เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
มรรคผลนิพพานเป็นวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม
ก่อนจังหัน
พระเณรที่อยู่กับเรา อยู่ในหัวอกเราทุกองค์ ในครัวในนี้อยู่ในหัวอกเราหมด แต่ที่จะได้สังเกตพิจารณาเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือฝ่ายพระ ฝ่ายพระนี้ดูได้ทุกแง่ทุกมุม เราดูได้ทุกเวลา เวลาไหนเราไปได้ทั้งนั้น ตรวจดูไม่ว่ากลางคืนกลางวัน ข้างในเลอะเทอะเพราะไม่ได้ไปดู อย่างมากก็ด้อมๆ ไปเท่านั้น เลอะเทอะเท่าไรในครัว ถ้าพูดถึงเรื่องพระในวัดป่าบ้านตาดตั้งแต่สร้างวัดมา ไม่มีความเคลื่อนไหวออกเป็นผลลบเลย คงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยตลอดมา ก็เป็นที่สะดวกสบายใจสำหรับผู้ปกครอง และผู้ปฏิบัติตามก็อบอุ่นภายในตนที่ได้บำเพ็ญประโยชน์ตามหลักธรรมหลักวินัยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผลก็ได้เป็นที่พอใจๆ
ทางในครัวแต่ก่อนไม่มี เรามีเฉพาะโยมแม่สองสามคนเท่านั้น อันนี้มันทะลักมายังไงก็ไม่รู้ ไปดูเอาซิ มันนอนกองกันกินอยู่ในนั้นเยอะนะไม่ได้หน้าได้หลังอะไร ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม ปฏิบัติอรรถธรรม หนักใจลำบากใจ ไอ้ผู้เลอะๆ เทอะๆ มันไปกีดไปขวางอยู่ในนั้น มันลำบากนะ เราก็ดูแลไม่ทั่วถึง ให้คอยสังเกตดูข้างใน ถ้ารายไหนไม่เป็นท่าให้บอกมา ถ้าบอกมาถึงเราแล้วศาลเดียว ไม่ต้องมีหลายศาลแหละ มีศาลเดียว ศาลต้น ศาลอุทธรณ์ ฎีกา ไม่มี มีศาลเดียวคือเรา พูดให้ชัดเจนเลย หลักธรรมวินัยมีศาลเดียว ไม่มีสามศาลสี่ศาล
การปฏิบัติตนให้เป็นคนดีนี้ลำบากมากนะ ต้องฝืนไม่ฝืนไม่ได้ กิเลสเอาไปกินหมดๆ เผลอไม่ได้เรื่องกิเลส นี่ละที่ว่าเป็นคู่กันกับธรรม มีมาดั้งเดิม กิเลสกับธรรมเป็นคู่กัน สมัยใดที่ธรรมมีความเจริญรุ่งเรือง ผู้ปฏิบัติธรรมสนใจในธรรมมีมาก กิเลสคือตัวเป็นฟืนเป็นไฟก็สงบลง ถ้าธรรมอ่อนแล้วฟืนไฟคือกิเลสจะพองตัวขึ้น อย่างปัจจุบันในเมืองไทยเรานี้ มีตั้งแต่กิเลสพองตัวเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มวัดเต็มวา ไม่เว้นแม้วัดวาอาวาสพระเณร มันเหยียบได้หมด พระเราหัวโล้นๆ มันอายบาปเมื่อไร มันไม่ได้อายนะ มีแต่หัวโล้นผ้าเหลืองคลุมศีรษะมันอยู่เท่านั้น ความไม่ละอายบาปมันอยู่กับตัวเทวทัตหัวโล้นๆ นี้ทั้งนั้น
เปิดให้ชัดเจน ผู้ทำทำอย่างไม่มียางอาย ธรรมถ้าไม่มาแก้กันอย่างนี้หาความสะอาดไม่ได้นะ มันเลอะขนาดนั้นละ นี่ละจิตใจต่ำเสียอย่างเดียวดูเอา ถ้าจิตใจต่ำเสียอย่างเดียวอะไรจะสูงเท่าเมฆ บนเมฆก็ตามเถอะ มันก็ไปเหม็นคลุ้งอยู่บนเมฆ ถ้าจิตใจสูงเสียอย่างเดียวอยู่ไหนหอมหวนชวนชม การปฏิบัติตนเป็นสำคัญมาก เมืองไทยเรานี้เลอะเทอะมากทั้งฝ่ายพระเจ้าพระสงฆ์ ศาสนา ทั้งฝ่ายประชาชน มองดูกันจะไม่ได้เลย มองดูกันแม้ที่สุด เราย่นออกมาเป็นเอกเทศ พระดูพระก็จะดูไม่ได้ คือมันขยะแขยงกันด้วยการประพฤติปฏิบัติเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันมากทีเดียว ถ้าต่างคนต่างปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยของศาสดาองค์เดียวกันแล้วจะเรียบ ไปที่ไหนเข้ากันได้สนิทๆ
อันนี้มันเอาเทวทัตเข้ามาแทรกๆ อยู่ในวัดในวาในพระในเณร ผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลยขยะแขยง เป็นความลำบากลำบนภายในจิตใจไม่น้อยนะ ให้ท่านทั้งหลายดูเอา พระสำหรับในวัดป่าบ้านตาดเราก็ยังไม่เคยเห็น แต่มันเป็นอยู่ลึกๆ ใครจะไปทราบได้ล่ะ สอนนี้ต้องสอนทั่วกันไปหมด เสมอกันหมดไม่เอนไม่เอียง ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติให้เอาธรรมไปปฏิบัติ อย่าให้มีที่ลับที่แจ้งในหัวใจเรา ไม่ดีตรงไหนให้แก้ทันที ตรงไหนดีให้ส่งเสริม นั่นละความสงบร่มเย็นจะมีๆ
ผู้รักศีลรักธรรม ปฏิบัติตามศีลตามธรรมนี้เรียกว่าเป็นผู้มีกฎมีเกณฑ์ มีหลักมีแหล่ง ถ้าไม่มีธรรมแล้วเราอย่าเอาสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขานี้มาอวดธรรมนะ ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว อย่าเอามาอวดธรรม ธรรมเป็นของเลิศเลอ ให้เข้ามาบูชาธรรม คำว่าบูชาธรรมคือต้องกราบไหว้เคารพนับถือธรรมเสมอ อย่าไปเย่อหยิ่งจองหองพองตัวว่าเป็นผู้มั่งมีศรีสุข มีสมบัติเงินทองข้าวของมาก ยศถาบรรดาศักดิ์มาก อย่าเอามาอวดนะ นี่คือกองมูตรกองคูถเมื่อเทียบกับธรรมแล้ว
ธรรมอยู่ที่ไหนจ้าตลอดเวลา ยิ่งเป็นอยู่กับผู้ปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว ในหัวอกของท่านจ้าครอบโลกธาตุ แล้วจะไปอวดท่านได้ยังไงล่ะไอ้มูตรๆ คูถๆ นั่นน่ะ เกิดประโยชน์อะไร ให้ดัดแปลงตนเอง อะไรไม่ดีนั่นละเป็นสิ่งที่ลดคุณค่าของมนุษย์เราลง ถ้าดีแล้วก็เพิ่มคุณค่าขึ้นๆ พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ขอให้มีวี่แววแห่งชาวพุทธติดตัวบ้าง ทั้งประชาชนพระเณรในวัดวาให้มีธรรมติดตัวบ้าง เดี๋ยวนี้จะไม่มีนะ มีแต่กิเลสออกลวดออกลายตีตลาด ไปที่ไหนเหม็นคลุ้งไปหมดๆ นั่นละถ้ากิเลสไปไหนเหม็นคลุ้งไปหมด ถ้าธรรมไปไหนหอมหวน ท่านว่า สีลคนฺโธ อนุตฺตโร กลิ่นแห่งศีลนี้หอมหวนทวนลม ไม่ต้องไปตามลม กลิ่นศีลกลิ่นธรรมนี่หอมหวนทวนลมไปได้ทั้งนั้น ให้นำไปปฏิบัติตนเอง
คนมีศีลมีธรรมเป็นคนมีหลักแหล่ง ไม่ว่าจะทำหน้าที่การงานขวนขวายหาเลี้ยงชีพก็ตาม หน้าที่การงานใดก็ตาม ถ้ามีธรรมแล้วจะมีหลักมีเกณฑ์มีเหตุมีผล ไม่ค่อยเสียเจ้าของ ส่วนมากเอาแต่กิเลสมาเป็นหัวหน้า อะไรก็ชุ่ยๆ สุกเอาเผากินๆ วันหนึ่งๆ แบบสุกเอาเผากินเป็นไปทั่วโลก เป็นยังไงโลกเมืองไทยเรา หาหลักเกณฑ์ไม่ได้ จม ไม่มีความหมายอะไรละ พากันจำให้ดี ให้นำธรรมไปปฏิบัติถ้าอยากมีกฎมีเกณฑ์ ครอบครัวเหย้าเรือนหนึ่งๆ มีกฎมีเกณฑ์ปฏิบัติต่อกัน ออกไปสังคมมากน้อยก็ให้มีกฎมีเกณฑ์แห่งศีลแห่งธรรมนำไปปฏิบัติด้วยกัน ก็จะมีความสงบร่มเย็น ถ้าปราศจากศีลธรรมใครอย่าอวดเก่งนะ จมทั้งนั้นๆ
ไม่มีใครเก่งกว่าองค์ศาสดา สามแดนโลกธาตุนี้มีศาสดาองค์เดียวเท่านั้น เป็นผู้สิ้นกิเลสด้วย เป็นเจ้าของของศาสนาแนะนำสั่งสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำด้วย ให้นำธรรมท่านไปสอน ธรรมของท่านผู้บริสุทธิ์มาสอนโลกมีที่ไหน มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นคลังกิเลสทั้งนั้น อะไรว่าดีๆ ถูกหมด ถ้าถูกใจเจ้าของถูกหมดๆ ถูกธรรมหรือไม่ถูกธรรมไม่สำคัญ แต่พระพุทธเจ้าเอาธรรมเข้ากางเลย อะไรถ้าไม่ถูกธรรมปัดออกๆ เป็นอย่างนั้นนะ ให้จำเอา ให้พร
หลังจังหัน
(สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนล่าสุดมี ๗๔ สถานีแล้วครับ แบ่งตามภาค ภาคเหนือ ๑๗ สถานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๗ สถานี ภาคกลาง ๑๐ สถานี ภาคใต้ ๑๐ สถานี ภาคตะวันออก ๑๐ สถานี รวมยอดทั้งหมด ๗๔ สถานีครับ) ก็เยอะแล้วนี่ ดูเหมือนทั่วประเทศไทยแล้ว ออกทุกภาคแล้ว นี่ก็มักจะออกจากวัดป่าบ้านตาดธรรม ไม่ว่าจะทางวิทยุหรือออกทางไหนๆ แม้ที่สุดเทศน์ด้วยปากก็ออกจากวัดป่าบ้านตาดนี่ เช่นอย่างเราช่วยชาติบ้านเมือง ไปทุกภาค เทศน์ทุกแห่งทุกหน ออกจากปากโดยตรงๆ จากนั้นก็ติดเทปมาออกทางวิทยุ
ดูออกหลายแบบนะ ส่วนมากออกจากวัดป่าบ้านตาด ครูอาจารย์ทั้งหลายท่านก็มีแต่ไม่ค่อยมากนัก เอาเทปท่านมาเปิดฟังก็มีบ้าง แต่ครั้นแล้วออกหน้าก็คือเรา ยิ่งธรรมะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ แล้วยิ่งเป็นเราอยากจะว่าทั้งนั้นเลย ธรรมะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ ก็เราทั้งนั้นแหละออก
ที่เคยได้เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง บวชใหม่ได้พรรษาเดียว กับมาปัจจุบันนี้คนๆ เดียวกันนี้แหละ บวชได้พรรษาหนึ่ง กับมาถึงปัจจุบันนี้ ๗๓ พรรษา พระองค์เดียวกันนี้ บวชปีแรกเรียนเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน สวดมนต์จบ เรียนปาฏิโมกข์จบ สวดปาฏิโมกข์ได้ในกลางพรรษา ออกพรรษาพอดี เรียนได้เต็มภูมิเจ้าของ นักธรรมยังไม่ได้เรียนปีแรกนะ นักธรรมยังไม่ได้เรียน เรียนแต่สวดมนต์ แล้วก็เรียนปาฏิโมกข์ ได้เท่านั้นละ เรียกว่าเต็มภูมิเจ้าของแล้ว
บวชเดือน ๖ ก็ไปในงานถูกเทศน์นี้เดือนพฤศจิกา ๖ เดือน เรียนมาก็ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องการเทศนาว่าการ เกี่ยวกับเรื่องสวดมนต์สวดพรสวดปาฏิโมกข์ไปเสีย ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการเทศนาว่าการ ทีนี้เดือนพฤศจิกาเขาทำบุญลานข้าวเขาตามท้องนา ก่อนเขาจะขนข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง เขาทำบุญให้ทานเสียก่อน เราก็ถูกนิมนต์ไป ที่ไหนก็ถูกนิมนต์ๆ พระทั้งวัดจนไม่มีพระจะตกค้างอยู่ในวัดเลย บ้านนั้นนิมนต์เท่านั้น นิมนต์เท่านี้ หมด เราก็ไป บวชได้พรรษาเดียวก็ได้เป็นหัวหน้าเขาไป
หัวหน้านี่สำคัญนะ มันจะตายอยู่หัวหน้านั่นแหละ คือเราไปเรามีหนังสือพกเล่มหนึ่ง กัณฑ์เทศน์กัณฑ์หนึ่ง เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังเสีย ได้หนังสือเทศน์กัณฑ์หนึ่ง เป็นเหมือนกัณฑ์เทศน์พก หนังสือพกไป เวลาจำเป็นก็เอากัณฑ์เทศน์พกนี้มาเทศน์พอผ่านไปได้ วันนั้นพอเทศน์จบลงแล้วเขาแห่กันมาอีกหลายบ้าน เขารุมกันมาในงานลานข้าวนั่นแหละ หือ ท่านเทศน์จบแล้วเหรอๆ ใครก็กุลีกุจอรีบร้อน อีตาคนหนึ่งเราไม่ได้ให้คนไปหาค้นดูมัน ถ้ามันยังอยู่แล้วเอามันมาฆ่าเสีย
แกนั่งอยู่นั้น ท่านเทศน์เสร็จแล้วหรือๆ มันพูดขึ้นมา เสร็จแล้วก็จะยากอะไร ให้ท่านฉันเพลเสียก่อน ท่านเทศน์ให้ฟังเมื่อไรก็ได้ เราอยากฆ่าอีตานี่ ก็มันไม่ใช่ผู้เทศน์ เราเป็นผู้เทศน์ต่างหาก นี้อันหนึ่ง ต้องเทศน์ปากเปล่า ภาษิตนั้นก็ยังจำได้อยู่ โถ คนจะตายจริงๆ มันไปได้นะ อย่างที่เราเคยพูดว่า คนเราอย่าว่าโง่ตลอดไปนะ เวลามันจนตรอกจนมุม ความฉลาดมาช่วยได้ แล้วเกิดได้ด้วยความฉลาด เกิดเวลาจนตรอก ก็เข้ากันได้กับที่เราจำเป็น เขานิมนต์ไปเทศน์กัณฑ์ที่สอง
เรายังจำได้ภาษิต ก็พรรษาเดียว ยังไม่ได้เรียนภาษิตที่จะนำไปเทศน์ที่นั่นที่นี่ ยุ่งอยู่กับสวดมนต์ ปาฏิโมกข์ จำได้ภาษิตหนึ่ง ก็เอาภาษิตนั่นละยกขึ้นเทศน์พอรอดตัวไปได้ มันคับหัวอกเหมือนหัวอกจะแตก จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟังๆ ระลึกหาอะไรไม่ได้ เราเองเป็นหัวหน้าต้องเทศน์ นี่ละความทุกข์ของพระมีครั้งนี้ละเราไม่ลืม ทุกข์แสนสาหัสเลย ถูกเทศน์ละซิ จากนั้นมาก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เพราะเรียนไปเรื่อยๆ มีหนเดียวนี้เท่านั้น ทุกข์มากที่สุดเลย
พอมาถึงวัดก็ค้นเอาหนังสือเทศน์กัณฑ์ต่างๆ ที่เขาพิมพ์เป็นเล่มเอาไว้ ที่วัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง กรมทหาร ค้นดูหนังสือกัณฑ์เทศน์ของท่านเจ้าคุณอุบาลี ชอบกัณฑ์ไหน เราจะเอาเทศน์กัณฑ์นี้ท่อง ไปไหนไม่อดตาย ใครจะมีงานอะไรก็ตามกัณฑ์เทศน์กัณฑ์นี้กัณฑ์เดียวพอ มาก็ค้นหาได้เลย ท่องสวดมนต์สวดปาฏิโมกข์ยังไม่คล่องเท่ากัณฑ์เทศน์เรา นั่นมันจริงจังนะ เทศน์ท่องได้คล่องปากเลย ทีนี้มาจะไปเทศน์ที่ไหน จะเอากัณฑ์เทศน์กัณฑ์นี้ละเทศน์
ตั้งแต่นั้นมาก็ออกจากวัดโยธานิมิตร ไปเตลิดเปิดเปิงจนกระทั่งทุกวันนี้ เลยไม่ได้เทศน์กัณฑ์นั้นนะ กัณฑ์เทศน์เจ้าคุณอุบาลีที่ท่องไว้ เลยไม่ได้เทศน์จนมาถึงปัจจุบันนี้ ทีนี้รวมแล้วเป็นยังไงพี่น้องทั้งหลายฟังเทศน์ของหลวงตา ตั้งแต่ไปเทศน์ที่ลานข้าวเขานั่นเบื้องต้นที่เป็นความทุกข์แสนสาหัส ตั้งแต่นั้นมาเรื่อยจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เทศน์ทั่วโลกดินแดนเปิดโล่ง อย่าว่าแต่มนุษย์นี้เลย เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมอยู่ในข่ายแห่งธรรมที่ควรจะเทศน์ทั้งนั้น ไม่เห็นมันอัดมันอั้นตันใจที่ไหน
ไปเทศน์ที่บ้านหนองแวงไม่ลืมจนกระทั่งทุกวันนี้ เลยผูกเป็นกลอนตลกขึ้นมา พอผ่านบ้านหนองแวง มีหมูหมาเป็ดไก่วิ่งผ่านหน้า สูอย่ามาผ่านนะ กูโมโหกูเคียดแค้นตั้งแต่วันนั้นมา สูตายนะ พวกไก่พวกหมูหมา กูเคียดแค้นยังไม่ถอย คือไปเทศน์ที่ตรงนั้น เดี๋ยวนี้เขาตั้งบ้านแล้ว แต่ก่อนไม่มีบ้าน เป็นไร่เป็นนา เดี๋ยวนี้เขาตั้งเป็นบ้านหนองแวง ยังผูกเป็นกลอนตลกขึ้นมาได้ สูอย่ามาผ่านนะ แถวนี้เป็นแถวกูโมโห กูฆ่าสูได้หมดแหละ ขบขันดี จนกระทั่งทุกวันนี้เป็นยังไง คนๆ เก่านี้ละเทศน์ที่บ้านหนองแวง กับเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
พูดถึงเรื่องปัจจุบัน ก็เปิดทั้งเวลามันอัดอั้นตันใจจะเทศน์ไปไม่ได้ เปิดทั้งเวลาจิตใจมันเปิดโล่งออกแล้ว เข้ากันปั๊บ มันก็พูดได้ทั้งสองอย่าง พูดได้ทั้งสองยังไง ก็เวลามันปิดตัน อะไรจะปิดตัน ก็คือความติดเขาติดเรามันเป็นกำแพงกั้นไว้ ติดเขาติดเราเสียอย่างเดียวเทศน์ก็อัดอั้นตันใจไปไม่ได้ ครั้นเรียนไปๆ การศึกษาเล่าเรียนก็ค่อยเปิดออกๆ แต่ยังไม่ถนัดชัดเจนภายในใจเหมือนภาคปฏิบัติ เรียนไปที่ไหนก็จำได้ๆ แม้ที่สุดพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพาน ส่วนใหญ่เชื่อว่ามรรคผลนิพพานมี แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกินว่า มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีนา นั่นส่วนย่อย
ก็ไปเปิดกันตอนออกปฏิบัติ พอหยุดจากการศึกษาเล่าเรียนแล้วก็มุ่งหน้าภาคปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่เพื่ออะไรเลย ยังไงจะต้องให้ได้มรรคผลนิพพาน ให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เมื่อมรรคผลนิพพานมีอยู่แล้วจะเอาตายเข้าว่าเลย ที่จะถอยไม่มี ขอให้มีผู้ใดผู้หนึ่งมาบอก หรือท่านผู้ใดก็ตามมาบอกว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่เถอะ เราจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์หรือท่านผู้นั้น แล้วเอาตายเข้าว่าเลย ก็ไปได้พ่อแม่ครูจารย์เป็นผู้รับรองเรื่องมรรคผลนิพพาน
มาก็บึ่งใส่เลยเชียว ไปหาพ่อแม่ครูจารย์ คราวนั้นท่านก็กางตาข่ายคือเรดาร์เอาไว้หมด ใส่เปรี้ยงๆ กับเจตนาของเราที่มุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์อย่างแรงกล้า มันก็เข้ากันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ พุ่งๆ เลย พอฟังเทศน์จบลงแล้วเปิดโล่งหมดเลย เรื่องมรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี แม้จะมีกิเลสภายในใจก็ตาม แต่ความเชื่อมั่นในพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่เทศน์เกี่ยวกับยืนยันเรื่องมรรคผลนิพพานนั้นเปิดอ้าหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาข้องหัวใจ ทีนี้เราจะจริงหรือไม่จริง ก็เอาตายเข้าว่า เราจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ อย่างไรจะต้องให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เมื่อมรรคผลนิพพานมีอยู่ มรรคผลนิพพานเป็นวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งมันจะนอกวิสัยนี้ไปไหนว่ะ
เพราะธรรมะที่เปิดโล่งก็พ่อแม่ครูจารย์เปิดให้แล้ว เอา เข้า นี่เราพูดให้เปิดเสียคราวนี้ เอา เข้าคราวนี้น่ะ ท่านมาเปิดประตูให้แล้ว อยู่ทำไม ตั้งแต่นั้นมาก็พุ่งเลยเรื่องความเพียร นี่พูดอย่างเปิดเผยให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะนิสัยของเราไม่ค่อยจะเหมือนใครง่ายๆ ผ่านไปนี้ เข้านอกออกในเกี่ยวกับเรื่องประชาชนเป็นอย่างหนึ่ง สำหรับพระเณรตลอดผู้มุ่งปฏิบัติอรรถธรรมทั้งหลายนี้ เราเข้านอกออกในได้หมดเลยไม่ว่าทางภาคปริยัติภาคปฏิบัติเข้าได้หมด จึงไม่สงสัย
พอได้รับโอวาทพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้นถึงใจเลย เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ทั้งๆ ที่กิเลสมีอยู่นะ ความเปิดโล่งในหัวใจจากธรรมของท่านที่เปิดประตูอ้าไว้รับมรรคผลนิพพานเพื่อเรา จากนั้นมาก็ฟัดกันใหญ่เลย นี่ละที่ว่าจะไม่ค่อยเหมือนใครง่ายๆ แล้วก็พอดีกับพ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ไม่เคยเสริมใคร บางทีจะไปเที่ยวท่านถาม ไปกี่องค์ ไปสององค์ บางทีท่านยังแสดงอาการขัดข้อง ไปอะไร กี่คนก็รักษาตัวไม่ได้เรื่อง แน่ะเท่านั้น เพียงค้านเท่านั้นใครจะกล้าไปล่ะ ไหนยังจะไปองค์เดียวสององค์อย่างนี้ ไปหาอะไร แน่ะท่านว่าอย่างนั้นนะ
แต่พูดแล้ว สาธุ กับเรานี้ชี้นิ้วเลย ท่านไม่เคยกีดกันหรือไม่เคยขัดข้อง เสริมตลอดเลย เพราะท่านก็คงจะเห็นน้ำใจของเรา เป็นพระที่ผาดโผนโจนทะยานมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ทะเลาะกันกับท่านเรื่อย บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของท่านนี้เราถามย้อนหลังหมดแล้ว มีองค์ไหนที่ต่อสู้หรือขึ้นเวทีแชมเปี้ยนฟัดกับท่านอาจารย์มั่นมีองค์ไหน ไม่มี มีเราองค์เดียว ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือถามนี้ไม่ได้ถามด้วยทิฐิมานะเอาแพ้เอาชนะนะ หาความจริง ถ้าความจริงยังไม่ลงมันคาราคาซัง การปฏิบัติตนก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หดๆ ย่นๆ อยู่อย่างนั้น ถ้าลงใจตรงไหนแล้วทุ่มเลยๆ ท่านแสดงถึงเรื่องมรรคผลนิพพานเปิดอ้าแล้วทุ่มเลย
ทีนี้กับภาคปฏิบัติ ปฏิบัติยังไงถึงจะให้เหมาะสมกับการก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพานโดยไม่มีอุปสรรคใด ก็มีองค์เดียวเท่านั้น นั่น แล้วการเรียนมาท่านก็รู้แล้ว ว่าเราก็เรียนถึงขั้นเป็นมหาท่านยังยกไว้ พูดเวลาไปฟังเทศน์ทีแรก ท่านมหาก็นับว่าเรียนมามากพอสมควรถึงขนาดเป็นมหาท่าน แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมะของพระพุทธเจ้านะ ธรรมะทั้งหลายที่ท่านเรียนมามากน้อยเวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์ ให้ยกบูชาไว้เสียก่อน เอา ให้เร่งทางด้านจิตตภาวนา เวลาท่านสรุปความลงมาแล้วเรื่องมรรคผลนิพพานท่านเทศน์หมดแล้ว มีแต่จะไล่เข้าสู่เวทีขึ้นเวทีเท่านั้น
เอ้า เอาทางจิตตภาวนาให้มากนะ อย่าไปสนใจกับการศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย ซึ่งเวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์ ท่านบอกอย่างนี้เลย จะมาคละเคล้ากันเตะถีบยันกันนี้การก้าวเดินจะไม่สะดวก ถ้าเอาปริยัติปฏิบัติมาคละเคล้ากัน ให้บูชาไว้เสียก่อน ให้เอาภาคปฏิบัติ เอา เปิดโล่งด้วยจิตตภาวนา อย่างไรจิตใจจะมีความสงบร่มเย็น เอ้าๆ ฟาดลงตรงนี้นะ นี่ท่านเน้นหนัก เอาให้หนักเรื่องภาวนา นี่ละที่จะเปิดมรรคผลนิพพานคือจุดนี้จุดภาวนา ท่านบอกอย่างชัดเจนมากทีเดียว จุดอื่นไม่มี ลงจุดภาวนาทั้งนั้นที่จะทะลุถึงมรรคผลนิพพาน เอาๆ ตรงนี้ให้ได้นะท่านว่างั้น
มันลงใจทุกอย่างนะถ้าได้ลงแล้วลงหมดเลย คอขาดขาดไปเลย นิสัยไม่เหมือนใครเชียว เพราะฉะนั้นเวลาลาท่านไป จะไปกี่องค์ ว่าองค์เดียว เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวขึ้นทันทีเลย ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ มีเราเท่านั้นที่ท่านเสริมตลอดเลย ถ้าว่าไปองค์เดียวละ ชี้นิ้วไปเลย ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาไปองค์เดียว ไปจริงๆ เอาจริงๆ ด้วยนะ กลับมาหาท่านนี้มีแต่หนังห่อกระดูกมาทุกครั้ง ท่านดูอยู่ตลอด ลงมาจากภูเขาบางทีท่านร้องโก้กก็ยังมีเรายังไม่ลืม
ตอนนั้นมันคงจะเป็นดีซ่านหรืออะไรอยู่บนภูเขา ลงมาจากถ้ำอะไรทางนากับแก้กับเก้อทางทิศใต้ของสกลนคร ลงมาจากภูเขาไปหนองผือ ตัวเหลืองเหมือนทาขมิ้นหมดเลย หนังห่อกระดูก พอไปกราบท่านท่านร้องโก้กเลย เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะท่านว่างั้น คือมันเหลืองหมดเหมือนทาขมิ้น เราก็มีแต่หนังห่อกระดูก มาหาท่านทีไรมีแต่หนังห่อกระดูก ท่านดูหมดแล้วนี่ว่าจริงจังขนาดไหน พอท่านว่า เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ เราก็คอยนิ่งฟังท่านจะออกช่องไหน สักเดี๋ยวท่านกลัวเราจะอ่อนเปียก ท่านพลิกใหม่ตอบปั๊บมาทีหลัง มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่นท่านเสริมกำลังให้เลย เราก็ก้าวเดินตามเรื่องของเรา แสดงว่าการดำเนินมานี้ไม่ขัดข้อง ท่านให้ความสะดวกแล้วมันก็ยิ่งพุ่งของมันใหญ่เลย
นั่นละการปฏิบัติจึงหนักมากสำหรับเราเอง ไปองค์เดียวตลอดนะ เป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ ออกแล้วออกปฏิบัติ พรรษา ๘ ก็มาถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น จนกระทั่งพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี ออกโดดเดี่ยวคนเดียวๆ ท่านส่งเสริมตลอดเวลา ไปนี้มีแต่ไปองค์เดียวทั้งนั้นๆ เพราะเรียนก็เต็มภูมิมาแล้วนี่ ภาคปริยัติมีเป็นแนวทางที่จะปฏิบัติได้เป็นอย่างดีแล้วไม่บกพร่อง เพราะฉะนั้นจึงได้ออก ท่านจึงไม่มีข้อตำหนิ มีแต่ให้ไปองค์เดียวเสริมตลอดเลย ตลอดมาเลยนะพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปองค์เดียวทั้งนั้นละเราไม่ไปกับใคร
คือไปสองเป็นน้ำไหลบ่า มีรับผิดชอบกันลึกๆ อยู่ในนั้น มนุษย์เราไปด้วยกัน สัตว์ไปด้วยกันเขาก็รับผิดชอบกัน นี้มนุษย์ไปด้วยกันทำไมจะไม่รับผิดชอบอยู่อย่างลึกลับล่ะ ทีนี้เมื่อไปองค์เดียวแล้วป่าช้าอยู่กับเรา เป็นตายเราเป็นคนรู้เอง มันก็พุ่งเลย เพราะฉะนั้นจึงไปแต่องค์เดียวๆ อยากกินก็กินไม่อยากกินกี่วันช่างหัวมันไม่เคยสนใจ เรื่องการอยู่การกินน้ำอ้อยน้ำตาลอย่ามาถาม แต่ก่อนไม่มี น้ำอ้อยน้ำตาล โกโก้ กาแฟ แม้แต่รูปภาพถ่ายไว้ในร้านเขาก็ไม่มี พวกโกโก้ กาแฟแต่ก่อนไม่มี น้ำอ้อย น้ำตาลก็เหมือนกันไม่มี ไม่สนใจ ถ้าฉันฉันเฉพาะเท่านั้นพอ สมมุติว่าวันไหนฉันก็ฉันจากข้าวเท่านั้นพอ ไม่ยุ่งน้ำอ้อย น้ำตาล น้ำส้ม น้ำหวานอย่ามาถามเลย ไม่เคยเป็นอารมณ์ของใจ พุ่งๆ ตลอดมา
เอาเป็นเอาตายเข้าว่าจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา เพราะมุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะพ่อแม่ครูจารย์เปิดให้แล้วประตูแห่งมรรคผลนิพพานไม่มีสงสัยแล้ว ทีนี้มีแต่เราจะเข้าหรือไม่เข้า ก็เราพร้อมที่จะเข้าอยู่แล้ว พอท่านเปิดมันก็พุ่งเข้าเลย เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นตายไม่มี เอา ถึงกาลเวลามันตายอยู่กับเราเท่านั้นเอง เอาหนักขนาดนั้นละความพากความเพียร ถ้าว่านั่งนี้ก็ฟังซิเอาจนก้นแตก นิสัยเรามันเป็นนิสัยผาดโผน ถ้าย่อๆ หย่อนๆ คาราคาซังไม่ได้นะ
เพราะฉะนั้นเวลาถามปัญหากับท่าน ไม่ลงจุดไหนจะซัดกันเลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียกว่านักมวยแชมเปี้ยนบนเวที ขึ้นไปหาท่านเมื่อไรซัดกันอย่างนั้น จนพระแตกวัดมาดูเต็มใต้ถุนศาลาข้างๆ เต็มหมด เราสององค์เท่านั้นละฟัดกัน คือหาเหตุหาผลหาความสัตย์ความจริง ถ้าลงไม่ได้จิตที่จะปฏิบัติทุ่มลงมันก็คาราคาซังลงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงต้องเรียนถามท่านให้เข้าอกเข้าใจอย่างเต็มที่แล้วทีนี้พุ่งเลยเชียว ถ้าลงแล้วลงเลยเรา หมดตัวเลย ตายก็ตายเป็นก็เป็น ถ้าไม่ลงไม่ลง เพราะฉะนั้นคำถามคำตอบหรือโต้ตอบกันนี้จึงรุนแรง หาความจริงลงตรงไหนแล้วหมอบเลยๆ พุ่งเลยพร้อมเลยเป็นอย่างนั้นละ
นี่ท่านเปิดอ้าให้หมดแล้วหายสงสัย มันก็เอาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยๆ ในจิตใจก็ดีก็เพราะอำนาจแห่งความเพียรนั่นละไม่ใช่อะไร เพราะความเพียรนี้กล้าจริงๆ ไม่ใช่ความเพียรธรรมดา เป็นความเพียรกล้าตลอด เราพิจารณาย้อนหลังถึงความเพียรของเรา ตรงไหนที่มันอ่อนแอท้อแท้มีที่ไหนไม่มีเลย มีแต่ โอ้โห อย่างนั้นมันก็ทำได้อย่างนี้ก็ทำได้ ได้ขยะๆ นะเรื่องความเพียรของตัวเอง มันถึงได้ค่อยปรากฏผลขึ้นมา ถ้าว่านั่งก็ฟาดตลอดรุ่งๆ ก้นแตก เอา แตกก็แตกกิเลสไม่แตกไม่ถอย นี่ก็พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านรั้งเอาไว้
พอขึ้นไปปั๊บ เพราะนั่งไม่ใช่คืนหนึ่งคืนเดียว ๙ คืน ๑๐ คืน แต่เว้นคืนหนึ่งบ้างสองคืนบ้างนั่งตลอดรุ่ง เพราะนั่งวันไหนนี้จิตมันลงเต็มที่ๆ จ้าๆ สมกับเราที่สละเป็นสละตาย จิตเวลามันได้ลงนี้อัศจรรย์ทุกคืนไม่เคยพลาด นั่นละธรรมะประเภทที่เกิดขึ้นจากใจ ขึ้นไปหาท่านแล้วเหมือนนักมวยแชมเปี้ยนนะ ใส่กันเปรี้ยงๆ ท่านก็นั่งนิ่งฟัง เราก็เปิดเต็มเหนี่ยวเรา พอเสร็จแล้วท่านก็เสริมให้ที่นี่ ท่านก็เปรี้ยงออกมา เราก็หมอบฟัง ได้แล้วกำลังเต็มหัวใจ มาวันหลังซัดอีกๆ จนกระทั่งท่านเห็นวาระพอสมควรแล้วท่านก็เตือนเอง อย่างนั้นนะ ถ้าท่านไม่เตือนมันยังจะเอาอีกนะนั่น คิดดูซิว่าก้นแตกไม่สำคัญ ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย
พอขึ้นไป ม้าที่ตัวคึกตัวคะนองผาดโผนโจนทะยานมาก นายสารถีฝึกม้าเขาจะฝึกอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกเขาจะฝึกอย่างหนัก จนกระทั่งม้านั้นค่อยลดพยศลงๆ การฝึกเขาก็ลดลงๆ จนถึงม้าทำการทำงานได้ไม่ฝ่าฝืนแล้วการปฏิบัติต่อม้าเขาก็ปฏิบัติธรรมดา ว่าเท่านั้นละเข้าถึงเราหมด เรายังเสียดายว่า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหน เสียดายอยากให้ท่านว่า ท่านก็ไม่ว่า แต่เราจับเอาแล้วนั่น ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอีก นี่ก็คือว่าถูกท่านรั้งเอาไว้ ไม่งั้นมันผาดโผนมาก
ทำอะไรก็ตามส่วนมากมักจะถูกรั้ง เพราะนิสัยผาดโผนมักจะถูกรั้งเสมอ มันผาดโผน รั้งด้วยเหตุด้วยผลด้วยอรรถด้วยธรรมยอมทันทีนะ ไม่ใช่แบบทิฐิมานะ รั้งด้วยเหตุผลอรรถธรรมแล้วมันจะหมอบของมันทันที แล้วก็ไม่ฝืนๆ เช่นอย่างนั่งตลอดรุ่ง นั่งมาจนก้นแตกมันยังจะไม่ถอย พอท่านว่าอย่างนั้นแล้วมันก็หยุดเลย คือจิตใจเมื่อฝึกทรมานได้เหตุได้ผลพอสมควรแล้วก็ให้ฝึกไปธรรมดา ไม่ควรผาดโผนโจนทะยานจนเกินไปความหมายว่าอย่างนั้น เราก็ลดลงมาตามนั้น ก็สะดวกสบายเรื่อยมา
เพราะฉะนั้นจึงยกนิ้วให้เลยว่ามีพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้น ที่สอนเราลงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยหาที่ค้านไม่ได้เลย ถูกต้องทุกอย่าง ธรรมะของท่านเป็นธรรมะที่ผาดโผน สมกับนิสัยของเราเป็นนิสัยผาดโผนด้วย เข้ากันได้สนิทๆ เลย ตลอดมานี้ จากนั้นมาก็ก้าวเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปีท่านเริ่มป่วย ปีท่านเริ่มป่วยนี้เป็นปีที่จิตของเราออกแล้วนะนั่น ออกเป็นธรรมจักร เป็นภาวนามยปัญญา เป็นสติปัญญาอัตโนมัติหมุนเป็นธรรมจักรไม่มีวันมีคืน จนกระทั่งนอนก็นอนไม่ได้ บางคืนตลอดรุ่งนอนไม่หลับเลย เพราะกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ นอนอยู่มันก็ไม่ถอย นั่งอยู่ก็ไม่ถอย ลงเดินจงกรมไม่ถอย สุดท้ายแจ้ง กลางวันอีกยังจะไม่ถอย จนกระทั่งอ่อนหมดในหัวอก เมื่อยล้าไปหมดเลยจะเป็นจะตาย แต่อันนั้นมันไม่ถอยกัน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันมันไม่ถอย
นี่ละถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ กิเลสจะมีมากขนาดไหนก็เถอะว่างั้นเลย เมี่อมันผ่านเวทีมาแล้วมันพูดได้เต็มปาก ก็เราเป็นเอง เวลาล้มลุกคลุกคลานไสเข้าไปแทบเป็นแทบตายมันก็ไม่ได้หน้าได้หลัง ก็ได้พูดปลอบโยนตนเองว่า เอาเถอะเวลานี้ยังไม่มีทุนมีรอน มันจะทุกข์ยากลำบากก็ทนไปเสียก่อน ต่อเวลามีกำลังวังชามีทุนมีรอนแล้วมันจะค่อยราบรื่นไปเรื่อยๆ จะค่อยได้รับความสะดวกสบายต่อไป เวลานี้ทุกข์ยากลำบากก็เอาทนไปเสียก่อน ปลอบใจเจ้าของ ทีนี้มันผิดกับคาดหมายนะ ความคาดความหมายกับความจริงเข้ากันไม่ได้
พอปฏิบัติจิตใจมีทุนมีรอนมีกำลังวังชาเข้าไปเท่าไร จิตมันยิ่งพุ่งๆ เลย แทนที่มันจะอ่อนมันไม่ได้อ่อนนะที่นี่ จนกระทั่งนอนไม่หลับ กลางคืนกลางวันนอนไม่หลับ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติทำงานฆ่ากิเลส เมื่อถึงขั้นนี้แล้วกิเลสจะมีอยู่มากน้อยเพียงไร อย่างไรต้องเขียนใบตายให้มันไว้เลย กิเลสตัวนี้จะตายในระยะนั้น วันนั้นๆ เหมือนอย่างนั้นนะ กำลังของสติปัญญามันเชื่อตัวเอง พุ่งๆ เลย ทีนี้กิเลสตัวไหนมันจะมาสามารถล่ะ ก็เมื่อสติปัญญาเกรียงไกรขนาดนั้นแล้ว พอโผล่ขึ้นมานี้ขาดสะบั้นไปแล้ว นี่ละสติปัญญาฆ่ากิเลสอัตโนมัติขาดสะบั้นๆ แล้วกิเลสตัวไหนจะโผล่ขึ้นมาได้ ก็นับวันที่กิเลสจะมุดมอดไปเท่านั้นเอง ทีนี้ก็นับวันที่จะพุ่งถึงนิพพานมันก็ยิ่งหมุนติ้วๆ ไม่หลับไม่นอน
ตอนนี้เป็นตอนที่พ่อแม่ครูจารย์เริ่มป่วยแล้วนะ ท่านป่วยหนักทางธาตุทางขันธ์ ไอ้เราก็หนักทางจิตใจ กลางคืนนี้ไม่ได้หลับได้นอน มันหมุนของมันตลอด ออกจากทางจงกรมวิ่งไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ออกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นวิ่งเข้าทางจงกรม เพราะมันหมุนของมัน เราหมุนทางจิตใจ ท่านหมุนทางธาตุขันธ์อ่อนลงทุกวันๆ นี่ก็เป็นอุปสรรคอันหนึ่งเหมือนกัน จนได้วิตก เอ๊ ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ มันถึงมาโดนกันเอาอย่างนี้ พ่อแม่ครูจารย์ก็เรียกว่าเพียบทางธาตุทางขันธ์ ไอ้ก็เราเพียบทางด้านจิตใจระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันไม่มีวันมีคืน มันเป็นยังไงจึงเป็นอย่างนี้
นี่ละที่ออกจากท่านปั๊บเข้าทางจงกรมแล้ว ออกจากทางจงกรมเข้ามาหาท่านแล้ว หมุนติ้วๆ ตลอดเวลา พอผ่านจากนั้นแล้วเอาละที่นี่ จนกระทั่งถึงเดือนพฤษภา ตั้งแต่ท่านล่วงไปเดือนพฤศจิกา นั่นละไปนั้นกี่เดือน เพราะจิตของเรามันหมุนตลอดแล้วนั่น พอถึงเดือนพฤษภาที่เรามาวัดดอยธรรมเจดีย์ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี หลังวัดดอยธรรมเจดีย์นั้นเป็นเวลาตัดสินกันลงได้ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นลง เหมือนหนึ่งฟ้าดินถล่ม มันเป็นภายในกายในจิตนะ ฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น แต่มันรุนแรงระหว่างกายกับจิต กายนี้ดีดผึงเลย ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน
พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจใจดีด นี่ละเหมือนฟ้าดินถล่ม ผึงขึ้นมานี้ความรู้ประเภทนั้นเราเคยคาดเคยคิดเมื่อไร จ้าขึ้นมาในขณะนั้น จนกระทั่งถึงออกอุทานทันทีเลย ไม่ได้วัดรอยพระพุทธเจ้า หากเป็นด้วยกำลังของจิตที่รู้อรรถรู้ธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะทนอยู่ไม่ได้ที่จะอดกลั้นเฉยๆ ไม่ได้ มันก็ผางของมันออกมาเลย หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันถึงใจว่างั้น อ๋อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ ขึ้นหมดในหัวใจรวมเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นธรรมธาตุธรรมแท่งเดียวกันแล้ว หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น ถามใครเมื่อไร
นั่นละวาระสุดท้ายของกิเลสกับธรรมฟัดกันขาดสะบั้นลงไป วันเดือนปี สถานที่จึงได้บอกไว้อย่างชัดเจน เพราะเป็นธรรมชาติที่รุนแรงมาที่สุด ในชีวิตของเราไม่เคยมี ก็มีโดยไม่คาดไม่ฝัน ผางขึ้นมาเหมือนฟ้าดินถล่ม จากนั้นมาบรมสุขไม่ต้องพูด เรื่องทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยเข้าไปปรากฏในจิตเลย เพราะคำว่าสุขว่าทุกข์ก็ดีเป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุตติจิตมันจะเข้ากันได้ยังไง นั่นละทีนี้บรมสุขไม่ต้องบอกเป็นหลักธรรมชาติ นิพพานเที่ยงถามหาอะไร พอเป็นขึ้นไปนี้แล้วไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นอันนี้เอง มันจ้าขึ้นมาตรงนั้นแล้วหมดปัญหาโดยสิ้งเชิง นี่ละการปฏิบัติธรรม ขอให้ท่านทั้งหลายจับให้ดี
อย่าทำเหยาะๆ แยะๆ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกมาไม่ได้เป็นด้วยความเหลาะแหละ เป็นด้วยความเป็นตายจริงๆ พระพุทธเจ้า ปรารถนาพุทธภูมิใครจะหนักยิ่งกว่าศาสดาที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเวลาบำเพ็ญธรรมวาระสุดท้ายสลบถึงสามหนหนักไหมพิจารณาซิ แล้วเป็นศาสดาขึ้นมาเต็มภูมิ สั่งสอนสัตว์โลกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นธรรมเหลาะแหละเมื่อไร ขอให้ปฏิบัติเถอะ ธรรมะนี้เป็นอกาลิโกไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา เช่นเดียวกับกิเลส กิเลสมันไม่เลือก ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดได้ทั้งนั้น ธรรมก็ไม่เลือกทำให้เกิดธรรมเมื่อไรเกิดได้ทั้งนั้นๆ
เอ้า เอาให้เกิดธรรม เกิดไปเกิดมาหลายครั้งหลายหนกิเลสตัวเป็นข้าศึกขาดสะบั้นลงไปจ้าขึ้นมาเลย เป็นได้ในหัวใจทุกดวงถ้าตั้งใจปฏิบัติ ถึงสมควรที่จะรู้ได้แล้วประมาทกันไม่ได้นะใจดวงนี้ ใจดวงนี้เป็นหลักธรรมชาติรับรองธรรมทั้งดวงได้ด้วยกันทั้งหมด ไม่มีธรรมดวงใดจะบกพร่องต่อธรรม ขอให้ปฏิบัติตามเถอะ ธรรมไม่ลำเอียง สมควรแก่ธรรมขั้นใดธรรมขั้นนั้นกับใจจะเข้าสัมผัสกันทันที จนขนาดถึงธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วก็ไม่ต้องถามใคร ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า จ้าขึ้นทันทีแล้วพอ พากันจำเอา ให้ไปประพฤติปฏิบัติ อย่าอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล
ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา จึงเรียกว่า อกาลิโกๆ นอกจากกิเลสมันปกคลุมหุ้มห่อเอาไว้ ธรรมโผล่ขึ้นไม่ได้ ก็ว่ามรรคผลนิพพานไม่มีๆ จะมีอะไรก็มีแต่กิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้าน ตัวไม่เอาไหนเหยียบธรรมอยู่ แล้วธรรมจะเกิดขึ้นได้ยังไง เมื่อเปิดธรรมขึ้นมากิเลสมันก็พังได้เช่นเดียวกัน เอาละพอ
ที่เทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟังนี้ เราเทศน์เปิดออกมาจากหัวใจ เราไม่มีข้อสงสัยแม้นิดหนึ่งเม็ดหินเม็ดทรายไม่มี เปิดออกไม่ว่าธรรมะขั้นใดๆ แน่นอนถูกต้องแม่นยำๆ หมดเลย ไม่เป็นที่สงสัย นี่ที่เขาออกทางวิทยุทั่วประเทศไทยเราเห็นด้วยแล้ว ออกเถอะธรรมะประเภทนี้ว่างั้นเลย ธรรมะที่ออกจากหัวใจนี้แม่นยำไปตลอดแล้ว ออกเถอะว่างั้นเลย ที่ว่าธรรมเราจะหย่อนตรงนั้นอ่อนตรงนี้ไม่มี แน่นอนๆ ในธรรมทุกขั้น ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|