เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ตั้งได้จิตขอให้มีหลักเกณฑ์เถอะ
พระวัดนี้อดอาหารเป็นจำนวนมากอยู่เป็นประจำ ขาดไปสิบกว่าองค์ๆ การอดอาหารนี้มีส่วนเสียกับธาตุขันธ์ ถ้าอดไปนานๆ ท้องเสีย เราจึงได้เตือนพระเณรเสมอว่า การอดให้อดพอประมาณ แล้วมีฉันมีอะไรบ้าง ถ้าอดมากไป อดไปๆ ท้องเริ่มเสียนะ เสียแล้วเสียไปเรื่อย อย่างเรานี่ได้นำมาเป็นเครื่องสอนพระเณร เรานี่ท้องเสียเพราะอดอาหารนั่นแหละ เริ่มท้องเสียมาแต่พรรษา ๑๐ ออกปฏิบัติพรรษา ๗ สอบเปรียญได้พรรษา ๗ แล้วออกเลย ตามคำสัจจะอธิษฐานที่ตั้งเอาไว้ว่า เมื่อจบเปรียญ ๓ ประโยคแล้วจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เพราะพอเป็นปากเป็นทางเรียบร้อยแล้ว
นักธรรมตรี โท เอก เปรียญ ๓ ประโยค พอเป็นปากเป็นทาง เป็นแบบแปลนแผนผังเรียบร้อยแล้วในการบำเพ็ญธรรมทั้งหลายเพื่อมรรคผลนิพพาน พอออกไปแล้วเอาเลยเชียว ตั้งแต่พรรษา ๗ แหละ คือไม่มีผู้เตือนมันไม่รู้นะ ทำตามใจๆ ไม่มีผู้เตือนมีส่วนเสียได้ ดังที่เราได้นำมาเตือนพระเณรเสมอ เช่นเวลาให้โอวาทนี้ก็แฝงเรื่องธรรมะที่เป็นส่วนจริตนิสัยของแต่ละรายๆ จะปฏิบัติได้ด้วยดี
เช่นอดอาหาร เราก็บอกว่าการอดอาหารนี้ไม่ใช่คำสั่งไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำบอกเล่า ถ้าท่านผู้ใดนำไปปฏิบัติตัวเองได้รับผลขึ้นมา ก็จะกลายเป็นคำสอนหรือคำสั่งกับผู้ปฏิบัติองค์นั้นเราว่า มาบอกเป็นคำบอกเล่าเฉยๆ บอกเล่าก็ธรรมดา แล้วแต่จะยึดไปปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติเห็นผลแล้วทีนี้ก็เลยกลายเป็นคำสอนขึ้นมาในรายนั้นๆ แหละ พอปฏิบัติเห็นผลมากๆ เลยกลายเป็นคำสั่งไป สั่งว่าเท่านั้นวัน จะหยุดเท่านั้นวัน สั่งเลยสั่งเจ้าของ ไม่ถึงเท่านั้นวันไม่ฉัน นั่น คือมันเห็นผลแล้ว
ทีแรกก็เป็นคำบอกเล่า พอเห็นผลขึ้นไปก็กลายเป็นคำสอน จากนั้นเป็นคำสั่งในตัวของแต่ละรายๆ เรานี่เป็นแบบนั้นแหละจึงได้นำมาสอนหมู่เพื่อน เพราะได้ผ่านมาแล้ว อดอาหารอดจริงๆ สมบุกสมบัน จนพรรษา ๑๐ ท้องเริ่มเสียแล้ว แต่สำคัญที่เราไม่เคยเห็นเหตุเห็นผลอะไรเกี่ยวกับเรื่องการอดอาหารว่าจะมีส่วนเสียอะไรๆ บ้างเราไม่ได้คำนึง คำนึงแต่ว่าภาวนาดีเพราะการอดอาหาร ก็มีแต่อดเรื่อยๆ ไปจนท้องเสีย ท้องเสียก็ไม่สนใจ มุ่งต่อมรรคผลๆ โดยถ่ายเดียว นี่ละที่ทำให้ท้องเสีย
คืออดแล้วอดเล่าไม่หยุดไม่ถอย ตามการแพทย์เขาบอกว่ามันไม่มีอะไรย่อย เราปฏิบัติไม่ถูกเพราะไม่ใช่หมอ หากเป็นมาจากที่ว่ามันไม่มีอาหารย่อย มันก็กัดลำไส้อะไรๆ เข้าไปทำให้ท้องเสีย เรามันไม่สนใจ ที่เป็นเหตุเป็นผลนี้ก็นำมาสอนหมู่เพื่อนให้พอเหมาะพอดี อดบ้างอิ่มบ้าง แต่อย่าถึงกับให้ท้องเสีย เพราะร่างกายเป็นเครื่องมือบำเพ็ญธรรม ถ้าร่างกายล้มเหลวไปเสียผลก็ไม่ได้แหละ เมื่อมันเป็นแล้วก็เลยนำมาสอนหมู่เพื่อน คือเราเองเป็น มันไม่สนใจกับธาตุกับขันธ์กับการถ่ายท้องว่าท้องจะเสียอะไรเลย มีแต่มุ่งว่าอดอาหารได้ผลดีเรื่อยๆ เรื่องดีไม่ปฏิเสธแต่ทางธาตุขันธ์มันเสียไม่ได้คำนึง
มันเอาจริงเอาจังมากเป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ เริ่มละนั่น ถึงพรรษา ๑๖ เริ่มฉันอาหารตามปรกติตั้งแต่พรรษา ๑๖ ลงเวทีแล้วพูดให้มันชัดเจน พรรษา ๑๖ เดือนพฤษภา ๒๔๙๓ การอดอาหารไม่อดละที่นี่ ปล่อยตามเรื่องเลย เพราะอดก็เพื่อจะฆ่ากิเลสพูดให้ชัดเจน เมื่อกิเลสม้วนเสื่อลงไปแล้วอดเพื่ออะไร นั่นมันก็หยุด ทีนี้หยุดท้องไม่หยุดซิ ถ่ายมาตลอดนะท้อง แล้วก็ไปคนเดียวๆ ป่าช้าอยู่กับตัวคนเดียวเสียด้วย ไม่ยอมไปกับใครมันไม่สนิทใจ ถ้าไปสองเป็นน้ำไหลบ่า ต้องเป็นห่วงเป็นใยกันอยู่ลึกลับ คนเราเป็นธรรมดาความรับผิดชอบต่อกันและกันย่อมมีอยู่ลึกๆ
ทีนี้เวลาจะอดอาหาร เวลาอดบางทีท่านอดด้วย เอ๊ ท่านอดด้วยนี่ท่านอดตามเราหรือยังไงนา แน่ะอย่างนั้นนะ มันไม่สนิทใจ ถ้าลำพังเราเองแล้วเท่านั้น อยากฉันเมื่อไรก็ฉัน นี่ละที่ท้องเสีย มันไม่คำนึงถึงปากถึงท้องเลย พอฉันลงไปนี้ พอตะวันบ่ายท้องจะร้องโก้กเก้กๆ พอตกค่ำมาแล้วตอนเสือออกเขี้ยวละ ที่นี่ท้องก็ไล่ ไล่ก็ต้องไปถ่าย ไปอยู่ในป่าในเขาป่าเสือไปกลางคืนจะว่าไง มันเอาไปกินก็ได้อยู่ป่า มันไล่กลางคืนเสียด้วย ตอนเสือกำลังหากินด้วย เมื่อมันไล่ขนาดนั้นกลัวขนาดไหนก็ไม่กลัวลองมันได้ไล่แล้ว กลัวเสือก็ไม่กลัว ไปเลย
คืออดหลายๆ วันมาฉันทีหนึ่งนี้ พอมาฉันแล้วมันถ่ายออกหมดนะ แทนที่มันจะย่อยไม่ย่อยนานเข้าๆ พอเราฉันตอนเช้าแล้วพอบ่ายท้องจะร้องโก้กเก้กๆ มันเป็นของมัน พอตกค่ำเข้ามาเอาละที่นี่ถ่ายหมดเลย นั่นเวลาท้องมันเสีย มันยังไม่สนใจนะ หมดก็หมดไป วันหลังอดอีก ตอนอดก็ไม่มีอะไรถ่ายแหละ พอมาฉันถ่ายหมดมันก็ยังไม่สนใจ นี่ละมันเสียเพราะเหตุนี้เอง ถ้าหากว่าเราได้สนใจมาคำนึงคำนวณถึงท้องบ้างก็จะไม่เสีย ผ่อนสั้นผ่อนยาวกันไป อันนี้มันจะเอาแต่จุดที่ต้องการคือมรรคผลนิพพาน อันนั้นรุนแรงมาก เพราะฉะนั้นมันถึงตัดออกหมด อุปสรรคอะไรๆ ล้มไปหมดเพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์คือมรรคผลนิพพาน จิตมันพุ่งๆ อยู่โน้นไม่ได้มาอยู่อันนี้ อยู่กับสิ่งที่ว่าท้องเสียไม่สนใจ เป็นเวลา ๙ ปี ที่สมบุกสมบันเอามากทีเดียว ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกก็ฟัดกันเลยเชียว
ไปฟังธรรมพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงใจสุดขีด นั่นละที่นี่มันก็ทุ่มละ เมื่อลงใจสุดขีดว่ามรรคผลนิพพานรออยู่แล้วสำหรับผู้ปฏิบัติ จะอยู่ที่ไหนอยู่ที่ใจ พอลงใจแล้วมันลงจริงๆ นะเราไม่เหมือนใครถ้าไม่ลงไม่ลง เพราะฉะนั้นมันจึงได้ถกเถียงพ่อแม่ครูจารย์มั่นซิ ขัดข้องตรงไหนเอากันตรงนั้น คือหาความจริง พอยอมรับปั๊บแล้วลงพุ่งๆ เลย ถ้าไม่ลงมันคาราคาซังมันไม่สนิทใจ การปฏิบัติไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าได้ลงใจแล้วนี้มันมอบหมดตัวหมดชีวิตเลย เป็นอย่างนั้น ท้องเสียมาตั้งแต่พรรษา ๑๐ รู้แล้วละ เริ่มปฏิบัติอดอาหารมาแต่พรรษา ๗ เลย พรรษา ๑๐ ท้องเริ่มเสีย เสียไปเรื่อยๆ หากไม่สนใจกับมัน เอาตั้งแต่ทางจิตใจๆ โดยลำดับ จนกระทั่งถึง ๑๖ พรรษา
ทีนี้มันเลยถ่ายไปแล้ว เสียไปแล้ว ที่เรามาฉันมันก็เสียของมัน ตอนเช้าเราฉันตอนกลางคืนมันถ่ายหมด ครั้นต่อไปนี้เราฉันอยู่เรื่อยๆ มันก็ถ่ายแบบเรื้อรัง ๖ วัน ๗ วันถ่ายเสียทีหนึ่ง ฟาดเอาหมดท้องเลย แล้วก็ถ่ายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ ๘๕ หรืออะไรที่จะออกช่วยชาติบ้านเมือง มันจะไปแล้วนั่น มันกลายเป็นโรคมะเร็งในลำไส้แล้วนั่น มันจะไปละ คือเป็นมาตั้งแต่ท้องนู่นน่ะมันไม่หาย จากนั้นมาเรื่อย จนกระทั่งอายุ ๘๕ ว่ามันจะไปจริงๆ ก็ได้ยาเทวดามา ยาหมอเติ้งเอามาให้กิน ตัดสินใจ เอา ฉันก็ฉันยานี้ ยานี้เป็นยาสุดท้าย ถ้าไม่ถูกอันนี้ปล่อยเลยเราบอก
พอดีฉันยาหมอเติ้ง โอ๋ย ดีวันดีคืนขึ้นมาโดยลำดับ ยานี้เป็นเหมือนยาเทวดา ที่มันถ่ายอยู่ตลอดเวลานี้ พอฉันยานี้เข้าไปปั๊บ ถ่ายมันก็ถ่ายแบบยา ไม่ได้ถ่ายแบบโรคเหมือนแต่ก่อน หมอเขาก็เตือนด้วย บอกว่าไม่ต้องตกใจ จะถ่ายขนาดไหนก็ไม่ต้องตกใจ ไม่เพลียเหมือนมันถ่ายด้วยโรค อันนี้ถ่ายด้วยยาไม่เป็นไร มันก็ถ่ายของมันเต็มเหนี่ยว แต่ไม่เพลียอย่างว่านะ แล้วจากนั้นหายไป นั่นละถึงได้ช่วยบ้านเมืองมาตั้งแต่อายุดูเหมือน ๘๕ ละมั้ง มันจะไปปีนั้นละ แต่พอดีได้ยามามันก็พลิกใหม่ขึ้นเลย จากนั้นก็ค่อยดีขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เหมือนว่าหายหมดนะ ท้องที่เคยเป็นหายไปหมดเลย
ที่มันจะตายนี่ซิ หมอเขาไม่กล้าบอก หมอเขามาขอตรวจโรค ที่เขานิมนต์เราไปโรงพยาบาลให้ไปตรวจ เขารู้เขาไม่บอก คือเป็นมะเร็งแล้ว มะเร็งในลำไส้ หมอเขาบอกกันลับๆ แต่เขาไม่ให้เราทราบ แต่มันยังหายได้ มะเร็งมะเริงอะไรหายได้จากยาหมอเติ้ง จึงได้ยังมีชีวิตมาตลอดทุกวันนี้ แล้วก็ได้อันนี้เป็นบทเรียนหมู่เพื่อน เวลาอดอาหารให้ระมัดระวังเราเป็นคนเตือน อย่างเราไม่มีใครเตือน เอาตามใจชอบเลย อยากฉันเมื่อไรก็ฉัน ไม่อยากฉันกี่วันเป็นไปเรื่อยๆ อย่างนั้นตลอด ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นี้ไม่ถอยละการอดอาหาร เพราะภาวนาดี การภาวนานี้แน่วๆ เลย
เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันล้มลุกคลุกคลาน แต่จิตมันเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า นั่น เรามาหาธรรมเราไม่ได้มาหาธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์เราฉันเมื่อไรกำลังมันมีมาทันที แต่กำลังทางด้านจิตใจนี้มียาก เราต้องทะนุถนอมทางด้านจิตใจ นี้ละจึงได้ตัดอาหารลงเพื่อทางด้านจิตใจ ตั้งแต่นั้นมามันก็เลยเป็นมาเรื่อยๆ ๖ วัน ๗ วันถ่ายเสียทีหนึ่ง ถ่ายเล็กถ่ายน้อยถ่ายมาเรื่อยๆ อย่างนั้น จึงได้เตือนหมู่เพื่อน เวลาอดอาหาร ถ้าเคยอดมาแล้วอย่าอดนานเกินไป ให้ผ่อนสั้นผ่อนยาว ได้เตือนพระในวัดนี้ เพราะท่านไม่เคยผ่าน เราผ่านมาแล้วเป็นบทเรียนได้เป็นอย่างดี คอยเตือนเพื่อนฝูงเสมอ
เรื่องอดอาหารนี้ดี ส่วนมากดี เพราะฉะนั้นพระวัดนี้จึงชอบอดแต่อาหาร ได้เตือนไว้เสมอไม่ให้เลยเถิด เวลามันเพลินในธรรมมันจะเป็นจะตายกับเรื่องปากเรื่องท้องมันไม่ค่อยสนใจนะ มันหมุนอยู่กับธรรม รุนแรงยิ่งกว่าทางธาตุทางขันธ์ ธาตุขันธ์เวลาจะตายจริงๆ ไปฉันเสียมันก็มีกำลังขึ้นมาทันที ส่วนทางด้านจิตใจไม่มีง่ายๆ จึงต้องได้พยายาม โอ้ ทุกข์มากนะการฝึกทรมาน ไอ้เราทำโดยลำพังเรา ไม่ค่อยมีใครเตือน จนกระทั่งเจ้าของเป็นขึ้นแล้วจึงได้นำเรื่องของเจ้าของออกเตือนหมู่เพื่อน
แต่ก่อนไม่มีใครบอก ทำเอาตามใจชอบๆ เดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้านจะไม่ถึงบ้านเขา เดี๋ยวพักกลางทางมันหมดกำลัง อย่างนั้นมันก็เอาไม่ถอย คือจิตนี่มันพุ่งๆ นะ กำลังจิตมีความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์มันรุนแรง ทีนี้ธาตุขันธ์เลยจะเป็นอะไรๆ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่โตไปแล้ว เรื่องใหญ่โตคือเรื่องเพื่อความพ้นทุกข์ มันถึงหมุนไปทางด้านธรรมะ บทเวลาเรื่องผ่านไปแล้วกลับมาปฏิบัติต่อธาตุต่อขันธ์ฉันทุกวันๆ ไป มันก็เป็นโรคเรื้อรังไป นั่นละพรรษา ๑๖ หยุดละการอดอาหารไม่อดอีก มันก็เป็นของมันเรื่อยเพราะมันเป็นแล้วนี่ เป็นเรื้อรัง จึงได้นำมาสอนหมู่เพื่อน
การฝึกจิตทุกคนให้ใช้ปัญญานะ อย่าสักแต่ว่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาเหตุผลของตัวเองที่บำเพ็ญไปเป็นยังไงต่อยังไงให้เทียบ นี้ได้พิจารณามาตลอดดังที่เคยพูดให้ฟัง จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ มันเป็นยังไง ปีกับห้าเดือนเราก็ไม่ลืม คือมันเป็นอย่างนั้นแล้วมันสดๆ ร้อนๆ นะ ทุกข์ที่สุดผู้ที่มีสมาธิภาวนาแล้วจิตเสื่อมลงไปนี้ ทุกข์มากยิ่งกว่าคนที่เขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเห็นผลเป็นที่พอใจแล้ว เหมือนว่าเราได้เงินเป็นล้านๆๆ นะ ทีนี้มาเสื่อมไปหมดเลยไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เหมือนเขามีเงินเป็นล้านๆ ล่มจมไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง แม้จะมีเงินอยู่ในบ้านในเรือนเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่มีความหมาย จิตมันไปเกาะอยู่กับสมบัติที่ล่มจมไปนั้นเป็นกองทุกข์มาก
ทีนี้ภาวนาของเราก็เหมือนกัน เวลาจิตเสื่อมนี้ไม่มีอะไรในตัว หมดเนื้อหมดตัว มีแต่กองทุกข์สุมอยู่ทั้งวันทั้งคืน พยายามตั้งขึ้นๆ ๑๔-๑๕ วัน ตั้งขึ้นได้เพียงสองคืนแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เสื่อมลงอย่างอุตลุดเลยไม่ได้ฟังเสียงใคร จึงเอามาทดสอบดู เอ๊ะ มันเป็นยังไง เราก็พยายามดันขึ้น ไปถึงนั้นแล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เป็นอย่างนี้มาได้ปีกับห้าเดือน ทุกข์มากที่สุดนะ คนผู้มีจิตเจริญแล้วเสื่อมนี้ทุกข์มากที่สุด ยิ่งกว่าเขาไม่เคยภาวนานะ คือมันเคยเห็นรายได้มาแล้ว มันไปล่มจมเอาเสียด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังที่กล่าวตะกี้นี้ว่าเหมือนเขามีเงินล้านนั่นละ ไปล่มจมเอาเสียทุกข์มากนะ คนนี้ทุกข์มากยิ่งกว่าตาสีตาสาหากินอยู่ตามท้องนาเป็นไหนๆ
คือเวลาจิตมันเจริญแล้ว มันเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในใจประจำตลอด แต่เสื่อมลงไปแล้วมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้มันทุกข์มาก จึงได้มาทดสอบมันเป็นเพราะเหตุไร เราก็ตั้งสติพยายามทั้งวันทั้งคืนมันก็เจริญขึ้นไป ถึง ๑๔-๑๕ วันเจริญ ถึงนั้นแล้วอยู่เพียงสองคืน คืนสามนี้เสื่อม เหมือนกลิ้งครกลงมาจากภูเขาอะไรห้ามไม่อยู่ ผึงเลย ไม่มีอะไรติดตัว หมดกำลัง เอ้า เอาอีกๆ อยู่อย่างนั้น เป็นอย่างนั้นตลอดมา พอถึงสองคืนสามคืนแล้วไม่อยู่ เสื่อม ทีนี้จึงมาพิจารณาทดสอบเหตุผลกลไก เอ๊ นี่จะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรมภาวนา สติอาจจะเผลอไปตอนนั้นก็ได้จิตถึงได้เสื่อม เอ้า ทีนี้ตั้งใหม่ มีข้องใจอยู่จุดนี้เท่านั้นแหละ ทีนี้จะเอาคำบริกรรมติดกับใจ
เพราะไม่มีงานอะไรมีแต่งานภาวนาอย่างเดียว แล้วอยู่คนเดียวเสียด้วย เอาละที่นี่พิจารณาลงตัวแล้ว คือจะเป็นเพราะขาดคำบริกรรม สติอาจจะขาดไปตรงนั้นก็ได้จิตถึงได้มีเวลาเสื่อมได้ คราวนี้จะเอาคำบริกรรมให้ติดกับจิต และสติให้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรมไม่ยอมให้เผลอเลย เอา ทีนี้มันจะเสื่อมไปทางไหนให้รู้กันตรงนี้ พอลงใจแล้วก็เอาละที่นี่ แต่มันจริงจังมากนะเรา เหมือนระฆังดังเป๋งนี้ต่อยกันแล้วนักมวย คำบริกรรมกับคำไม่ให้เผลอ พอเอาละที่นี่ระฆังเป๋งก็ใส่ปุ๊บเลย ไม่ให้เผลอ ตั้งแต่เริ่มปั๊บไม่ให้เผลอเลย ทั้งวันไม่ยอมให้เผลอไปไหน ให้อยู่กับคำบริกรรมคือพุทโธ เราชอบพุทโธ ติดอยู่กับคำบริกรรม โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่คำบริกรรมติดกับหัวใจอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน
มันอยากคิดอยากปรุงนี้เหมือนอกจะแตกนะ ถึงรู้ได้ชัดว่าสังขารนี้สำคัญมากมันดันออกมา สังขารเป็นสังขารสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารสมุทัยมันดันออกอยากคิด พอมันคิดมันปรุงมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา นั่นละเสื่อมตรงนั้น ทีนี้ไม่ยอมให้คิด มันอยากจะคิดอกจะแตก เอ้า แตก ไม่ยอมให้คิดเลย ให้คิดแต่คำว่าพุทโธอันเป็นงานของธรรมเท่านั้น วันแรกเหมือนอกจะแตก วันหลังรู้สึกจะเบาลง แต่ไม่เผลอเหมือนกัน ความเผลอไม่ให้มีเลย ทั้งวันนี้ไม่ให้เผลอเลย ทุกข์มากไหม ตั้งสติไม่ให้เผลอทั้งวันไปเลยเชียว เรื่องเผลอไม่ให้เผลอเลย กี่วันก็ตามไม่ให้เผลอ
พอสามวันไปแล้วค่อยอ่อน ความดันอยากปรุงอยากคิดอะไรนี้ค่อยอ่อนลงๆ ๓-๔ วัน ๕ วัน ทีนี้สงบ นั่น ทีนี้เปลี่ยนละที่นี่เป็นใจสงบละ เรื่องสังขารไม่กวน สังขารความคิดความปรุงไม่กวน ต่อไปจิตก็ค่อยก้าวขึ้นๆ ละเอียดเข้าไปๆ จนกระทั่งไปถึงที่ที่มันเคยเสื่อม มันจะเสื่อมที่นี่ เอ้าๆ เสื่อมไปบอกเลย ได้หักห้ามกันพอแล้ว ยังไงมันก็ไม่อยู่คราวนี้ปล่อยเลย เอา อยากเสื่อมเสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย มันจะเสื่อมที่ตรงไหนให้รู้กัน พอไปถึงนั้นแล้วก็ปล่อยเลย แต่พุทโธกับสติไม่ยอมปล่อย
พอถึงนั้นแล้วจะเสื่อม เอ้า เสื่อม พอถึงขั้นมันแล้วนะ ถึงนั่นแล้วมันจะเสื่อม ทุกครั้งๆ เป็นอย่างนั้น ทีนี้ปล่อยเลย เอ้าๆ เสื่อมไป แต่คำบริกรรมกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อย ติดกับคำบริกรรมเลย พอไปถึงนั้นแล้วว่ามันจะเสื่อมไม่ห่วงใย ปล่อยเลย เอ้า จะเสื่อมให้เสื่อมไป พอถึงนั้นแล้วทีนี้ไม่เสื่อมนะ เอ้า เสื่อมบอกเลย มึงอยากเสื่อมมึงเสื่อมไป กูไม่ยอมเสื่อมกับคำบริกรรมกับสติซัดขึ้นไป ทีนี้ไม่เสื่อม แล้วขึ้นไปเรื่อยๆ แทนที่ไปถึงนั้นแล้วจะลงไม่ลง ขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปจนกระทั่งจิตแนบสนิทๆ จนกระทั่งที่ว่าจิตเรานี้ภาวนาๆ พุทโธๆ อยู่นี้ เวลาจิตละเอียดจิตอิ่มตัวแล้วคำว่าพุทโธหายนะ พอไปถึงนั้นแล้วพุทโธหายเงียบเลย ปรุงไม่ขึ้น คิดอะไรก็ไม่มี เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดแน่วกับสติ
อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ สงสัยนะ ก็พุทโธๆ ติดกันมาตลอดตั้งแต่วันตั้งคำบริกรรม แล้วนี้มันหายไปไหนเงียบเลย ตั้งไม่ขึ้น จิตมันละเอียดเต็มที่ เรียกว่ามันอิ่มตัว อิ่มคำบริกรรมเข้าพัก พูดง่ายๆ พัก ไม่ปรุงอะไรเลย คิดอะไรก็ไม่ออก อย่าว่าแต่พุทโธ จะคิดเรื่องใดก็ไม่ออก หมดความปรุง เอ้า อยู่นี้ก่อน คำว่าหมดคำบริกรรมนี้จิตมันละเอียดนะ ให้สติจับอยู่กับนั้น จับอยู่กับความรู้ที่ละเอียด ส่วนสตินี้ไม่ให้เผลอ ทีนี้พอมันได้จังหวะนี้มันก็คลี่คลายออกมา คือจิตสงบเหมือนเราตื่นนอน พอมันคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ นึกพุทโธได้พุทโธต่อเรื่อยเลย
ทีนี้ก็เลยรู้จักวีธี พอถึงขั้นจิตอิ่มตัวจิตสงบมันจะปล่อยคำบริกรรม นึกก็ไม่ออก ปล่อยเสียเวลานั้น แต่ความรู้นั้นกับสติให้ติดกันไปเรื่อย มันเลยไม่เสื่อม นี่ละวิธีการปฏิบัติต้องทดสอบตัวเอง นี่เราได้ทดสอบอย่างนั้น แล้วก็ไม่เสื่อมตั้งแต่นั้นมาเรื่อยเลย ไม่เสื่อม ขาดสตินี่จับได้ชัดเจน อ๋อ สติสำคัญมาก พอขาดสติจิตเสื่อมได้ๆ เมื่อไม่ขาดสติแล้วไล่มันเสื่อมมันก็ไม่เสื่อม เราเป็นแล้วนี่ จึงบอกว่า เอ้า เสื่อมไป อยากเสื่อมไปไหนเสื่อม เราหึงหวงห่วงใยมันพอแล้วมันไม่ได้ฟังเสียงเรา คราวนี้ปล่อยเลย เอ้า เสื่อม แต่คำบริกรรมกับสติจะไม่ยอมปล่อย มันก็เลยได้กับอันนี้ไปเรื่อยๆ เจริญเรื่อย นี่เราพูดแต่ต้นไปถึงขั้นไม่เสื่อม ทีนี้ก้าวหน้าละที่นี่ เรียกว่าตั้งรากตั้งฐานได้เพราะสติดี
ใครมีสติดีแล้วตั้งได้ ถ้าขาดๆ วิ่นๆ เผลอๆ เผลๆ อะไรไป นึกได้เมื่อไรถึงมาระลึกไม่เป็นท่านะ ถ้าลงได้เอาจริงเอาจังพ้นมือเราไปไม่ได้ละ เราทำแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจิตเราก็ไม่เคยเสื่อมอีกเลย ทะลุไป จนกระทั่งนั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่นเห็นไหมล่ะเมื่อไม่เสื่อมแล้วมันก็ก้าวใหญ่ เอาใหญ่เลย จากนั้นมาก็ก้าวทางวิปัสสนาพิจารณาทางด้านปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์ทุกสัดทุกส่วนในสกลกาย ของสัตว์ของบุคคลของเขาของเรา ของหญิงของชายพิจารณากระจายออกไป ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังละที่นี่ ถลกออกไปหนังน่ะ มันสวยมันงามอยู่ที่หนัง ถลกหนังออกแล้ว เอ้า ดู นั่นน่ะปัญญา เข้าใจไหม ดูเป็นหญิงเป็นชายที่ไหน น่ารักน่าชอบใจที่นี่มันเป็นเพราะหนัง
จากหนังดูเข้าไปกระดูกสวยอะไร ดูเข้าไปข้างในเท่าไรสวยที่ไหนงามที่ไหน มันก็เห็นชัดด้วยปัญญาละซิ เมื่อเห็นชัดแล้วมันก็ค่อยปล่อยของมันไปเองๆ นี่วิปัสสนาทางด้านปัญญา เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาเห็นผลแล้วมันเพลินนะ ทางด้านปัญญานี้มันจะไม่เข้าพักสมาธิ มันเพลิน หมุนติ้วๆ เลย จนกระทั่งเจ้าของเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ให้หยุดพักทางปัญญาเสีย เข้าสู่สมาธิ เวลามันเพลินทางปัญญามันไม่สนใจสมาธินะ ไม่สนใจก็ตาม เอาคำบริกรรมติดเข้าไปให้มันเข้าสู่สมาธิได้ จิตเป็นหนึ่งได้ ใครบริกรรมคำไหนก็เอาคำนั้น บริกรรมพุทโธก็เอาพุทโธๆ ให้อยู่กับพุทโธๆ จิตก็แน่วลงไปสู่สมาธิ มีกำลังวังชาเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม นี่ละพักเอากำลังเป็นอย่างนั้น
พอได้โอกาสแล้วรู้ว่าจิตนี้แน่นหนามั่นคงได้กำลังพอแล้ว ก้าวออกทางวิปัสสนานี้มันพุ่งเลยเทียว มันอยากออกยิ่งกว่าอะไร มันไม่สนใจกับสมาธิ มันหาว่าสมาธิไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส ตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาต่างหาก แก้กิเลสคือปัญญา นั่นมันไปอย่างนั้น มันก็จะเห็นคุณของปัญญาโดยถ่ายเดียวไม่เห็นโทษของสมาธิ เพราะฉะนั้นจึงให้รู้วาระ วาระนี้เราทำงานเพื่อผลประโยชน์ด้วยปัญญา วาระนี้เราจะพักจิตของเราเพื่อจะเอากำลังวังชาเพื่อวิปัสสนาต่อไป ให้พัก พักมันไม่อยากพัก
ลำพังจะบังคับไว้เฉยๆ ไม่อยู่นะ มันจะพุ่งๆ ทางปัญญาตลอด ต้องเอาคำบริกรรมให้ติดกับนั้นปั๊บเลย เอ้า บริกรรมพุทโธๆ ถี่ยิบเข้าไปลง ที่นี่จิตลง ลงแน่วมีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่าแล้วก็เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม โอ๋ ทีนี้สบายเบาหมดเลย นี่จิตพักงาน พอได้กำลังเต็มที่แล้ว พอรามือเท่านั้นมันจะพุ่งออกทางด้านปัญญา ให้ทำอย่างเก่านี้ต่อไปเรื่อยๆ นี้เรียกว่าปฏิปทาที่ถูกต้องดีงาม พากันจำเอาไว้นักปฏิบัติ
มีใครจะสอนที่ว่าถูกต้องแม่นยำ นี้แน่ใจการสอนว่าไม่ผิดเพราะเราผ่านมาแล้ว ทายผิดทายถูกอะไรเราผ่านมาหมด คัดเลือกมาหมดแล้วมาสอน ตั้งแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ให้นำไปปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นไม่ได้เรื่อง ภาวนากี่ปีกี่เดือนไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่ได้เรื่องนะ ต้องให้มีหลักมีเกณฑ์ ตั้งได้จิตขอให้มีหลักเกณฑ์เถอะ การภาวนาๆ ท่านพูดกว้างๆ นี่สอนกันก็สอนทั่วโลกเรื่องภาวนา ไม่ทราบภาวนายังไงตั้งหลักตั้งเกณฑ์ยังไง ไม่มีหลักมีเกณฑ์มันก็ไม่ได้เหตุได้ผลได้อรรถได้ธรรม ให้มีหลักมีเกณฑ์อย่างที่ว่าซิ เอาทำอย่างนี้ละ ตั้งได้ๆ ขึ้นได้ไม่สงสัย ที่สอนนี้ไม่ผิด ดังที่ว่าคำบริกรรมเป็นสำคัญ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว ต่อจากนั้นจิตก็สงบๆ เรื่อยๆ ควรพักพัก ควรจะออกทางวิปัสสนาออก จำให้ดีเหล่านี้ ดำเนินมาแล้วไม่ผิด ได้ผลมาแล้วจึงมาสอน สอนด้วยความได้หลักได้เกณฑ์นี้ ผู้ยึดก็ยึดได้หลักได้เกณฑ์ ที่สอนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง ผู้ปฏิบัติก็ไม่ทราบจะยึดเอาตรงไหนๆ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ได้เรื่อง เหลวไหลทั้งนั้น จำให้ดี เอาละเท่านี้ ทีนี้จะให้พร
ขบขันเวลากลางคืนส้วมไล่ ทั้งกลัวเสือ ไอ้ปวดหนักนี้มันก็ไล่ นี้กลัวก็กลัว อยู่ไม่ได้ก็ต้องวิ่ง กลัวเท่าไรต้องวิ่ง กลัวเสือจะงับเอาละซิกลางคืนไปอยู่ในป่าเสือ แต่ก็ไม่เคยมีนะ ไล่เอาๆ จะว่าไง สอนเหล่านี้สอนโดยถูกต้องนะ ให้ดำเนินตามนี้จะไม่ผิด ก้าวเรื่อยได้ ไม่ได้สอนสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้ปฏิบัติถือเอาหลักเกณฑ์ไม่ได้ ภาวนาเท่าไรก็ไม่ได้หลักได้เกณฑ์เพราะไม่ถูกต้องตามหลัก ปฏิบัติตามนี้ได้ๆ ไม่สงสัย
ไปที่ไหนมองเห็นแต่รูปอีตาบัว นู่นๆ ไม่ทราบว่าติดไว้อะไรนักหนา โธ้ ไปที่ไหนมีแต่รูปหลวงตาบัว ถ้าเป็นแต่ก่อนพูดตรงๆ เลย ถ้าเป็นแต่ก่อน โอ๋ย เป็นบ้าไปเลย เขายอเขาเอารูปไปติดไว้ แต่ทุกวันนี้พูดตรงๆ มันไม่มี จะยอขนาดไหนก็เป็นส่วนเกิน จะตำหนิติเตียนอะไรเป็นส่วนเกิน ไม่ติด ยอไปก็ตกผล็อย นินทามาก็ตกผล็อยแบบเดียวกัน อยู่แต่ความพอดี เป็นอย่างนั้นละ เหล่านี้เป็นส่วนเกิน โลกธรรมแปดเป็นส่วนเกินทั้งหมด ธรรมชาติที่พอตัวแล้วด้วยความเลิศเลอ นั่นไม่มีอะไรเข้าไปเกาะติดเลย ไม่ติด เอาละไป
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |