เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ หมายถึง....
ก่อนจังหัน
เห็นมากขึ้นเรื่อยพระ ๔๓ วันนี้ ในวัดนี้เรารับเพียงแค่ ๕๐ องค์ ปีนี้ดูว่า ๕๑ แล้ว ได้ยินว่า ๕๑ แล้ว พระมากพระน้อยถ้าตั้งใจปฏิบัติด้วยกัน เป็นธรรมด้วยกันแล้วเป็นความสงบร่มเย็นเหมือนกันหมด ถ้ามีกีดมีขวางมีก้างขวางคออยู่เพียงรูปเดียวองค์เดียวเสียหมดวัดนะ กระเทือนไปหมด นั่นละก้างขวางคอมันของเล่นเมื่อไร กิเลสขวางธรรมก็แบบเดียวกัน ผู้เป็นหัวหน้านี่หนักมากอยู่นะ สอดส่องดูตลอดเวลา ไม่ดูไม่ได้เสีย มีรายใดรายหนึ่งโกโรโกโสเข้ามานี้ขวางทั้งวัดเลย ต้องรีบเตือน ถ้าไม่ยอมไล่ออกทันที จะทำเสียส่วนใหญ่ ต้องเป็นอย่างนั้น
ตั้งจิตตั้งใจมาปฏิบัติให้เอาจริงเอาจังนะ การภาวนาถือเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นชีวิตจิตใจของพระเรา ครั้งพุทธกาลบวชมามีแต่เพื่อมรรคเพื่อผล องค์ใดบวชเข้ามาแล้ว พระพุทธเจ้าทรง...ภาษาของเราพูดง่ายๆ ว่าไล่เข้าป่าๆ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่รุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรด้วยความสะดวก ปราศจากสิ่งรบกวนทั้งหลาย จงพากันอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่พระทุกองค์ได้รับนะ ได้รับอนุศาสน์จากอุปัชฌาย์ที่พระพุทธเจ้ารับสั่งไว้อย่างเด็ดขาด
พระโอวาทข้อนี้เด็ดขาดมากทีเดียว แล้วเป็นยังไงทุกวันนี้ พระโอวาทข้อนี้เด็ดขาดหรือไม่เด็ดขาด ดีไม่ดียังหาเรื่องใส่ว่า พระที่อยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต พระเปรตที่ไหนมาพูดอย่างนี้ ออกทางทีวีด้วยนะพระเทวทัตนี่ ได้ยินว่าเป็นนักเทศน์เสียด้วย นักเทศน์เอกๆ ตาข้างเดียว ไอ้นี่เหลืออยู่ตาข้างเดียว พอตานี้บอดแล้วหมดเลย มันอุตริมาพูดได้ย้งไงว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต มันพูดกระแทกแดกดันด้วยความเคียดแค้น ด้วยความโมโหโทโส เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป
พระองค์ทรงรับสั่งให้เข้าอยู่ในป่าในเขา ทุกองค์โอวาทข้อนี้ต้องได้รับพระ ถ้าไม่ใช่พระปลอมต้องได้รับทุกองค์ รุกฺขมูลเสนาสนํ จนกระทั่งปัจจุบัน แม้อุปัชฌาย์จะไม่ชอบในการอยู่ในป่าในเขา แต่เวลาอุปสมบทแล้วสอนสัทธิงวิหาริกต้องสอนอย่างนี้ ไม่สอนอย่างนี้ไม่ได้ เคร่งครัดเด็ดเดี่ยวมากธรรมะข้อนี้ แล้วเป็นยังไงมันกลับตาลปัตร ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต พระที่เขาว่าเป็นธรรมกถึกเอก มันเอกตาข้างเดียวไอ้นี่ มันพูดกระแทกแดกดันดูถูกเหยียดหยามพระให้สมใจ ด้วยความเคียดแค้นของตัวเอง โดยไม่มีโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องยืนยันรับรองเลย ความโมโหโทโส ความเคียดความแค้นมันรับรองมันเอง คือกิเลส คือส้วมคือถานนั้นแหละ ประกาศออกทางทีวีเสียด้วย พอดีเราได้ยินก็ฟัดเลยให้มันหงายหมาไปนั่น อย่างนี้ต้องเอาให้หงายหมา
คำสอนเช่นนี้เป็นคำสอนที่ร้ายแรง ให้ร้ายต่อพุทธศาสนา เหยียบหัวพระพุทธเจ้าลงไป เพราะฉะนั้นการโต้ตอบกันจึงเอาให้หนัก ฟาดให้มันหงายหมาลงไปเลยไม่งั้นไม่ทันกัน กิเลสตัวหยาบๆ อย่างนี้ต้องเอาให้หนัก ฟังมาสดๆ ร้อนๆ ใครก็เห็นทางทีวีมันออกประจานพระที่อยู่ในป่าในเขา มันหลับตาพูดนี่นะ ถ้าลืมตาพูดแล้วพูดได้ยังไง ตัวมันเองก็เคยเป็นอุปัชฌาย์มานานเท่าไรแล้ว สอนลูกศิษย์สอนว่ายังไง ถ้าไม่ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ จะสอนว่ายังไง มันหน้าด้านมาพูดได้อย่างไม่อายเลย พระแท้ๆ นะหน้าด้านอย่างนี้ก็มี น่าทุเรศจริงๆ
หยาบขึ้นทุกวันๆ พระเรา ไหลเข้ามาไม่เว้นพระวัดป่าบ้านตาด หยาบก็หยาบ ตัวไหนหยาบๆ ระวังให้ดี มาหยาบกับที่นี่ไม่ได้ เอาให้หงายหมาอีกเหมือนกันนี่ก็ดี อย่าให้เข้ามาของเลวมันมีเต็มแผ่นดิน ให้เอาของดิบของดีเข้ามา สถานที่บำเพ็ญคือวัด พระที่อยู่ในวัดต้องเป็นพระทรงศีลทรงธรรม เป็นที่น่ากราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจแก่ประชาชนที่เขามาเกี่ยวข้อง เขาได้รับความชื่นอกชื่นใจ กลับไปบ้านด้วยความเป็นสิริมงคล แล้วมาเห็นพระเป็นโกโรโกโสไปแล้ว เขามีความโศกเศร้าเหงาหงอยภายในจิตใจไม่อยากเห็นอีกพระประเภทนี้ อย่าให้เขาเห็นอย่างนั้นนะ ตั้งใจปฏิบัติให้ดี
อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมในโลกนี้ ธรรมเป็นที่ยอมรับ แม้แต่สัตว์ก็ยอมรับอย่าว่าแต่มนุษย์เราเลย ถ้ามีธรรมแล้วตายใจกันได้ๆ สัตว์ก็ตายใจกันได้ มนุษย์ตายใจกันได้ถ้ามีธรรม ถ้าไม่มีธรรมนี้แตกกระจัดกระจายได้ ธรรมจึงเป็นของสำคัญ อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรม ใครก็ตามก้าวเข้ามาในวัดต้องมาเคารพบูชาธรรม มาส่งเสริมธรรม อย่ามาเหยียบย่ำทำลายธรรม ธรรมเลิศเลอสุดยอดแล้ว อย่าเอาอะไรมาเย่อหยิ่งจองหองต่อธรรม ผิดมากมายทีเดียว หยาบโลนที่สุดเลย
ธรรมเป็นของเลิศเลอมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลิศด้วยธรรมทั้งนั้น สาวกที่เป็นสรณะของพวกเรานี้ก็เลิศด้วยธรรมทั้งนั้นๆ แล้วเราจะเลิศด้วยอะไร เลิศด้วยมูตรด้วยคูถแข่งธรรมเหรอ เหยียบหัวธรรมเหรอ พิจารณานะ จิตใจดวงนี้สำคัญมาก เวลามูตรคูถครอบหัวมันนี้เหยียบไปได้หมดไม่มีบุญมีบาป ถ้าธรรมแทรกเข้าในใจปั๊บจะรู้บุญรู้บาป ขยะแขยงในสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย พากันจำเอา เอาละให้พร
หลังจังหัน
เขาก่อเจดีย์ขึ้นบรรจุอัฐิธาตุของแม่ชีแก้ว รวมหมด ๑๘ ล้าน ดูว่าเฉพาะเจดีย์ ๑๘ ล้าน บริเวณรอบนั้นไม่ใช่เล่นๆ นะ กว้างขวางออกไปจะเป็นหลายล้านอยู่นะ คิดว่าไม่ต่ำกว่า ๒ ล้านบริเวณ อย่างน้อย ก็สมควร ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย จิตไม่มีเพศ หลุดพ้นได้ด้วยกันทั้งนั้น ว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้หมายถึงท่านผู้หลุดพ้น ไม่นิยมว่าเป็นหญิงเป็นชาย จิตไม่มีเพศ
แม่ชีแก้วนี้ดั้งเดิมเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ตั้งแต่แกยังเป็นสาวอยู่ นี่ก็หลวงปู่มั่นพูดให้ฟังเองชัดเจนมาก เวลาท่านมาอยู่หนองผือเขาก็มากราบท่านเสมอ สองคืนสามคืนกว่าจะมาถึงหนองผือ จากห้วยทรายมาทางมันไกล ไม่มีรถมีรามา เรื่องญาณความรู้ของแกนี้เก่งมาก แม่ชีแก้วญาณความรู้ของแกเก่งมากทีเดียวไม่มีผิดพลาดเลย เฉพาะอย่างยิ่งเช่นหลวงตาไปจำพรรษาอยู่ที่ห้วยทราย ๔ ปี ก็ได้เป็นอาจารย์แกนั่นแหละ เราเคลื่อนย้ายไปไหน นี่สำนักแม่ชี นี่บ้านห้วยทราย อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้สำนักแม่ชี บ้านห้วยทรายอยู่จุดศูนย์กลาง วัดอยู่ทางป่าทางเขาทางนี้ ไม่เคยเกี่ยวข้องกันแหละ พอเราเคลื่อนย้ายไปไหนนี้บอกแล้วนะ บอกบรรดาบริษัทบริวารที่อยู่ในสำนัก ไปแล้วนะวันนี้ เห็นไหมล่ะ ไปแล้ววันนี้ เย็นหมดเลย ถ้าแกจะแย้มออกมาก็บอกว่าเย็นหมดเลย คนก็ไปดู ไปแล้ว ไม่มีพลาด นี่อันหนึ่ง
ความรู้ของแกนี้เก่งมากเทียว เช่นอย่างเราไปแล้ว ไปดูไม่มีพลาด ทีนี้มาก็เหมือนกัน ก็วัดอยู่นี้ บ้านอยู่นี้ สำนักแม่ชีอยู่นี้ ไม่เคยไปเกี่ยวข้องกัน เวลาออกทางนี้แกก็รู้ทางนั้น พอมาถึงนี้ มาถึงแล้ว นั่น แกจีบหมากให้พวกแม่ชีแม่ขาวมาจังหัน ตัวแกเองไม่ได้มาละ เราก็ถาม หมากนี้จีบทุกวันเหรอ ไม่ได้จีบทุกวัน จีบเฉพาะวันนี้ เพราะเหตุไร คุณแม่บอกว่าท่านมาถึงแล้ว อย่างนั้นละแม่นยำที่สุดเลย ความรู้ของแกอย่างนี้แม่นยำมาก แต่ผาดโผนความรู้ของแม่ชีแก้ว ไม่จริงไม่จังเอาไว้ไม่อยู่แหละ
พอเราไปถึงทีแรก เขายกขบวนออกมาที่วัดห้วยทราย บอกว่าหลวงปู่มั่นห้ามแกไม่ให้ภาวนา ตั้งแต่หลวงปู่มั่นไปจำพรรษาอยู่ที่ห้วยทราย พอว่าหลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ภาวนาเราเข้าใจทันทีเลย สักเดี๋ยวแกก็แย้มออกมาเรื่องความรู้พิสดารแปลกๆ ต่างๆ นั่นละที่ห้ามไม่ให้ภาวนา คือไม่มีผู้หักห้ามไม่มีผู้เตือนเสียได้ จากนั้นเป็นบ้าก็ได้เพราะแฉลบออกไปผิดทาง เวลาไปอยู่ก็รู้เอง ความรู้พิสดารมากนะ ความรู้แปลกๆ ต่างๆ พิสดารมากทีเดียว ญาณที่ว่านี่แกพูดแม่นยำมากทีเดียว
หลวงปู่มั่นเราป่วยที่หนองผือ แกอยู่ห้วยทรายแกก็ทราบแล้ว ป่วยหนักแกก็ทราบ จนกระทั่งคืนวันหลวงปู่มั่นเสีย แกออกมาจากห้องแล้วมาร้องไห้ตอนเช้ามืด ร้องไห้ทำไมคุณแม่ ไม่ร้องไห้ยังไงก็หลวงปู่ท่านเสียแล้วเมื่อคืนนี้ เห็นไหมล่ะ คือแกเร่งให้เขาทอผ้าไหมจะไปบังสุกุลท่าน บอกว่าหลวงปู่ท่านมาเร่งทุกคืนให้รีบไปๆ ต่อไปจะเห็นแต่โครงกระดูกนะ แล้วเมื่อคืนท่านมาบอกว่าไปแล้วเมื่อคืนนี้ ไปดูโครงกระดูกเสีย พอตื่นเช้ามาแกก็ร้องไห้ พอ ๗ โมงเช้า แต่ก่อนการคมนาคมไม่สะดวก อาศัยวิทยุนะ หลานของแกไปอำเภอคำชะอี เขาประกาศออก ๗ โมงเช้าว่า หลวงปู่มั่นมรณภาพแล้วเมื่อคืน เวลาเท่านั้นๆ
พอเขาทราบข่าวเขาก็วิ่งมาเลย ทางนี้ยังตั้งวงร้องไห้กันอยู่ แกละร้องไห้ก่อนเพื่อนอยู่นั้นยังไม่เลิกเลย ทางนั้นก็วิ่งเข้ามาบอกว่าหลวงปู่มั่นเสียแล้วเมื่อคืนนี้ เวลาเท่านั้นๆ ทีนี้สภานั้นเลยเป็นสภาน้ำตา ร้องไห้กันทั้งวัด นั่นแกแม่นยำมากนะ บอกเสียเมื่อคืน ตื่นเช้ามาแกก็ร้องไห้ ใครก็ว่าคุณแม่เป็นอะไรหรือๆ จะเป็นอะไร หลวงปู่เสียเมื่อคืนนี้ พอดีตอน ๗ โมงเช้าก็ได้พยาน อย่างนั้นละความรู้ของแกแม่นยำมาก
เวลาแกเสียแล้วก็มาก่อเจดีย์บรรจุพระธาตุให้ คืออัฐิแกกลายเป็นพระธาตุสวยงามมาก เขาก็สร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุ นี่ที่เราได้ไป ประการหนึ่งแกก็เป็นลูกศิษย์เราแนะนำสั่งสอน นี่เราก็เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่เหรอ ที่ว่าไล่ลงภูเขาแกร้องไห้ลงภูเขา เราเป็นยังไงเด็ดหรือไม่เด็ด ดุหรือไม่ดุ คือเราไปเราไปจำพรรษาบนภูเขาตะวันตกบ้านห้วยทราย ให้พระอยู่ตีนเขานั้น ถึงเวลาประชุมเราก็ลงไปประชุม เทศน์อบรมพระ เราขึ้นมาจำพรรษานี้กับเณรหนึ่งบนภูเขา แกก็ไปเล่าภาวนาให้ฟัง พอฟังแล้วเราก็เตือน สอนละที่นี่
แกติดความรู้ สอนห้ามไม่ให้ออกไม่ยอมฟัง ออกรู้นั้นรู้นี้เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม พวกเปรตพวกผี พิศดารมากนะ เลยเพลิน ถ้าวันไหนภาวนาไม่ออกรู้สิ่งต่างๆ เหมือนว่าไม่ได้ผล ลักษณะเป็นเหมือนไม่ได้ผล ต้องให้รู้ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าภาวนาได้ผล เราเป็นอาจารย์ก็สอนละซิ ทีแรกก็เป็นระยะๆ ก่อน เข้าแล้วให้ออกก็ได้ คือออกรู้สิ่งต่างๆ ก็ได้ ไม่ให้ออกก็ได้ ได้ไหมเอาไปทดลอง มีแต่ออก พอรู้รวมลงไปปั๊บออกๆ นี้ก็ห้ามเข้าๆ ซิ จนกระทั่งถึงห้ามไม่ให้ออกเด็ดขาด นี่ละเอากันตรงนี้ ห้าม พอรวมลงแล้วให้ลงเต็มที่ อย่าออกรู้สิ่งต่างๆ
แกก็ติดมาพอแล้ว มาหาก็ว่าออกๆ อยู่อย่างนั้น หลายครั้งหลายหนก็ไล่ลงภูเขาละซิ ไป..สถานที่นี่ไม่มีบัณฑิตนักปราชญ์ มีแต่คนโง่เขลาเบาปัญญา ใครเป็นจอมปราชญ์ไปอย่าขึ้นมา ไล่ลงภูเขา เพราะเราจำพรรษาบนภูเขากับเณรหนึ่ง เขายกขบวนไปหมดสำนักเขานั่นละ ส่วนมากเขาไปวันพระ บ่ายสี่โมงเขาขึ้น พอห้าโมงกว่าๆ เขาก็ลงมา สุดท้ายนี้ก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงเลยนะ เราไม่สนใจ เพราะน้ำตานี้ไม่มีค่า น้ำตาสำคัญผิด ออกมาเป็นน้ำมหาสมุทรทะเลก็ไม่เกิดประโยชน์ เราก็เฉย ไล่ลงไปร้องไห้ นี่เราก็ไม่ลืม ทีนี้ก็ไปหมดหวังละที่นี่ เราก็หวังจะพึ่งครูบาอาจารย์องค์นี้ ทีนี้ท่านก็ไล่ลงจากภูเขาแล้วจะพึ่งใคร ก็ย้อนมาหาโทษตัวเอง ท่านไล่เพราะเหตุใด เพราะไม่ฟังเสียงท่าน ถ้าเราถือเป็นครูเป็นอาจารย์ก็ฟังเสียงท่านซิ จะเก่งกว่าครูไปได้ไง ท่านไล่ลงสมควรแล้ว
แกสอนตัวเอง เอา ทำตามท่านสอนดูซิ ทีนี้เลยปล่อยความรู้ทั้งหลายที่แกติดมากๆ นั้น ห้ามไม่ให้ออก เอา ลงจุดที่ท่านสอน สอนว่าไง ลงผึงเลย นั่นเห็นไหมล่ะ พอลงแล้วที่นี่ ออกจากภาวนาแล้วกราบไปทางภูเขา ลงใจ พอบ่ายๆ แล้วก็ยกคณะขึ้นไปเลย ขึ้นไปหาเราบนภูเขา เรากำลังปัดกวาดอยู่สี่โมงเย็น โผล่ขึ้นมาก็เอาอีกนะ มาอะไร จอมปราชญ์มาอะไร ใส่เปรี้ยงๆ เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เดี๋ยวให้พูดเสียก่อน พูดอะไร ตกลงเราที่ปัดกวาดอยู่บนเขาเลยวางไม้กวาดที่นั่น เณรก็วางไม้กวาดมานั่ง เขาก็ยกคณะขึ้นมานั่งหินดาน เดี๋ยวให้พูดเสียก่อนๆ เอ้า มีอะไรว่ามาซิ เขาก็เลยเล่าให้ฟังตามที่เราแนะนั่นมันก็ลงละซิ ตั้งแต่นั้นมาเราก็แนะเราก็สอนละที่นี่ ไม่นานแกก็ผ่านได้
นี่ละเรื่องครูเรื่องอาจารย์ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เราเห็นประจักษ์อย่างแม่ชีแก้วนี้ ทีแรกหลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ภาวนา ท่านไปแล้วห้ามไม่ให้ภาวนา คือความรู้ของแกพิศดารมาก แต่ท่านทิ้งท้ายไว้อันหนึ่งว่า ต่อไปจะมีครูอาจารย์มาสอนท่านบอกงั้นนะ ครูอาจารย์จะเป็นใคร ก็เราผู้ไล่ลงจากภูเขานี่ละ ก็ไปลงนั้นละ ตอนที่แกลงก็ลงตรงนั้น ไล่ลงจากภูเขาน้ำตาร่วงลงไป ได้สี่วันกลับขึ้นมา ขนาบอีก เล่าเรื่องให้ฟังแล้วก็ลงใจ สอนต่อ อย่างนั้นนะ
ความรู้ภายในใจขึ้นอยู่กับใครเมื่อไร ไม่ขึ้นอยู่กับใคร ขึ้นอยู่กับนักภาวนาผู้มีความรู้เท่านั้นแม่นยำๆ ไม่มีทางปลีกทางแวะ สอนตรงแน่วเลย ความรู้วิถีทาง ท่านว่ามรรคจิตๆ ก็คือทางเดินของจิต เป็นทางเดินของจิต เรื่องครูบาอาจารย์เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ทางด้านปริยัติก็ต้องมีครูสอน ยิ่งทางด้านปฏิบัติด้วยแล้ว โอ๋ย สำคัญมาก ครูสอนสำคัญมากทีเดียว สอนอย่างแม่นยำสอนเคลื่อนไม่ได้ ยิ่งจิตผู้มีภูมิธรรมอันสูงๆ นี้ ไปสอนผิดนิดหนึ่งไม่ได้ ผู้สอนต้องรู้สูงกว่าๆ แล้วผู้นี้ก็น้อมจิตตาม ถ้าไปสอนผิดนิดหนึ่งนี้ยกโทษผู้สอนด้วย ความรู้อย่างนี้ก็มาสอนเราได้ นั่น ไม่เกิดประโยชน์ด้วย ยกโทษด้วย ถ้าสอนได้ถูกต้องแล้วยอมรับๆ คือวิถีของจิตที่รู้ภายในเป็นจิตตภาวนานี้ตรงแน่วๆ เพราะฉะนั้นการสอนจึงสอนตรงแน่วเลยเชียว ผู้ปฏิบัติก็ตามนั้นพุ่งๆ เลย
เป็นยังไงก็ไม่รู้หูนี่ เมื่อวานนี้หัวทั้งหัวเสียงลั่นเลยเมื่อวาน เดี๋ยวนี้ก็ดัง พูดนี้พูดอยู่หูนะ หูนี้ก็ดังๆ ลั่นทั้งวันละเมื่อวาน เดี๋ยวนี้ก็ลั่นอยู่นี่ เราพูดเหมือนพูดอยู่กับหูนะ มันเป็นยังไง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ในสมองนี้ หูสองหูมันอื้อขนาดนั้นนะ ทั้งวันเลยเมื่อวาน เพลีย เพลียมากด้วย ตัดอะไรๆ ออก คอยสังเกตดูภายในของตัวเอง ลูกศิษย์พวกบ้านี่มันมาคัดมาค้านต้านทานความรู้ของเรา เราอยากฟาดหน้าผากมันนู่นน่ะธรรมดาเมื่อไร ความรู้อันนี้เป็นยังไง มันเอามาอวดทำไม อยากว่างั้นนะ พิจารณาพอแล้วทุกอย่างที่จะเอาออกแบบไหนๆ พิจารณาเรียบร้อยแล้วออกๆ ไม่เคยผิดพลาด แล้วมันมาค้านอันนั้นค้านอันนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ รำคาญ บางทีอยากตีปากเอาเรา เอ้า เป็นอย่างนั้นจริงๆ งูๆ ปลาๆ ก็ว่ามาๆ สุ่มสี่สุ่มห้าหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ คนหนึ่งพิจารณาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ตลอด จะก้าวเดินทางไหนก้าวเดินตามหลักที่พิจารณาเรียบร้อยแล้วไม่เคยผิดพลาด พูดให้มันชัดอย่างนี้ละ
อย่างที่นำพี่น้องทั้งหลายนี้เหมือนกัน นำทางวัตถุทางอรรถธรรมนี้ก็นำไปพร้อมกันที่ว่าช่วยชาติ การแนะนำสั่งสอน สอนไปเรื่อยๆ วัตถุทั้งหลายก็เข้าสู่ส่วนรวมๆ แล้วสอนไปเรื่อยอย่างนี้เรื่อยมา ก็ไม่เคยได้มีผิดพลาดระแวงแคลงใจตัวเองว่าสอนผิดไป เพราะออกจากนี้ ไม่ได้ปรึกษาหารือใคร ถ้าว่าปรึกษาหารือก็พิจารณาในนี้ เสร็จแล้วออกๆ ออกมากออกน้อยตามที่เห็นสมควร ควรจะหนักก็หนักควรจะเบาก็เบา ออกจากนี้ เรื่องธรรมภายในใจเป็นของเล่นเมื่อไร แม่นยำมากเสียด้วย ความรู้สุ่มสี่สุ่มห้าอย่าเอามาอวดธรรมนะ แต่ธรรมท่านไม่เหมือนโลก รู้เหมือนไม่รู้ ไปสถานที่หูหนวกตาบอดก็บอดไปเสีย เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็น สถานที่ควรจะออกก็ออก สถานที่ควรจะทุ่มเลยก็ทุ่มเลย ธรรมเป็นอย่างนั้น
นี่ได้พิจารณาแล้วการปฏิบัติต่อตัวเอง ทุกอย่างพิจารณาหมดแล้วค่อยออกก้าวตามนั้นๆ เพราะฉะนั้นใครมายุ่งจึงขวางกันทันทีๆ ความรู้สุ่มสี่สุ่มห้าเอามาหักมาห้ามมาอ้อนวอนอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ถูกทั้งนั้นแหละ ธรรมชาตินี้พิจารณากลั่นกรองพอแล้วถึงออก ออกช่องไหนพิจารณาเรียบร้อยแล้วค่อยออกๆ นอกจากไม่พูดเท่านั้นเอง พูดไปมันก็ไม่รู้เรื่อง พูดอะไร พูดไปก็ดีไม่ดีก็ต่อล้อต่อเถียงกันไป เป็นอย่างนั้นละจะว่าไง ขี้เกียจพูดก็ไม่พูดเสียฟังเสีย ให้เขาเทศน์ให้ฟัง เข้าใจไหมให้เขาเทศน์ให้ฟัง เราก็ฟังเทศน์เขาไปอย่างนั้น
พูดไปไม่เกิดประโยชน์พูดหาอะไร ฟังเสียนะเปิดอกให้ฟัง ความรู้อยู่ภายในใจนี้ไม่ได้ปิดบังลี้ลับนะ มันเปิดเผยหมดเลย รู้ตรงไหนๆ แม่นยำๆ เลย นั่น พิจารณายังไงๆ ปฏิบัติตามนั้นๆ ไปเลย นี่ละจิตตภาวนาเป็นของเล่นเมื่อไร ถ้าลงได้เป็นภายในใจไม่ถามใคร แม่นยำ ยืนยันได้ตลอดเลย ไม่ต้องไปถามคนนั้นคนนี้ลูบๆ คลำๆ อย่างนั้นไม่ใช่รู้จริงเห็นจริง ถ้ารู้จริงเห็นจริงไม่ต้องถามใคร แม่นยำนี้ออกตรงไหนแม่นยำตลอดเลย นั่นเรียกว่าธรรมภายในใจจากจิตตภาวนา ยิ่งทำจิตให้กิเลสไม่มีอะไรเหลือเลยจ้าหมดแล้วนั้น ไม่มีอะไรมาขวางได้เลย พุ่งๆ ไปเลย เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้ภาวนาบ้างนะ
เรื่องภาวนานี้เป็นเรื่องประมวลวัฏวนความเกิด แก่ เจ็บ ตายซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด กี่กัปกี่กัลป์เกิดตายอยู่อย่างนี้ตลอด นี้คืองานของกิเลสฉุดลากจิตใจให้ทำ ให้ตะเกียกตะกายไปไม่มีสิ้นสุด ทีนี้งานของธรรมประมวลเข้ามาดูตัวต้นเหตุมันนี้ ต้นเหตุนี้ละพาทำให้การงานทั้งหลายเบิกออกกว้างออกๆ แล้วความยุ่งเหยิงวุ่นวายไปตามกันๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นจึงต้องประมวลมาทางด้านภาวนา พอภาวนาแล้วมันประมวลเข้ามาๆ ทีนี้ก็เรียกว่าประมวลภพชาติให้หดเข้ามาย่นเข้ามาๆ จนกระทั่งมาถึงที่สุดจุดเดียวคือใจ ฟาดกิเลสที่ติดอยู่กับใจขาดสะบั้นลงไปแล้วจ้าไปหมดเลย หมดเรื่องภพเรื่องชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มากี่กับกี่กัลป์ขาดสะบั้นไปในขณะเดียวกันนั้นหมดเลย นั่นท่านเรียกว่าเป็นพระอรหันต์
ท่านขาดสะบั้นลงไปกองทุกข์ทั้งมวล การเกิดแก่เจ็บตายมากี่ภพกี่ชาติไม่มีประมาณ ขาดสะบั้นลงเวลานั้นหมดเลย เมื่อกิเลสตัวสร้างภพสร้างชาติขาดสะบั้นลงไปแล้ว จะเอาความทุกข์มาจากไหน หมดโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีทุกข์ มีก็มีแต่ส่วนร่างกายเจ็บนั้นปวดนี้ เพราะเป็นส่วนสมมุติธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป ก็ยอมรับเหมือนโลกนั้นแหละ แต่ส่วนจิตใจไม่มีอะไรเข้าไปแตะ เพราะเป็นวิมุตติจิตแล้ว พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง นั่นละทำจิต เวลาทำลงไปมากๆ แล้วลงในจุดนี้ขาดสะบั้นไปหมด ภพชาติขาดหมดเลย รวมลงที่จิตแห่งเดียว ให้พากันจำเอานะ การภาวนาเป็นของสำคัญมาก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ ว่าจะไม่พูดมากก็มากแล้ว ให้พร
หูวันนี้อื้อหมดเลย วันนี้หูอื้อหมดทั้งสองหูเลย เสียงลั่นอยู่ในสมอง เราพูดอยู่นี้พูดออกหูเลยไม่ได้ออกปาก สองวันนี้หูทำฤทธิ์มาก เสียงลั่นเลย เดี๋ยวนี้ก็เป็น พูดเดี๋ยวนี้ออกทางหู มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ระยะนี้รู้สึกเพียบมากธาตุขันธ์ เพียบมากอยู่ระยะนี้ กำลังอ่อน ทุกอย่างบีบเข้าไปๆ เรื่อยๆ เอาบีบไปถึงไหน ปล่อยมันเป็นไป เราดูมันอยู่เฉยๆ เราไม่มีอะไรกับมัน เครื่องมือใช้ ใช้ได้ก็ใช้ ใช้ไม่ได้สลัดปั๊วะเดียวไปเลย นั่น ไม่เห็นยากอะไร การเป็นการตายไม่ยาก มีน้ำหนักเท่ากัน ดังเคยพูดแล้ว ถ้าว่ามีน้ำหนักมากก็คือทำประโยชน์ให้โลกเวลามีชีวิตอยู่ ถ้าหากธรรมดาคนเดียวแล้ว ความเป็นความตายมีน้ำหนักเท่ากัน ไปเมื่อไรได้ทั้งนั้น ถ้าเพื่อประโยชน์ให้แก่โลกแล้วก็ ความเป็นอยู่มีน้ำหนักมากกว่าเพื่อทำประโยชน์ให้โลก ก็มีเท่านั้นเองไม่เห็นมีอะไร เอาละที่นี่เลิกกันละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|