เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ใจเป็นรังใหญ่ของงาน
เราเห็นพี่น้องทั้งหลายเข้าวัดเข้าวาทำบุญให้ทาน นี่เป็นโอชารสของธรรมเข้าสู่ใจ อย่างอื่นไม่สำเร็จ มีเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา ตายแล้วยังเหลือแต่กองกระดูก ผู้เป็นเจ้าของเหลือแต่กองกระดูก สมบัติก็กองอยู่นั้นไม่มีอะไรติดตัวไป ส่วนบาปกับบุญติดอยู่ภายในใจ ใครสร้างบาปมากก็เรียกว่ากองฟืนกองไฟเผาตลอด ใครสร้างบุญสร้างกุศลมากก็มีตั้งแต่ความชุ่มเย็นเต็มในหัวใจไปเลย กองสมบัติทั้งหลายเหล่านั้นทิ้ง กองกระดูกก็ทิ้ง สมบัติมากๆ ก็ทิ้ง ไปแต่บาปกับบุญติดหัวใจไป นี่เป็นหลักความจริง ไม่มีใครพูดได้อย่างนี้นอกจากศาสดาองค์เอก
ส่วนมากพวกตาบอด กิเลสมันหลอกว่าตายแล้วสูญๆ พวกนี้พวกเหมาความชั่วทั้งหลาย ทำตามใจชอบๆ เพราะตายแล้วก็สูญ พวกนี้พวกทำบาปมากที่สุด เรื่องบุญไม่ถามถึงเลย จะทำแต่บาป คือตามความชอบใจ ความชอบใจเป็นฝ่ายต่ำ มันก็ลงทางต่ำๆ เรื่อย แต่ตายแล้วมันไม่สูญละซิ จิตดวงนี้ไม่เคยสูญไม่เคยฉิบหาย แม้ไปตกนรกอเวจีอยู่กี่กัปกี่กัลป์ ทุกข์เท่าไรตามกรรมของตนยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจ
ทีนี้กรรมทั้งหลายอยู่ในกฎอนิจจัง มันก็ค่อยเปลี่ยนแปลง พอหมดกรรมอันนั้นก็เปลี่ยนมาๆ จนกระทั่งดีดขึ้นมาเป็นคนดีได้ แล้วก็ใจดวงนี้ละดีดถึงนิพพาน ลงนรกก็ไม่สูญ ดีดไปถึงนิพพานก็ไม่สูญเป็นธรรมธาตุ อันนั้นหมดปัญหา พอดีดขึ้นถึงนิพพานแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่มีปัญหาอะไรจะติดต่อกันไปได้อีก หมด เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ จิตดวงนี้กลายเป็นธรรมธาตุแล้ว
ให้ดูทางด้านจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา จึงรู้เรื่องของใจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เรานักปฏิบัติก็รู้ได้ก็เพราะจิตตภาวนาที่ชัดมากนะ ส่วนการงานการกุศลทั้งหลายก็เป็นความอบอุ่นภายในใจ ทางจิตตภาวนาเป็นใจกลาง นี่ละเข้าตรงนี้ๆ แล้วทีนี้ตามดูจิต เวลาฝึกหัดเข้าด้ายเข้าเข็มมันไม่ยอมเข้า จิตมันเถลไถลไม่ยอมเข้า ฝึกไปหลายหนหลายครั้งก็ค่อยได้หลักได้เกณฑ์ก้าวเข้าสู่ความสงบเย็นใจๆ ทีนี้จิตก็ค่อยผ่องใสขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนไม่รู้ว่าจิตเป็นยังไงกายเราเป็นยังไง ก็เหมาเอากายทั้งกายกับจิตนี้ละว่าเป็นเราเป็นของเรา ความจริงจิตเป็นจิต ร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของจิต เวลาภาวนาเข้าไปๆ จิตตะล่อมตัวเข้ามาเป็นตัวของตัว เริ่มแต่ความสงบเป็นสมาธิจิตจะเริ่มตะล่อมตัวเข้ามา ให้ทราบชัดว่าร่างกายส่วนต่างๆ นี้เป็นเรือนร่างของจิต ยิ่งจิตมีความละเอียดมากเข้าไปเท่าไรยิ่งเห็นได้ชัด ว่าร่างกายนี้เป็นเพียงเรือนร่างของใจเท่านั้น คือใจใสสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ภายในเป็นตัวของตัวอยู่ ร่างกายจะเป็นอะไรก็เป็นตาม ส่วนใจมีความสงบผ่องใสเด่นอยู่ท่ามกลางร่างกาย เด่นเท่าไรก็ยิ่งเด่นขึ้นที่นี่ ตรงกลางหัวอกนะไม่ได้อยู่บนสมอง นักภาวนารู้
ความจำนี้ขึ้นบนสมอง เช่นเราเรียนอะไรๆ ใช้ความจดจำนี้ขึ้นสมองจนสมองทื่อจำไม่ได้ แต่ทางด้านจิตตภาวนานี้มีความสงบผ่องใสมากน้อยเพียงไรจะกระจ่างอยู่นี้ สงบเย็นสว่าง สว่างเรื่อยๆ อยู่ที่หัวอก นี่คือจิตตภาวนา จิตตภาวนารู้วิถีทางเดินของจิต ความเป็นอยู่ของจิตและของร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกนั้นไม่สามารถมองเห็นได้เลย จิตตภาวนาเป็นเอก เห็นได้เรียกว่าเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ เห็นโดยลำดับลำดาจนกระทั่งบริสุทธิ์ นี่ละที่นี่มันไม่ได้สูญนะจิต
ที่โลกว่าสูญๆ คือโลกตาบอดมันไม่เห็น ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นโลกวิทู ทรงรู้แจ้งทั้งภายนอกภายใน รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง รู้หมด กิเลสภายในใจก็ซักฟอกออกหมดโดยสิ้นเชิง เหลือแต่จิตล้วนๆ เลยกลายเป็นธรรมไป จิตกลายเป็นธรรมนี้เรียกว่าธรรมธาตุ อยู่ในร่างกายนี้เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ หรือเรียกว่าพระอรหันต์ ถ้าให้ชื่อก็ว่าพระอรหันต์ นั่นละจิตของท่านเป็นธรรมธาตุแล้วอยู่ในร่างกาย
ร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของธรรมชาติอันนั้น พอธรรมชาตินี้หมดสภาพไปตามเรื่องของมัน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟกระจายออกไป จิตดวงนี้ดีดออกไปนี้เรียกว่าธรรมธาตุ ดีดออกจากนี้แล้วก็เป็นธรรมธาตุ ทีนี้เที่ยงตลอด ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง ก็คือจิตที่บริสุทธิ์เป็นธรรมธาตุแล้วนั้นแล ไม่สูญ ท่านจึงสอนให้ภาวนา เพื่อความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่ต้องมาเกิดตายแบกหามกองทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์
ใจดวงนี้ไม่ตาย เกิดตรงนี้ตายแล้วไปเกิด คำว่าตายก็คือร่างที่เข้าไปอาศัยมันพังลงไป ไปเข้าร่างนั้นเข้าร่างนี้ เกิดที่นั่นตายที่นี่ สำหรับใจเองไม่ตาย ที่มันเคยเป็นอย่างนี้มาขาดสะบั้นไปหมด ไม่เข้าร่างไหนอีกต่อไป เป็นธรรมธาตุล้วนๆ นี่ละที่นี่เที่ยง เรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่มีสิ่งใดเที่ยงในโลก โลกนี้เป็นโลกอนิจจัง กฎอนิจจังทั้งนั้น ส่วนวิมุตติหลุดพ้นไปแล้วจากกฎอนิจจังนี้เป็นความเที่ยงตรงไปเลย เรียกว่านิพพานเที่ยง
ให้ได้เห็นด้วยภาวนามันถึงชัดเจน นักภาวนาได้รู้ประจักษ์ตนเองไม่จำเป็นจะต้องถามใคร จะมีคนจำนวนสักเท่าไรจะไปถามคนหนึ่งคนใดไม่สนใจ ธรรมชาตินี้ สนฺทิฏฺฐิโก รู้ขึ้นประจักษ์ตนภายในตนแล้วพอหมดเลย พระพุทธเจ้าก็พอ ตรัสรู้เป็นศาสดาพอ สอนโลกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พระอรหันต์พอตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนโลกได้เต็มภูมิไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า นี่ละความเชื่อตัวเอง เชื่อ สนฺทิฏฺฐิโก ผลแห่งความดีของตนที่ได้สร้างมาถึงขั้นตายใจแล้วที่นี่ ไม่มีเยื่อใย อดีตอนาคตอะไรไม่มี ปัจจุบันก็ไม่มี เป็นสมมุติทั้งหมด อันนั้นเลยหมดแล้ว นี่จิตดวงนี้เป็นอย่างนั้นให้จำ
อย่าเข้าใจว่าสูญนะ ตามด้วยจิตตภาวนาอย่าไปตามลมๆ แล้งๆ เชื่อหูนั้นเชื่อปากนี้ โกหกกันไปลมๆ แล้งๆ ไม่มีใครได้หลักได้เกณฑ์ ส่วนท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรมรู้ตามความจริงแล้วท่านไม่ไปถามใคร ประจักษ์อยู่ในหัวใจ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมาในวาระสุดท้าย เรียกว่าสิ้นสุดแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเรียบร้อยแล้ว ได้รู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี นั่น หมดงาน พระอรหันต์ท่านหมดงาน
งานมันอยู่กับใจนะ ที่จะดีดดิ้นไปงานโน้นงานนี้ภายนอกนั้นมันออกจากใจ ใจเป็นรังใหญ่ของงาน พอรังใหญ่ของมันตัวยุ่งอยู่ในนั้นคือกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว หมดงาน พระอรหันต์ท่านไม่มีงาน หมด จะละกิเลสตัวไหน เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ที่ท่านปฏิบัติก็ปฏิบัติกับสมมุติ ที่มันเป็นสมมุติอยู่ดั้งเดิม ลบล้างไม่ได้ ก็ปฏิบัติตามมัน พาอยู่พากินพาขับพาถ่ายพาหลับพานอน เคลื่อนไหวไปมาเพื่อขันธ์นี้ทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อจิต จิตหมดภาระทุกอย่าง เป็นอย่างนั้นละ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าแน่นอนตายตัว มีศาสนาเดียวท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เจ้าของศาสนาเป็นศาสดาองค์เอก ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาใจบริสุทธิ์ สอนโลกด้วยความบริสุทธิ์ในพระทัย จึงไม่มีคำว่าผิดว่าพลาด สอนโลกทั้งๆ ที่มีกิเลส สอนเขาก็งมๆ ไปอย่างนั้นละ สอนตัวเองก็งมๆ ไป งูๆ ปลาๆ ถ้ารู้ตัวเองรอบหมดแล้วไม่มีที่จะงูๆ ปลาๆ สอนตรงเป๋งๆ เลย นี่ละใจดวงนี้ให้พากันจำเอา มันพาเกิดพาตาย แต่ละร่างๆ นี้มันเกิดได้หลายประเภท เกิดได้หมดนั่นแหละ พวกมดพวกแมงสัตว์น้ำสัตว์บกสัตว์อะไรมันเคยผ่านมาทั้งนั้น
จิตดวงนี้ไปได้หมดตามอำนาจแห่งกรรม ไปเกาะใดภพใดชาติใดก็เกาะอยู่ในภพนั้น ชาตินั้นเสวยกรรมไป พอหมดวาระนี้แล้วกรรมที่ต่อเงื่อนกับอะไรอีกก็ต่อกันไปเรื่อยเลย พอจิตบริสุทธิ์ผึงแล้วนั้นไม่ต้องละที่นี่ ไม่ไปไหนเลย บริสุทธิ์สุดส่วน พากันจำเอานะ วันนี้พูดมากไม่ได้มันหูอื้อแล้ว พูดยากหูอื้อ พอพูดนี้มันออกนี้ หูอื้อไม่พูดมากละ เอาละทีนี้จะให้พร..
โห ปวดขาต้องเหยียดขา ไม่เหยียดไม่ได้ นี่ละที่ว่าปฏิบัติกับขันธ์อย่างนี้ มันเป็นภาระ พระอรหันต์ท่านเป็นภาระกับแบกขันธ์ อย่างอื่นไม่มี พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย พาเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอด จนกระทั่งมันหมดสภาพแตกกันไป จิตก็หมดภาระ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz