เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
คลังแห่งธรรมอยู่ที่พระพุทธเจ้า
หูอื้อนี้หมอเขามียารักษาเหรอ (รักษาหายได้ครับ ถ้าหลวงตาไปให้เขารักษาครับ) เวลาพูดเสียงมันมาดัง (หายเป็นปรกติ) โกหกใช่ไหม อ้าวจริงๆ แล้ว จะทำให้เชื่อง่ายๆ ยิ่งไม่เชื่อ เราไม่เชื่อ (ลองดูก็ได้ครับ) ไม่ลอง (ถ้าเชื่อแล้วก็ลอง) เหมือนอย่างที่เคยพูด อีตาที่โกหก จนปรากฏชื่อลือนาม ไปที่ไหนเขาว่า อีตาโกหกนี้ไปไหน ชื่อดังจริงๆเลยแก โกหกเก่ง มีลักษณะท่าทีอำนวยด้วยนะ ไม่หัวเราะง่ายๆนะ ครึม เคร่งครึมเฉยเลย ลักษณะท่าทีอำนวยทุกอย่าง พูดโกหกเหมือนไม่ได้โกหก เฉยเลย เขาเอาต่อหน้าต่อตาเลย ไหนลุงเขาว่า โกหกเก่งใช่ไหม มาถาม ถามแก ถ้ามึงอยากทดลอง เอามากูจะโกหก ให้โกหกผม มึงต้องไปบังต้นเสาก่อนกูถึงจะโกหก มึงยังอยู่ข้างหน้ากูจะไม่โกหก ปุ๊บปั๊บเลยมันไปบังต้นเสา เอาทีนี้โกหก เอากูโกหกให้มึงไปบังต้นเสาแล้ว หมดท่า อย่างนั้น พูดเฉยนะ
มี นิสัยอย่างนั้นมี นักโกหกนี่ส่วนมากจะไม่ค่อยหัวเราะนะ เคร่งครึมเฉย เรียกว่าน่าเชื่อถือ เพราะงั้นแกถึงได้ต้มคนถนัดๆ พูดที่ไหนใครก็เชื่อ แกพูดเคร่งครึมเฉยเลย โกหกอย่างสบายไปเลย อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับนิสัยของใครของเรานะ ส่วนมากคิดดูถ้าเป็นนักโกหกนี่มักจะไม่ค่อยหัวเราะ เคร่งครึม มีขลังอยู่ในนั้นด้วยนะ ขลังๆ ด้วย ทำให้คนเชื่อได้ง่าย แกออกมาจากหมู่บ้านมานี่ มีคนหนุ่มแต่เขามีครอบครัวแล้ว ไปพูดแหย่แก พอผ่านมาจะไปไหนอีตาโกหกนี่น่ะ ว่าอย่างนั้นนะ ไปขู่แก จะไปไหนอีตาโกหกนี่ ถ้าพูดแล้วมึงว่าโกหกๆ เมียมึงตกบ้านเขารุมกันอยู่นั้น สลบไสลไม่ทราบมันตายหรือยัง ไม่ใช่โกหกเหรอ ไม่ใช่เมียกูนี่น่ะ แล้วเดินเฉยเลย
พอให้หลังเท่านั้นมันอยากได้สิบขาวิ่ง ไหนเขาว่าแม่เด็กตกบ้านตกที่ไหน อ้าวตกที่ไหน อ้าวอีตาโกหกว่าแม่เด็กตกบ้านตกเรือนลงไป เขารุมกันอยู่นี้ สลบไสล ว่าอย่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าแกเป็นนักโกหกเหรอ นี่แกเอาสดๆร้อนๆ คือพูดเฉยเลยนะ แล้ววันหลังขู่อีกอีตาโกหก โกหกต่อหน้าต่อตา ว่าให้แกอีก มึงว่ากูโกหกมึงเชื่อกูหาอะไร มึงไม่ใช่บ้าเหรอ มันเป็นอย่างนั้นละนิสัยคนชอบโกหก มันเป็นนิสัย เรานี้โกหกไม่เป็นละ ถ้าจะโกหกเขาจับได้ก่อนแล้ว อ้าวจริงๆน่ะ ถ้าจะโกหกเขาจับได้ก่อนแล้ว อันนั้นจับไม่ได้นะ เฉยเลย มันผิดกันนิสัยของคน
ที่จับไม่ได้เลยนี้ก็คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น จับไม่ได้เลยนะ จับพิรุธอะไรๆ ท่านจะหนักไปทางไหนๆ จับไม่ได้เลย เรียกว่าจับไม่ได้เลยละพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่ กิริยานิสัยการวางตัวสมจอมปราชญ์จริงๆ นะ จับไม่ได้นะ จะว่าท่านหนักทางไหนนี้จับไม่ได้อีกละ ก็มีได้แต่ว่าจอมปราชญ์ว่าอย่างนั้นเถอะ คือจับเงื่อนไหนก็จับไม่ได้ละ ท่านฉลาดแหลมคม การวางตัวของท่านทุกอย่างเรียบร้อยไปหมดเลย เวลาท่านพูดนี่เราผู้ฟังมันอกจะแตกมันอยากจะหัวเราะ ถ้าหัวเราะเหยี่วอยู่ข้างบน มันจะตบเอาใช่ไหมละ มันหัวเราะไม่ได้มันจะตาย ท่านพูดเฉยนะ ไอ้เรามันจะตาย ฟังเสียงท่านพูด มีเรื่องขบขันอะไรๆ นี้ท่านพูดสบายเฉยนะ ไอ้เรามันจะตาย
นี่ละที่ว่าจับไม่ได้เลยนะ ท่านพูดเรื่องขบขันที่น่าหัวเราะ แทนที่ท่านจะหัวเราะไม่หัวเราะนะเฉย ผู้ฟังนี้มันจะตาย ไอ้เรามันนิสัยลิง มันอดหัวเราะไม่ได้ละ ก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว เคยเล่าให้ฟังแล้วไอ้หมูสองตัว จำได้ไม่ใช่หรือ นั่นละท่านพูดเฉย คือนิสัยของท่านเราได้เตือนหมู่เพื่อนไว้ ท่านจะไม่หยุดปากของท่านละ เวลาเดินบิณฑบาตเดิน ไปเจอหมูจะพูดเรื่องหมู เป็นธรรมทั้งนั้นนะ ไปเจอไก่พูดเรื่องไก่ เจอวัวเจอควายเดินผ่านไปนี้จะพูดเรื่องวัวเรื่องควายไป เป็นคติธรรมๆ ไปเรื่อย อย่างที่ท่านไปเจอลูกหมูสองตัวท่านก็พูดแบบเดียวกัน
ท่านเดินไป หมูมันเอาจมูกมันขุดดิน ท่านพูดสบายนะ เฉย นี่เห็นไหมนี่เขาไม่ต้องแบกจอบแบกเสียมพะรุงพะรังเหมือนมนุษย์เรา หญ้าเขาขุดเอาเลยกินเลยๆ สบาย พวกเราไปไหนพะรุงพะรังทั้งแบกทั้งหาม ท่านพูดเฉยเลยนะ ท่านไม่ได้สนใจกับใครละ พวกเราไปไหนทั้งจอบทั้งเสียม ทั้งแบกทั้งหามไป นี่เขาไม่เห็นแบกอะไร เขาขุดกินสบายเขาไปเลย ไอ้เรามันก็อดไม่ได้ ท่านพูดท่านไปสบายท่านนะ ท่านไม่มีอะไรละ ท่านพูดเป็นธรรม เป็นเครื่องสอนมาข้างหลัง เพราะฉะนั้นเราจึงได้บอกพระ คือเราผู้ที่ติดท่านไป เตือนพระเสมอ เฉพาะอย่างยิ่งคือเวลาเราไม่อยู่มีใครไปเดินชิดติดกับท่าน เตือนให้ระวัง
ท่านพูดของท่านไปอย่างนั้น เราต้องจับเอามาพิจารณาเรื่อยๆ ไป ท่านพูดธรรมดานะ แต่เรามันจะตายนี่ซิ มันอดหัวเราะไม่ได้ พูดเรื่องหมูเขาขุดกินสบายๆ เขาไม่ต้องแบกจอบแบกเสียมเหมือนคน ว่าอย่างนี้นะ ท่านพูดนะ คนไปไหนพะรุงพะรังทั้งแบกจอบแบกเสียม เขาไม่เห็นแบกอะไร เขาขุดกินสบายไป ท่านก็เดินผ่านไป ทางนั้นเขาก็ขุดอยู่อย่างนั้น มันจะสบายแค่ไหนวะลองดู พอไปถึงข้างๆ เราเอาเท้าเราสอดเข้าไป เขาตื่นเท้าเราเขาโดด พอโดดตกกลิ้งไปทั้งสองตัวเลยนะ อ้าวเขาเป็นอะไรละ ใครไปทำเขา ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านก็เฉยอีกละ ใครไปทำเขา แต่เรามันอยู่ลึกๆ นั่นละ
คือเขาสบาย เข้าใจไหม เขาสบายมาก ไปนอนเกลือกอยู่นู่น กลิ้งตกลงไป ลงไปนอนเกลือก แล้วมันเป็นอะไรหมูสองตัวใครไปทำไมเขา เราก็เฉย แต่ลึกๆ มันมีอยู่ ตอบอยู่ลึกๆ ว่าเขาสบาย ทีนี้เวลาไปให้พร เรารับพรไม่ได้ คือพอท่านยถาเราก็สัพพี ใช่ไหมละ พอถึงสัพพีไม่ได้เราก็นิ่ง ท่านก็สัพพีของท่านไปเรื่อย หมู่เพื่อนก็รับสัพพีต่อไป คือเวลาบิณฑบาตมันมีอยู่สองแห่ง ทางหัวบ้านแห่งหนึ่งเขารวมใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วให้พรเขา เขาจัดที่ให้นั่ง ให้พรเสร็จแล้วออกมา แล้วมีทางท้ายบ้านอีก ทางนู้นอีกแบบเดียวกัน แล้ววันนั้นเจอถึงสองเสียด้วยนะ
อย่างนั้นถ้ามันไม่ลืมมันไม่ลืนะ เจอครั้งแรกเจอหมูสองตัว เขาสบายมาก เอาเท้าเราแหย่ไปนี้มันตื่นเท้าเรา มันโดดตกกลิ้งลงไปทั้งสองตัว เอาเท้าขึ้นฟ้าเลย ใครไปทำไมเขาละ เราไม่ตอบ มีตอบอยู่ลึกๆ ว่าเขาสบายมาก เขาไม่มีจอบมีเสียม เขาสบายมาก เข้าใจไหมละ นั่นมันจะสบายขนาดไหนวะ ลองดูมันเป็นอย่างไร มันหากมีแง่หนึ่งของเรา ไอ้จอมโง่มันก็ไปแบบจอมโง่เข้าใจไหม จอมปราชญ์ท่านก็ไปแบบจอมปราชญ์ ไอ้เราจอมโง่เราก็ไปแบบจอมโง่ของเรา มันหากมีฟัดมีเหวี่ยงกันอยู่ลึกๆ กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่ละ ท่านฉลาด เราโง่เราก็ไปแบบโง่ของเรา
เวลาไปให้พาให้ไม่ได้เลย ท่านก็ให้พร ท่านเฉยท่านไม่มีอะไร มันเป็นบ้าแต่เราคนเดียว กลับออกจากมาแล้วก็มาอีกแหละ มาที่สุดท้ายนี้ กอไผ่อยู่นี้กอหนึ่ง ท่านก็รับบาตรเสร็จ พอเสร็จแล้วท่านไปนั่งที่เป็นเอกเทศ ท่านให้พรเสร็จแล้วท่านออกมา คือเขาไม่ต้องตามมาส่งแหละ มีอะไรๆ เขาใส่บาตรเรียบร้อยแล้วออกไปเลย สุดท้ายพอเสร็จแล้วท่านก็ไปนั่งที่ให้พร มีหมูสองตัวอีกแหละ กำลังน่ารักอีกแหละไอ้หมูสองตัว เหมือนกับตัวทางนู้นละ ตัวเท่ากัน ท่านพูดท่านไม่หัวเราะนี่นะ ท่านพูดเฉยๆ
พอท่านกำลังมานั่ง มันดันกัน ตัวเท่ากันนั่นแหละ ตัวหนึ่งดันใส่กอไผ่ ร้องจี๊กๆ ทางนี้ยังดันไม่หยุด ดันตลอด ไอ้ตัวนี้น่ะ คือมันทะเลาะกัน ลูกหมูทะเลาะกัน ดัน แล้วท่านว่ามันอะไรก็ไม่รู้ไอ้นี่ก็ดี ไม่รู้จักแพ้จักชนะ ท่านว่าของท่านอย่างนั้นนะ เขาแพ้แล้วเขายอม ร้องจี๊กๆ ยังไม่ถอย ยังดันใหญ่ มันอะไรแกนี่น่ะ ไม่รู้จักแพ้จักชนะ ท่านพูดเฉยนะ ไอ้เราผู้ดูมันอดหัวเราะไม่ได้ ดันตัวนั้นใส่กอไผ่ ตัวนั้นมันก็ร้องจี๊กๆ ทีนี้ดันใหญ่ ท่านเลยว่าให้เขา ตัวนี้มันไม่รู้จักแพ้จักชนะ เขาแพ้แล้วเขายอมร้องจี๊กๆ ยังดันเขาใหญ่อยู่นี่ มันอย่างไรไอ้นี่ น่ะ ท่านพูดไปแล้วท่านแล้ว ก็เรามันไม่แล้ว ให้พรไม่ได้อีกแหละ
ขบขันดี เรื่องของพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่โอ๋ยจับไม่ได้นะ จับไม่ได้ละ พอรับบาตรเสร็จแล้วพระท่านก็ออกไปก่อนนะ เราก็เดินตามท่านสององค์ เดินตามท่านมา พ้นไปไม่นานนัก มันอะไร ว่าอย่างนั้นนะ ท่านมหานี่ให้พรตั้งสองหนสามหน ไม่เห็นรับพร ท่านว่าอย่งนั้นนะ มันเป็นอะไร ให้พรสองหนสามหนไม่เห็นรับพร คือยถาเราเป็นคนสัพพี ไปที่นั่นมันก็สัพพีไม่ได้มันจะตาย มาที่นี่อีกก็สัพพีไม่ได้ หมูสองตัว แล้วทำไมนี่ก็เงียบอีก มันเป็นอะไร มันอดหัวเราะหมูสองตัวไม่ได้ คือมันไม่รู้จักแพ้จักชนะ มันดันใส่กอไผ่ ประสาหมูก็หัวเราะ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านพูดเฉยไปอย่างนั้น อย่างนั้นละท่านไม่เหมือนเรา ไอ้เรามันไม่แล้วซิ ขบขันดี
จึงว่าจับไม่ได้ นิสัยพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นจับไม่ได้จริงๆ ก็เราจะว่าเป็นนักสังเกตุก็ไม่ผิด จะจับทุกระยะๆ ๆ ท่านแสดงอากัปกิริยาอย่างไร สมไปศึกษาไปอบรมกับท่านจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ไปสุ่มสี่สุ่มห้า หูหนาตาเถื่อนนะ ไปสังเกตุจริงๆ ทุกอย่าง ท่านแย็บออกมาอะไรเราจะจับมาพิจารณา เป็นอย่างนั้น นี่ก็จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือหลวงปู่มั่นเรา อันนี้จับไม่ได้แหละ เพราะเราเองอยู่กับท่าน คอยสังเกตุสังกาเรื่องราวอะไรๆ จับไม่ได้ เรื่องความฉลาดแหลมคมนี่เรียกว่าจอมปราชญ์ กิริยาท่าทางอะไรจะมีลักษณะหัวเราะอะไรๆ อย่างนี้ไม่มี นี่ละเรียกว่าจับไม่ได้นะ เรื่องขบขันที่น่าหัวเราะ ท่านก็เหอะ เท่านั้นแหละไม่ได้มากอะไร ทั้งๆที่พวกเราจะตายหัวเราะนะ ท่านเฉย สบายๆ ไป เหมือนกับอีตาโกหกใหญ่ นี่มันไม่หัวเราะเลย นี่ก็แบบเดียวกัน จึงยกให้ว่าจอมปราชญ์
ไปอยู่กับท่านก็เป็นเวลา ๘ ปี ตั้งแต่ไปอยู่ทีแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไปนี้ ก็เป็นเวลา ๘ ปี จับไม่ได้เลยนะ จึงยกให้ว่าจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมมากทีเดียว บิณฑบาตท่านจะพูดของท่านไปเรื่อยๆ จึงได้เตือนพระ ท่านจะพูดถึงเรื่องของท่านอะไรก็ตามเป็นธรรมทั้งนั้น พอเห็นหมาพูดเรื่องหมา มีแง่หนึ่ง แล้วเป็นคติธรรมสอนพระอยู่ข้างหลัง ไปนี้ไปเจอนั้นพูดอันนั้นอีกต่อไปเรื่อยๆ ของท่าน เป็นอย่างนั้นแหละ หากเป็นคติธรรมๆ พูดนี่ไม่มีละที่ว่ายิ้มๆ แย้มๆ จะหัวเราะอะไรไม่มี พูดของท่านไปอย่างนั้นละ ต่อไปเจอสัตว์ตัวนั้นอีกเอาเรื่องสัตว์ตัวนั้นขึ้นอีก พอจบอันนี้ไปเรื่องสัตว์ตัวนั้น ไปเจอวัวหรือเจอควาย เจอหมูเจอหมา เจออะไรจะเป็นกัณฑ์เทศน์ของท่านทั้งนั้นแหละ ท่านเป็นของท่านอย่างนั้น เรานิ่งนะ พูดไม่ได้นะ ท่านพูดคอยฟัง คอยถือเป็นคติไปเรื่อยๆ
นี่ก็เรียกว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันนี้ก็มีพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจาย์องใดนะ เพราะเรานี่จะเรียกว่าเป็นนักล่าครูอาจารย์ทั้งหลายไม่ผิด ทางการศึกษาเล่าเรียนก็เหมือนกัน เข้านอกออกในได้หมด ไม่ว่าวัดราษฎร์ วัดหลวง วัดใหญ่วัดน้อย วัดอะไรเข้าได้หมดเลยทางด้านปริยัติ เพราะเราก็ศึกษาปริยัติอยู่ ไปหลายสำนัก ไม่ใช่ไปสำนึกหนึ่งสำนักเดียว ไปสำนักนี้แล้วไปสำนักนั้น นี่เวลาเรียน ไปเกี่ยวข้องกับทางด้านสำนักปริยัติ ทีนี้พอออกปฏิบัติเกี่ยวข้องกับทางภาคปฏิบัติ ครูบาอาจารย์องค์ใด เพราะเราสนใจภาคปฏิบัติอยู่แล้วตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ ว่างเมื่อไรเราจะออกของเรา นี่เป็นนิสัย
อยู่ในวัด วัดใหญ่ วัดราษฎร์ วัดหลวงก็ตาม แต่พอโรงเรียนหยุดเมื่อไรเราจะออก หาอุบายพูดอย่างที่คนเขาจับไม่ได้นั่นแหละ ไปพักดูหนังสือก่อน ความจริงไปภาวนา ว่างเมื่อไรไป เป็นนิสัยอย่างนี้มาดั้งเดิม เกี่ยวกับเรื่องภาคปฏิบัติ มันเป็นอยู่ในหัวใจนะ พูดให้ใครฟังก็พูดยาก คือมันเป็นอยู่อย่างลึกๆ ไม่อาจที่จะบอกจะพูดกับใครได้แหละ ทางจิตตภาวนา ภาคปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นอยู่ลึกๆ นี่เวลาเข้าไปศึกษาเล่าเรียนทางด้านปริยัติอยู่กับเพื่อนกับฝูงนี้เราจะไม่พูดเลยเกี่ยวกับเรื่องจิตตภาวนา ไม่พูด เขาเป็นลิงก็เป็นลิงกับเขาเสีย เป็นลิงค่างบ่างชะนีตามภาษาพวกปริยัติ แต่ไม่ได้ผิดธรรมผิดวินัย หากเป็นไปตามนิสัยอย่างนั้น เราก็ไปกับเขาเสีย
ทางภาคปฏิบัติไม่พูดเลยนะ ทั้งๆที่ทำอยู่ตลอดนะ นี่ละอันหนึ่งเก็บได้ลึก ไม่เคยบอกเคยพูดให้ใครฟัง เพราะเวลาพูดนี้เขาดูอาการก็รู้ เขาไม่ได้สนใจกับภาคปฏิบัติจิตตภาวนาอะไรเลย พูดออกมาหาอะไร เราเป็นของเราอยู่ลึกๆ เราก็เก็บไว้ลึกๆ เงียบๆ อยู่อย่างนั้น นี้เป็นประจำ เรียนหนังสือเราไม่เคยลดละนะ ภาคปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นอยู่ลึกๆ ทั้งๆที่เรียหนังสือก็ไม่ลดละอยู่ตลอด เราจะมาห่างเหินบ้างหรือว่าเบามือบ้างก็ตอนที่เร่งจะสอบ เร่งจะสอบ เร่งดูหนังสือมากๆ อันนี้จางไปหน่อยหนึ่ง
พอจากนั้นแล้วปั๊บเข้ามานี่อีก หันเข้ามาทางภาคปฏิบัติ นี่เป็นอยู่ลึกๆ แล้วไม่เคยพูดให้ใครฟังพวกปริยัติด้วยกัน ไปกี่สำนักก็ไปแบบสำนักปริยัติ เหมือนกับว่าไม่เคยสนใจกับทางด้านภาวนาเลย ทั้งๆที่สนใจอย่างลึกลับ ทำอยู่เป็นประจำ เราทำของเราอย่างนั้น จะว่าเก็บมันหากเป็นอยู่ในใจนะ มันพอเหมาะพอดีกับที่ว่าเก็บไว้เงียบ ไม่แสดงให้ใครทราบเลย มันพอเหมาะพอดีก็เก็บไว้อย่างนั้น เก็บความรู้สึกอย่างนี้เอาไว้ ไม่บอกใคร ความเชื่อในมรรคผลนิพพานส่วนใหญ่เชื่อลึกลับว่ามี
แต่ส่วนย่อยมันก็แบ่งไปกิน ทำให้เกิดสงสัยบ้างว่า เอ๊มรรคผลนิพพานมีอยู่จริงๆ เหมือนครั้งพุทธกาลเหรอ หรืออย่างไรน้า นี้มีอยู่บ้าง แต่ส่วนย่อยนะ มันไม่ทำลายส่วนใหญ่ได้ละ ส่วนใหญ่ที่เราฝังเราเชื่อมรรคผลนิพพาน ส่วนใหญ่ฝังลึกๆ ฝังอยู่นั้น ส่วนย่อยมันแบ่งไปกิน ทำลักษณะให้รวนเรบ้างอะไรบ้าง แต่มันก็ไม่ทำส่วนใหญ่ให้เสีย จนกระทั่งได้เป็นในจิต นี่ถ้ามีท่านผู้ใดสามารถมาพูดเรื่องมรรคผลนิพพานให้เราฟัง ว่ามีอยู่โดยสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องแล้วเราจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์หรือท่านผู้นั้น แล้วเราจะเอาตายเข้าว่าเลย ตายเพื่อมรรคผลนิพพาน เรียกว่าไม่ถอย จะทุ่มเลย เป็นอยู่ลึกๆ แต่จิตส่วนใหญ่มันหยั่งอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ทั้งๆที่ยังไม่ออก มันแน่วอยู่ทางนู้น
เพราะฉะนั้นพอหยุดจากการศึกษาแล้วจึงพุ่งเลยเชียว ไปถึงท่าน ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ดังที่เคยเล่าให้ฟัง เพราะท่านจอมปราชญ์ เสมือนว่าท่านกางเรด้าร์ไว้หมดเลยกับเรา เพราะท่านเห็นความตั้งใจของเรา ตั้งใจจริง ออกคราวนี้จะออกปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่เพื่ออื่นใด แล้วจุดที่สำคัญมากก็คือเพื่อเป็นพระอรหันต์ เราจะต้องได้เป็นพระอรหันต์ถึงมรรคผลนิพพานในชาตินี้ เมื่อความเชื่อจากท่านผู้ใดก็ตาม มันก็ถึงใจเลย นั่นละตั้งแต่บัดนั้นออกมาแล้วจึงเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย กิริยาท่าทาง ความตั้งอกตั้งใจที่ตั้งไว้แล้ว ความเชื่อจากครูบาอาจารย์นี้เสริมเข้าไป ยิ่งมีกำลังหนักๆ ทำอะไรนี้เรียกว่าทุ่มเลย
ด้วยเหตุนี้เอง ถึงได้มีถกเถียงกันกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ถ้าจะพูดตามธรรมดา ก็ไม่มีใครจะเป็นคู่ต่อสู้ หรือถกเถียงกันเก่งกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเหมือนเรา ได้ย้อนถามครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคยอยู่กับท่านมาเป็นยุคเป็นสมัย มีองค์ใดบ้างที่เป็นนักทะเลาะ นักถกเถียงกันกับท่านเหมือนมวยแชมเปี้ยน ดังที่เราเป็นอยู่กับท่านนี้ละมีองค์ไหนบ้าง บอกไม่มี พระทั้งหลายท่านก็เล่าให้ฟัง บอกไม่มี เราก็ยอมรับ เรายอมรับคือว่าเราตั้งใจจริงๆ คือถ้าหากอะไรยังไม่แน่ใจนักมันรับเป็นลักษณะคาราคาซัง แล้วจะทุ่มลงก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ความเพียรจะทุ่มลงก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าได้ฟังอย่างถึงใจแล้วหมดตัวเลย ลงใจแล้วทีนี้หมดตัว ชีวิตจิตใจขาดสะบั้นไปพร้อมๆ กันเลย
นี่ละที่ได้เถียงกันกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เถียงเพราะเหตุนี้ ไม่ใช่อะไร เรื่องทิฐิมานะหรือแพ้ชนะไม่มีละ อย่างนั้นไม่มีเลย แต่เถียงหาความจริงเพื่อจะให้ลงใจได้ ถ้าลงใจได้ตรงไหนเรียกว่ามันทุ่มหมดเลยนะ ถ้าไม่ลงมันก็เป็นลักษณะเหมือนว่าแบ่งสู้แบ่งรับ กำลังวังชาความพากเพียร ความตั้งอกตั้งใจอย่างนี้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลาไปหาท่านท่านก็ใส่ตูมเลย เราลืมเมื่อไร ท่านมาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ นี่ขึ้นเลยนะ เพราะท่านกางเรด้าร์ไว้เรียบร้อยแล้ว
ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ไล่ไปเลยทีนี้ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน แล้วว่าไปหมดครอบโลกธาตุ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพานทั้งนั้นๆ ไปหมดเลย กิเลสแท้ มรรคผลนิพพานแท้ อยู่ที่ใจ ท่านลงมานี่นะ อยู่ที่นี่ กิเลสเครื่องหุ้มห่อปิดบังมรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ มรรคผลนิพพานที่ถูกปิดบังก็อยู่ที่ใจ เอาให้เร่งความเพียรลงทางด้านจิตตภาวนา เอาให้รู้ให้เห็น พระพุทธเจ้ารู้ด้วยจิตตภาวนารู้ที่ใจ สังหารกิเลสขาดสะบั้นที่ใจ เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยจิตตภาวนา สาวกทั้งหลายท่านบำเพ็ญของท่านบรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมา ด้วยจิตตภาวนา ด้วยจิตตภาวนา หนักเข้าไปเรื่อย จิตมันคล้อยตาม ลง
จากนั้นเหมือนว่าปฏิเสธหมด มาลงจิตตภาวนาแห่งเดียว ฆ่ากิเลสต้องฆ่าด้วยจิตตภาวนา นี่ที่ท่านเน้นหนักมาก เพราะเห็นเราหนักแน่นทางนี้มากนะ กิเลสไม่กลัว นอกนั้น กลัวแต่เรื่องจิตตภาวนา ใครภาวนาเก่ง จิตตภาวนา ใครภาวนาเก่งผู้นั้นละกิเลสจะกลัว กิเลสจะขาด จะเป็นผู้ครองมรรคผลนิพพาน ท่านใส่เปรี้ยงๆ ลงตรงนี้ สอนอย่างเน้นหนักๆ ท่านรู้นิสัยเราว่าจริงจังมากขนาดไหน พอฟังแล้วลงใจ เอาแล้วทีนี้มรรคผลนิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆๆ ที่ว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่หรือไม่มีน่า ส่วนย่อยมันแบ่งกินทำให้สงสัยๆ ล้มหมดเลย ลงรวมไปอยู่คำสอนของท่านที่สอนนั้นหมดเลย
นั่นละทีนี้มันถึงได้ทุ่มกันใหญ่ละ เอาจริงเอาจัง ถ้าลองได้ลงใจแล้วไม่เหมือนใครนะ ถ้าไม่ลงก็อย่างนั้นละ เป็นลักษณะคาราคาซัง อะไรก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ลงได้ลงใจแล้วมันทุ่มหมดเลย ชีวิตจิตใจไม่มีความหมาย จะลงในความเพียรเพื่อฆ่ากิเลส เพื่อมรรคผลิพพานโดยถ่ายเดียวเท่านั้น มันก็ลง จึงได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เอาจริงเอาจัง จิตใจก็ค่อยเจริญขึ้นด้วยความจริงความจัง ด้วยความสังเกตุเจ้าของ การบำเพ็ญตัวเองเป็นอย่างไร บำเพ็ญไปสังเกตุไปเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยได้ผลขึ้นมาตามความสังเกตุแล้วแก้ไขดัดแปลงตัวเองไปตามที่พิจารณาเรียบร้อยแล้ว จิตก็ค่อยเจริญขึ้นๆ
จิตตั้งตัวได้ จิตเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม ฟาดกันจนกระทั่งเจริญแล้วไม่เสื่อม เอากันได้จุดนี้นะ จากนั้นก็เจริญเรื่อยๆ ส่วนมากท่านจะได้รั้งเอาไว้นะความเพียรของเรา ท่านรู้นิสัยผาดโผน ท่านต้องรั้งเอาไว้เสมอ พอจิตได้หลักแล้วไม่เสื่อม ก้าวเข้าสู่ความเพียรประเภทนั่งหามรุ่งหามค่ำ นั่งตั้งแต่ยังไม่มืดฟาดตลอดรุ่งเป็นวันใหม่ขึ้นมา นั่งท่าเดียว นั่งขัดสมาธิ เตรียมพร้อมหมด เตรียมตายพร้อม คือจะลุกไม่ได้เป็นอันขาด ถ้าลงว่าเอานั่งนะถ้าไม่ถึงสว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมาแล้วอะไรจะขาดให้ขาดไปเลย ในร่างกายของเรานี้จะไม่มีข้อแม้ เรายกให้ข้อเดียว
ข้อแม้คือว่า ตอนนั้นเราอยู่กับครูบาอาจารย์กับพระ หากเกิดฉุกเฉินปัจจุบันขึ้นภายในใจ ครูบาอาจารย์องค์ใดหรือท่านผู้ใดก็ตามเกิดขึ้นในเวลาเราตั้งสัจจอธิษฐานนั่งตลอดรุ่งแล้วนั้น เราจะเป็นข้อยกเว้นลุกไปช่วยเหตุการณ์ นอกจากนั้นแล้วไม่ให้มี คือมีข้อยกเว้นเฉพาะเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในเวลานั้นละ เรามีข้อแม้เอาไว้เท่านั้น แล้วไปช่วยเหตุการณ์ สำหรับเราเองไม่มี ทุ่มหมดเลย เอาจะเป็นอะไรเป็น ถ้าหากว่ามีข้อใดข้อหนึ่ง อยู่เวลามันจะตายมันจะหาทางออก เช่นปวดหนักปวดเบา มันจะหาทางออก ปวดหนักก็ตามเบาก็ตามจะไม่ยอมลุก เอาๆ ทะลักออกเลย ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กขี้ใส่ตักแม่มาเท่าไร เอาแม่เป็นส้วมเป็นถานมาเท่าไร
นี้โตขนาดนี้แล้วยังจะกลัวอยู่เหรอ มันจะหาทางออก เดี๋ยวมันจะตายจริงๆ มันจะว่าปวดหนักปวดเบา ปิดไว้เลย มันก็ไม่เคยนะ ไม่เคยปวดหนักปวดเบา ส่วนเบาไม่ต้องพูด มันเปียกหมดละจีวรเปียก นี่หมายถึงนั่งตลอดรุ่งนะ พอจิตเริ่มขึ้นมา ไม่เสื่อมแล้วทีนี้ฟัดกันใหญ่เลย นั่งตลอดรุ่ง เราจึงได้กล้าพูดออกมาตามความเป็นของเราที่เคยเป็นเวลาขับขัน ตัวของเราที่นั่งอยู่นี้มันเหมือนหัวตอนะ ทุกขเวทนาที่มันเผาตัวของเรา ซึ่งกำลังนั่งอยู่นั้นเหมือนไฟเผาหัวตอ ความร้อนขนาดไหนทุกข์ขนาดไหนเป็นอย่างนั้นแหละ ทีนี้เวลามันเป็นหนักๆ เข้าสติปัญญานี้มันอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะ ทนเฉยๆไม่ถูก ต้องทนด้วยเหตุด้วยผล ด้วยสติปัญญาพิจารณาแก้ไขกันถึงเรื่องทุกขเวทนา แยกแยะส่วนต่างๆ ให้รู้เหตุรู้ผลของมัน
นี่ละเวลามันทุกข์มากเท่าไรสติปัญญามันจะหมุนของมัน แยกแยะ ถามไปตั้งแต่หนังแต่เนื้อไปเลย มันเจ็บตรงไหนมาก เอาสมมุติว่ามันปวดเข่า เหมือนเข่าจะขาด เอามันปวดเข่าเหรอ เข่านี่เหรอเป็นทุกข์ แต่เวลาคนตายแล้วเข่ามีอยู่ไหม ถ้าเอาไปเผาไฟเข่าว่าอย่างไร ไม่เห็นว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้เป็นขึ้นกับผู้ใด ใครเป็นคนไปสำคัญว่าหนังว่าเนื้อ ว่าตรงไหน ว่าเป็นทุกข์ๆ คนตายแล้วสิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่ไหม แล้วไปเผาไฟเขาว่าอย่างไร ไม่เห็นว่าอย่างไร มันเป็นไปจากใคร มันก็ไล่ นี่เวลาทุกข์มากเท่าไรสติปัญญามันจะหมุนตัวเป็นเกลียว นั่นละมันทันกัน
พอมันพิจารณารอบแล้วทุกข์ทั้งหลายซึ่งโหมกันมาเหมือนไฟไหม้หัวตอ คือตัวของเราเองนี้ เวลาสติปัญญารอบมันขาดสะบั้นลงไปเลย พรึบลง หมด ทุกข์ทั้งหลายนี้ดับ ไม่มีเหลือในร่างกาย จากนั้นจิตพรากจากร่างกายเหมือนกายไม่มีเลย เป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่สักแต่ว่ารู้ คำว่าสักแต่ว่ารู้จะพูดอย่างอื่นไปไม่ได้นะ คำว่าสักไม่ใช่สักอย่างแบบไม่มีราค่ำราคานะ คือสักแต่ว่าปรากฏ ในโลกอันนี้มีอันเดียวนี้เท่านั้นเป็นอัศจรรย์อยู่นี้ มีเท่านั้น ร่างกายหมด ไม่มีอะไรเหลือ จิตปล่อยหมดเป็นเอกเทศ ทั้งๆที่ขณะก่อนมันทุกข์จนจะเป็นจะตาย ไฟเผาหัวตอคือตัวเราเอง ได้แก่ทุกขเวทนาเผาเราแล้วดับหมดด้วยสติปัญญา
ทีนี้จิตก็เป็นเอกเทศ ร่างกายไม่ทราบหายไปไหนเงียบเลย ยังเหลืออยู่อันเดียวที่ว่าสักแต่ว่ารู้ คำว่าสักแต่ว่า สักแต่ว่าปรากฏ แต่เป็นปรากฏอัศจรรย์นะนั่น ไม่ใช่ปรากฏธรรมดา เหลือเท่านั้น ทีนี้พอได้จังหวะแล้วอันนี้จะยิบแย็บออกมา พอยิบแย็บออกมา ออกมาหาร่างกาย นี่เรียกว่าจิตถอน ร่างกายจะเริ่มรู้สึกตัว ว่ามีร่างกาย มีอะไร ตอนอยู่ในนั้นไม่มี หายหมด เหลือแต่ความอัศจรรย์ ซึ่งเราก็ไม่เคยถามใคร เรียนจากหลักธรรมชาติ ทุกขเวทนากำลังบีบบังคับแล้วแก้กันด้วยสติปัญญาอย่างทันกันทีเดียว ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นอัศจรรย์ภายในจิต
นี่ละได้เบื้องต้น ได้สักขีพยาน คือจิตนี้เวลามันเต็มที่แล้วพรากกายหายเงียบ เหลือแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์ที่สักแต่ว่ารู้ มันอัศจรรย์เหลืออันเดียวเท่านั้น จนกระทั่งอันนี้ยิบแย็บถอยออกมาแล้วมันก็ออกมารู้ร่างกาย เรียกว่าจิตถอนขึ้นมา พอถอนขึ้นมาไม่นานทุกขเวทนาก็เกิด เกิดอีกฟัดอีก การพิจารณาทุกขเวทนาเราจะอุบายวิธีการเก่ามาใช้ ใช้ไม่ได้นะ เจ็บนั้นปวดนี้ เราจะเอาแผนแบบปริยัติมากางแล้วพิจารณาจากนั้นไม่ได้ ต้องเอาปัจจุบัน เกิดขึ้นในปัจจุบัน พิจารณาใหม่เป็นปัจจุบันขึ้นในเวลานั้น แม้แต่ซ้ำของเก่าก็ตาม แต่เป็นสดๆ ร้อนๆ เรียกว่าปัจจุบัน แก้ได้ๆ
วิชาอันนี้เกิดขึ้นในปัจจุบัน แก้ในปัจจุบัน ที่จะไปเอาวิชาก่อนที่เราเคยได้ผลมาแล้วนี้มาแก้ ไม่ได้นะ ต้องขึ้นใหม่ ลง พอมันได้อันนี้แล้วมันเกิดความกล้าหาญชาญชัย เกิดความอัศจรรย์ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยมีเราไม่เคยเป็น มาเป็นในคืนวันนั้นที่นั่งตลอดรุ่ง ความอัศจรรย์นี้พึ่งปรากฏ ทีนี้มันเกิดความกล้าหาญชาญชัย วันหลังเว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง นี่จึงไปเล่าให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟัง มันเป็นขึ้นมา ท่านก็รั้งเอาไว้ เพราะท่านรู้จักประมาณ เราไม่รู้จักประมาณ เว้นสองคืนบ้างหรือสามคืน นั่งตลอดรุ่งๆ ตลอด นั่งวันไหนได้ทุกวัน ไม่มีพลาด ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ ได้ทุกคืน เป็นแต่เพียงว่าได้ช้าได้เร็วต่างกัน เรื่องได้ได้ทุกคืน อัศจรรย์อันนี้
ครั้นต่อมานานเข้าท่านรั้ง เรายังไม่รู้นะยังเพลินพูด ยังเพลินทำตามที่เราเห็นผลแปลกประหลาดอัศจรรย์ ไม่คิด พอขึ้นไปนั่งปั๊บ ท่านออกแล้วนะ ม้าตัวไหนที่คึกคะนองผาดโผนโจนทะยานมาก ท่านว่าอย่างนั้น นายสารถีฝึกอย่างแรงเขาจะฝึกอย่างแรงทีเดียว ฝึกอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกเขาจะฝึกอย่างหนัก ว่าอย่างนั้นนะ เอาจนกว่าม้านี่ค่อยลดพยศ การฝึกเขาก็ค่อยลดลงตามๆ กัน จนกระทั่ง ม้านี้ยอมรับการฝึกจากเจ้าของเรียบร้อยแล้ว ใช้การใช้งานได้เรียบร้อยแล้ว เขาก็ปฏิบัติต่อม้าตามปรกติธรรมดา เท่านั้นละท่านพูด ม้าก็คือใคร คือเรามันผาดโผน
ตั้งแต่นั้นมาแล้วเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกนะ หากว่าท่านไม่ได้เตือนอย่างนั้นจะเอาอีกนะนั่น นี่ละที่ว่ามันผาดโผน ท่านได้รั้งเอาไว้ จิตพอเป็นพอไป ไม่ผาดโผนโจนทะยาน ไม่ดีดไม่ดิ้นจนเกินเนื้อเกินตัว ซึ่งควรจะฝึกกันทรมานกันอย่างหนักอย่างนั้นก็ไม่ทำ เพราะมันอ่อนลงๆ การฝึกก็ต้องอ่อนลง เหมือนสารถีฝึกม้าก็ไม่ผิดกันเลย นี่ละเป็นคติ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีก ไม่เคย นี่ละอาศัยท่านรั้งเอาไว้ เพราะท่านรู้จักประมาณทุกอย่าง เราไม่รู้ จิตมันฝึกฝนทรมานได้พอเป็นพอไป ไม่ผาดโผนโจนทะยานแล้วก็ฝึกกันไปธรรมดา เห็นผลพอประมาณๆ ไม่ให้รุนแรงเกินไป ความหมายว่าอย่างนั้น
ส่วนมากท่านมีแต่ท่านรั้งเอาไว้ เพราะท่านรู้นิสัยเรา ผาดโผน ผาดโผนมากนะ ถ้าลองว่าอะไรแล้วขาดไปเลย นั่นก็เป็นหลัก คือทุกคืนเก้าคืนสิบคืนนั่งตลอดรุ่งๆๆ แต่ไม่ติดกัน เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้างนั่งตลอดรุ่งทีหนึ่งๆ ไปเรื่อยๆ พอท่านชี้แจงอุบายวิธีการเท่านั้นจากนั้นเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งนะ เพราะจิตใจมันก็ไม่ผาดโผนโจนทะยาน ดังม้าที่ไม่ผาดโผนโจนทะยานเขาก็ฝึกกันธรรมดา ปฏิบัติต่อม้าธรรมดา อันนี้จิตของเราก็ปฏิบัติกันเป็นธรรมดาของผู้ประกอบความเพียร มันก็จับเอามาเทียบๆ ก้าวเดินตามนั้น
นี่ละจึงเรียกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์นี้จอมปราชญ์เรื่องการฝึกการทรมาน ท่านเอาจริงเอาจังมาก ตรงไหนที่มันผาดโผนโจนทะยานเราเอาอย่างหนักท่านก็ไม่ว่า ท่านว่าเอาทีนี้ได้หลักแล้ว ท่านเสริมเสียด้วย เอาๆ เลยทีนี้ได้หลักแล้ว อัตภาพเดียวมันไม่ได้ตายถึงห้าหนละ มันตายหนเดียว เอาเลย ทีนี้ได้หลักแล้ว นี่ท่านเสริม ทางนี้ก็เหมือนหมา เห็นใบไม้สดใบไม้แห้งล่วงหล่นลงมานึกว่าศัตรูนึกว่าข้าศึก ทั้งจะกัดทั้งจะเห่า ครั้นต่อมามันก็รู้เอง นี่ละการปฏิบัติ การฝึกตน จึงกราบอย่างราบกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านแย็บออกตรงไหนจับได้เลย ไม่ผิดๆ คือผาดโผนท่านก็รั้งเอาไว้ รั้งเอาไว้ให้พอดีๆ เรื่อยมา
เช่นอย่างว่าติดสมาธิ นี่ก็เหมือนกัน เวลาติดติดจริงๆ นะสมาธิ ท่านถามบ่อยด้วย แต่ก่อนจิตเป็นอย่างไร ก็เล่าถวายท่าน ทีนี้เวลาจิตได้หลักได้เกณฑ์ จิตเป็นสมาธิแล้วสงบเย็นดีแล้วก็เล่าถวายท่าน นานๆ ท่านถามที เป็นอย่างไรท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ สบายดีอยู่ๆ เรื่อยๆ พอถึงขั้นท่านจะเอา สมควรแล้วทีนี้ ท่านก็ฟาดเอาเลย เรื่องสงบดีอยู่มันติดสมาธิแล้วนะ ดีอยู่ๆ ในสมาธิ แต่หาความแยบคายทางด้านปัญญา ซึ่งเป็นธรรมสูงกว่านี้ไม่ปรากฏ มีแต่ดีอยู่สงบอยู่ ท่านก็เปรี้ยงเลยทีเดียว จะนอนตายอยู่นั่นเหรอ ขึ้นเลยนะ
สมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ท่านตีแล้วนั่น ไล่ออกสมาธิ เราลืมเมื่อไร คือมันติดจนกระทั่งเถียงกับท่าน มันไม่ยอมออกสมาธิ มันเห็นว่าสมาธินั้นว่าเป็นนิพพานเสียด้วยซ้ำ โดยไม่รู้ตัว พอท่านไล่ออกจากสมาธิ ปัญญามีทำไมไม่ใช้ นั่นเห็นไหมละเวลาท่านจะเอา สมาธิไม่ใช่เป็นประเภทแก้กิเลส ปัญญาต่างหากแก้กิเลส นอนตายอยู่ในนั้นเหรอ ปัญญามีทำไมไม่ใช้ ไล่ออกทางด้านปัญญา เถียงท่านสู้ท่านไม่ได้ ยอมรับท่านเรียบร้อยแล้วทีนี้ออกทางด้านปัญญา มันก็พุ่งเลยเชียวนะ เพราะสมาธิมันอิ่มอารมณ์เต็มที่แล้ว ออกทางด้านปัญญามันก็พุ่งๆ เวลาพุ่งมันก็ผาดโผนอีกแหละ เพราะสมาธิมันแน่นหนามั่นคง มันหนุนปัญญาได้เป็นอย่างดี พอก้าวทางด้านปัญญามันก็หนุน ไปรวดเร็ว
ออกไม่มีวันมีคืน กลางคืนไม่ยอมนอน นอนก็จริง แต่ระหว่างกิเลสกับธรรมมันฟัดกันบนหัวใจ มันไม่นอน นอนแต่ร่างกาย สุดท้ายก็ลุกขึ้นมานั่ง นั่งก็ฟัดกัน นอนก็ฟัดกัน ลงเดินจงกรมก็ฟัดกัน สุดท้ายก็แจ้ง นั่น ไม่หลับเลย อ้าวกลางวันยังเอาอีก เพราะสติปัญญาถึงขั้นมันหมุนตัวเองเป็นอัตโนมัติ ฟัดกับกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น ให้มันเห็นบนเวทีมันถึงชัดเจน ไม่ต้องถามใคร ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังมากฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน กับกิเลสทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน หัวใจทุกดวงกิเลสทำงานอยู่บนหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมันหมด ไม่มีข้อยกเว้น
ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญทางด้านอรรถธรรมเพื่อจะระงับดับกิเลสนี้ก็อย่างที่ว่านี่ เอาจนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้วทีนี้ตามต้อนกิเลส ฆ่ากิเลสทางด้านสติปัญญา ไม่ว่ายืนเดินนั่งนอน เว้นแต่หลับ หมุนติ้วๆ เป็นธรรมจักรอัตโนมัติ ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้วฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกันหมด ให้มันเห็นชัดๆ อยู่ในหัวใจซิ ท่านแสดงเอาไว้ให้มันชัดกับผู้ขึ้นเวทีซิ พอถึงขั้นนี้แล้วเอาละทีนี้นิพพานเลยอยู่ชั่วเอื้อมๆ หวุดหวิดๆ แล้วมันจะนอนได้อย่างไร ใครจะมามัวนอนจมอยู่กับหมอนละ มรรคผลนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆมันก็หมุนติ้วใส่กัน
นี่ถึงขั้นเวลามันออก ออกอย่างนั้นแหละ ทีนี้การฆ่ากิเลสไปถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วทีนี้เป็นขั้นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของความเพียร ของสติของปัญญา เป็นเอง อยู่ที่ไหนก็ตาม ไม่มีเว้นนะ แม้ที่สุดฉันจังหัน จิตมันไม่ได้อยู่กับอาหาร มันหมุนของมันอยู่ลึกๆ ฆ่ากิเลสอยู่ลึกๆ มันฟัดกันอยู่ลึก ๆ นี่เรียกว่าอัตโนมัติ เว้นแต่ขณะหลับ นี่ถึงขั้นจะไม่อยู่แล้วเป็นอย่างนั้น ต้องหมุนตลอด สติปัญญาที่เป็นฝ่ายธรรมมีกำลังมากแล้วทำงานฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกัน
จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย ความเพียรก็ยุติเองไม่ต้องบังคับนะ อย่างท่านก้าวถึงสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญามีแต่ประเภทสังหารกิเลส ทีนี้พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วสติปัญญาเหล่านี้ ซึ่งเป็นเครื่องสังหารกิเลสระงับลงเองไม่ต้องบังคับ หมด แล้วจะไปฆ่ามันอะไร ก็กิเลสมันหมดแล้วฆ่ามันอะไร นั่นมันก็รู้เอง นั่นถึงขั้นอัตโนมัติ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดว่ากิเลสมันสร้างผลประโยชน์ของมันเองบนหัวใจสัตว์โลก เราก็ไม่เคยคิด แต่เวลาถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยลำพังตัวเองนี้ มันจึงวิ่งไปหาเรื่องกิเลส ทำลายสัตว์ มันก็เป็นอัตโนมัติของมัน เมื่อถึงขั้นนี้แล้วฆ่ากิเลสก็เป็นอัตโนมัติ นั่นมันยอมรับกันทันที ถึงได้รู้ชัด
นั้นละการประพฤติปฏิบัติ ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆร้อนๆ นะ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม หรือสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบทุกแง่ทุกมุม คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งออกมาจากความสิ้นกิเลสของศาสดา คลังแห่งธรรมอยู่ที่พระพุทธเจ้า บริสุทธิ์สุดส่วน สอนโลกด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุไปหมด จึงไม่มีผิดมีพลาด ให้พากันยึดเอาหลักนี้ไว้มาปฏิบัติตนเอง ไม่ว่าจะสอนเรื่องการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนาถูกต้องหมด ไม่มีผิดเลย คือคำสอนของศาสดา นี่ละเป็นเองเป็นอยู่ในนั้นละ ไม่ใช่ท่านมาสอนแบบสุ่มสี่สุ่มห้านะ ศาสดาทุกพระองค์ที่ได้มาตรัสรู้แต่ละพระองค์ๆนี้สอนแบบเดียวกันหมด เพราะรู้แจ้งแทงทะลุเหมือนกันหมด ไม่ได้มีข้อข้องใจสงสัยในแง่ใดมุมใด เปิดจ้าไปหมดเลย สอนโลกด้วยความเปิดจ้า จึงไม่มีปิดบังลี้ลับ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ เอาละเพียงเท่านั้นละวันนี้ เหนื่อย
(โยมถวายเบาะลองนั่งและเบาะที่พิงหลัง) โอ้ ทุกขํ เราเห็นเอามา อันนั้นมานี้มา คือเขาก็เป็นไปตามความรู้สึกของเขา เขาก็ไม่ผิด ทีนี้ผู้ที่จะพิจารณาให้เป็นประโยชน์แก่ตน ก็ต้องพิจารณาตามความรู้สึกของตนๆ ไป ใช่ไหมละ ท่านสอนพระตั้งแต่ศีล ๘ นี้ท่านก็เริ่มสอนแล้ว อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ คือห้ามไม่ให้นั่งที่นอนอันสูงแลใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี คือมันหาความสะดวกสบายทางร่างกายมากเกินเหตุเกินผล ท่านจึงตัดอันนี้ออก ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น ซ้ำอีกว่า อย่าหวังความสุขในการนอน นี่พระพุทธพจน์ อย่าไปหวังความสุขในการนอน ให้หวังความสุขจากความเพียรในการฆ่ากิเลสได้มากน้อย นั่นฟังซิน่ะ นั่นละตรงที่นั่นเอา
พวกเรามันปรนปรือ อะไรๆ ก็มีแต่ร่างกายๆ คือร่างกายนี้จะไม่ให้รับความลำบากลำบนอะไร ให้สบายทั้งนั้นเลย นี่เรื่องของกิเลสมันนำๆ เรื่องธรรมนี้ปัดออกๆ อุจฺจาสยนมหาสยนา เห็นไหมละ คือพอบรรเทาทุกข์เท่านั้น การหลับการนอนอย่าไปหวังเอาความสุขในการหลับการนอน ผิดธรรมทั้งเพ เพียงระงับธาตุขันธ์ไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น นี่ท่านสอน อปัณณกปฏิปทา การประพฤติปฏิบัติไม่ผิด การประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานด้วยแล้วพุ่งเลยนะ ท่านไม่ได้สนใจกับเรื่องการอยู่การกิน การหลับการนอน การอะไรเหล่านี้ซึ่งเป็นเรื่องของร่างกายมากยิ่งกว่าทรมานกิเลส ฆ่ากิเลส ซึ่งอยู่ภายในจิตใจนั้นออก ท่านเอาตรงนั้นหนักนะ
เรื่องร่างกายนี้มันออกหน้าออกตา เรื่องธรรมจึงออกไม่ได้เลย ธรรมนี่คือพอพักพอนอนได้เท่านั้น ผู้ประกอบความพากเพียรให้เห็นเรื่องมรรคผลนิพพานเป็นของเลิศเลอยิ่งกว่าเสื่อกว่าหมอน กว่าที่หลับที่นอนหมอนมุ้ง ท่านสอน ฟังซิน่ะ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องปรนปรืออยู่ในร่างกายทำคนให้ประมาทได้ไม่สงสัย นั่นฟังซิ อันนี้พอเยียวยา การหลับการนอนพอบรรเทาไปเท่านั้น แต่ให้มุ่งต่อความเพียรมาก ว่าอย่างนั้นเลย
เวลานี้ถูกกลบหมดนะ ที่จะฝึกทรมานจิตใจกับกิเลสท่เป็นภัยต่อกัน ให้หนักแน่นในการฝึกทรมานทางด้านจิตใจมีน้อยมากทีเดียว เดี๋ยวนี้นะ มันมีฝ่ายปรนปรือเรื่องธาตุเรื่งอขันธ์ ที่หลับที่นอนที่กิน ให้ปรนปรือขึ้นให้มาก เป็นอย่างนั้นนะ มันไม่ได้สนใจกับจิตกับกิเลส กิเลสบีบหัวใจอยู่ตลอดเวลา เอามันออกให้ได้ วิธีการใดที่กิเลสจะพังเอา จะไม่มีแล้วนะทุกวัน การนอนท่านสอนพระไว้กลางๆ พอเหมาะพอดี ผู้ที่จะเร่งกว่านั้นก็ได้ แต่ก็ไม่ควรหย่อนยานมากกว่านั้น ท่านสอนให้พักนอน
ปฐมยาม ตั้งแต่มืดถึงสี่ทุ่ม ให้ประกอบความพากเพียร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเป็นเรื่องความเพียรทั้งหมดในปฐมยาม พอมัชฌิมยามตั้งแต่ห้าทุ่มไปถึงตีสี่ สี่ชั่วโมง ถ้าจะพักตอนนี้ให้พัก ท่านว่า เรียกว่า อปัณณกปฏิปทาปฏิบัติไม่ผิด อยู่ในย่านกลางพอดีๆ ไม่เคร่งไม่หย่อนยานเกินไป ให้พักเสีย การพักตั้งความรู้สึกเอาไว้ ท่านไม่ได้ให้พักแบบนอนตายเหมือนหมูนะ เวลานอนให้กำหนดจิตเอาไว้ มีความจดจ่อตั้งใจไว้ว่า ถึงเวลาแล้วจะรีบลุก ไม่ให้นอนใจด้วยการหลับนอน คอยจะตื่นเสมอ ให้พักเสียสี่ชั่วโมง ตั้งแต่ห้าหกเจ็ดแปดไปแล้วพักตอนนี้ พอเลยจากนั้นแล้วให้ลุก แล้วก็มีการเดินจงกรมบ้างนั่งสมาธิภาวนาบ้าง ตลอดสว่าง
นี่ อปัณณกปฏิปทา ที่ท่านแสดงไว้พอประมาณ ถ้าผู้ที่จะเร่งกว่านั้นก็เป็นเรื่องของบุคคลๆ ไป แต่ส่วนกลางท่านวางไว้อย่างนั้น เรียกว่าปฏิบัติไม่ผิด อปัณณกปฏิปทา แปลว่าปฏิบัติไม่ผิด เหมาะสมตลอด ท่านให้ทำความเข้าใจ การนอนให้นอนตะแคงข้างขวา สีหไสยาส นอนแบบราชสีห์ แล้วทำความรู้สึกตัว เมื่อรู้สึกเมื่อไรจะรีบตื่นนอนขึ้นมา ไม่หวังความสุขในการนอน ท่านตัดเอาไว้ตรงนี้ พอบรรเทาขันธ์ ฟังซิน่ะ เพียงพอบรรเทาขันธ์เท่านั้น เพราะเป็นเครื่องมือใช้ นั่นท่านสอน มันจึงต่างกันเอามาก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในครั้งพุทธกาลสอนแบบนี้ละ พระท่านปฏิบัติแบบนี้ ท่านจึงตักตวงเอามรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานตลอด เพราะเป็นอปัณณกปฏิปทา ปฏิบัติไม่ผิด เพื่อมรรคผลนิพพานโดยแท้
(โยมอ่านอนาคตวงศ์ถวายหลวงตา) พระพุทธเจ้าท่านเรียงลำดับพระอนาคตวงศ์ของำพระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติข้างหน้านี้ ๑๐ พระองค์ ท่านเรียง นอกจากนั้นยังมีต่อไปอีกนะ ท่านเรียงไว้ด้วยพระญาณหยั่งทราบไปเลย จะมาตามนี้ หนึ่งไม่มีสองคือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ถ้าลงได้หยั่งทราบตรงไหนแล้วแม่นยำๆ ไม่มีอะไรจะมาลบล้างได้เลยคือพระญาณหยั่งทราบ หนึ่งไม่มีสอง นี่ท่านเล็งไว้เรียบร้อยแล้ว จะมาตามแถวตามแนว
พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่มาตามแถวตามแนว เป็นศาสนาที่คู่โลกคู่สงสารจริงๆ คือพุทธศาสนา มีแบบมีฉบับมา ไม่ได้มาสุ่มสี่สุ่มห้า คว้าเอานั้นมาเป็นพระพุทธเจ้า คว้าเอานี้มาเป็นศาสดา อย่างนั้นไม่มี ท่านจะมาตามแถวของท่านตลอดไปเลย ให้พากันจดจำนะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นแบบเป็นฉบับของโลกของสงสารจริงๆ มีพุทธศาสนาเท่านั้น นอกนั้นเราไม่ได้พูดถึง เราพิจารณาไปตามเรื่องของผู้ศาสนาเป็นคลังของธรรมหรือคลังของกิเลสเท่านั้นก็รู้เอง คลังของธรรมคือศาสดาองค์เอกเป็นธรรมล้วนๆ สอนโลก ไม่ผิดพลาด คลังของกิเลสสอนสุ่มสี่สุ่มห้า ชอบใจก็ว่าอันนั้นดีอันนี้ดีไปเรื่อย นั่นเป็นเรื่องของกิเลส ไม่ใช่ศาสนธรรมดังพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เป็นศาสนาของคนมีกิเลส เรียกว่าศาสนกิเลสก็ไม่ผิด ทางเดินของกิเลส ทางเดินของธรรมคือพระพุทธเจ้า เดินไม่ผิดธรรม ตรงแน่วเลย พากันจำเอา เอาละพอ เท่านั้นละ
วันที่ ๒๑ มิถุนา ทองคำที่ได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำวันนี้ ทองคำที่ ๔ บาท ๒๙ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ถึงค่ำวันนี้เป็น ๕ กิโล ๑๘ บาท ๗๑ สตางค์
วันนี้ไปแจกของด่านขึ้นเขาใหญ่ ไปแจกให้พอสมควร ปัจจัยให้ครอบครัวละหนึ่งพันๆ สิบสี่ครอบครัวสิบสี่พัน เด็กไม่มีวันนี้ไม่ได้ให้ คือถ้ามีเด็กก็ให้คนละร้อยๆ เด็กไปโรงเรียน
วันนี้ก็ออกแล้วนะวิทยุ เทศน์นี้ออกทางวิทยุ ออกทุกวัน เทศน์ที่ไหนก็ออกวิทยุทั้งนั้น ไม่ว่าไปเทศน์ที่ไหนออกวิทยุหมดเลยเดี๋ยวนี้ ทั่วประเทศไทย เวลานี้เท่าไรแล้ววิทยุเราที่ออก (๗๔ สถานีแล้วครับ) ๗๔ แห่งวิทยุออกทั่วประเทศไทย ได้ ๗๔ แห่ง เราพอใจ การออกวิทยุที่เราเทศน์นี้เราไม่มีสงสัยในธรรมทุกขั้น ที่เทศน์สอนโลกนี้เราไม่มีอะไรในใจเลย พอใจ ไม่ว่าจะเทศน์ธรรมะขั้นใดๆๆ เป็นที่แม่นยำตลอด ถอดออกมาจากหัวใจทั้งนั้นเลย เป็นภาคปฏิบัติ นี่ละภาคจิตตภาวนา เป็นอย่างนั้นนะ ภาคศึกษาเล่าเรียนมันเป็นแถวเป็นแนวไป เราเรียนไปที่ไหนก็เป็นแถวเป็นแนว หลงลืมไป เพราะอันนี้ไม่ใช่สมบัติของตัวเอง ภาคความจำไม่ใช่สมบัติของตัว
เพราะฉะนั้นมันจึงหลงลืมไปได้ บางทีเหมือนไม่ได้เรียเลย มันหลงลืมไปหมด แต่ภาคปฏิบัตินี้ตรงกันข้ามนะ เริ่มต้นตั้งแต่ปรากฏผลขึ้นมาเป็นของตัวแล้ว เป็นสมบัติของตัวแล้วตั้งแต่เริ่มต้นจากจิตตภาวนามา ปรากฏขึ้นมามากน้อยเพียงไรเป็นของเราๆๆ เรื่อยไปเลย จนกระทั่งถึงที่สุด เรียกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ถ้าว่าเป็นของเราก็เป็นหมดทั้งธรรมทั้งใจ นั่นละธรรมขั้นนี้แล้วไม่มี ออกได้ทั่วโลกธาตุ ขอให้ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ไม่มีอะไรเข้ามาปกคลุมหุ้มห่อได้แล้ว ขึ้นชื่อว่ากิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายขาดสะบั้นลงไปหมด เหลือแต่ธรรมธาตุล้วนๆ อาศัยขันธ์นี้ครองขันธ์อยู่นี้คือธรรมธาตุ ได้แก่จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ครองขันธ์ อาศัยขันธ์เป็นเครื่องมือใช้ ถ้าขันธ์ไม่ดีการเทศนาว่าการเครื่องมือไม่ดี เทศน์ก็สะดวกสบายๆ
นั่นละจิตแท้ ธรรมแท้เกิดที่ใจ อยู่ที่ใจ เราจำมาจากที่นู่นที่นี่เป็นปากเป็นทาง เพื่อเข้ามาสู่ภาคปฏิบัติคือใจ ดึงเข้ามานี้ ถ้าไม่ดึงเข้ามาก็เป็นความจำหายเงียบไปเลย เรียนโลกกับเรียนธรรมก็เหมือนๆ กัน ได้ผลไม่ได้ผลก็พอๆ กัน ถ้าเรียนธรรมเพื่อปฏิบัติ เริ่มเป็นธรรมมาแล้วตั้งแต่เริ่มเรียน ยิ่งเข้ามาภาคปฏิบัติด้วยแล้ว ธรรมะภาคปฏิบัตินี้จะกระจายออกเรื่อยๆ ฟาดเสียจนกระทั่งใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว จ้าไปหมดเลย เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |