปัญญาจะเป็นสัญญาอารมณ์ไปหมด จะไม่เป็นปัญญา แก้กิเลสไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเวลาจิตมีความสงบแล้วนั้นละ หลังจากนั้นนำจิตออกมาพิจารณาทางด้านปัญญา
ทีนี้ก็หมุนเข้าไปหา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของพระเราละ นี่มูลกรรมฐานเบื้องต้น เราเอากรรมฐานทั้งห้านี้จะเป็นบทใดก็ตาม เป็นคำบริกรรมภาวนาให้จิตอยู่กับกรรมฐานทั้งห้านี้บทใดก็ได้เสียก่อน ต่อจากนั้นไปจนจิตเรามีความสงบร่มเย็น อารมณ์ทั้งห้านี้กลายเป็นอารมณ์วิปัสสนา เกสาแยกออกไป ทั้งผมเขาผมเราทั่วโลกดินแดน โลมา นขา ทันตา ตโจ มีอยู่ด้วยกัน แล้วตโจหนังหุ้มห่อไปทั่วโลกดินแดน พอพิจารณาไปถึงหนังแล้ว ถลกหนังออกหมดแล้วคนมีที่ไหน ผู้หญิงไม่มี ผู้ชายไม่มี มีแต่ของปฏิกูลโสโครกแดงโร่ไปหมด เพียงเท่านี้ก็กระจายเข้าไปถึงภายในได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยลำดับลำดา เข้าไปในตับ ไต ไส้ พุง เป็นป่าช้าผีดิบไปหมด ในสายทางของการภาวนาด้วยปัญญา
นี่ละที่นี่ปัญญาออกก้าวเดิน แยกแยะสิ่งที่อยู่กับเราตั้งแต่วันเกิด มันไม่เคยเห็น แต่พอจิตมีความสงบแล้ว นำความสงบนี้ออกไปพิจารณาทางด้านปัญญา มันจะเห็นไปหมดในร่างกายของเรา ที่แบกศพทั้งเป็นมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ จะกระจายไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย แล้วกายเขากายเรา กายสัตว์โลกสงสารทั้งหลาย จะเป็นแบบเดียวกันนี้หมด เรียกว่าปัญญา
ให้พิจารณาทางด้านปัญญา จิตจะเบิกกว้างออกๆ เห็นภัยของกิเลสจะเริ่มเห็นตอนนี้ เห็นภัยของกิเลสตอนจิตฟุ้งซ่าน ก็เห็นในทางสมาธิ จิตไม่วุ่นวาย นี้อานิสงส์อันหนึ่ง แต่ที่จะมีอานิสงส์มากก็คือ ทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ออก พิจารณา อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า เหมือนเขาคราดนา คราดไปคราดมาจนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียดแล้วควรแก่การปักดำ เขาก็ปักดำ อันนี้เราพิจารณาทบทวนอยู่ จนกระทั่งจิตมีความชำนิชำนาญ พิจารณาอะไรมันจะแตกกระจายไปทันทีทันใด ตั้งขึ้นนี้แตกกระจัดกระจายให้เห็นทันใจๆ เรียกว่าปัญญาคล่องตัว นี่ละ พิจารณาอย่างนี้
ทีนี้กิเลสจะค่อยหลุดลอยไปตอนนี้ละ เรื่องสมาธินั้นเป็นแต่เพียงว่าตีกิเลสให้สงบเข้ามา ไม่ใช่ถอนกิเลสนะ ให้กิเลสสงบตัวเข้ามา ปัญญานี่คลี่คลายตีกิเลส ให้แตกกระจัดกระจายกลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นมาด้วยอำนาจของปัญญา ให้ท่านทั้งหลายนำไปพิจารณา
พระลูกพระหลานที่มาฟังวันนี้ไม่เคยภาวนาก็มี ให้ภาวนา หลวงตานี้ภาวนามาอย่างโชกโชน พูดได้เต็มปากในธรรมเหล่านี้หลวงตาครองไว้หมดแล้ว พูดให้ฟังอย่างชัดเจน การภาวนาเราเริ่มต้นตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาเรื่อยๆ จิตก็ค่อยสงบเย็นเข้าไป ตามทางที่อธิบายมาแล้วนี้ จนกลายเป็นสมาธิ ติดสมาธิแน่นหนามั่นคง ไม่อยากคิดอยากปรุงอะไรเป็นเรื่องรำคาญใจ แต่ก่อนไม่คิดไม่ปรุงไม่ได้อกมันจะแตก มันอยากคิดอยากปรุง พอสมาธิทับหัวมันลงไป ความคิดปรุงหายหน้าไปหมด เหลือแต่ความสงบแน่วเป็นเอกจิต เอกธรรม เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอารมณ์อันเดียวอยู่ในสมาธิ เท่านั้นพอกินพออยู่ นั่งที่ไหนกี่ชั่วโมงลืมวันลืมคืนไป
นี่ละจิตเพลินในสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจ ไม่ยุ่งกับการงานอะไรเลย เพียงเท่านี้จิตก็พออยู่พอกินแล้ว สำหรับพระนักปฏิบัติเรา ดีไม่ดีติดสมาธิ เมื่อมันเป็นมากๆ แล้ว ก็จะเอาความรู้คือเอกัคคตารมณ์ จิตรู้อันเดียวเท่านั้นเป็นนิพพานไปได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องแยกจิตออกไปทางด้านวิปัสสนา ให้พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ นี้จะเบิกออกไปละที่นี่ เบิกออกๆ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า อย่าถือว่าเป็นเที่ยวนั้นเที่ยวนี้นะ เอาจนกระทั่งมันมีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าสามารถพิจารณา กำหนดพับแตกผางๆ มองดูหญิงดูชาย มองทางกระดูกเป็นกระดูกไปหมด มองทางเนื้อเป็นเนื้อ มองอะไรเป็นอันนั้นทันทีๆ นี้เรียกว่า ทางด้านปัญญาชำนาญ คล่องตัวๆ จนกระทั่งคล่องตัวหมดแล้ว รูปนี้หมด เอ้า ฟังให้ดีนะ
นี่ได้ดำเนินมาแล้วมาสอนท่านทั้งหลาย ไม่ผิด พูดอย่างอาจหาญ เวลาพิจารณาเรื่องอสุภะอสุภังนี้เต็มเนื้อเต็มตัว จิตมันคล่องตัวๆ กำหนดตั้งขึ้นให้เป็นอย่างไร เป็นได้ตามต้องการๆ จากนั้นพอตั้งขึ้นพับดับปุ๊บๆ สุดท้ายอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา มันไหลเข้ามาสู่หัวใจนี้เลย เข้ามาสู่หัวใจตัวไปปรุงไปแต่ง ว่าอันนั้นเป็นสิ่งนั้นอันนี้เป็นสิ่งนี้ เช่นว่าเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นอสุภะอสุภัง รวมแล้วมาเป็นอยู่ที่จิต ไหลเข้ามาสู่ที่จิต พอมารวมที่จิต จิตเป็นผู้ไปวาดภาพสิ่งทั้งหลายมาหลอกตนเอง พอรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นจิตเป็นผู้วาดภาพ ปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกไปหมดเลย เหลือแต่อสุภะอสุภังภายในจิต
เรื่องการพิจารณาร่างกาย ส่วนใหญ่จะยุติลงในจุดนี้ กามราคะจะขาดไปตรงนี้ เอา ฟังให้ดี แต่จะต้องอาศัยอันนี้เป็นการฝึกซ้อมจิต เอา กำหนดมันก็จะไหลเข้ามาสู่ใจๆ ที่เราจะกำหนดแยกธาตุแยกขันธ์ ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนแต่ก่อนไม่ได้ มันรวดเร็ว พอตั้งขึ้นปั๊บมันจะหมุนเข้ามาสู่ใจๆ ใจเป็นอสุภะอสุภังเสียเอง ใจเป็นป่าช้าผีดิบเสียเอง ใจเป็นผู้วาดภาพเสียเอง มันจะมารวมอยู่ที่ใจ ทีนี้มันก็ปล่อยเรื่องข้างนอก ที่ไปวาดภาพว่าหญิงนั้นชายนี้นอกๆ จากใจไปเสียหมด มันมีอยู่ที่ใจ เกิดดับอยู่ที่ใจ นี่ละเรื่องราคะตัณหาขาดกันที่นี่ เอ้า ฟังให้ดี
พอพิจารณาอันนี้แล้ว เบื้องต้นพอมันรวมเข้ามาอยู่ที่นี่ นั่นละราคะตัณหาขาดตรงนั้น สอบได้แล้ว ๕๐% จากนี้เป็นการฝึกซ้อม อันนี้ละฝึกซ้อมแล้วไหลเข้ามา เอา อสุภะอสุภัง รูปกรรมฐานแหละกำหนด แล้วไหลเข้ามาๆ สู่ใจ เร็วเข้าๆ สุดท้ายพิจารณาอะไรไม่ได้ มันไหลเข้ามา ปรากฏแล้วไหลเข้ามาสู่ใจๆ นี่เรียกว่าฝึกซ้อมกามราคะ แล้วหมดไปได้ระดับ ๕๐% แล้ว ทีนี้ต่อไป ๖๐, ๗๐% นี่หมายถึงผู้เชื่องช้า ไม่ได้หมายถึงผู้ที่เป็นขิปปาภิญญา หมายถึงเราๆ ท่านๆ วิธีการดำเนินมักจะเป็นอย่างเดียวกัน จึงได้ชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบ
พอพิจารณาอันนี้ ตั้งขึ้นพับดับพรึบๆ ยังไม่ได้เข้ามานะ มันรวดเร็ว จากนั้นจิตก็ว่างเลย ไม่มีอสุภะอสุภัง รูปหญิงรูปชายในโลกสงสาร ภูเขาทั้งลูกหมดด้วยความว่าง อำนาจแห่งความว่างตีขนาบแหลกหมด ว่างไปหมด ทีนี้มันว่างนี้จะพิจารณาอะไร ก็อาศัยอสุภะนั่นละตั้งพับๆ หรือรูปธรรมนั่นละตั้งพับ เป็นการฝึกซ้อมนามธรรม ให้มีความแกล้วกล้า มองดูเข้าไปกระแสของจิต นามธรรมคือกระแสของจิต สังขาร วิญญาณ สัญญาอารมณ์ เกิดมาจากจิต มันจะวิ่งเข้าถึงจิตๆ ไปโดยลำดับลำดา
เอาอันนี้ละเป็นการทดสอบกัน เรื่อยเข้าไปๆ ทีนี้มันก็เร็วเข้าไป เรื่องรูปอะไรนี้หมด ว่างไปหมดเลย แต่มันว่างข้างนอกนะ หัวใจยังไม่ว่าง เอ้า ฟังให้ดี มันว่างแต่ข้างนอกด้วยการพิจารณา พอพิจารณาสิ่งนี้แล้วก็เป็นนามธรรม ฝึกซ้อมเรื่องการคิดการปรุง สัญญาอารมณ์มันปรุงขึ้นดับไปๆ ตามเข้าไปถึงใจๆ เกิดจากใจ ดับที่ใจ ดีชั่วดับที่ใจ เกิดดีก็ดับ เกิดชั่วก็ดับ ดับที่ใจ ใจเป็นต้นเหตุ ใจเป็นตัวเหตุ ไล่เข้าไปๆ ใจนั้นมีอะไรอยู่นั้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารปรุงออกมาเป็นสมุทัย ไล่เข้าไปถึงตรงนั้นแล้วก็ไปถึงตัวรากแก้วของกิเลสตัณหาอาสวะ ของวัฏวนนี้ ได้แก่อวิชชา ฟาดกันขาดสะบั้นลงไปนั่นแล้ว ทีนี้ว่างทั้งภายนอก ว่างทั้งภายใน
ว่างภายนอกนี่ว่างหมด ว่างภายในคือหัวใจ ไม่ยึดตนเอง ไม่ยึดเขายึดเรา หมดทีเดียว ว่างข้างนอก ว่างข้างใน ถ้าเราจะเทียบว่างข้างนอกนั่นเหมือนห้องว่าง ห้องนี้ว่างเดินเข้าไปดู ห้องนี้มันว่าง แต่เราไปยืนขวางห้องอยู่นั่นน่ะ ตัวเราไปขวางห้องไม่ดูตัว ว่าแต่ห้องนี่มันว่างๆ ตัวของเราไปขวางห้องไม่ดู ทีนี้ย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองมันยังไม่ว่าง มันจะว่างได้อย่างไรเจ้าของไปยืนขวางห้องอยู่นั่นน่ะ จะเรียกว่าห้องมันว่างได้อย่างไร ถอนตัวออกมาซิถ้าอยากให้เห็นห้องว่าง นี่เรียกว่าจิตดูตั้งแต่ภายนอก รอบไปหมดว่างไปหมด เรียกว่าห้องว่าง ทีนี้ย้อนเข้ามารู้ภายในตัวเอง ขาดสะบั้นไปหมด สมมุติตัวยึดเรายึดเขาที่ละเอียดอยู่ที่จิต จิตอวิชชา พอรู้ตัวนี้จิตตัวนี้ถอนตัวผาง เรียกว่า เราออกจากห้องแล้ว ทีนี้ว่างไปหมดเลย เรียกว่าว่างทั้งข้างนอก ว่างทั้งข้างใน
พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก ท่านไม่ถามกัน ถามกันอะไร ธรรมเป็นอันเดียวกันสดๆ ร้อนๆ นี่ละว่างนอกว่างใน จำเอานะพระลูกพระหลาน เวลาว่างข้างนอกก็เป็นแดนอัศจรรย์แดนหนึ่ง เราไม่พูดไปมากละเสียเวล่ำเวลา ทีนี้พิจารณาเข้าไปชำนิชำนาญ จนกระทั่งถึงว่างข้างใน ปล่อยข้างนอกแต่ยังไม่ปล่อยข้างใน ก็ยังไม่ว่างเต็มที่ ปล่อยข้างนอกด้วย ปล่อยข้างในด้วย ว่างข้างนอกด้วย ว่างข้างในด้วย วางข้างในด้วย โล่งไปหมด เป็น สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ดูโลกเป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ แล้วจะข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นคนที่พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าว่างเปล่าอยู่อย่างนี้ จิตดวงนี้ที่ท่านสอนพระโมฆราช จะมาปรากฏตัวของเราขึ้นเป็นพระโมฆราชองค์หนึ่ง ใครเป็นขึ้นอย่างนี้เป็นพระโมฆราช ด้วยกันหมด ว่างที่ตรงนี้นะทีนี้ว่าง มองดูโลกว่างหมด หัวใจมีอำนาจมากนะ ต้นไม้ภูเขาทั้งลูก มองไปตาเห็นเป็นรางๆ แต่อำนาจของใจที่ว่างเต็มตัวนี้ มันปราบไปหมด ว่างไปหมดเลย นี่ที่ว่างจริงๆ วางจริงๆ ว่างอย่างนั้นโลกว่าง ใจว่างนั่นเอง โลกว่างยังไม่ถึงที่ พอใจว่างด้วยกันเท่านั้นว่างไปหมด นี้ผลแห่งการปฏิบัติธรรม พระลูกพระหลานให้นำไปปฏิบัติ
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เป็นตลาดมรรคผลนิพพานอยู่ล้วนๆ อย่าไปหาชมตั้งแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง ให้ชมอยู่ตลาดมรรคผลนิพพาน ดูที่จิตกิเลสตัณหามันครอบงำเอาไว้ จึงมองหาอะไรไม่เห็น เห็นแต่กิเลสอันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดีเป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร มันมีคนชั่วเมื่อไร มันมีแต่คนดี มีแต่คนฉลาดแหลมคมทั้งนั้น ใครไปว่ามันไม่ดีไม่ได้ ใครว่ามันโง่ไม่ได้ ต้องว่ามันฉลาดๆ ตัวกิเลสนั้นมันชอบยอ สำหรับธรรมแล้วท่านไม่ยอ อยู่ตามหลักความเป็นจริง ใครจะตั้งอะไรๆ ก็ตั้งไป อันนี้เป็นส่วนเกินทั้งนั้นๆ ธรรมชาติที่พอเหมาะพอดีด้วยความอัศจรรย์เลิศเลอ คือจิตที่พอแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยวางหมดแล้ว นี่คือจิตพอตัวอย่างเลิศเลอ
ที่เรียกว่านิพพานเที่ยงไปหาที่ไหน ดูหัวใจถึงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นแหละ ตรัสรู้ผางขึ้นมานี่ นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายลงไปถึงสาวกเหมือนกันหมด ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกัน นี่ดูพระพุทธเจ้าดูที่นี่ จะเห็นทั่วถึงไปหมด ดูนิพพานดูที่นี่ไม่ต้องไปดูที่ไหน ไปหาลูบคลำนั้น ดูจนกระทั่งวันตายไม่เห็น เอ้า ดู ให้เริ่มแกะรอยไปตั้งแต่เริ่มภาวนานะ เอาพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ ให้แกะรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จไปอย่างนี้ สาวกดำเนินไปอย่างนี้ เอ้า ตามรอยไป จะเป็นไปดังที่เรากล่าวตะกี้นี้ละ ตามรอยไปจนกระทั่งถึง ว่างนอกว่างใน นั่นละที่นี่ ถึงตัวแล้วๆ ข้างนอกก็ว่าง ข้างในก็ว่าง นี่ถึงตัวโค ถ้าเราตามโค ถึงมรรคผลนิพพานแล้ว ถ้าพูดถึงมรรคผลนิพพาน
ดูให้ดีทุกคน ธรรมเหล่านี้สดๆ ร้อนๆ อยู่ในพุทธศาสนาของเรา เอาไปหมกไว้ทำไม อยู่ในตู้ในหีบ พวกเรามันเป็นหนอนแทะกระดาษ อ่านแล้วไม่เคยสนใจจะปฏิบัติตามธรรมที่ท่านสอน ซึ่งเต็มไปด้วยมรรคผลนิพพานทั้งนั้น ครั้นอ่านแล้วให้กิเลสเข้าไปครอบหมด ให้กิเลสเอาเป็นเจ้าของ สำคัญตนว่าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นขี้หมาอะไรประสาชื่อ ใครตั้งก็ได้ชื่อ ตั้งฟากจรวดดาวเทียมก็ได้ แต่หัวใจเต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถประเสริฐอะไร ดูหัวใจเจ้าของมันจ้าไปหมดแล้วอยู่ที่ไหนสบายหมด
พวกลูกพวกหลาน พระเณรทั้งหลายให้ตั้งใจปฏิบัตินะ มันสดๆ ร้อนๆ ภัยที่กล่าวมาเหล่านี้อย่าลืมนะ พวกหนังสือพิมพ์ พวกวิทยุ พวกโทรทัศน์ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ นี่คือเพชฌฆาตสังหารพระนะ ใครอย่ากล้าหาญชาญชัยถ้าไม่อยากจมทั้งเป็น ศาสดาองค์เอกสอนไว้เรียบร้อย ไล่เข้าในป่าคือศาสดาองค์เอก ให้พิจารณา โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม ฆราวาสเป็นฆราวาส พระเป็นพระ อยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนกัน ทีนี้หน้าที่การงานที่จะปฏิบัติต่อกันจะให้เหมือนกันได้ยังไง ฆราวาสเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างนั้น เราปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างนี้ คือไม่สนใจ จะสนใจแต่ธรรมอย่างเดียว
เขาปฏิบัติอย่างนั้น เขาสนใจกับสิ่งนั้น เราปฏิบัติต่อธรรม เอ้า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ภาวนาดูหัวใจด้วยสติให้ดี เราดูอันนี้ ธรรมจะเกิดที่นี่ ความสงบร่มเย็นจะเกิดขึ้นที่นี่ แล้วความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะเกิดขึ้นที่นี่ ไม่เกิดขึ้นที่ไหน แล้วจะจ้าขึ้นที่นี่ ท่านทั้งหลายไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน พวกชาวพุทธเรานี้มันพวกบ้าทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้ดูเข็มทิศทางเดินที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ในพระไตรปิฎกนั้นคือองค์ศาสดาทั้งนั้นนะ พระไตรปิฎกนั่นองค์ศาสดาอยู่นั้น มันเหยียบหัวศาสดาไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อ่านธรรมะพระพุทธเจ้ามันยังลบมรรคผลนิพพานๆ ไม่มีๆ อยู่ต่อหน้าต่อตาแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่กำลังอ่านอยู่นั่นแหละ เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป พวกเราพวกเหยียบหัวพระพุทธเจ้านะ ตีนมันเก่งนักนะตีนกิเลส เหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ เอาให้หมอบกราบพระพุทธเจ้าซิ อ่านลงไป เอาไปปฏิบัติดูซิพระพุทธเจ้าโกหกโลกจริงหรือ พระพุทธเจ้าองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมา มีแต่แสดงธรรมของจริง เอกนามกึ คืออะไร หนึ่งไม่มีสอง
หนึ่งไม่มีสองคืออะไร พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า ถ้าลงได้หยั่งทราบอะไรแล้วไม่มีสอง พระวาจาที่รับสั่งไปแล้ว เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทั้งนั้น ไม่มีผิด นั่นเรียกว่า เอกนามกึ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นได้ทีละพระองค์เท่านั้นไม่มีสอง นี่ เอกนามกึ คือศาสดาองค์เอก สอนธรรมไว้เป็นเอกๆ ไม่มีคู่แข่ง ให้พากันจำเอา เทศน์ไปเทศน์มาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า การเทศนาว่าการ ก็ขออภัยจากบรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย เอาพระแก่มาเทศน์เป็นอย่างนี้ละ หลงหน้าหลงหลัง หลงนั้นหลงนี้
สรุปความลงไปธรรมที่มาสอนท่านทั้งหลายนี้ หลวงตามาสอนอยู่นี้ หลวงตาไม่ได้ไปหาลูบคลำที่ไหน พูดแล้ว สาธุ เราเรียนมาตามคัมภีร์ใบลานตำรับตำรา ก่อนจะมาเป็นสมบัติของตัวจากภาคปฏิบัตินี้ ออกมาจากคัมภีร์ใบลาน ท่านชี้เข้ามา นั่นเห็นไหมปริยัติพระไตรปิฎก ชี้เข้ามาที่หัวใจของเรานี้นะ เราทำไมไม่ปฏิบัติตามท่าน เหยียบหัวท่านไปทำไม ให้ชี้เข้ามานี่ ดูเข้ามานี่ซิ สอนเรื่องภาวนา เอ้า ดูมันเป็นอย่างไรใจ ลิงทั้งตัวเต็มอยู่ในหัวใจเรานี่ ร้อยตัวยังสู้ไม่ได้ ความคิดรวดเร็ว เอ้า เข้ามาดูนี่ มันจะจ้าขึ้นมาที่นี่แล้วกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบทุกพระองค์ เห็นพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่หัวใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว
นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนกว่ากัน คือความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย นี้คือผลแห่งการปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง ฉุดลากสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงโดยถ่ายเดียว ไอ้กิเลสมันฉุดลากลงๆ พระพุทธเจ้าว่าอย่างไรมันคอยตำหนิติเตียน คอยกีดกันคัดค้าน ให้ระวังให้ดีนะกิเลสตัณหา เวลาจะไปวัดไปวากิเลสว่าไม่ว่าง เห็นไหมล่ะ เวลาจะไปวัดไปวา กิเลสว่าไม่ว่าง ให้กิเลสบอกว่าไม่ว่าง จะไปอะไรไปสร้างคุณงามความดีมันไม่ว่างทั้งนั้นละ เงินมีเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน จะไปทานเอาไปหาอะไร เอาไปทานแล้วเอาไปให้พระหัวโล้นกินหมด ไอ้เราหัวขนมันกินแล้วมันหายไปไหน กินแล้วมันก็เป็นมูตรเป็นคูถเหมือนกัน
พระกินได้ท่านเป็นบุญเป็นคุณ เอาไทยทานไปถวายท่าน เป็นบุญเป็นคุณเป็นสมบัติทิพย์ขึ้นมาแล้วรู้ไหม เจ้าของไปกินเป็นมูตรเป็นคูถขึ้นมามันต่างกันนะ เอามาถวายพระเป็นอาหารทิพย์ขึ้นมา เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมาในหัวใจเรา ต่างกันนะ ให้เรากินเองให้ใครต่อใครกินเอง มันเป็นมูตรเป็นคูถขึ้นมา แต่เอาไปถวายพระท่านนี่เป็นอาหารทิพย์ขึ้นมา ใครสร้างได้มากเท่าไรๆ สมบัติทิพย์จะเกิดมากขึ้นเท่านั้น ไปแดนสวรรค์นิพพานอะไรพาไป ถ้าไม่ใช่สมบัติทิพย์เกิดขึ้นจากความดีของเรา มีการให้ทานเป็นต้นนี้ จะมาจากไหน พากันจำให้ดี
พวกปฏิบัติทั้งหลายอย่าหลงศาสนานะ กิเลสมันคลื่นใหญ่มากทีเดียว ธรรมะเป็นเหมือนกับฝ่ามือไปกั้นคลื่นกิเลสตัณหา ซึ่งเท่ากับมหาสมุทรนี้มันจะไม่ไหวนะ ไม่ไหวก็อย่าไปกั้นของใคร กั้นตัวของเรานี้ เอา มันจะหนาขนาดไหนคลื่นของกิเลสมันเท่ามหาสมุทรไหม ฝ่ามือเราให้ใหญ่กว่ามหาสมุทรคือความเพียร ตีลงไปๆ ขาดสะบั้นไป กิเลสหมดเหมือนกัน พระพุทธเจ้าศาสดาเอกสอนโลกด้วยธรรมอันเดียวกัน กิเลสก็มีวิชาอันเดียวกันที่มากล่อมสัตว์โลก ธรรมเป็นเครื่องแก้กิเลสปราบกิเลสก็มีธรรมพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวนี้เท่านั้นถูกต้องไปหมด กิเลสเคยลากเรามามากต่อมากแล้ว นำมาแก้เรา มันจะเก่งไปไหนกิเลสน่ะ ฟาดให้มันขาดสะบั้นลงไป
เอาละ วันนี้เทศนาว่าการก็เหนื่อยลงๆ บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มาฟังเทศน์วันนี้ ดูมีมากมายก่ายกอง เป็นอย่างไรให้พากันนำไปคิดไปตรองนะ แล้วขอสรุปความแห่งธรรมทั้งหลายที่นำมาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายนี้ หลวงตาเทศน์ด้วยความอาจหาญชาญชัย เหนือโลกเหนือสมมุติ ถ้าว่าอาจหาญก็เหนือสมมุติทุกอย่าง เต็มอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นตะเกียกตะกายเข้าป่าเข้ารก จะเป็นจะตายไม่มีใครเห็นนะ เวลาอยู่ในป่าในเขา รื้อฟื้นออกมาตั้งแต่มันสงสัยมรรคผลนิพพาน จับคัมภีร์อ่านนะ คัมภีร์นี้ท่านแสดงมรรคผลนิพพาน ส่วนใหญ่มันก็เชื่อ ส่วนย่อยมันก็ เอ๊ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีน้า นั่นเห็นไหมอ่านคัมภีร์ของพระพุทธเจ้าอยู่นั่น มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปในขณะที่อ่าน ฟังซิน่ะ
ทีนี้ก็น้อมรับคำของพระพุทธเจ้า มาเทิดทูนด้วยการปฏิบัติ การปฏิบัติก็กระจ่างขึ้นไปๆ อย่างที่ว่านี่ ตั้งแต่สมถธรรม สมาธิธรรม วิปัสสนาธรรม ฟาดจนกระทั่งถึงวิมุตติธรรม เราไม่สงสัยเวลานี้ การสอนโลกเราสอนด้วยธรรมสมบัติเป็นอัตสมบัติของเราเอง ธรรมสมบัติทั้งหมดนี้มากลายเป็นอัตสมบัติ เป็นสมบัติของเราล้วนๆ ที่สอนท่านทั้งหลายนี้ สอนด้วยความไม่สงสัย บาปมี บุญมี นรก สวรรค์มี พระพุทธเจ้าว่ามีฉันใด เรากราบราบ อย่าข้ามนะ ใครว่าบาปไม่มีมันจะจมทั้งเป็นนะ บุญไม่มีมันจะไม่สร้างบุญจมทั้งเป็นอีกพวกนี้ นรกสวรรค์มี มีมาตั้งแต่กาลไหนๆ พระพุทธเจ้าองค์ใดตรัสรู้ ใครมาลบล้างได้เมื่อไร บาป บุญ นรก สวรรค์ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ยอมรับด้วยกัน จึงได้บอกว่าบาปมี บุญมี
หากว่าลบล้างมันได้จะยากอะไร องค์นี้มาตรัสรู้ ลบล้างพวกเปรตพวกผี หลุมไหนลบล้างหมด ไป พวกเธอไปหาสะแตกเหล้าเมาสุรา ไปหาหญิงหาชายมากี่ผัวกี่เมีย ยิ่งกว่าหมาก็ได้ ข้าลบหมดแล้ว ข้าปราบมันหมดแล้วไฟนรกไม่มีละ รีบไป ใครอยากได้ ๑๐ ผัว ให้ไป ๒๐ ผัวให้ไป ใครอยากได้ ๒๐ เมียให้ไป ข้าลบหมดแล้วบาปบุญไม่มี ท่านจะสอนอย่างนี้กับเรา แต่นี่ทำไมท่านไม่สอน พระพุทธเจ้าองค์ใดก็มายอมรับ ก็เพราะธรรมชาตินี้มีมาดั้งเดิมแต่กาลไหนๆ เราจะไปลบล้างอะไร ตัวเท่าอึ่งนี่ ลบล้างอะไร นั่นถึงขั้นศาสดายังลบล้างไม่ได้ เราเก่งกว่าศาสดาไปไหน ให้จำให้ดี
ให้เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าจะเป็นคนขึ้นมาโดยลำดับ เป็นคนดิบคนดี เป็นลูกชาวพุทธ ต่อไปจะเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม พุ่งขึ้นถึงนิพพานถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อกิเลสตัณหา ตอนนี้เป็นมนุษย์ ต่อไปเป็นสัตว์ ต่อจากนั้นเป็นเปรตเป็นผี ต่อไปเราก็เป็นสัตว์นรก เข้าใจไหมล่ะ เอาละการแสดงธรรม ก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แก่กาลแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
การเทศน์วันนี้ก็มีท่านเจ้าคุณรองสมเด็จฯท่านมาเป็นประธาน ท่านพาบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั้งพระทั้งเณรทั้งประชาชน นำบรรดาพี่น้องทั้งหลายฉุดลากออกจากความยุ่งยากปากหมอง ออกมาสู่อรรถสู่ธรรมเป็นความสว่างไสว ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศลในวันนี้ ท่านเองก็มีอานิสงส์มาก บรรดาประชาชนทั้งหลายก็รับอานิสงส์บุญคุณจากท่านที่ชักชวนมานั่นเอง อย่าไปลืมคุณท่านพามานี่น่ะ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |