เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
สติขาดเพราะไม่มีคำบริกรรม
(ที่หลวงตาเทศน์แล้วออกทางวิทยุว่า ภาวนาบางทีเราทำไม่ได้ ก็ขอให้ได้ฟังเทศน์แล้วธรรมจะซึมซาบน่ะค่ะ ยังไม่ได้อะไรก็ขอให้มีธรรมะนี้ซึมซาบเข้าไปในจิตใจ) ซึมเข้าไปในใจ ก็เหมือนเรารับประทานอาหารเข้าไปในนี้อันเดียวมันซึมซาบไปหมด หล่อเลี้ยงไปได้หมด ซึมซาบเข้าไป ธรรมซึมซาบเข้าถึงใจแล้วกระจายออกไปข้างนอกก็ดีไปหมด พอจิตใจดีเสียอย่างเดียว กิริยาความเคลื่อนไหวไปมาหน้าที่การงาน ตลอดการคบค้าสมาคมอะไรนี้จะซึมซาบเป็นทางดีไปหมด เข้าใจไหมล่ะ
(อย่างหลวงตาเทศน์สอนพระว่า พระเวลาบิณฑบาตต้องมีมารยาท ทีนี้เราฟังในฐานะเป็นฆราวาสก็สามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวัน ว่าการรับของจากใครต้องมีมารยาท ก็เลยได้ข้อคิดอีกข้อหนึ่งค่ะ) ตั้งแต่คบหลวงตามาจนกระทั่งป่านนี้ได้ข้อคิดสองข้อเท่านั้นเหรอ (ได้หลายข้อเจ้าค่ะ ทีนี้..) นั่นเห็นไหมสวนกันตรงนี้
ธรรมซึมซาบเลยกลายเป็นนิสัยไปเลย คือจิตได้รับความซึมซาบจากธรรมจากวินัยไปเป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองในจิตใจ ธรรมวินัยเข้าเป็นเนื้อเป็นหนังแล้วอาการทุกอย่างออกไปเป็นธรรมไปเลย เป็นธรรมเป็นวินัย อะไรๆ อย่างนี้จะมีธรรมวินัยออกหน้าๆ คือเป็นนิสัยไปเลยว่างั้นเถอะ นิสัยเคยระมัดระวังเช่นอย่างพระ พระผู้เป็นอรรถเป็นธรรมตามศีลตามธรรมจริงๆ ไม่ใช่พระแบบโกโรโกโส เข้าใจไหม พระมีหลายแบบ พระลูกศิษย์ตถาคตเรียบร้อยดีงาม มีหิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปเป็นประจำใจประจำนิสัย
ไอ้พระโกโรโกโสนี้หาสั่งสมแต่ความชั่วช้าลามก ธรรมวินัยไม่สนใจ ความชั่วช้าลามกนั้นดิ้นหาดีดหายศหาลาภหาความสรรเสริญเยินยอ นั้นไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดละซิว่า ขอเดินบิณฑบาตผ่านพระราชวัง ไม่ให้พระราชทานพัดยศแก่พวกนี้ พวกหัวโล้นคือพวกเรา เขาก็โล้นเราก็โล้นพูดกันได้ใช่ไหม คนอื่นเขาไม่กล้ามาพูดได้ พวกเรานี่มีสิทธิเรื่องศีลธรรมด้วยกัน ผิดถูกดีชั่วรู้ด้วยกันเห็นด้วยกัน ใครผิดพลาดประการใดว่ากันจะเป็นอะไร เช่นอย่างที่ว่าเสนอขอยศ เราขอบิณฑบาตผ่านพระราชวังว่าอย่างนี้เลย มีใครพูด นี่พูดเป็นธรรมไม่สะทกสะท้านเพราะเอาธรรมออก ธรรมเป็นธรรมสอนโลก ไม่ให้พระราชทาน
พระพุทธเจ้าไม่ทรงชมเชยสรรเสริญ บวชมาเพื่อธรรมเพื่อวินัย ไม่ใช่เพื่อยศเพื่อลาภความสรรเสริญเยินยอ ไม่มี นั่นเรียกว่าโลกธรรม ๘ ให้ละ เราไปกว้านเข้ามามันขัดกัน หาแต่ลาภแต่ยศความสรรเสริญเยินยอ ลาภยศความสรรเสริญเยินยอตัวเองด้วยการปฏิบัติอรรถธรรมให้ถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย จนผลปรากฏขึ้นในใจของตัวเอง นั่นเป็นลาภเป็นยศของผู้ปฏิบัติ องค์นั้นสำเร็จโสดา องค์นั้นสำเร็จสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นั้นเป็นอรหันต์ นั่นยศของท่านท่านหาเอง ท่านไม่ไปขอจากใครเป็นคนขอทาน หิวโหยตลอดเวลา เจ้าของไม่มีไปขอแต่ผู้อื่น ปฏิบัติเอาจากเจ้าของซิ พระพุทธเจ้าประทานให้แล้ว
เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูด ไม่มีใครพูดในประเทศไทย นี่พูดได้ตามหลักของอรรถของธรรม ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านในการพูดนี้ว่าจะผิดไป คือเอาธรรมเอาวินัยออกพูดมันจะผิดไปไหน นี่คือองค์ศาสดา คำพูดที่ออกไปนั้นเป็นคำสอนของศาสดา ไม่ใช่คำสอนของอีตาบัว เข้าใจไหมล่ะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ฟังเรื่องอรรถเรื่องธรรมก็ธรรมของพระพุทธเจ้าเสียหายไปไหน เรื่องธรรมมีอยู่ทั่วไป ถ้าถือเป็นคติเครื่องเตือนตนแล้วจะได้เป็นคติไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้จะนำสิ่งทั้งหลายมาเป็นประโยชน์แก่ตน
การพูดของเราจะว่าผิดแปลกจากใครเราก็ยอมรับว่าผิด แต่ไม่ผิดธรรมไม่ผิดวินัย นั่น พูดอย่างตรงไปตรงมาเรียกว่าธรรมวินัย ภาษาธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่อ้อมแอ้มๆ โมกโขโลกนะ เห็นแก่หน้าแก่ตากันมันเป็นเรื่องของโลกสกปรก เรื่องของธรรมเป็นเรื่องสะอาด ขัดข้องตรงไหนชำระล้าง เตือนกัน ผู้ฟังก็ฟังด้วยความเป็นธรรม ฟังกันได้ง่าย ยอมรับกันทันทีๆ เป็นอย่างนั้นละ
ที่เราเคยพูดเสมอให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ มันเป็นในใจจริงๆ ไม่ใช่มาเสแสร้งทำ เพราะแต่ก่อนข้อวัตรปฏิบัติ เรากับพระกับเณรนี้เหมือนว่าออกหน้าตลอด ไม่มีบกพร่องเลย ข้อวัตรปฏิบัติการปัดกวาดทุกสิ่งทุกอย่าง เรานำหน้าอย่างคล่องตัวๆ ทีนี้พระเณรก็อืดอาดไม่ได้ใช่ไหมล่ะเมื่อหัวหน้าเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนเราแข็งแรงนี่นะ ตั้งแต่เริ่มมาสร้างวัดเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อนก็นำหมู่เพื่อนไปอย่างนั้นตลอดเวลา ถึงเวลาปัดกวาดลงปุ๊บเหมือนกันไม่ได้รอ ทุกสิ่งทุกอย่างทำเหมือนพระทั้งหลายตั้งแต่เวลายังหนุ่มอยู่นะ ทำไม่มีบกพร่องละข้อวัตรปฏิบัติ เหมือนหนึ่งว่านำหน้าตลอด
นี่พูดถึงเรื่องความเป็นธรรม หัวใจเป็นธรรม ไม่ได้เอาอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ มาเป็นธรรมนะ เป็นธรรมไม่ได้เป็นของปลอม ต้องเป็นธรรมเสมอ เราทำอะไรน้า กุฏิก็เป็นกระต๊อบนั่นแหละ ตั้งแต่ยังไม่สร้างกุฏิหลังนี้ขึ้นมา เราทำอะไรเป็นเขียนหนังสือหรืออะไรน้า แต่ก่อนหนังสือก็เขียน ตอบรับจดหมายแต่ก่อน ทีนี้มองดูนาฬิกาผิด โธ้ นี่มันเลยเวลาแล้ว ก็ปุ๊บปั๊บลงปัดกวาด นั่นเรียกว่าดูเวลาผิด เจ้าของนึกว่าเลยเวลาไปแล้ว ปุ๊บปั๊บได้ไม้กวาดก็ปัดกวาดจากข้างในของเจ้าของเรียบร้อยออกมาข้างนอกนี้ ไม่เห็นพระเณรปัดกวาดเลยแม้แต่องค์เดียว
เห็นเณรหนึ่งอยู่นี่ เณรจรวด มันทิดจรวดทุกวันนี้ มันลูกพระไอ้นี่ เป็นหลานของท่านสุพัฒน์ วัดบ้านต้าย ที่ตกเครื่องบินตาย เป็นหลานท่านสุพัฒน์ เป็นลูกพี่สาวท่านสุพัฒน์ มันก็เป็นลูกพระมาตั้งแต่โน้นมาจนกระทั่งป่านนี้ มาบวชเป็นพระมันก็เป็นลูกพระของวัดนี้ตลอดมา ตอนนั้นมันเฝ้าวัดอยู่นี้ เราปัดกวาดออกมาปุ๊บปั๊บๆ ไม่เห็นพระเณรสักองค์เลย
เณร พระวัดนี้มันตายกันหมดแล้วเหรอ ใครจะกุสลาใครมันตายกันหมดแล้ว ถึงเวลาทำไมไม่เห็นปัดกวาด เอาอย่างเข้มข้นด้วยนะ นี้ยังไม่แล้วนะถ้าเคลื่อนอย่างนี้กลางคืนจะประชุมกันละ จะเอาอย่างหนักเลยเทียว อย่างนี้ละการปกครอง ต้องเด็ดต้องเฉียบขาดในความถูกต้องดีงาม ถือความถูกต้องดีงามเหมือนว่าเป็นดาบฟันคอขาดเลย ใครต้องกลัว
ออกมาก็ว่า เหอ ใครจะกุสลาใคร ขึงขังตึงตังเต็มที่นะ เอาจริงเอาจังเหมือนจะตัดคอพระทั้งวัด เป็นยังไงเณรไม่เห็นพระสักองค์เดียว เณรตอบว่า มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที คือธรรมดาปัดกวาดบ่าย ๔ โมง หือ เวลาเท่าไร พึ่งบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ถ้าอย่างนั้นหยุดๆ ขึ้นทันทีเลยนะ หยุด เดี๋ยวพระจะเป็นบ้าทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเรา แล้วก็ปุ๊บปั๊บหันหลังไปเลย นั่นเห็นไหมเด็ดทั้งสอง บอกว่าอย่ามากวาดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเรา กลับหลังหันปุ๊บไปเลย
เณรมันคงจะหัวเราะ เพราะทีแรกเหมือนจะกัดจะฉีก พอรู้ว่าเจ้าของผิดก็ว่าจะไปแก้บ้าเจ้าของ ก็อย่างนั้น นี้คือธรรมนะ เราไม่ได้มาทำแบบเสแสร้าง ทำเป็นความสัตย์ความจริง คิดดูซิถ้าผิดจริงๆ คืนวันนั้นประชุมนะนั่น ดีไม่ดีไล่หนีทั้งวัดเลย ของเล่นเมื่อไร ทีนี้เราผิดเราก็ขับไล่เราไปแก้บ้าตัวเอง นี่เรียกว่าความเป็นธรรม ไม่ได้เอาอำนาจป่าเถื่อนมาปกครอง ปกครองโดยธรรม เราผิดต้องยอมรับว่าผิดทันที คนใดผิดยอมรับว่าผิดเพราะธรรมเป็นใหญ่อยู่แล้ว เราปฏิบัติให้เป็นไปตามธรรม จะเหนือธรรมไปไม่ได้ เมื่อตัวผิดจะเหนือธรรมไปยังไง
ถ้ายังว่าถูก ถือทิฐิมานะว่าตัวเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้ ผิด ธรรมไม่ได้ชมเชยให้เป็นเจ้าอำนาจป่าเถื่อน เข้าใจไหม นี่ละยกตัวอย่างมาให้เห็น คือเราไม่มีอะไรแล้วในจิต มีแต่ธรรมล้วนๆ นี่นะ มาปกครองวัดนี้ก็มีแต่ธรรมล้วนๆ มาแล้วนี่ เป็นธรรมล้วนๆ มาตั้งแต่ลงวัดดอยธรรมเจดีย์มาแล้ว มาอยู่นี้กับหมู่เพื่อนก็เป็นธรรมล้วนๆ ในหัวใจ คิดอะไรผิดปัดปุ๊บเลยทันที ธรรมชาตินี้อะไรจะเข้าไปแตะไม่ได้ ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ในหัวใจ อะไรผิดปั๊บมันจะปัดของมันเองๆ คิดอะไรผิดปั๊บปัดปุ๊บเลย ทีนี้การแสดงออกจะเอาหยาบๆ มาแสดงผิดๆ พลาดๆ ต่อหน้าธรรมชาตินี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า หยุดๆ ขึ้นทันทีเลย เราจะไปแก้บ้าของเรา ไม่ให้มาปัดกวาดมันจะเป็นบ้าทั้งวัด นั่นเห็นไหม เราจะไปแก้บ้าเรา ไปปุ๊บๆ เลย เณรมันคงจะอดหัวเราะไม่ได้ ทีแรกเหมือนจะกัดจะฉีก ใส่ปึ๋งๆ พอเจ้าของผิดปุ๊บซัดเจ้าของเลย ไปแก้บ้าเจ้าของ นั่นฟังซิน่ะ
การปกครองต้องปกครองโดยอรรถโดยธรรม อย่างอื่นไม่ได้ อย่างอยู่ในวัดนี้เหมือนกัน เช่นอยู่ในวัดนี้ปกครองหมู่เพื่อน แบบนั้นละแบบอื่นไม่มี เป็นธรรมล้วนๆ เลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จะหลบหลีกปลีกตัวอันเป็นเรื่องของกิเลสไม่ได้ ต้องเป็นธรรมล้วนๆ เวลาปฏิบัติตัวเองก็ปฏิบัติมาอย่างนั้น ว่าอย่างไรแล้วถ้าลงได้เอานะเท่านั้นละขาดไปเลย ยอมรับว่าเป็นธรรมแล้วเดินตามนี้พุ่งเลย ไม่ได้หลบได้หลีกอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เช่นนั้นไม่ได้ กิเลสมันตัวหลบหลีกหลอกลวงเก่ง มันจะหลบหาทางออกไปแล้วก็มาเหยียบหัวเรา กิเลสหาทางออกแล้วก็มาเหยียบหัวเรา เอาธรรมตามเหยียบมันแหลกไปเลยซิ
การปฏิบัติธรรมเรื่องจิตตภาวนาเคยสอนแล้วนะ เรื่องสติเป็นสำคัญ เรายกให้สติ สติเป็นสำคัญมากตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งวิมุตติพระนิพพาน ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา จากสติล้มลุกคลุกคลานนี่ละ ตั้งล้มๆ เอา ตั้งไม่หยุดไม่ถอย หาอุบายวิธีคิดมันตั้งผิดพลาดเพราะอะไร ไล่เบี้ยมันเข้าไป ส่วนมากจะมาขึ้นอยู่กับอาหารนะผู้ภาวนา สำหรับเราเองได้คิดได้อ่านทุกอย่าง ทำลงไปได้คิดได้อ่านทุกอย่างไม่คิดไม่ได้ สักแต่ว่าทำไม่เกิดประโยชน์ ต้องใช้ความคิด อย่างที่เราว่าเราตั้งได้จิตเราไม่เสื่อมเพราะสติ จึงได้นำสติมาสอนพี่น้องทั้งหลายว่าถูกต้องแล้วไม่ผิด
เหตุการณ์ที่ว่าเรื่องสตินี้ เราอยู่โคราช อำเภอจักราช หยุดจากการเรียนแล้วออกจากกรุงเทพก็ไปจักราช จำพรรษาที่จักราช เร่งความเพียรอย่างหนักเลย เริ่มอดอาหารตั้งแต่ไปอยู่จักรราช เริ่มอดอาหารเรื่อยมา นั่นละสติมันไปจับได้ตรงนั้น เวลาผ่อนอาหารๆ สติดีขึ้นๆ อดอาหารสติดีเรื่อยๆ จับติดๆ จนกระทั่งตั้งจิตได้ จิตเป็นสมาธิมาตั้งแต่อยู่จักราช แน่นปึ๋งเลยเชียว ทีนี้เป็นธรรมที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น เราก็ไม่รู้จักวิธีรักษา จึงตายใจไปได้โดยไม่รู้ตัว ทีนี้มาจากโคราชมาอุดรนี้ กลดขาดเหลวแหลก เอากลดเก่าเขามาใช้มันขาดแหลกเหลวหมด เลยมาทำกลดที่บ้านตาดนี้
แต่ก่อนมันเป็นดงอยู่ทางตะวันออกบ้าน เราพักอยู่ทางตะวันออกบ้าน ทำกลดหลังเดียวเท่านั้นยังไม่เสร็จ จิตที่มันแน่นปึ๋งอยู่นั้น มันลักษณะเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง คือพอว่าเข้านี้ผึงแน่นปึ๋งเลย เข้าได้อย่างคล่องตัวๆ พอมาทำกลดหลังหนึ่งยังไม่เสร็จ เข้าจิตได้บ้างไม่ได้บ้าง อ้าว เอาแล้วนี่ เสื่อม ผิดแล้วไม่ได้แล้ว รีบทำกลดอย่างรวดเร็วเลย เสร็จเรียบร้อยแล้วก็โดดออกเลย เสื่อมหมดตัวเลยนะ เท่านั้นละพอเข้าได้บ้างไม่ได้บ้างเท่านั้น พอเราไปปรับปรุงใหม่แทนที่มันจะดีขึ้นกลับลงเรื่อยๆ ลดฮวบๆ หมดตัวเลย มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวอกที่นี่
จิตเสื่อมนี่ทุกข์มากนะ ทุกข์มากจริงๆ เราเคยเป็นแล้ว คือมันเล็งเห็นเหมือนว่าเราเคยมั่งมีศรีสุขมีเงินเป็นล้านๆ แต่ไปล่มจมลงเสียด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง แม้เงินจะมีอยู่ในบ้านในเรือนหรือธนาคารเป็นแสนๆ ก็ตาม มันไม่ได้อยู่นี้นะ ไม่มีความหมาย มันไปอยู่กับเงินที่ล่มจมไปแล้วเป็นจำนวนล้านๆ อันนี้จิตมันไปอยู่กับสมาธิที่มันล่มจมลงไป ที่ว่าเทียบกับเงินล้านๆ จมลงไป ทำยังไงก็ไม่ได้เรื่องๆ ร้อน ทุกข์มากทีเดียว เป็นไฟสุมอยู่ภายในเราไม่ลืม ตั้งสติพยายามตั้ง แต่ไม่ได้บริกรรม ดูจิตพยายามดู พอ ๑๔-๑๕ วันขึ้นไปแน่นปึ๋งนะ ไอ้แน่นปึ๋งนี่เพียงสองคืนสามคืน พอลดลงข้างหลังนี้เหมือนกลิ้งครกลงจอมปลวก ไหลพืดนี่ทับไปเลยหัวคนเอาไว้ไม่อยู่ นี่เวลามันเสื่อมมันเสื่อมอย่างนั้น ฮวบๆ หมด ยังเหลือแต่อีตาบัว โอ๊ย ท้อใจ
เอาอีกฟัดอีก ๑๔-๑๕ วันจึงขึ้น เป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๑ ปีกับ ๕ เดือน ทุกข์นี่แสนทรมานนะ จิตเสื่อมทุกข์มาก ถ้าเขาไม่เคยมีเคยเป็นอะไรเลยก็เหมือนคนที่เขาหาเช้ากินเย็น เขาไม่ได้ทุกข์มากเหมือนเศรษฐีทั้งคน แต่พาเงินไปล่มจมเสียเป็นล้านๆ จนกระทั่งแทบจะหมดเนื้อหมดตัว ผู้นี้ทุกข์มากที่สุด ตาสีตาสาหากินตามท้องนาหาเช้ากินเย็นเขาไม่ได้ทุกข์มากเหมือนเศรษฐีที่ล่มจม อันนี้ธรรมเราก็เป็นขั้นเศรษฐีขั้นหนึ่ง สมาธิแน่นปึ๋งๆ จมลงไปเลยนี้ทุกข์มากที่สุด เราพยายามๆ ถึงปีห้าเดือน
มาทบทวนพิจารณาใหม่มันเป็นยังไง เราก็พยายามทำนี้แล้วไปถึงที่นั้นแทนที่จะอยู่แล้วจะไปเลยทำไมไม่ไป มันทำไมลงมา เวลาลงลงอย่างรุนแรงด้วยไม่มีอะไรต้านทานไว้อยู่เลย มันจะเป็นเพราะขาดคำบริกรรมละมัง คือเราตั้งสติจ่ออยู่กับความรู้ จ่อไม่หยุดไม่ถอย ก็ว่าเอาเต็มเหนี่ยวนะตั้งสติ แต่ขึ้นไปแล้วมันก็ลงๆ ได้ปีห้าเดือนเราไม่ลืมนะเพราะทุกข์มากฝังใจลึกทีเดียว นี้มันคงจะขาดที่เราไม่บริกรรมกระมัง จิตอาจจะเผลอไปตรงนั้น ตั้งจ่ออยู่กับจิต สติมันจะเผลอไปตรงนั้นละจิตถึงเสื่อมได้ ทีนี้เอาใหม่ เราจะตั้งคำบริกรรมติดกับจิตเลย คำบริกรรมเราชอบพุทโธ เอาพุทโธติดกับจิต ให้จิตทำงานกับพุทโธๆ ให้สติควบคุมจิตไม่ให้เผลอ เอ้า มีช่องนี้เท่านั้นละ
เพราะมันคิดมันอ่านทุกข์มาได้ปีกับห้าเดือน ทีนี้จะเอาแบบนี้คราวนี้ จะเอาคำบริกรรมพุทโธๆ นี้ติดกับจิตแล้วสติติดกับคำบริกรรมไม่ยอมให้มันเผลอ อ้าว ทีนี้มันจะเสื่อมไปไหนให้รู้คราวนี้แหละ แต่เรามันจริงนะ ว่าอะไรเป็นอย่างนั้นจริงๆ พอลงใจแล้วก็เหมือนนักมวยเขาจะต่อยกัน พอระฆังเป๋งนี้ก็ซัดกันเลย คำว่าเป๋งนี้เอานะ นั่นหมายถึงว่าเอาละนะตั้งสติ ตั้งสติตั้งแต่บัดนั้นเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ยอมให้เผลอเลย พุทโธๆ ติด โลกอันนี้เหมือนไม่มี ให้มีแต่คำว่าพุทโธกับสติติดกันอยู่ที่หัวใจ เอาทั้งวันไม่ให้เผลอ โอ๋ย มันอยากคิดอยากปรุงนะ เหมือนอกจะแตกนะมันดันขึ้นมา ดันเท่าไรก็ตาม เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้ว่าถ้าสติมีอยู่แล้วกิเลสไม่เกิด คือสังขารนั่นละมันนำกิเลสออกมาจากสังขาร อวิชชาใส่กิเลสเข้าในสังขาร สังขารออกมาก็เป็นกิเลส พอออกไปก็ย้อนเข้ามาเผาเรา ทีนี้ไม่ยอมให้ออก
โอ๋ย เหมือนอกจะแตกมันอยากคิดอยากปรุง แต่เอาพุทโธ งานของพุทโธนี้เป็นงานคิดปรุงเหมือนกันแต่ปรุงเป็นธรรม เอางานของธรรมปิดช่องไว้เลย พุทโธๆ ปิดช่องไว้ สติติดแนบอยู่นั้น มันอยากคิดขนาดไหนไม่ให้คิดไม่ให้เผลอ ตั้งแต่ตื่นนอนก็จับปุ๊บเลย จนกระทั่งหลับไม่ยอมให้เผลอไปไหนเลย นู่นน่ะทุกข์ไหม นี่ละทุกข์มากที่สุดการบังคับจิตด้วยสติอย่างเอาจริงเอาจังนี้ทุกข์มากทีเดียว มันอยากคิดอยากปรุงไม่ยอมให้คิดเลย ก็มันคิดไม่ได้จริงๆ นี่ มันเอาจริงเอาจังมาก ตื่นนอนปั๊บเอาอีก วันแรกนี้เหมือนหัวอกจะแตก สังขารของกิเลสมันอยากปรุงมันดันขึ้นมาๆ มันขึ้นไม่ได้ มันเคยขึ้นช่องนั้น ช่องนั้นถูกพุทโธปิดไว้เลย กับสติปิดไม่ให้มันออก นี่ละจึงว่าเหมือนอกจะแตกวันแรกถึงขนาดนั้น แต่เรื่องเผลอไม่ให้มีกับพุทโธ
วันสองต่อมารู้สึกว่าค่อยเบาลง ที่มันดันมันอยากคิดอยากปรุงเบาลง วันสองค่อยเบา วันต่อไปเรื่องเผลอไม่ให้เผลอเลยมันจะไปยัง เอ้า ให้รู้กันคราวนี้ทำไมไปถึงขั้นนั้นแล้ว เจริญถึงนั้นแล้วมันเสื่อมๆ เป็นเพราะเหตุไร เอา ทีนี้ปล่อย เอ้า เสื่อมไปไหนก็เสื่อมไป เจริญก็เจริญไปแต่พุทโธกับสติติดกับหัวใจนี้จะไม่ยอมปล่อย เอาเท่านั้นละไม่เอามาก ซัดกันตรงนั้น ทีนี้ก็ค่อยเจริญขึ้นๆ นี่เปิดให้ท่านทั้งหลายฟังเป็นคติ เราทำมาอย่างนี้ พอวันสองเข้าไปค่อยเบาๆ สังขารของสมุทัยไม่ค่อยดันแรง ทีนี้พุทโธไม่หยุดนี่ซิ เอาพุทโธไม่หยุดตลอดตั้งแต่เช้าถึงค่ำๆ ไม่ให้มีเผลอเลย
ทีนี้จิตเมื่อได้รับการบำรุงรักษาอยู่กิเลสเข้าไปแทรกไปทำลายไม่ได้ มันก็สงบเข้าไปๆ พุทโธไม่ถอย ติดแนบๆ จึงได้เห็นที่สุดของคำบริกรรมอยู่ที่ตรงไหน นี่มันก็รู้อีก พอจิตได้รับการบำรุงรักษาดีแล้วเหมือนกับเรารับประทาน พอถึงขั้นมันอิ่ม ถึงขั้นจิตจะสงบลงๆ ด้วยพุทโธๆ ไปถึงขั้นอิ่มตัวแล้วทีนี้ปรุงไม่ได้นะ ปรุงพุทโธก็ไม่มี นึกอะไรไม่มีเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ เราก็นึกว่าบริกรรมพุทโธๆ มาโดยตลอด แล้วทำไมทีนี้พุทโธไม่มีเลยมันเป็นยังไง แต่สติไม่ยอมให้เผลอนะ เอ้า บริกรรมไม่ออกก็ไม่ต้องบริกรรม
คือมันมีอันหนึ่งที่ละเอียดอยู่นั้น จิตมันอิ่มตัวแล้วมันพักตัว เข้าใจไหม จิตพักตัวปรุงไม่ขึ้นนะ จิตพักตัวรู้ละเอียด เอาสติจับไว้ตรงนั้น เอ้า บริกรรมไม่ได้ก็ไม่ต้องบริกรรม ฟังนะท่านทั้งหลายให้ถือเป็นคติ ไม่ต้องบริกรรมแต่สติจับอยู่กับความรู้ที่เด่นนั่น จับอยู่นั้น คือนึกไม่ออก พุทโธไม่ออกเลย ทีนี้พอได้จังหวะแล้วก็เหมือนเด็กตื่นนอน พอมันนอนอิ่มแล้วมันก็ตื่น ทีนี้พอจิตอิ่มตัวนั้นเรียกว่านอนอิ่มว่างั้นเถอะ มันขยับคลี่คลายออกมาพุทโธอัดเข้าไปอีก เอาพุทโธอย่างนั้น ทีนี้ก็รู้วิธีปฏิบัติ พอมันถึงขั้นนั้นเมื่อไรแล้วพุทโธจะไม่มี ดับ แต่ความรู้อันนั้นละเอียดสุด สติจับอยู่นั้นไม่ถอย พอมันคลี่คลายออกมาก็เอาพุทโธใส่เข้าไปเรื่อยๆ
นี่ละที่ว่าจิตไม่เสื่อม พอก้าวเข้าไปถึงขั้นที่มันเคยเสื่อมอยู่ได้สองคืนสามคืนเสื่อม เอ้าๆ เสื่อม พอมาถึงขั้นนี้แล้วมันเคยเสื่อม เอ้าๆ เสื่อม เปิดเลย แต่พุทโธกับสติไม่ถอย เอ้าๆ จะเสื่อมไปไหนก็เสื่อม พุ่งเรื่อยไม่เสื่อมนะ ค่อยขึ้นเรื่อยๆๆ เราไม่เสียดายแล้ว มันจะเสื่อมไปไหน เอ้า ปล่อยให้เสื่อม แต่อันนี้ไม่ปล่อยคำบริกรรม ทีนี้ก็พุ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงได้ทราบว่า โอ๋ นี่สติขาดจุดนี้เอง สติขาดเพราะไม่มีคำบริกรรมกำกับให้สติทำงานอยู่กับคำบริกรรม จากนั้นก็ขึ้นเรื่อยๆ นี่ละตั้งฐานได้ จากนั้นมาไม่เสื่อมเลยนะ ขึ้นเรื่อย ออกจากนั้นก็ฟาดนั่งหามรุ่งหามค่ำ ตลอดรุ่งๆ จนก้นแตก ฟังซิน่ะ นี้ไม่เสื่อมขึ้นเรื่อยเลย
จึงได้เอาอันนี้มาสอนพี่น้องทั้งหลายว่าสติเป็นสำคัญ กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม ถ้าสติยังติดอยู่แล้วกิเลสจะแสดงออกมาไม่ได้ มีก็มีเฉยๆ แสดงฤทธิ์ไม่ได้ สติเป็นสำคัญมากครอบไว้เลย จำเอานะ จนกระทั่งผ่านได้เลย จิตที่เคยเสื่อมไม่เสื่อมพุ่งๆ ไปเลย ก้าวหน้าไปตลอดจนสุดความสามารถของจิตของธรรม ขึ้นไปจากเริ่มตั้งสติทีแรกนี้ละ ฐานนี้ดีสติตั้ง จากสติก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติไปแล้วที่นี่ ออกจากสติปัญญาอัตโนมัติก็เป็นมหาสติมหาปัญญาพุ่งๆ เลย เริ่มต้นตั้งแต่พุทโธกับคำบริกรรมไม่ยอมปล่อยกันในเบื้องต้นนี่ จนกระทั่งทะลุเลย จำให้ดี
สติจึงเป็นของสำคัญมากเราทำมาแล้ว จิตจึงก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ไปถึงขั้นมันจะเสื่อมไม่เสื่อม ทะลุเลย จึงได้เห็นความบกพร่องของตัวเองว่า มันเสื่อมที่ขาดคำบริกรรม คือจิตเผลอตรงนั้น กิเลสออกตรงนั้นมาทำลายเราตรงนั้น พอสติไม่เผลอกิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็เกิดไม่ได้ว่างั้นเลย สติจึงสำคัญมาก จำให้ดี นี่ทำมาแล้วจึงมาสอน จึงไม่มีสงสัยว่าจะผิดพลาดไปไหน ไม่ผิด.ดังพระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก สอนไว้ด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบหมดเพราะทรงรู้รอบหมดเลย โลกวิทู รู้แจ้งทั้งนอกทั้งในตลอดทั่วถึงสมบูรณ์แบบ สอนโลกจึงไม่ผิด อันนี้เราก็ตามกำลังของหนูนั่นแหละ เราก็แน่เราว่าไม่ผิด.เพราะเราผ่านมาแล้วเป็นอย่างนั้นๆ สอนใครก็ไม่ผิด เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |