เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ก้าวเดินตามธรรมเลิศเลอทั้งนั้น
ก่อนจังหัน
พระเท่าไร (๓๕ ครับผม) พระไม่ค่อยเข้าออก เพราะเข้ามาก็ไม่รับ ปัดออก พระที่อยู่ในนี้ก็ไม่กล้าออก ออกแล้วเข้าไม่ได้ แน่ะ ท่านทั้งหลายมาดูวัดดูให้ดีนะ วัดนี้เอาแบบฉบับของพระพุทธเจ้ามาก้าวเดินตั้งแต่เริ่มสร้างวัด เราเป็นหัวหน้าวัด เคลื่อนคลาดหลักธรรมวินัยไม่ได้เลย อย่างน้อยเตือน มากกว่านั้นไล่ออกเลย ไม่มีอะไรเลิศเลยยิ่งกว่าศาสดา พอจะเห็นความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ว่าเป็นของดิบของดีแล้วอนุโลมกันไปๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปอย่างนั้นเราทำไม่ได้ เราปฏิบัติมาอย่างนี้ตั้งแต่ต้นเลย เพราะฉะนั้นผู้ใดอยู่ที่ไหนให้ดูตัวอย่างถ้าอยากเป็นคนดี
การประกอบหน้าที่การงานให้เป็นสารประโยชน์ ให้นำธรรมไปปฏิบัติ ธรรมนี้เรียกว่าไม่มีอะไรบกพร่องแล้ว ออกมาจากคำสอนของศาสดาองค์เอก ไม่มีกิเลสภายในพระทัย สอนโลกไม่มีบกพร่อง พวกบกพร่องก็คือสัตว์โลกนั้นแหละ ให้ยึดเอาธรรมที่ถูกต้องดีงามไปปฏิบัติ อย่าอวดดียิ่งกว่าธรรม ไอ้พวกมูตรพวกคูถมันมักจะอวดว่ามันดีอยู่เสมอ เหยียบธรรมไปนั่นแหละ ไปที่ไหนเลอะๆ เทอะๆ ยังว่าดีๆ เรื่อยไป
พระก็เหมือนกัน ผมไม่แน่นอนนะ เข้าๆ ออกๆ หลักธรรมวินัยคือองค์ศาสดาแทนตถาคตเวลาพระองค์ล่วงไปแล้ว นั้นให้ติดแนบกับกายวาจาใจความเคลื่อนไหวของเราผู้เป็นนักบวชทุกๆ ท่าน อย่าให้ห่างไกล หลักธรรมหลักวินัยนั้นแลคือองค์ศาสดา เคลื่อนไหวไปไหนให้มีหลักธรรมหลักวินัยติด หลักธรรมหลักวินัยมีอะไรแนบอยู่นั้น ก็คือสติธรรม ปัญญาธรรม ติดแนบอยู่กับหลักธรรมหลักวินัยแล้วจะไม่ค่อยเคลื่อนคลาด ไปที่ไหนตัวเองก็เย็นๆ หรือว่าอบอุ่น ไปที่ไหนสะดวกสบายถ้ามีศาสดาติดตัวไป ถ้าไม่มีศาสดาแล้วก็อย่างว่า เลอะๆ เทอะๆ
พระเรา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือหลักธรรมหลักวินัยเข้ามาอยู่ในหัวใจ ความเคลื่อนไหวไปมาอย่าให้เผลอสติไปได้ จำให้ดีข้อนี้ อยู่กันไปๆ วันหนึ่งๆ ไม่มีความหมาย โลกอันนี้มีความหมายที่ไหน เห่อกันเป็นบ้าไปเฉยๆ ขอพูดให้เต็มปากเถอะ เราปฏิบัติธรรมมาแล้วหาที่ต้องติไม่ได้ใจดวงนี้ แต่ก่อนก็ล้มลุกคลุกคลานๆ หาความสะดวกสบายไม่ได้เพราะกิเลสเหยียบย่ำทำลาย เวลานำธรรมเข้าไปชะล้างๆ ค่อยดีขึ้นๆ สมบูรณ์ขึ้นๆ เต็มเหนี่ยว หัวใจนี้หาที่ต้องติไม่ได้ ครอบโลกธาตุหัวใจดวงนี้ที่นำธรรมมาสอนท่านทั้งหลาย โกหกท่านทั้งหลายเหรอ นี่กำลังจะตายแล้วเตือนๆ ธรรมศาสดาองค์เอกเอกนะ ไม่ใช่เอกตาข้างเดียว เอกตาข้างเดียวพออีกข้างบอดแล้วเสร็จเลย พวกคนตาบอดไปจากคนตาเอก เอกไม่มีอะไรเสมอเหมือนคือเอกของศาสดา เอกพวกเรามันเอกตาข้างเดียว คอยแต่จะบอดๆ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
ศาสนาเลิศเลอที่สุดขอชี้นิ้วเลยพุทธศาสนา ไม่มีอะไรเสมอเหมือนแล้วในโลกนี้ ผู้เป็นเจ้าของศาสนาคือศาสดาองค์เอกพระทัยบริสุทธิ์ล้วนๆ ธรรมที่ออกจากพระทัยเป็นธรรมที่เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ให้พากันนำไปปฏิบัติ อย่าเลอะๆ เทอะๆ ความเป็นอยู่ปูวายของมนุษย์เราเวลานี้กิเลสพาทำแบบชุ่ยๆ สุกเอาเผากินๆ วันหนึ่งๆ คืนหนึ่งแบบสุกเอาเผากินทั้งนั้น หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ เป็นยังไงคนเราหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ทั้งๆ ที่วิ่งหาความสุขความเจริญ มันมีแต่ความผิดหวังๆ เพราะวิ่งไปตามทางของกิเลส ถ้าวิ่งตามทางของธรรมมีหลักมีเกณฑ์ มีมากมีน้อยไม่ค่อยเป็นทุกข์มากคนเรา ถ้าเป็นไปตามกิเลสเป็นเศรษฐีก็ทุกข์ได้ ใครอย่าประมาทนะเรื่องความทุกข์ อยู่กับความปฏิบัติตนผิดถูกดีชั่วประการใด ให้นำธรรมเข้าไปกำกับ จะอยู่เฉยๆ ทำไปเฉยๆ ไม่ได้เรื่องนะ ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ศาสนาคือคำสอนพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราที่นำมาพูดนี้คุ้ยเขี่ยบนเวทีคือหัวใจ หัวใจนี่เป็นมหาเหตุ มีทั้งกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟมหาภัย มีทั้งธรรมตัวเป็นคุณมหาคุณอยู่ภายในใจ เข้าไปคัดเลือกในนั้น คัดเลือกอยู่บนหัวใจด้วยจิตตภาวนาพินิจพิจารณา อะไรที่ไม่ดีๆ ถอดออกไป ชะออกไปล้างออกไป ของดีเด่นขึ้นๆ สุดท้ายหาที่ต้องติไม่ได้ของดี
ที่ได้นำมาเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้อวด นี่เราจวนจะตายแล้ว ด้วยความสงสารนั่นแหละที่เตือนแล้วเตือนเล่า คำเตือนคำบอกดุด่าว่ากล่าวทุกอย่างไม่มีพิษมีภัยออกมาเลย มีแต่ธรรมล้วนๆ เรื่องพิษภัยไม่มี เพราะหัวใจนี้หมดแล้วเรื่องพิษ ไม่มีอะไรเหลือ จะดุด่าว่ากล่าวหนักเบามากน้อยเป็นธรรมทั้งนั้นๆ ออกมา ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยเหมือนอย่างหัวใจทั่วๆ ไปที่ครอบอยู่ด้วยกิเลส ไปที่ไหนแสดงออกมากน้อยกิเลสจะตามออกไป ถ้าความโมโหโทโสกิเลสออกแล้วๆ แต่เรื่องธรรมไม่มี กิริยาอาการใดก็ตามแสดงออก จะเผ็ดร้อนขนาดไหนเป็นธรรมทั้งนั้นๆ นี้เรียกว่าธรรมพระพุทธเจ้าไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าเร่ๆ ร่อนๆ เร่ๆ ร่อนๆ
จิตใจนี่มันหนานะ เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ไม่ค่อยสำคัญยิ่งกว่าเรื่องของกิเลส เข้าวัดเข้าวาเข้ามานานๆ ชินชาหน้าด้าน กิเลสเป็นอย่างนั้นนะ เข้าวัดเข้าวาเข้ามานานเท่าไรควรจะมีความสะอาดผ่องใส มีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าทางอรรถทางธรรมนี้ไม่ค่อยเป็น กิเลสเข้าไปเหยียบๆ สุดท้ายหน้าด้าน เข้ามาวัดมาวาหน้าด้าน บวชนานเท่าไรยิ่งหน้าด้าน ตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้สูงขนาดไหนสมดกสมเด็จอะไร พวกหน้าด้านทั้งนั้น พวกไม่มีธรรมหน้าด้านทั้งนั้น ถ้ามีธรรมแล้วเป็นไม่เป็นก็ตามเถอะ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้า ตั้งอันไหนก็ตั้งมาไม่มีอะไรเกินธรรม ธรรมนี้เลิศเลอ ขอให้ปฏิบัติตัวให้ดี ดีภายในจิตใจแล้วไม่จำเป็น หายศหาลาภหาเป็นบ้าอะไร ยศอะไรจะยิ่งกว่าธรรม เลิศเลออยู่ที่ธรรมหมดนั่นแหละ ตั้งเสริมกันไปอย่างนั้น ผู้เป็นบ้ามันก็เป็นใหญ่ ดินเหนียวติดหัวก็ว่าตัวมีหงอน ข้าเป็นสมเด็จนะ ข้าเป็นพระครู ข้าเป็นใบฎีกา ข้าเป็นเจ้าคุณ ข้าเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นขี้หมาอะไรมันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม
ถ้าสนใจกับอรรถกับธรรมอยู่ไหนเป็นธรรมทั้งนั้น จำให้ดีคำนี้ เราพูดประมาทพระพุทธเจ้าเหรอ เอาคำของจริงมาพูด ปฏิบัติมาก็ไม่ได้ปฏิบัติเล่น ศาสดาไม่ใช่ศาสดาองค์เล่น เป็นศาสดาองค์เอก ทำจริงทำจังทุกอย่าง ได้ธรรมมาสอนโลก เราอย่าเอาดินเหนียวมาติดหัวแล้วว่าข้าเป็นสมเด็จนะ สมเด็จขี้หมาอะไร ตัวมันเลวยิ่งกว่าหมาจะสมเด็จสมแด็ดอะไร พูดให้มันชัดๆ ซิ ภาษาธรรมต้องพูดอย่างนี้ ภาษาโลกอ้อมแอ้มๆ เกรงใจเขาเกรงใจเรา สุดท้ายไปไม่รอด ธรรมไม่ต้องเกรงใคร เพราะธรรมเป็นแบบฉบับที่ถูกต้องดีงามอยู่แล้ว ก้าวเดินตามธรรมเลิศเลอทั้งนั้น เลิศไปโดยลำดับลำดา พากันจำเอานะ เอาละพอ
หลังจังหัน
ไปนี้ถึงสวนแสงธรรมก็ในราว ๖ ชั่วโมง คือเราไปวิ่งขนาด ๑๑๕ รถไปหลายคันก็ต้องลดกำลังวังชาของรถตลอดคนขับไม่เหมือนกัน ต้องเฉลี่ยประมาณ ๑๑๕ วิ่งขนาดนั้น ตามธรรมดาเราไปมัน ๑๒๐ บางทีทางดีๆ มองดูเข็มไมล์ฟาด ๑๓๐ ก็มี เราก็ไม่ว่าอะไรแต่ก่อน พอมาเกิดเหตุทีหลังนี้ วิ่งช้าไม่ทัน ถามไม่ได้เรื่องได้ราวคนหนึ่งเลยอุดรไปจังหวัดหนองคาย คนหนึ่งยังไม่ถึงโคราช ทีนี้เลยต้องเฉลี่ยใส่กัน วิ่งแค่ ๑๑๕ ทั้งไปทั้งกลับ แต่ก่อน ๑๒๐ เป็นอย่างน้อย มักจะวิ่ง ๑๓๐ ถ้าทางตรง เดี๋ยวนี้ ๑๑๕ เท่านั้น เติมน้ำมันอย่างมากก็ราว ๑๕ นาที ส่วนมากอยู่ในราว ๑๓ นาทีเพราะเป็นคณะใหญ่เข้าไปเติมน้ำมัน เสร็จเรียบร้อยแล้วออกไปรวมเป็นเวลา ๑๒-๑๓ นาที หรือ ๑๕ เป็นอย่างช้า
จากนี้ถึงสวนแสงธรรมดูว่า ๕๗๕ จากนี้ไปเชียงใหม่ ๖๑๖ กิโล ไปจันท์ ๖๔๒ กิโล ไปจันท์ไปทางโป่งน้ำร้อน ไม่ได้ไปทางกบินทร์ ถ้าได้ไปทางไหนแล้วมักจะจำได้ จะว่านิสัยชอบสังเกตก็ไม่ผิด ถ้าเราได้ผ่านไปไหนแล้วจะรู้กระทั่งหลักกิโล แยกไหนๆ กี่กิโลๆ ที่ว่าทุกวันนี้อาศัยกินของเก่า ความจำที่ยังเหลืออยู่บ้างเอามาโม้ไปอย่างนั้นละ แต่ก่อนจำได้จริงๆ แวะตรงไหนๆ จะดูกิโลๆ ทุกวันนี้ถึงจะสังเกตก็จำไม่ได้ ความจำไม่ดี อย่างเทศน์ทุกวันนี้ถ้าเทศน์ด้วยความจำเทศน์ไม่ได้ พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสงเทศน์ด้วยความจริง ออกปัจจุบันๆ พอจบแล้วหายเงียบๆ ไปพร้อมกันเลย เรื่องความจำมันไม่มี
ตำรับตำราเรียนมามากน้อยมันไม่ไปสนใจนะ มันจะออกจากนี้ หากว่าอะไรไปสัมผัสกับทางตำราบ้าง ก็หยิบมาประกอบกันเล็กน้อยแล้วผ่านๆ ส่วนมากจะออกจากปัจจุบันซึ่งไม่เรียกว่าความจำ เป็นปัจจุบัน ถ้าความจำจำได้ตำรับตำรา นิทานเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่เรียกว่าความจำ อย่างที่เราเรียนมา เรียนมาก็จำมา ความจำมาไม่ใช่สมบัติของตน อย่างนี้ใครพูด ไม่มีใครพูด ความจำมาจนถึงจบพระไตรปิฎกก็เป็นความจำมา ไม่ใช่เป็นสมบัติของตนแท้ หลงลืมไปได้หมด แต่ความจริงที่เกิดจากภาคปฏิบัติ เป็นความจริงขึ้นมาด้วย เป็นสมบัติของตนด้วยไม่มีลืม ฝังอยู่ที่จิต นั่นต่างกันนะ
ภาคปฏิบัติเป็นภาคความจริง แล้วผลเกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติของตัวเอง เป็นสมบัติของตัวด้วย มันต่างกัน ความจำไม่ใช่เป็นสมบัติของตัวนะ จำได้มาพอเป็นปากเป็นทางเพื่อจะหาความจริงจากภาคปฏิบัติแล้วมาเป็นสมบัติของตนเท่านั้น
พระพุทธเจ้าเลิศเลอและเป็นศาสดาของโลกได้เพราะการภาวนา หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ เป็นของเล่นเมื่อไร การภาวนาเข้าไปบุกเบิกเพิกถอนสิ่งที่เป็นข้าศึก เป็นฟืนเป็นไฟภายในหัวใจด้วยน้ำดับไฟชะล้างๆ ในภาคปฏิบัติ จิตใจก็ค่อยกระจ่างขึ้นมาๆ และเปิดกว้างๆ เปิดจนกระทั่งเจ้าของก็ไม่ได้คาดได้คิด เป็นหลักธรรมชาติเกินกว่าความคาดความคิดทั้งหลายไปเลย นั่นละภาคปฏิบัติ ใจเวลาเปิดแล้วเป็นอย่างนั้น
เวลามันปิดอยู่นี้ ปิดก็คือปิดเรา ติดก็คือติดเรา ติดเขาติดเรา ปิดเขาปิดเรา ก้าวไม่ออก คือกิเลสนั่นละมันติดเขาติดเราปิดเขาปิดเรา อยู่ที่หัวใจเราก้าวไม่ออก ก็บืนไปอย่างนั้นละตามเรื่องของกิเลสบีบอยู่ที่หัวใจ เอา เปิดกิเลสออกให้หมดจากหัวใจ โล่งหมดเลย อะไรมาปิด นั่น ที่นี่เอาละนะ อะไรมาปิดหัวใจ หัวใจติดอะไร คือไม่ติดเขาไม่ติดเราเสียอย่างเดียวโล่งหมด เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสมมุติ เรื่องเขาเรื่องเรา ติดเขาติดเราเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น พอทำลายอันนี้ออกหมดเป็นวิมุตติล้วนๆ แล้วไม่มีอะไรมาขวาง โล่งไปหมดเลย ต่างกันอย่างนั้นนะ
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า จะเปิดออกทางด้านจิตตภาวนา กิเลสอยู่ในนั้น กิเลสกลัวแต่จิตตภาวนา นอกนั้นกิเลสไม่ค่อยกลัว กลัวจริงๆ กลัวทางด้านจิตตภาวนา หลบไม่ทันขาดสะบั้นไปเลยเรื่องกิเลส พอพูดอย่างนี้ก็ไม่พ้นจากเวทีที่เราขึ้นต่อกรกับกิเลส เราเคยคิดเคยคาดไว้เมื่อไร เวลามันเป็นมันก็พูดได้ ก็มันเป็นขึ้นจากหัวใจไม่พูดได้ยังไง เวลามันปิดมันตัน ก็กิเลสนั่นละปิดตัวเอง ตีบตันอั้นตู้อยู่ภายใน อะไรๆ มาเบิกก็ไม่ออก เรียนจบพระไตรปิฎกก็ไม่มีทางเปิดความปิดตันของกิเลสที่ปิดหัวใจนี้ได้ ออกจากภาคปฏิบัติถึงได้
ภาคปฏิบัตินี้เปิดได้ออกได้ๆ ออกจนหมดโดยสิ้นเชิง ภาคปฏิบัติจิตตภาวนา พอพูดถึงขั้นนี้แล้วก็ พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญ เริ่มต้นก็ล้มลุกคลุกคลานตะเกียกตะกายจะเป็นจะตาย ก็ค่อยปลอบโยนเจ้าของไปเรื่อยๆ เกิดความคาดความคิด เดินจงกรมภาวนาใจแทนที่จะสงบ มันดิ้นอยู่นอกขอบเขตจักรวาล ไม่ใช่อยู่ในขอบเขต มันเลยขอบเขตจักรวาล ความดีดความดิ้นของสังขาร สังขารคือความคิดปรุงนี้ออกมาจากอวิชชา อวิชชาผลักดันมันออก ช่องที่ออกของอวิชชาคือสังขาร พอออกเป็นสังขารแล้วก็แตกกระจายออกไป อยากรู้อยากเห็นอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แตกกระจายออกไปจากสังขาร
ทีนี้เวลาบังคับ ข้อนี้สำคัญมากนะ ให้ท่านทั้งหลายนักภาวนาจำเอานะไม่ผิด เพราะเราผ่านมาเรียบร้อยแล้ว สตินี้เป็นฝั่งกั้นมหาสมุทรทะเลหลวงได้เลย มหาสมุทรทะเลหลวงก็มีฝั่ง ทีนี้กิเลสทั้งหลายนี้เป็นมหาสมมุติมหานิยม ต้องกั้นด้วยสติ สติสำคัญมาก ล้นสติไปไม่ได้ สำคัญมากตรงนี้ กิเลสหนาขนาดไหนก็ตามขอให้สติดีเถอะ มันล้นฝั่งไปไม่ได้ ฝั่งคือสติบังคับไว้นี้อยู่ในกรอบ ทีนี้กิเลสก็ไม่ออกเพ่นพ่านเมื่อสติเป็นฝั่งบังคับเอาไว้ ไหลมามันก็ไม่ล้นฝั่งไปได้ ไม่ล้นสติไปได้ ขอให้ตั้งให้ดี
แต่การตั้งสตินี้ก็มีอีกเป็นแง่ๆ อธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเสียมันจวนจะตายแล้ว ผ่านมาเท่าไรก็พูดตอนที่ควรๆ จวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งเปิดออกๆ สตินี่สำคัญมาก เป็นฝั่งมหาสมมุติมหานิยม เลยสติไปไม่ได้ มหาสมมุติมหานิยมมันจะคิดจะดีดจะดิ้นไปไหน สติครอบไว้แล้วอยู่ ไปไม่ได้นะ ทีนี้การตั้งสติมีอีกแง่ คือการตั้งสติต้องดูที่มันเป็นเครื่องหนุนเครื่องทำลายมีอยู่ในนั้น เช่นกินมาก ฟังนี่ภาษาธรรม ฟังให้ดี กินมากนอนมากเป็นยังไง ขี้เกียจมาก กิเลสทับถมหัวใจตั้งสติไม่อยู่ นี่ข้อหนึ่งจำให้ดี
ทีนี้เวลาปฏิบัติเราต้องพิจารณาสิ่งรอบด้านของจิตของสติ มันไม่สะดวกเพราะอะไร ตามหาเหตุหาผลก็ไม่พ้นสิ่งที่มันเกี่ยวโยงกันคือธาตุขันธ์ของเรา ธาตุขันธ์นี้ส่วนมากเป็นเครื่องกด ถ้าเป็นหนุ่มอยู่ร่างกายมีกำลังมากสติตั้งไม่ค่อยอยู่ เอา ลดอาหารลง เป็นอย่างนั้นนะ ลดลงสติค่อยตั้งขึ้นๆ ลดลงเท่าไรสติยิ่งดีๆ แน่ว ยิ่งอดอาหารด้วยแล้วสตินี้ตั้งได้ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลย เวลาเรามาฉันมันก็มีพลั้งมีเผลอ ทีนี้คนไม่กินก็ไม่ได้มันจะตายใช่ไหม ก็ต้องฟัดต้องเหวี่ยง สุขบ้างทุกข์บ้าง หิวบ้างอิ่มบ้างไปอย่างนั้น แต่ยังไงไม่ปล่อยที่จะทรมานมันฝึกมันกดมันอยู่ตลอด ทีนี้สติก็ตั้งได้ๆ
เบื้องต้นแห่งการตั้งสติ ต้องมีอุปกรณ์เครื่องหนุนและเครื่องทำลายอีกด้วย ถ้ากินมากนี่มักนอนมาก ขี้เกียจก็มาก พอลดอันนี้ลงไปความง่วงเหงาหาวนอนก็ลดไปตามๆ กัน กินมากเท่าไรความง่วงยิ่งมาก ลดลงความง่วงลดน้อยลงๆ หยุดไม่ฉัน ความง่วงนี้จะมีลักษณะมีอยู่เพียงคืนแรกสองคืน พอคืนที่สามที่สี่เป็นหัวตอเลย แน่ว ไม่มีเผลอ สติดี เป็นอย่างนั้นละ นี่ก็เป็นเครื่องอุปกรณ์ที่เราจะได้นำมาประกอบกับความเพียรของเรา เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ทราบไว้ในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ ได้ผ่านมาแล้วทั้งนั้นที่พูดเหล่านี้ พูดออกไปจึงบอกว่าไม่ผิด ผ่านมาหมดแล้ว ได้ฟัดเหวี่ยงกันไปอย่างนี้ละที่นี่
จนกระทั่งสติได้ระดับของมัน จิตใจมีความสงบร่มเย็นแน่นหนามั่นคงเรื่อยๆ สติก็ยิ่งดีขึ้นๆ จากนั้นก้าวออกทางวิปัสสนา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ พอจิตใจมีความสงบร่มเย็นเรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ ไม่คิดส่ายแส่อยากคิดเรื่องนั้นอยากปรุงเรื่องนี้ มันอยากตลอดเวลานะความอยากของจิต ทีนี้พอสติดีขึ้นๆ แล้วความคิดความปรุงนี้ระงับลงๆ เข้าสู่ความสงบ พอเข้าสู่ความสงบแล้ว ถึงขั้นสมาธิแล้วไม่อยากคิดอยากปรุงรำคาญ นี่ถึงขั้นที่ว่าความปรุงมันรำคาญ แต่ก่อนมันอยากปรุงจะเป็นจะตาย ทีนี้พอสมาธิทับหัวมันไว้แล้วมันไม่อยากคิดอยากปรุง นั่งเท่าไรก็ได้ แน่วอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งว่านี่ละจะเป็นนิพพาน
เป็นได้นะเราสำคัญแล้ว นี่ละจะเป็นนิพพานๆ จะเป็นนิพพานอะไรไม้ทั้งต้นมันจะเป็นบ้านเป็นเรือนได้ยังไง ต้องเอามาเจียระไนมาเลื่อยมาไสกบลบเหลี่ยมเสียก่อนมันถึงจะเป็นไปได้ อันนี้พอจิตค่อยสงบลงไป เราเหมาเอาความสงบเป็นนิพพาน มันเคยเป็นแล้วนะ พอออกทางด้านวิปัสสนาจิตอิ่มอารมณ์แล้ว พาทำอะไรคิดอะไรอย่างนี้มันไม่เถลไถลนะ ถ้าเวลามันกำลังหิวโหยนี้ พาออกทางด้านวิปัสสนาปัญญามันเป็นสัญญาอารมณ์ไปหมด พอจิตอิ่มอารมณ์แล้วออกทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์มันก็แยกตามนั้นๆ ทีนี้มันก็รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นไป เปิดกว้างออกๆ
ทีนี้ก็ย้อนเข้ามา เอ้อ สมาธินี้มันไม่ได้ฆ่ากิเลส มันย้อนเข้ามาหาตัวของมันเอง แน่วอยู่ทั้งวันก็ตามมันไม่ได้ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสปัญญาต่างหาก ทีนี้มันก็หมุนทางด้านปัญญา แล้วมาเห็นโทษของกิเลสเหมือนหมูขึ้นเขียงว่างั้นนะ ทีนี้ก็หมุนทางด้านปัญญา เอาละที่นี่นะความเพียรพอก้าวออกทางด้านปัญญาแล้ว เรื่องที่ว่าเราเพียรนี้ไม่มี นอกจากเพียรเพื่อพ้นทุกข์มี แต่เพียรในประโยคพยายามไม่มี ได้รั้งเอาไว้ๆ ลืมหลับลืมนอน ไม่สนใจกับการหลับการนอน เรานอนอย่างนี้เรื่องสติปัญญากับกิเลสมันฟัดกันอยู่บนหัวใจนี้หมุนอยู่ตลอด
นอนอยู่มันก็หมุน เดินอยู่ก็หมุน อิริยาบถใดหมุนตลอดตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับ นั่นละมันหมุนของมัน นี่ถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติเข้าใจไหมล่ะ มีได้อย่างนี้นักปฏิบัติ กิเลสเป็นอัตโนมัติเหยียบบนหัวใจสัตว์โลกทั่วโลกดินแดน ไม่มีใครคิดนะว่ากิเลสทำงานบนหัวใจ แล้วขนฟืนขนไฟมาเผาหัวใจสัตว์โลกทั่วโลกดินแดน นี่เป็นกิเลสทำงานอัตโนมัติของมันทั่วไปหมดไม่มีใครคิด ทีนี้พอปัญญาขั้นนี้ขึ้นแล้วมันวิ่งถึงกัน พอถึงขั้นปัญญานี้แล้วเอากิเลสมาจากไหนที่นี่นะ สติปัญญาจะตามต้อนฟาดฟันหั่นแหลกเรื่อยๆ เป็นอัตโนมัตินะที่นี่ ไม่มีคำว่าหยุดว่ายั้ง
หลับก็ต้องได้บังคับ บังคับถึงขนาดเอาพุทโธมาบังคับไม่งั้นมันจะไม่ยอมหลับ คือมันจะทำงานของมันระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้จะหมุนตลอดเวลา ทีนี้เราจะให้มันพักทำไง ต้องให้มาอยู่อารมณ์เดียวคือพุทโธ หรือธัมโม หรือธรรมบทใดก็ตามตามแต่จริตนิสัยชอบ ให้สติติดอยู่กับคำบริกรรมคำเดียว ไม่ต้องไปคิดเรื่องหน้าที่การงานเกี่ยวกับสติปัญญาที่ออกไปฆ่ากิเลสนั้นนะ หักเข้ามาให้อยู่ในอารมณ์อันเดียว เช่นพุทโธๆ อยู่นั้น แน่วอยู่กับพุทโธบังคับ เดี๋ยวจิตลงสงบแน่ว พัก เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามกระปรี้กระเปร่ามีกำลังวังชาจากสมาธิ นี่เรียกว่าหนุนกำลังทางด้านปัญญาให้เดินได้คล่องตัว
พอออกจากนั้นแล้วก็ผึงทางด้านปัญญา นี้เป็นอัตโนมัตินะไม่ต้องได้เพียร ถึงขั้นธรรมมีกำลังแล้ว ธรรมทำงานฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน กับกิเลสทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน ให้พากันจำเอาไว้ นี้ถอดมาจากบนเวที ไม่ได้มาพูดเฉยๆ พอถึงขั้นสติปัญญาทำงานฆ่ากิเลสแล้วอยู่ที่ไหนฆ่าตลอด เว้นแต่หลับ แม้ที่สุดฉันจังหันนี้มันไม่ได้อยู่กับอาหารการกินนะ มันหมุนของมันอยู่ตลอดลึกๆ อยู่นั้นละ เหมือนเรานั่งอยู่นี้ กิเลสทำงานบนหัวใจ นั่งอยู่รับประทานอาหารอยู่มันก็คิดของมันเรื่อยตามเรื่องของกิเลส ทีนี้เวลาถึงขั้นปัญญาทำงานแล้ว ถึงจะรับประทานอาหารฉันจังหันอะไรๆ ก็ตาม จิตนี้มันจะหมุนฆ่ากิเลสตลอด นี่ละถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ
ทีนี้กิเลสจะมาจากไหนล่ะ ก็มีแต่ฆ่าฟันหั่นแหลกกันตลอดเวลา มันก็ลดลงๆ สติปัญญายิ่งคล่องตัวๆ ขาดสะบั้น นี่ละลงสติปัญญาขั้นนี้เกิดแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ ชัดในหัวใจ เกิดมาเท่าไรพังเลย แพล็บออกมานี้ขาดสะบั้นๆ สติปัญญามันรวดเร็ว ขาดสะบั้นไปเลย หมอบลงๆ ละเอียดลออ จนถึงบางครั้งนี้ก็ได้พูดให้ลูกศิษย์ฟัง เป็นแต่เพียงว่าไม่สำคัญเท่านั้น เห็นเวลานั้นมันว่างไปหมดเลย คุ้ยเขี่ยขุดค้นหากิเลสตัวใดที่จะมากวนใจไม่มีเลย เงียบ ว่างไปหมดเลยในหัวใจ แต่ใจนี้ยังไม่ว่างนะ ว่างแต่อาการของใจเฉยๆ แต่มันไม่สำคัญว่าตนสำเร็จ
ทีนี้เมื่อเวลาค้นหาตรงไหนกิเลสก็ไม่มีแล้ว เหอ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ นะไม่ได้สำคัญ สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเลยๆ จนกระทั่งถึงขั้นสุดยอด ฟาดนี้กิเลสขาดสะบั้นประจักษ์ในหัวใจ เหมือนฟ้าดินถล่ม ผางที่เดียวนี้เราไม่เคยคาดเคยคิดว่าความรู้อันนี้จะครอบโลกธาตุ พอกิเลสที่ปิดบังหุ้มห่อไว้แตกกระจายไปหมดโดยสิ้นเชิง อันนี้จ้าขึ้นมาเต็มเหนี่ยว นั่นละที่มันออกอุทานว่า หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ อย่างที่ว่านี้ ไม่มีเจตนาที่จะวัดรอยนะ มันหากเป็นด้วยกำลังของจิตมันพุ่งตัวขึ้นมา ทีนี้ไม่มีอะไรปิดเลย ทีแรกว่าพระอรหันต์น้อยๆ หายเงียบ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วหรือ พอถึงขั้นนี้แล้วพระอรหันต์น้อยก็ไม่ถามถึง พระอรหันต์ใหญ่ก็ไม่ถามถึง ขาดสะบั้นลงไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กิเลสตัวใดที่จะแฝงเข้ามาทำลายจิตใจไม่มีเลย จึงเรียกว่ากิเลสหมด หมดอย่างนั้นละ
กิริยาท่าทางที่แสดงออกไปหนักเบามากน้อยเหมือนจะกัดจะฉีกนี้ มีแต่กิริยาของธรรมพลังของธรรม ไม่มีกิเลสแฝงออกไปเลย จึงเรียกว่ากิเลสหมดเข้าใจเหรอ จะเอากิริยานี้มาเป็นกิเลสไม่ได้นะ เป็นกระแสของธรรมพลังของธรรมทั้งนั้นออก ผางๆ เลย นั่น นั่นละจึงเรียกว่าหมด จากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรกวน บรมสุขไม่ต้องบอก นิพพานเที่ยงหรือไม่เที่ยงไม่ต้องไปถามใคร เป็นอันเดียวกันแล้วกับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ กับพระอรหันต์ทุกๆ องค์เป็นอันเดียวกันแล้ว
เหมือนน้ำในมหาสมุทรทะเลหลวง พอไหลเข้าไปสู่มหาสมุทรเป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมดเลย มันจะไหลมาจากคลองใดก็ตาม พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด นี้ใครสร้างบารมีหนักเบามากน้อยมา ใกล้เข้ามาๆ ก็ยังเรียกว่าสร้างบารมี เหมือนน้ำไหลลงมาจากคลองต่างๆ พอเข้าไปถึงมหาวิมุตติมหานิพพานผางเดียวเท่านั้น เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานอันเดียวกันหมด ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เป็นอันเดียวกันเลย นั่นให้มันเห็นอย่างนั้นซิ จิตเห็นธรรมเห็นอย่างนั้น ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ก็ธรรมชาตินี้มันก็เป็นอันเดียวกันแล้วกับตถาคต ไปหาตถาคตที่ไหนล่ะ หมดโดยสิ้นเชิง
พากันจำเอานะการปฏิบัติธรรม เราสอนนี้สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ ขอให้นำไปปฏิบัติเถิดไม่ผิด เพราะได้ผ่านมาหมดแล้ว ผิดถูกชั่วดีคัดเลือกหมด จนกระทั่งมีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นำออกมาแสดงไม่ว่าธรรมะขั้นใดหายสงสัย ที่ว่าจะผิดไปไม่มี เพราะออกจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว ออกตรงไหนก็ถูกต้องแม่นยำไปตามๆ กันหมด นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติกันนะ อกาลิโกๆ ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำให้เกิดเมื่อไรธรรมเกิด เราบำเพ็ญให้เกิดเมื่อไรเกิด
กิเลสทำให้เกิดเมื่อไรเกิดได้เป็นอกาลิโกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ระวังทางกิเลส เปิดทางให้ธรรมเกิดเรื่อยๆ พอธรรมเกิดขึ้นแล้วอยู่ที่ไหนเกิดตลอด จนกระทั่งสิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นไปแล้วก็เป็นธรรมทั้งแท่ง เรียกว่าธรรมธาตุ นั่น ที่สุดแห่งธรรมของผู้บำเพ็ญได้แก่ธรรมธาตุ จิตบริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเรียกว่าธรรมธาตุ จิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์เป็นธรรมธาตุด้วยกันทั้งหมดเลย นั่นละทีนี้ไม่ถามหากัน มันเป็นน้ำมหาวิมุตติมหานิพพานแบบเดียวกันหมด ถามที่ตรงไหนมันก็เป็นอันเดียวกัน ไม่ถาม ให้พากันเข้าใจ เรายิ่งจวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงเจ้าของ เราไม่ได้ห่วงนะ ห่วงโลกสงสารยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ไม่ลืมหูลืมตาเลย
ตื่นขึ้นมาดิ้นกันจนกระทั่งหลับ ผลที่ได้มามีแต่ความผิดหวังๆ ในวันนั้นคืนนั้นๆ จะได้ความสมหวังมาครองใจไม่ค่อยมีและไม่มี มีแต่ความผิดหวังๆ เพราะกิเลสลากไปถูไป จะเอาสมความหวังมาจากไหน ถ้าเป็นธรรมแล้วสมหวังเป็นลำดับลำดา ได้มากได้น้อยจิตสงบร่มเย็นเป็นสมบัติติดตัวแล้วนั่น สมบัติภายนอกนั้นอยู่ข้างนอก อยู่กันด้วยความเสี่ยง ได้มาแล้วเสียไปๆ ได้มากได้น้อยมีแต่เรื่องกฎของอนิจจังตีแหลกๆ ธรรมขึ้นที่หัวใจแล้วอบอุ่นตลอดนะ ค่อยอบอุ่นไปๆ นี้เป็นธรรมชาติตายใจได้ หรือเรียนวิชาประมวลวัฏวนก็ไม่ผิด
งานของโลกนี้เป็นงานวัฏวนเบิกกว้างออกไปไม่มีสิ้นสุด ตายเกิดๆ มากี่กัปกี่กัลป์ก็เป็นแบบที่เป็นมาแล้วนี้ ยังจะเป็นต่อไปข้างหน้าแบบเดียวกัน ไม่มีคำว่าสิ้นสุดงานของวัฏวน ดังที่โลกทั้งหลายหมุนกัน พูดให้ชัดเจนเพราะเราผ่านมาแล้วด้วยกัน วัฏวนเราเคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ทีนี้เวลามันพลิกกลับตัวของมันขาดสะบั้นไปหมด จึงว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานการที่หนักมากที่สุดได้แก่งานฆ่ากิเลส กิเลสได้สิ้นซากลงไปแล้ว งานที่ควรจะทำก็คืองานแก้กิเลสได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่ยิ่งกว่านี้ไม่มี
นั่นละท่านอยู่ด้วยการว่าจบพรหมจรรย์ อยู่ด้วยการจบการจบงานทั้งหลาย ไม่มีอะไรมาต่อเหมือนงานของโลก ทำเท่าไรยิ่งบานปลายๆ ไม่มีที่สิ้นสุดคืองานกิเลสลากเข็นสัตว์โลกให้หมุนไปนั้นเอง พองานของธรรมแล้วหดย่นเข้ามา จึงเรียกว่าการบำเพ็ญความดีทั้งหลายนี้เป็นงานย่นวัฏวนเข้ามา เราจะเกิดแก่เจ็บตายมากี่ภพกี่ชาติมันจะหดเข้ามาย่นเข้ามาด้วยการสร้างความดี ย่นเข้ามาๆ เข้ามาสู่หัวใจตัวเป็นกงจักรอันใหญ่โต พอกงจักรคือกิเลสอยู่ในหัวใจขาดสะบั้นไปแล้วหมดโดยสิ้นเชิง
ทีนี้งานนี้หมดแล้ว ไม่มีข้างหน้าข้างหลังอดีตอนาคตไม่มี ขาดสะบั้นไปหมด ปัจจุบันก็เป็นสมมุติ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติ ขาดสะบั้นลงไปหมดหายกังวล บรมสุขมาเองเป็นเอง นิพพานเที่ยงที่นั้นเอง ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ นี่ละงานบำเพ็ญศาสนาเป็นงานหดย่นวัฏวน ความทุกข์ทั้งหลายแหล่นี้เข้ามา แคบเข้ามา เมื่อเต็มที่แล้วที่เป็นกงจักรพาสัตว์โลกหมุนนี้ขาดสะบั้นไปหมด หมดกงจักรไม่มีต่อไป เอาเท่านั้นละนะ ให้พากันจำเอา ให้พากันเอาไปเป็นคตินะที่สอนนี้ สอนอย่างแม่นยำ ให้พากันเอาไปเป็นคติเครื่องเตือนใจตัวเอง เพิ่มความดีเข้าวันละเล็กละน้อยมันจะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มความดี ความดีสูงส่ง ความสุขสูงส่งขึ้นไปจนส่งถึงนิพพาน ถ้าความชั่วสร้างไปเท่าไรยิ่งกดลงๆ จมเลย นั่น
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz