เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
กิเลสขาดจากใจอยู่ไหนสบายหมด
ก่อนจังหัน
เมื่อวานเขาลากเราไปฉันในบ้าน ไปสลบไสลอยู่นั่นเมื่อวาน ขนาดนั้นนะ เราปฏิบัติต่อโลกจนจะสลบไสลในบ้านเมื่อวาน เราไม่ได้พูด เฉย ทางโน้นก็บรรยายเรื่องนั้นเรื่องนี้ยุ่งไปหมด วันพรุ่งนี้ฉันศาลาใหญ่ งานมาอยู่ในหัวอกเรานี้ เราดูทองคำก็ได้เพียงหยิบเดียว มันยังไงนี่ งานนี้ก็เอาหลวงตาบัวเป็นหัวหน้า หลวงตาบัวเป็นอย่างนี้เหรอ สุดท้ายเราก็ไปกว้านเอาทองคำเข้ามา ๓ กิโลเลยมาใส่นี้ เป็นหน้าที่ของเราเองรับผิดชอบ ทำอะไรไม่ได้คิดได้อ่าน นี่คิดทุกแง่ทุกมุมนะอะไรๆ ยกตัวอย่างเช่นทองคำได้หยิบเดียว งานบ้านตาดตลอดถึงคนเมืองอุดรเราทั้งเมือง ได้ทองหยิบเดียวดูไม่ได้นะเรา เลยสั่งเดี๋ยวนั้นให้ไปเอา ๓ กิโลเลย พอดีท่านบุญมีอยู่นาคูณเอามา ๑ กิโล ก็เลยกลายเป็น ๔ กิโลแท่งและเศษนิดหน่อย อะไรๆ ก็มาลากเราไปเป็นหัวหน้าๆ เราไม่ค่อยรู้ตัว อะไรก็ไม่รู้ ให้พร
หลังจังหัน
สรุปทองคำน้ำไหลซึมที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม ถึงวันที่ ๘ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๒๙๙ กิโล ๕๓ บาท ๕๕ สตางค์ รวมทั้งหมดทั้งใหญ่ทั้งย่อยเป็นทองคำ ๑๑ ตัน ๓๓๗ กิโล ๓๐ บาท ๖๖ สตางค์
(ปัญหาธรรมะครับ ลูกขอกราบเรียนถามหลวงตาเกี่ยวกับการภาวนาของลูกดังต่อไปนี้ ลูกพิจารณาร่างกายเป็นโครงกระดูก จิตมันก็สว่างไสวและดื่มด่ำ ลูกพิจารณาต่อไปว่าโครงกระดูกเป็นดินน้ำลมไฟ จิตมันก็รวมเป็นหนึ่ง สว่าง แล้วพิจารณาในจิตนั้นเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จิตมันก็รวมพรึบ ว่าง สว่าง มีแต่ตัวผู้รู้รู้อยู่ในนั้น ลูกเป็นเช่นนี้บ่อยครั้ง พอจะกำหนดออกไปพิจารณาอสุภะโครงกระดูก มันก็แน่วอยู่อย่างนั้น มันไม่ยอมออกไปพิจารณาโครงกระดูก ก็เหมือนเดิม จากนั้นอสุภะตัวอื่นมันก็ไม่ยอมออกไปให้พิจารณา ลูกขอกราบเรียนเมตตาจากองค์หลวงตาว่า ลูกทำตามแนวทางนี้ถูกต้องหรือไม่ และจะต้องภาวนาอย่างไรต่อไป)
ที่เขาบอกมาทั้งหมดนี้ถูกต้องแล้ว การพิจารณาเมื่อมันพอตรงไหนมันปล่อยๆ มันอิ่ม พูดง่ายๆ ว่าอิ่ม การพิจารณาธรรมส่วนไหนพอแล้วมันปล่อยๆ ไม่พิจารณาอีก อย่างที่ว่าพิจารณามาถึงขั้นนี้มันปล่อย แล้วเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วก็ออกอย่างที่ว่านี้ละ ถูกต้องแล้ว ให้พิจารณาอย่างนั้นละ เมื่อเข้าถึงขั้นอิ่มตัวอิ่มหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดภายในใจก็อิ่มตัวแล้วปล่อยหมดเลย อันนั้นอิ่มอันนี้อิ่มแต่ตัวเองยังไม่อิ่มก็ยังต้องพิจารณาอีก เอาอันนี้เป็นหินลับปัญญาหรือเป็นปุ๋ยหนุนเข้าไป พอหนุนเข้าไปพอแล้วทีนี้อิ่มหมด อิ่มหมดแล้วปล่อยหมด อิ่มตัวเองปล่อยตัวเอง คำว่าเราปล่อยออกหมด นี่ละการพิจารณา
เราอยากให้พี่น้องชาวพุทธเราทั้งหลายได้ภาวนาตามทางของศาสดาบ้าง มีแต่เรื่องทางกิเลส เวลานี้คลื่นมหาสมุทรทะเลหลวงสู้คลื่นกิเลสไม่ได้ คลื่นกิเลสนี้ใหญ่หลวงกว่านั้นอีก เราอยากให้พิจารณา เอาธรรมะนี้ตีคลื่นให้มันตกทะเลหลวงของมัน เราพิจารณาเป็นอย่างนั้นละ รู้เข้าไปๆ ผลสุดท้ายดังเขาว่านี่ มันรู้แล้วมันเข้าไปอยู่ในตัวของมัน มันปล่อย แล้วก็ออกไปเดินตามนั้นเพื่อนำปุ๋ยเข้ามาหล่อเลี้ยงจิตใจหรือว่าเป็นหินลับปัญญาก็ไม่ผิด แต่พออิ่มหมดแล้วเต็มที่แล้วจะปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง แม้ตัวเองก็ปล่อย ตัวเองนั่นสำคัญ ถ้ามีเราแล้วก็มีเขา เรานี้ปัดออกหมดไม่มีเหลือ เขาก็ไม่มี หูก็ไม่มีว่างั้นเลยมันพอ
เมื่อถึงขั้นมันอิ่มพอทุกอย่างแล้ว ใจดวงนี้เป็นนักรู้มันจะรู้ตัวเอง แล้วย่นเข้ามาอย่างนี้ละ อันนี้กำลังพิจารณา ให้มันรู้รอบขอบชิดเข้าไปๆ จนกระทั่งมารู้ตัวเองพอแล้วปล่อยหมด รู้อะไรยังไม่รู้ตัวเองยังปล่อยไม่ได้ อย่างที่เราเคยพูดที่เดินจงกรมอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ ที่ตีนเขาทางด้านนั้น ความสว่างมองดูที่ไหนมันว่างหมดเลย ภูเขาที่เราเหยียบนั้นยอมรับว่าเป็นภูเขา แต่ความว่างเหนือหมดเลย จากว่างแล้วก็อัศจรรย์ ทีนี้มันทนอุทานไม่ได้เลยออกอุทานนะเราไม่ลืม
โอ้โห จิตของเรานี้ทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้ สว่างไสวครอบโลกธาตุไปหมดเลย นับแต่ร่างกายลงไปนี้ทะลุหมดไม่มีอะไรเหลือเลย นี่เราหลงตัวเองตื่นตัวเองนะนั่น ว่าอัศจรรย์ๆ ยืนรำพึงอยู่นั้นละ มันว่างหมดเลยโลกธาตุ และเป็นความอัศจรรย์อีกด้วย จึงได้ออกอุทานในใจอย่างนั้น ทีนี้พระธรรมท่านที่เหนืออันนี้อีกท่านเตือน พอเรื่องรำพึงนี้สงบลงเท่านั้นท่านเตือนขึ้นมาเป็นคำพูดเป็นคำๆ ในใจ เรียกว่าธรรมเกิด หรือว่าธรรมเตือน
กิเลสเกิดมี ธรรมเกิดมี กิเลสเกิดมี ธรรมเตือนมี อย่างที่ว่านี้เป็นธรรมเตือน กลัวเราหลง เราเห็นว่าอันนี้อัศจรรย์ สักเดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาเป็นคำเราไม่ลืม ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นออก งงละที่นี่ ต่อมจุดนี่คือจุดที่มันสว่าง เหมือนตะเกียงเจ้าพายุที่ไส้มันสว่าง นั่นละต่อม ต่อมแห่งความสว่างอยู่ที่นั่น ไม่รู้นะ ท่านเตือน ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ ผู้รู้ก็คืออันนั้นแหละ ไส้ตะเกียงที่สว่างๆ อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ งง แก้ตัวเองไม่ได้
ถ้าไปกราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านจะใส่เปรี้ยงขาดในเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้นะ จะบรรลุธรรมปึ๋งเดี๋ยวนั้นเลย ติดอยู่นั่นซิ นี่ละไม่มีใครสอน ธรรมะท่านเตือนถูกต้องแต่เราไปงงเอง จุดต่อมจี้เข้าไปตรงนั้น ถ้าพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็จะว่า ก็ตรงนั้นแหละต่อม ปล่อยไว้ทำไม นั่นละต่อมฟืนต่อมไฟ ต่อมภพต่อมชาติอยู่ที่นั่น พูดง่ายๆ ว่างั้น มันจะทิ้งทันทีเลย ผึงเลย อันนี้ก็งมไปงมมา แบกไปจากวัดดอยธรรมเจดีย์ตอนเดือน ๓ ไปนู้นแล้วกลับมาอีก มาวัดดอยฯ เดือนเมษา พฤษภา มาวัดดอยฯอีก กลับมาปลงกันตรงนี้ละ จุดต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ ได้มาปรากฏเด่นชัดในครั้งที่กลับมาเที่ยวที่สอง พอผางนี้เท่านั้น ต่อมก็คือผู้รู้ ผู้รู้นี้เรียกว่าต่อมอวิชชา เรารู้ได้เมื่อไร พออันนี้ผ่านหมด อันนั้นหมดที่ว่าสว่างไสว อันนี้เหนือนั้นอีกขนาดไหนพูดไม่ได้เลย หมดปัญหาโดยสิ้นเชิงทันที นั่นเวลามันแก้กันแก้อย่างนั้น
ปัญหาอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ แบกปัญหาไปโน้นกลับมาก็มาปลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เป็นเวลาดูเหมือน ๓ เดือนมั้ง เดือนกุมภาฯ ไป แล้วเดือนเมษา พฤษภาก็กลับมา กลับมาวัดดอยฯนั่นละ มาปลงกันที่นั่น คำว่าสว่างไสวนี้ก็เลยเป็นเหมือนกองขี้ควายไป พออันนี้ออกหมดแล้วความสว่างที่เลิศเลอสุดสมมุติแล้วอยู่ใต้พื้นไม่เห็น ความสว่างอันนี้ไปปิดไว้ให้หลง พออันนี้ตกกระจายออกไปเท่านั้นจ้าขึ้นมานี้มันมีอยู่แล้วนั่น นี่ละจิตอัศจรรย์อย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณา
พระพุทธเจ้าประกาศทั้งสามแดนโลกธาตุ พวกเราอยู่โลกธาตุไหนถึงไม่ได้ฟังไม่ได้พิจารณาให้ได้รู้บ้างในธรรมที่ว่านี่ ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมอันนี้มันคึกคักนะ ดีไม่ดีมันฆ่าคนหมดนี่ อำนาจของธรรมมีกำลัง ไม่ใช่อำนาจของกิเลสโมโหโทโสพอจะฆ่าคน พูดไปเฉยๆ ไม่ได้ฆ่า นี่ผลแห่งการภาวนาโดยลำดับ เอากายเป็นที่ตั้ง พิจารณากายเขากายเรา กายสัตว์กายบุคคล ทีแรกมันก็เป็นอสุภะอสุภังสกปรกเต็มโลกเต็มสงสาร จากนั้นรวมลงใน อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทีเดียวครอบหมดเลย ว่าอนัตตาทีเดียวพรึบหมด มายุติที่อนัตตา
เวลามันขึ้น จิตดวงเดียวนี้ทำไมมันเป็นได้หลายอย่างนักนา คือไม่มีที่พิจารณาแล้วมีอันเดียวที่รู้ นอกนั้นมันปล่อยหมด ก็มีอันเดียวเท่านี้ เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าผ่องใส มันมีอยู่ตามความละเอียดของจิต คำว่าเศร้าหมองก็ละเอียดตามขั้นของจิต พอจับได้ว่าเศร้าหมอง ผ่องใสก็พอจับได้เท่านั้น นี่ละทำไมมันเป็นได้หลายอย่างนัก เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง เดี๋ยวว่าผ่องใส พอว่าอย่างนั้นสงบจิตนิ่งเงียบที่นี่ เหมือนว่าอุเปกขา วางเฉย แล้วอันหนึ่งผุดขึ้นมาว่า เหล่านี้เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ที่ว่าสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เศร้าหมองก็ดี ผ่องใสก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ เท่านั้นแล้วนิ่ง
ตอนนั้นไม่ปรากฏว่าทำงานอะไรเลย จะว่าจดจ่อกับอะไรก็ไม่ใช่ ตอนนั้นตอนวางเฉย จุดตรงกลางนั่นละจุดสุดท้าย อย่างพระอานนท์ตรัสรู้ธรรมบรรลุธรรมในวันทำสังคายนา ท่านก็มุ่งอยู่ข้างนอกไม่มาข้างในมาปัจจุบัน ท่านไม่ปล่อย พอท่านปล่อยเข้ามา นอน พอจะถึงหมอนนี่ปล่อยหมดแล้วนะนั่น เป็นกลางแล้วนั่น ผางขึ้นตรงนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน สรุปลงว่าธรรมทั้งสิ้นเป็นอนัตตานะ เท่านั้นละ จากนั้นก็นิ่งแล้วผางขึ้นมาเลย หมดโดยสิ้นเชิง หายสงสัย เหมือนฟ้าดินถล่ม แต่มันเป็นในกายนะ กายไหวอย่างรุนแรงทีเดียว กายกับจิต จิตกับกิเลสมันฟัดกัน เวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิงไม่มีซากเหลืออยู่แล้ว มันก็ผางขึ้นมาเลย นั่นละแดนอัศจรรย์ เหมือนฟ้าดินถล่ม แต่ฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา มันเป็นในกายกับจิต กายกับจิตเหมือนว่าฟ้าดินถล่ม มันรุนแรงมาก นั่นละจุดสุดท้ายลงอนัตตา สำหรับเราเองลงตรงนั้น
ต่อจากนั้นมาก็ไม่เคยปรากฏว่ามีกิเลสตัวใด เป็นลูกเป็นหลานเป็นเหลนของมันที่แทรกขึ้นมาให้มามีปัญหาว่า กูฆ่าตั้งแต่โคตรแซ่ของมึง แล้วมึงเป็นลูกเป็นหลานมาจากใคร มึงเป็นโคตรไหนอย่างนี้ ให้ได้มีปัญหาถามมันอย่างนี้ไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนั้นมา พากันจำ นี่ละกิเลส ถ้ากิเลสหมดไปความยุ่งทั้งหมดสามแดนโลกธาตุนี้หมดโดยสิ้นเชิง มีกิเลสตัวก่อเหตุตั้งแต่ส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียดสุดยอดมารวมอยู่ที่ใจหมด พอขาดสะบั้นลงจากนี้แล้วหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือเลย จากนั้นมาก็เรียกว่านิพพานเที่ยง หรือธรรมธาตุก็ได้ถ้าจะเรียกชื่อ
ท่านจะไปเรียกหาอะไร ความพออยู่กับท่านหมดแล้วไปเรียกหาอะไร วุ่นไปไหน เท่านั้นละ นี่ผลแห่งการปฏิบัติธรรม แต่สำคัญผู้ภาวนาต้องขึ้นกับสติ สติเป็นสำคัญมากปล่อยไม่ได้เลย สติสำคัญมากทีเดียวตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมหาสติมหาปัญญา สติล้มลุกคลุกคลาน เอา ตั้ง มันล้มก็ตั้ง การตั้งสตินี้เราได้พิจารณา เวลามันมีผิดมีพลาดตั้งไม่อยู่แล้วล้มลงไป ตั้งขึ้นมา พลิกไปทางไหนๆ พิจารณาเป็นเพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ บางวันตั้งได้แน่ว แล้วบางวันทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เพราะความละเอียดมันไหวนิดหนึ่งก็รู้จิตนะ ไม่ใช่มันเป็นอย่างโลกสงสารทั่วๆ ไปเป็นกัน มันเป็นอยู่ในส่วนละเอียดของจิต มันไหวนิดหนึ่งก็รู้
เช่น มีลักษณะผ่องใสหรือเศร้าหมอง สุขบ้างทุกข์บ้าง พอรู้เท่านั้นละจับได้ๆ นำมาเป็นปัญหาถามตัวเอง เป็นอะไรจิตดวงนี้ถึงเป็นได้หลายอย่างนัก เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง สุดท้ายจึงรวมยอดเข้ามาว่า ธรรมที่ว่าทั้งหมดนี้เป็นอนัตตานะ เท่านั้น จิตหยุดไม่ทำงานอะไรเลย เรียกว่าวางเฉย นี่เป็นปัจจุบันเต็มส่วนแล้วนะ ควรแก่ธรรมจะเกิดขึ้นอย่างเต็มเหนี่ยว จากนั้นก็ผางขึ้นมาเลย พระอานนท์ก็ปล่อยหมดความกังวล ที่ว่าจะบรรลุธรรมในวันสังคายนา หวังอยู่ๆ มันไม่ได้เข้ามาปล่อยตรงกลางให้เป็นปัจจุบัน ทีนี้พอท่านเข้ามาหมดแล้วมาเป็นปัจจุบัน ทอดอาลัย ก็ผางขึ้น
อันนี้ก็เหมือนกัน พออันนี้รวมเข้ามาเป็นอนัตตาเท่านั้น พอเป็นอนัตตาแล้วก็เป็นอุเปกขา นิ่งเฉย เอาตอนนั้นละตอนนิ่งเฉย จะว่าเจาะจงกับงานใดๆ ไม่มีทั้งนั้นเวลานั้น เรียกว่าอุเบกขาโดยหลักธรรมชาติ เป็นปัจจุบันในหลักธรรมชาติ ขึ้นตรงนั้นเอง ผางเลย มันรู้จนกระทั่งกิเลสกับจิตมันขาดจากกัน รู้ขนาดนั้นละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
โลกนี้เราอยู่ด้วยกันไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม กิเลสจะอยู่บนหัวใจ ขึ้นจรวดดาวเทียมมากิเลสก็อยู่บนหัวใจ ไม่มีใครมีความสุขละ เอ้า เหาะเหินเดินฟ้ามาเราว่าเขาเป็นความสุข ให้ดูกิเลสกับจิตอยู่ด้วยกันนั่น อยู่ที่ไหนหาความสุขไม่ได้ พอกิเลสขาดจากใจอยู่ที่ไหนสบายหมดเลย เข้าใจเหรอ เอาละพอ
เมื่อวานนี้จนจะไปสลบไสลอยู่ที่งานเขา คิดดูซิเทศน์ได้ ๑๐ นาที บืนได้เท่านั้นหมดกำลัง มันจะสลบอยู่ในงานเขา โลกเขาไม่รู้ เรารู้คนเดียวเรา เขาก็รื่นเริงบันเทิง ได้หลวงตามาเป็นประธานเขาดีใจ เรากำลังจะสลบอยู่นี้เขาไม่เห็น เมื่อวานนี้เป็นวันที่เพลียมากที่สุด มันจะก้าวเข้าขั้นสลบ เพราะฉะนั้นจึงเพลียทั้งวัน วันนี้พอลืมตาได้บ้าง เห็นไหมฉันจังหันเมื่อเช้านี้เกือบสามชั่วโมง เราปล่อยตามเรื่องของมัน มันจะเป็นอะไร ใจดูธาตุดูขันธ์มันจะเป็นอะไร เราปล่อยมันเมื่อเช้านี้ มันจะฉันอย่างไรปล่อยให้ฉันเมื่อฉันได้ เวลาฉันไม่ได้ฝืนนะ เวลาฝืนก็อาเจียน อันนี้มันไม่ฝืน ปล่อยเลยหนุนเลยเมื่อเช้านี้ ฟาดนี้ดูเหมือนจะสามชั่วโมงครึ่งมั้ง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|