เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ไม่อยากตาย
ก่อนจังหัน
พอพูดถึงเรื่องโทรศัพท์นี้กระเทือนหัวใจมากนะพูดจริงๆ นี้ตัวทำลายพระเณรในวัดแหลกหมดเลย โทรศัพท์มือถือเป็นเพชฌฆาตเบอร์หนึ่ง เริ่มมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์เทวทัต วิดีโอ แล้วเข้ามาถึงโทรศัพท์มือถือ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เพชฌฆาตสังหารพระให้ฉิบหายไปสดๆ ร้อนๆ ต่อหน้าต่อตาเลย อันนี้พิลึกมากนะ คืบคลานเข้ามาๆ ยิ่งถือเป็นธรรมดาแล้วกิเลสกลืนหวานๆ เลย หาหลักธรรมวินัยไม่มีแล้วเวลานี้ มันกลืนหวานๆ เลยละ มันน่าทุเรศจริงๆ ทำไมถึงหยาบเอานักหนาพระเรา หยาบแบบไม่ลืมหูลืมตา
ถ้าว่ายศว่าลาภก็เป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ วิ่งหายศวิ่งหาลาภ ความดีไม่หา บวชเข้ามาเพื่อศีลเพื่อธรรมตามหลักพุทธศาสนาเพื่อความพ้นทุกข์ อันนี้บวชเข้ามาหายศหาลาภ หาความร่ำความรวย หาชื่อหาเสียง หาหนังสือพิมพ์ หาวิทยุ หาเทวทัตโทรทัศน์ หาโทรศัพท์มือถือเข้ามาตัดคอมันพระหัวโล้นๆ นี่ กำลังกำเริบเสิบสานเวลานี้ ไม่รู้จักบาปจักบาปจักบุญอะไร มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปนะ เหล่านี้เป็นเรื่องเหยียบหัวพระพุทธเจ้าทั้งนั้นสำหรับพระเรา พูดแล้วสลดสังเวช มันหน้าด้านเอาจริงๆ พระทุกวันนี้ ด้านจนไม่มองดูอะไรเลย
ฟังให้ดี นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า พูดออกมาตามความสัตย์ความจริง ผู้เป็นมันเป็นยังไง เสียหายไหม พิจารณาดูซิ ผู้ว่าผู้เตือนผู้บอก ผู้เอาไฟออกจากหัวมันนี้เป็นความผิดเหรอ ถ้าอย่างนั้นคำสอนพระพุทธเจ้าก็หมดไม่มีอะไรเหลือเลย จะมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้โลกดินแดนเท่านั้นแหละ โอ๊ย พูดแล้วทุเรศนะ ยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นทุกวันๆ
นี่กำลังเก้าอี้คืบคลานเข้ามาในวัดนี้ เอาฟาดหน้าผากมันให้หน่อยนะ เก้าอี้มันขนเข้าไปในครัวๆ มาที่นี่ไม่ได้มันขนเข้าไปในครัว เอาเก้าอี้นั่นฟาดหน้าผากมัน มันเก่งมาจากไหนยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญด้วยเก้าอี้ ตรัสรู้ด้วยเก้าอี้ ศาสนาสอนคนให้หาความสุขความสะดวกสบายทางกายหรือ ทางใจท่านไม่สอนเหรอ ท่านสอนทางด้านจิตใจ เรื่องร่างกายมันเอาออกหน้านะเวลานี้ เอะอะขอให้มีความสะดวกสบาย นอนฟูกนอนหมอน มีเก้าอี้โซฟาร์โซแฟเต็มไปหมดวัดป่าบ้านตาด ไปบอกใครมีอยู่นั่นให้เอาหนีให้หมดทั้งเจ้าของ อย่าให้มาอยู่หนักวัด
วัดนี้ไม่ใช่วัดเก้าอี้ วัดเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เพื่อเก้าอี้เก้าแอ้นะ แหมมันพิลึกจริงๆ ดูแล้วสลดสังเวช ไม่พูดเฉยๆ เดินไปนี้มองดูแหม โธ่ๆๆ กิเลสเหยียบธรรม มูตรคูถเหยียบอรรถเหยียบธรรม เหยียบทองคำทั้งแท่ง เวลานี้กำลังเหยียบต่อหน้าต่อตา ไม่มียางอายเลยชาวพุทธชาวพระเรานี่ หายางอายไม่ได้เลย น่าทุเรศนะ จำให้ดีคำนี้
คำสอนพระพุทธเจ้า ผิดหรือไม่ผิดไปดูซิน่ะพวกเราทำนี้เป็นยังไง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปผิดหรือไม่ผิด การสอนปัดออกไม่ให้เอาตีนเหยียบหัวพระพุทธเจ้านี้ผิดแล้วเหรอ โอ๊ ทุเรศจริงๆ ไปที่ไหนๆ ดูไม่ได้นะเวลานี้ มันหยาบมากที่สุดกิเลส หน้าด้านที่สุดมีกิเลสสมัยปัจจุบันนี้ละ แต่ก่อนก็มีกิเลส มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เมื่อไม่มีผู้เสริมมันก็ไม่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ นี้มีแต่คนเสริมกิเลส เอาไฟมาเผาหัวเจ้าของนั่นแหละมันถึงได้เดือดร้อนวุ่นวาย เอาละให้พร
หลังจังหัน
ไม่เอาจริงเอาจังไม่ได้นะกิเลส มันหน้าด้านขึ้นทุกวันๆ มันไม่เลือกหน้านะ กิเลสอยู่ในหัวใจใดมันหน้าด้านได้ทั้งนั้น หนาเข้าๆ หน้าด้านไม่มีคำว่ายางอาย อายบาปไม่มี กิเลสมันหนาขนาดนั้น ที่ว่าเสียงแผดๆ มักจะมีแต่เสียงหลวงตาบัวออกวิทยุทั่วประเทศไทย ออกเถอะว่างั้นเลย เราได้ฟาดกับกิเลสมาจนถึงขั้นจะสลบไสล แต่ไม่เคยสลบไสลก็บอกว่าไม่เคยสลบไสล เฉียดๆ มาตลอด ตั้งแต่วันได้อรรถได้ธรรมบรรจุหัวใจจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้น ลงใจแล้วว่างั้นเถอะ
ท่านชี้ลงเลยอย่างหนักเสียด้วย เพราะเห็นความตั้งใจของเรามุ่งต่อมรรคผลนิพพาน ออกจากการศึกษาเล่าเรียนแล้วทีนี้เราจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ขอให้มรรคผลนิพพานมีอยู่เถิด ถ้ามีผู้ใดมาชี้แจงบอกว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่ เราจะกราบไหว้ครูบาอาจารย์หรือท่านผู้นั้นด้วยความเคารพ ถวายชีวิตกับท่าน จากนั้นเราจะเอาตายเข้าว่าเลยเพื่อมรรคผลนิพพาน จากนั้นมาก็เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นจริงๆ ไปท่านก็ชี้นิ้วเลย ท่านมาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานเหรอ
ต้นไม้ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพานไม่ใช่กิเลส ตลอดดินฟ้าอากาศทั่วโลกดินแดนไม่ใช่มรรคผลนิพพานไม่ใช่กิเลส นั่นท่านไล่เข้ามา กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ นั่นท่านชี้เข้ามา เอาลงจิตตภาวนา มีจิตตภาวนาเท่านั้นที่จะปราบปรามกิเลสได้นอกนั้นไม่มี นั่นฟังซิ มีธรรมคือจิตตภาวนาเท่านั้นที่จะปราบกิเลสให้ราบลงไปได้ แล้วไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพาน จะจ้าขึ้นที่นั่นแหละ เราลืมเมื่อไร สดๆ ร้อนๆ พ่อแม่ครูจารย์มั่นแสดงธรรมเผ็ดร้อนมากในคืนวันแรกเลยที่ไปหาท่าน เหมือนท่านกางเรดาร์เอาไว้เลย เพราะเรามุ่งอย่างแรงกล้ามุ่งต่อมรรคผลนิพพาน หิวกระหาย
แต่ก็ยังมีสงสัย ส่วนใหญ่เชื่อว่ามรรคผลนิพพานยังมี ส่วนย่อยมันแบ่งกิน เอ๊ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีน้า นี่เราอยากได้ส่วนย่อยให้มันขาดสะบั้นไปจากการได้ยินได้ฟังครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ก็มาได้หลวงปู่มั่นท่านชี้ลงๆ ลงใจ เมื่อลงใจแล้วทีนี้เอาชีวิตจิตใจเข้าแลกเลย ฟัดกันตั้งแต่บัดนั้นมาหาความสุขไม่ได้นะ ที่หาความสุขไม่ได้คือทุกข์เพราะฟัดกับกิเลส เหมือนนักมวยเขาต่อยกันบนเวที ฟัดกันอยู่บนเวที นี่ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันอยู่บนเวทีคือหัวใจ ซัดกันๆ
กว่าจะได้ธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายได้มาเล่นๆ เมื่อไร พระพุทธเจ้าสลบสามหนกว่าจะได้เป็นศาสดานำธรรมมาสอนโลก เป็นของเล่นเมื่อไร เราจะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ สุกเอาเผากินได้เหรอ เรื่องของกิเลสทั้งนั้นเรื่องอย่างนี้ เรื่องมักง่าย สุกเอาเผากิน อยู่ไม่มีเหตุมีผลไม่มีหลักมีเกณฑ์ หาไปกินไปวันหนึ่งๆ เถลไถลไปไม่มีหลักมีเกณฑ์ กิเลสนำสัตว์โลกไปเพื่อความโยกคลอนเพื่อความล่มจมไปเรื่อยๆ ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องชักจูงแล้วจะมีหลักมีเกณฑ์ไปโดยลำดับ มีเหตุมีผลหลักเกณฑ์ มีการยับยั้งชั่งตัว ถ้ากิเลสไม่มี ทุ่มกันเลยๆ จมไปๆ เลยกิเลส ก็คนนั่นละจมกิเลสไม่จมแหละ คนผู้ถูกมันหลอกจม ธรรมท่านฉุดลากเอาไว้ๆ
ที่ได้เทศน์ทุกวันนี้จะไม่มีใครเทศน์นะ ท่านเกรงเราเราเกรงท่าน เกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกัน ไม่กล้าตักเตือนสั่งสอน เป็นเรื่องของกิเลสได้เปรียบทั้งนั้น ต่างคนต่างให้กิเลสกลืนเอาๆ นี่จึงเปิดออกมาอย่างชัดเจนทีเดียว ให้ฟังเอานะ เราได้อุตส่าห์พยายามทุกอย่างแล้ว ภาษาธรรมต้องตรงไปตรงมา ภาษาของกิเลสมันจะหาว่าดุด่าว่ากล่าว ว่าขวานผ่าซากบ้างอะไรบ้าง นี่คือกิเลสเห่าธรรม ธรรมท่านตรงไปตรงมาเลย นี่ไม่ได้กลัวไม่ได้เกรงกิเลส เราเคยจมกับมัน มันเหยียบหัวมาพอแล้ว ทีนี้จะฟาดหัวมันให้มันแหลก มันอยู่ในหัวใดหัวใจใด ฟาดให้มันแหลก
พอกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจไม่มีเลยคำว่าทุกข์ ในใจพระพุทธเจ้าใจพระอรหันต์ท่านไม่มีแม้เม็ดหินเม็ดทราย หมดโดยสิ้นเชิงตั้งแต่กิเลสตัวสร้างทุกข์สิ้นซากลงไปเท่านั้น ความทุกข์ในจิตของพระอรหันต์ไม่มี ก็มีตั้งแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนเพราะเป็นสมมุติด้วยกันมันเข้ากันได้ ก็เพียงเท่านั้น ไม่สามารถที่จะซึมซาบเข้าไปถึงจิตใจท่านได้ นั่นละหลักใหญ่ นิพพานคือหลักใหญ่ ผู้มีหลักใหญ่แน่นหนามั่นคงเป็นที่ตายใจได้แล้ว จึงไม่วิตกวิจารณ์ในความเป็นอยู่และความตายไป
เป็นอยู่อย่างนี้ก็พอด้วยความเลิศเลอ ตายก็จะตายไปไหน อะไรตาย ธรรมชาตินี้ไม่ได้ตาย อมตะมหานิพพาน นิพพานไม่ตาย ก็จ้าอยู่ในหัวใจแล้ว ท่านจะวิตกวิจารณ์หาอะไร ตายแล้วจะไปตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ที่ไหน มันจ้าอยู่ในหัวใจพอทุกอย่างแล้ว นั่นละความได้หลักของใจ ใจมีหลักเป็นอย่างนั้น ถ้าใจไม่มีหลักนี้เดือดร้อน
พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้ระลึกย้อนหลัง พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังเวลาเป็นฆราวาส หากมีรายหนึ่งๆ จนได้มาพูดให้สะดุดใจ เพื่อนฝูงพากันไปหาอยู่หากินหาทำลายสัตว์นั้นแหละ แล้วมีเพื่อนคนหนึ่ง มันหากฝังในใจ ว่าการทำลายสัตว์นี้ทำลายวันธรรมดาเป็นอย่างหนึ่ง เพื่อนฝูงพูดให้ฟัง วันธรรมดาทำลายเป็นบาปแต่ไม่มาก แต่ฆ่าสัตว์วันพระเป็นบาปมาก เราสะดุดใจกึ๊กเลย อย่างนี้ละเรื่อยมา ทีนี้เราทำอะไรๆ ก็ตาม ความรื่นเริงบันเทิงนี้กิเลสมันหลอกไปๆ พอระลึกถึงความตายนี้จิตใจหดห่อเข้ามา เอ๊ เป็นยังไง กลัวตาย จิตใจเหี่ยวห่อเข้ามาๆ รีบระลึกเรื่องที่จะเพลิดเพลินมากลบมันไว้ ให้มีความรื่นเริง เป็นอย่างนั้นนะ
เพราะฉะนั้นเวลาออกบวชจึงเร่งเลย พุ่งๆ เลยเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน พอเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพานนี้ความตายไม่กลัว กลัวแต่จะยังไม่ได้มรรคผลนิพพานจะตายก่อนเท่านั้น ทีนี้พุ่งละ เอาเต็มเหนี่ยวเลย ภาษาธรรมต้องพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาเต็มเหนี่ยวๆ ก็มาสะดุดอีกแห่งหนึ่ง คือเที่ยวกรรมฐานเราไปแต่คนเดียว ตั้งแต่ออกกรรมฐานมาเป็นเวลา ๙ ปีเต็มออกแต่คนเดียวไม่เอาใครไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เสริมเสียด้วย บางรายไปสององค์ท่านยังไม่อยากให้ไป ห้าม สำหรับเรานี่พอว่าไปองค์เดียวท่านขึ้นทันทีเลย เอา ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ เพราะฉะนั้นเราจึงไปองค์เดียวๆ
นี่ละมันสะดุดใจที่ยังไม่อยากตาย เที่ยวกรรมฐานลงมาจากภูเขา เขาเรียกว่าถ้ำผาดัก มาพักอยู่ที่บ้านกะโหม มี ๘-๙ หลังคาเรือน อยู่ตีนเขา มาพักที่นั่น บ้านใหญ่อยู่ทางโน้น บ้านกะโหมที่เราพักอยู่ตีนเขา มี ๘-๙ หลังคาเรือน มันเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้นะ จะว่าอหิวาต์หรืออะไร แต่สองวันตายสามวันตาย ขนกันมาป่าช้า ขนกันมาเรื่อย เราไปภาวนาก็ไปอยู่แถวป่าช้านั้นแหละ วันหนึ่งมีแต่ไปกุสลาให้เขาเลยไม่ได้ภาวนา เอ๊ มันยังไงกัน ไม่นานเรื่องที่เขาเอากันมาเผาๆ มาโดนเข้ากับเรา มันเป็นเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มเข้ามาประสานกัน หายใจแรงก็ไม่ได้มันแปลบๆ อยู่ในนี้
อ้าว เป็นแล้วที่นี่ทำยังไง เขาเผากันนี่เป็นโรคอันนี้เอง เป็นอย่างรวดเร็วด้วยนะ เจ้าของทราบได้ชัด นั่งอยู่ในป่าช้ากุสลาให้เขา เราก็ขึ้นในเวลานั้นเลยก็เลยรีบบอกเขา พอรู้ชัดแล้วว่าโรคอันนี้คือโรคที่เผากันอยู่นี้แหละ เวลานี้มาเข้าถึงตัวเราแล้ว เราก็เลยรีบบอกเขา ทีนี้อาตมาจะไม่กุสลาให้นะ โรคที่เผากันนี้มาเป็นแล้วเดี๋ยวนี้ เป็นอยู่ในหัวอก กำลังเสียดแทงอยู่นี้ บอกเขา ให้อาตมากลับที่พักเถอะ เขาก็รีบให้กลับเลย เพราะโรคนี้ใครก็รู้กันทั้งบ้าน
ทีนี้พอไปถึงที่พักแล้วมันไม่อยากตาย มันขัดกัน ความกลัวตายไม่กลัวๆ แต่เวลานั้นกลัวตาย คำว่ากลัวตายคือถ้าหากตายในเวลานั้นแล้วจะตกค้าง เปิดให้ชัดเจนในหัวใจนี้ จิตเวลานั้นถึงจะละเอียดขนาดไหนก็ตาม แต่ยังไม่ถึงวิมุตติพระนิพพานจึงยังไม่อยากตาย ถ้าตายเวลานี้จะไปค้าง ค้างชั้นใดก็ตาม ไม่ต้องพูดละชั้นต่ำๆ พูดให้ชัดเจนค้างสุทธาวาส พูดง่ายๆ ว่างั้นเลย ชั้นใดก็ตามมันรู้ประจักษ์อยู่ในนี้ ค้างสองวันสามคืนก็ไม่อยากค้าง ถ้าถึงนิพพานแล้ว เอา ไปเดี๋ยวนี้ก็เอา ทีนี้ก็เถียงกันอยู่ในนี้ เป็นห่วงยังไม่อยากตาย เพราะตายแล้วมันจะค้าง
ไม่นานนักอริยสัจ ๔ ก็ขึ้น ก็เรื่องการเป็นการตายท่านก็เคยพิจารณามาเต็มกำลังความสามารถแล้ว เช่น เวลาท่านนั่งตลอดรุ่ง ทุกข์ไหนจะยิ่งกว่าสงครามเวลานั่งตลอดรุ่ง อันนี้ก็เป็นกองทุกข์อันเดียวกัน ท่านไปวุ่นอะไรกับการเป็นการตาย การเป็นการตายก็เป็นเรื่องอริยสัจ พิจารณาลงไปซีมันตายที่ไหนเป็นที่ไหน มันอยู่กับเรา พอว่าอย่างนั้นพลิกปั๊บ หมุนติ้วเลยไม่มีกลัวตาย ฟาดกันกับโรคอันนี้ขาดสะบั้นไปเที่ยงคืน เขาตายกันเกลื่อน เราพ้นไปได้กลางคืน ชนะกันอย่างประจักษ์ในหัวใจ ไล่ทุกขเวทนาหมุนติ้วๆ
ทุกขเวทนาที่เราพิจารณาตอนนั่งหามรุ่งหามค่ำพิจารณายังไง อันนี้ก็แบบเดียวกัน หมุนไล่กันไปไล่กันมาถึงเที่ยงคืน โรคที่มันขัดหัวอก มันประสานกันเหมือนหอกเหมือนหลาว กระจายออกไปหมดเลย จิตสว่างจ้าขึ้นมาในคืนวันนั้น หายต่อหน้าต่อตาโรคที่เป็นหนักๆ ที่เขามาเผากันอยู่ สองวันตายสามวันตาย มาเป็นกับเรา เที่ยงคืนโรคตาย ตอนนั้นยังไม่อยากตายพูดให้ชัดๆ เถียงกันไปเถียงกันมาถ้าตายเดี๋ยวนี้มันจะค้าง ชั้นใดก็ตามไม่อยากค้าง ถ้าบริสุทธิ์ถึงนิพพานแล้วไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ไม่ว่าอะไร แต่นี้ยังไม่ถึง มันฟัดกันอยู่นั้น พระธรรมท่านก็ขู่เอาละซิ มายุ่งอะไรความเป็นความตายท่านเรียนมาพอแล้ว การตายก็คืออริยสัจ ไล่เข้ามา มันก็พลิกปุ๊บทีเดียวขึ้นสนามฟัดกันเลย
นี่พูดถึงเรื่องยังไม่อยากตาย มี เป็นอย่างนั้นละ คือตายแล้วมันจะค้าง อยู่บ้านกะโหม-โพนทอง เดือนเมษาเราไม่ลืม พอเดือนพฤษภาก็ย้อนกลับมาวัดดอยธรรมเจดีย์ พูดให้มันเต็มยศ ไปม้วนเสื่อกันที่นั้น เรื่องเป็นเรื่องตายม้วนกันที่ตรงนั้นหมดเลย ตั้งแต่บัดนั้นหายห่วง ตายวันไหนก็ตายซิ ไม่ตายก็หาข้าวต้มขนมมา ถ้ากินท้องมันเต็มแล้วไปหาย่ามมาใส่ย่าม ข้างๆ นี่ก็กินได้ยังไม่ตาย เข้าใจไหม ตายแล้วอะไรก็ไม่กินทั้งนั้นแหละ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ ความตายเป็นเรื่องใหญ่หลวงมาก ถ้าจิตใจยังไม่มีที่พึ่งมีหลักเกณฑ์พอ ความตายนี้เป็นสิ่งที่สัตว์โลกหวั่นกลัวกันมากทีเดียว ความดีเท่านั้นไปลบล้างได้ ความตายไม่มีความหมายเมื่อความดีคือธรรมลบล้างหมดแล้ว เป็นกับตายมีน้ำหนักเท่ากัน ให้มันถึงอย่างนั้นซิ พอถึงนั้นแล้วไม่มีหวั่นอะไรละ สามโลกธาตุนี่เป็นสมมุติทั้งมวล อันนั้นเป็นวิมุตติพ้นหมดแล้ว หาความกลัวไม่มี นอกจากหาความกลัวไม่มีแล้ว หาความกล้าก็ไม่มี ผ่านหมดทั้งกลัวทั้งกล้า
อยู่วันธรรมดาวันทำราชการงานเมือง งานการทั้งหลายก็ทำ วันที่จะให้ว่างสำหรับจิตเสาะแสวงหาความดีแก่ตนนี้ก็ให้มี เราเป็นลูกชาวพุทธหัวใจเป็นผู้สมบุกสมบันมาก ตายแล้วไม่แล้วนะหัวใจ ออกจากนี้มันไปแล้ว ออกจากนี้ไปแล้ว ถ้าเราไม่สร้างความดีสร้างหลักสร้างเกณฑ์ให้ใจนี้เร่ร่อนๆ ตายแล้วจม ถ้าเราสร้างความดีให้แล้วตายแล้วดีด แม้แต่ยังไม่ตายก็ยังดีด คิดดูซิยังไม่อยากตายๆ ตายแล้วมันจะค้าง ไม่ได้ว่าจะตกนรกนะ ไม่ว่า นี่มันจะค้าง ค้างสองวันสามวันก็ไม่อยากค้าง ถ้าถึงนิพพานแล้วเอาไปเมื่อไรไปเลย ฟังซิน่ะ ตั้งแต่ไปทางดีมันยังไม่อยากไป มันจะค้าง ฟาดหัวใจของเราให้ดีก็เป็นแบบเดียวกัน ใจดวงเดียวกัน มีที่แน่นหนามั่นคงเป็นที่พึ่งอาศัยโดยลำดับลำดาแล้ว จิตใจเราอบอุ่นๆ จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นกับตายมีน้ำหนักเท่ากัน พากันจำเอานะ
เดี๋ยวนี้ก็มีแต่หลวงตาบัวละเทศน์วากๆ ออกทั่วประเทศไทย ผู้เหล่านั้นทำไมจึงไม่เห็นมีท่านเทศน์เป็นเพราะอะไร สำหรับเราเองรู้ แต่พูดออกไปข้างนอกมันเป็นการกระทบกระเทือนกันไม่ดี แต่ภายในรู้หมดแหละ ทำไมถึงมีแต่อีตาบัวคนเดียวเทศน์วากๆ เพราะอะไร อันนี้ก็รู้ ที่ไม่เทศน์เพราะอะไรอันนี้ก็รู้ การแสดงออกไปนี้มันมีการกระทบกระเทือน เก็บเป็นความรู้สึกไว้ไม่มีการกระทบกระเทือน เก็บไว้เสีย นั่น ถึงเวลาเปิดก็เปิด รวมยอดออกมาไม่ให้กระทบกระเทือนก็คือว่า ติดเขาติดเรานั่นแหละพาให้ก้าวไม่ออก เราก็ไม่ติดเขาก็ไม่ติดก้าวได้สบาย ถ้าติดเขาติดเราแล้วก้าวไม่สะดวกและก้าวไม่ออก เข้าใจหรือที่นี่ ไขเงื่อนออกมาแล้ว
วิถีจิตของง่ายเมื่อไร ว่าตายแล้วสูญๆ กับนักภาวนาท่านตามวิถีจิต เหมือนเขาตามรอยเท้าสัตว์ เช่นตามรอยวัวรอยควาย เขาไปปล่อยไว้แล้วเขาตามรอยมันไป จนกระทั่งถึงตัวมัน รอยถ้ามันไปไหนเขาตามไป อันนี้รอยของจิตวิถีของจิตไปไหน จิตตภาวนาตามรอยมันถึงชัดเจน ว่าจิตนี้ไม่มีคำว่าตายไม่มีคำว่าสูญ ตามรอยไปตลอดๆ จนถึงตัว พอถึงตัวแล้ว อะไรที่ผูกมัดจิตดวงนั้นไว้ให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก ก็คือกิเลสตัวที่พาวนในวัฏฏะนั่นแหละ ฟาดขาดสะบั้นไปแล้วหมด ตัวที่ไปผูกพันจิตใจคือกิเลสทั้งหลายมีอวิชชาเป็นต้น ขาดสะบั้นลงไปแล้วจิตดีดผึงไปเลย นั่นที่นี่เป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้สูญไหมล่ะ
ถึงขั้นสุดยอดแล้วเรียกจิตนี้เป็นธรรมธาตุ ไม่มีคำว่าสูญ ตกนรกอเวจีกี่กัปกี่กัลป์ยอมรับความทุกข์หนักเบามากน้อย แต่ไม่ยอมสูญคือจิตดวงนี้ ทีนี้คำว่ากรรมคำว่าสมมุติเป็นของไม่เที่ยงมันก็แปรปรวนไปได้ แปรช้าแปรเร็วจนพ้นขึ้นจากนรกมา ครั้นมาปฏิบัติความดีใส่ตัวเองแล้วดีขึ้นๆ พลิกไปจนกระทั่งดี ดีสุดยอด ฟาดเข้าถึงธรรมธาตุ สูญไหมละนั่น เวลาตกนรกก็ตก จมอยู่ในนรกกี่กัปกี่กัลป์มันก็ไม่สูญ ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส เอา ยอมทน แต่จิตไม่ยอมสูญ พลิกออกจากนั้นมาด้วยกฎอนิจัง แปรสภาพมาถึงความดี พลิกทางความดี ดีเรื่อยๆ ดีจนสุดยอด บริสุทธิ์เต็มที่แล้วเป็นธรรมธาตุเลย นั่นสูญไหมล่ะ ไม่สูญ ถ้าเป็นธรรมธาตุท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง พากันจำเอานะ
การพูดทั้งนี้เราไม่ได้ไปหาคว้าเอาทางนู้นทางนี้มาพูดนะ สาธุ ในคัมภีร์เราก็เรียน คัมภีร์ไหนก็เรียน แต่มันไม่สิ้นสุดความสงสัยนะ เรียนแล้วเอาแบบแปลนที่เรียนมาจากคัมภีร์เข้ามาปฏิบัติตัวเอง คลี่คลายตัวเอง เหมือนเขาปลูกบ้านสร้างเรือนจนเป็นหลังขึ้นมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย อันนี้เอามาคลี่คลายฟาดจนสร้างให้เป็นหลังขึ้นมา หลังใหญ่โตมโหฬารขึ้นเต็มเหนี่ยว เป็นหลังใหญ่ หลังธรรมธาตุเข้าใจไหม นี่ละหายสงสัยเลย จิตดวงนี้ละนิพพานเที่ยง คือธรรมธาตุนี้แหละนิพพานเที่ยง ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
อย่าให้กิเลสหลอกว่าตายแล้วสูญๆ เวลามีชีวิตอยู่อยากทำอะไรก็ทำ กิเลสมันลากลงไปทำทางต่ำนะ มันไม่ได้พาไปทางสูง ธรรมพาไปทางสูง กิเลสพาลงทางต่ำ ท่านจึงเรียกว่ากิเลสกับธรรม มันอยู่ในใจดวงเดียวกันนี้ไม่มีใครทราบ สามโลกธาตุไม่มีใครทราบไม่มีใครรู้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวทราบทั้งกิเลสทราบทั้งธรรม พระองค์ชำระกิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้วเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เรียกว่าทราบทั้งธรรมทั้งกิเลส นั่นละนำธรรมมาสอนโลก จึงไม่มีผิดไปได้เลย ไม่ผิดศาสดาองค์เอกสอนโลก ท่านสอนพวกเราไม่ผิด นอกจากพวกเราพวกผิดเท่านั้น สอนให้ไปถูกมันไม่ยอมไป ถ้าไปทางผิดนี้หัวชนเลย พวกบ้า ตามันมีมันไม่ดูมันเอาหัวชนจนได้ เข้าใจไหมพวกบ้า บ้าที่ไหน บ้าก็อยู่ตามศาลานี้นะ จะว่าลูกศิษย์ใครก็ไม่สนิทใจ ถ้าว่าบ้าลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้พอใจ พากันเข้าใจเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้น มาลงที่จิต บ้าตาบอดนะ
เอ๊ะ เมื่อวานนี้วันอะไรพวกสาธารณสุขมากันเยอะมากันที่นี่ เขามาฟังการอบรมว่างั้น โถ พวกสาธารณสุขว่าเป็นความรู้ที่สูงแล้วนี่นะ หลวงตาบัวไม่ได้เรียนวิชาหมอวิชาแพทย์อะไรจะให้สอนยังไงล่ะ ไม่ใช่เอาอ้อยเข้าไปขายสวนแล้วเหรอเราว่า ก็เลยฝากธรรมะย่อๆ ให้เอาเป็นข้อคิด เอ้า หัวหน้าฟังนะ คนไข้ทุกรายตลอดญาติของคนไข้ทั้งหมด ชีวิตจิตใจฝากไว้กับหมอ ฝากไว้กับโรงพยาบาล เวลาเขาก้าวเข้ามา กิริยามารยาทนิ่มนวลอ่อนหวาน ด้วยความเอื้อเฟื้อเมตตาสงสารคนไข้ นั้นแลเป็นยาขนานแรก ขนานนี้เข้าถึงใจคนไข้และญาติคนไข้ก่อนอื่น ส่วนยาเหล่านั้นค่อยตามทีหลังมา อันนี้ถูกต้องแล้ว ให้นำยาอันนี้ไปปฏิบัติต่อคนไข้นะ เราก็บอกเท่านั้น คือใช้กิริยามารยาท ควรน้าก็น้า ควรอาก็อา ควรพี่ก็พี่ ควรน้องก็น้อง แล้วเป็นยังไงๆ
จิตใจคนไข้ซึ่งหาที่พึ่งอยู่แล้วมันเกาะติดๆ นี่ฟื้นแล้วนั่น ได้ยาขนานนี้เข้าแล้ว จากนั้นก็วางยา เขาหายจากโรคแล้วเขาไม่ได้ลืมคุณของหมอของพยาบาลนะ ให้จำ นี่ละยาขนานเอก คือมารยาทของหมอของพยาบาลเป็นขนานเอก ถึงก่อน ถึงคนไข้ก่อนอื่น ให้นำอันนี้ใช้อันนี้ก่อนอื่น มีเท่านั้นละไป ไล่เขากลับเท่านั้นเอง ส่วนหลวงตาบัวไม่ต้องพูด หลวงตาบัวเป็นหมอใหญ่ ใครมาก็วากใส่ๆ ไม่พูดมันจะเข้าเนื้อตัวเอง ไม่เคยว่าดีนะอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่บ๊งเบ๊งๆ ใส่เลย แต่มันก็ชอบมาพวกนี้ นี่เต็มอยู่ศาลาเห็นไหม
มันเพลียอะไรก็ไม่ทราบ ระยะสักอาทิตย์หนึ่งมานี้ เพลียจนกระทั่งจะเดินไปไหนไม่ได้ อยู่ดีๆ นี้ ฉันจังหันก็ได้มาก เมื่อเช้านี้ตั้งใจฉัน บังคับมันนะเมื่อเช้านี้ เพราะฉะนั้นมันถึงฉันหยุดหลังเพื่อน คือฉันลงไปมันไม่มีความหมายอาหารนะ พอตอนบ่ายมาๆ ถึงสี่โมงห้าโมงนี้อ่อนไปหมดเลย จะก้าวขาไปไหนก็ก้าวขาไม่ออก เพลีย ลมออกหู หูอื้อ ฟู่ๆๆ มันไม่ได้ออกจมูก ทีนี้หายใจก็ไม่อยากหายใจละมันอ่อน เป็นมาได้อาทิตย์กว่าแล้วไม่ทราบเป็นยังไง เพราะเหตุผลกลไกอะไรๆ เราหาเหตุหาผลของมัน
ลูกศิษย์ลูกหามันเป็นบ้า พอว่าเราตัดยาเครื่องส่งเสริมอะไรๆ ตัดออกให้หมด เราจะดูหลักธรรมชาติเป็นยังไง ก็เราไม่ได้ดูด้วยความหวั่นความไหวกับความเป็นความตายนี่นะ ดูตามหลักธรรมชาติ เราทดลองทดสอบหาเรื่องราวมันอยู่ภายในใจของเราเองไม่บอกใคร แต่ทีนี้พวกนอกมันไม่รู้นั่นซิ ท่านตัดอันนั้นท่านไม่ฉันอันนี้ ตายแล้วๆ ตัวมันจะตายมันไม่ได้ว่าเข้าใจไหม พิสูจน์ตัวเองมันตายที่ไหน เป็นอย่างนั้นละลูกศิษย์ของเรายุ่งไปหมด พอว่าตัดยาตัดอะไรออกหมด เวลานี้ตัดหมด ถ้าว่ายังไงเป็นอย่างนั้นนะเราไม่เหมือนใคร ถึงคราวเด็ดเด็ดขาด ถึงคราวอ่อนก็อ่อนธรรมดา ถึงคราวเล่นกับหมาใครมายุ่งไม่ได้ มันเล่นได้ทุกแบบ ก็อันนี้มันเป็นไปด้วยความเมตตาเป็นพื้นฐาน มันจะแผดขนาดไหนก็ตามความเมตตาอยู่ในนั้นละ ไม่ได้ปราศจากนะ มันเป็นพื้นของจิต
เมื่อเช้านี้ฉันมากมันจะเป็นยังไงคอยดู เวลานี้กำลังตัดน้ำปาน้งปานะน้ำอะไรๆ ฉันมาพอแล้วมันก็เพลีย อันนั้นฉันอันนี้ฉัน ฉันด้วยความเพลียมันก็เพลียตลอด มันเป็นยังไงเพราะเหตุผลกลไกอะไร เอ้า ตัดออก ดูแต่ธาตุขันธ์ในหลักธรรมชาติมันจะเป็นยังไงของมัน ได้เริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ละมา ไม่เอาอะไรเลย แม้ที่สุดน้ำตาลก็ไม่เอา เอ้า เป็นยังไงเราจะพิสูจน์เราเอง ไมมีใครมาพิสูจน์ให้เรา เราเป็นผู้รับผิดชอบเราตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย เรารับผิดชอบเรา เราต้องพิสูจน์เรา ทีนี้ใครไม่รู้ซิว่าเราพิสูจน์เราแบบไหน คนนั้นก็แอ้ๆๆ วันนี้ท่านไม่ฉันอะไรเลยนี้ยังไงจะตาย เจ้าของกำลังจะตายมันไม่ว่านะ เราไม่ตาย เราพิสูจน์ตัวเราเอง เมื่อเช้านี้เหนื่อย จะลงมาศาลามาที่นี่ก็ไม่อยากลง นอนแน่วไม่อยากลุกอยากไปไหน ครั้นมาแล้วพอฉันจังหันเสร็จแล้ว ดูจะมีอาหารเข้าไปใส่ในย่ามนี้นะ มันยังแผดได้นะเข้าใจไหม ตอนมานี้จะมาไม่ไหวละ ที่นี่คึกคักขึ้นเลย จนกระทั่งแปดโมงครึ่งแล้วยังไม่ได้ลุก เอาละให้พรที่นี่
ความจำเหลวไหลมากนะ แต่ความจริงพุ่งตลอด เพราะฉะนั้นที่เทศน์เหล่านี้เทศน์จากความจริงออกผางๆ ความจำจำไม่ได้นะ ไม่เป็นท่า เรียนมาในคัมภีร์ใบลานหายไปหมดๆ นอกจากจะสัมผัสกันเวลาเทศน์ไป สัมผัสคัมภีร์ใดก็ออกมานิดๆ ความจริงหลักใหญ่อยู่จากใจอยู่ที่ใจ ออกผางๆๆ อะไรที่เป็นคัมภีร์ที่จำได้มันก็มาช่วยกันเสริมกัน แย็บออกมาฉวยมับไปต่อกันไปเรื่อยๆ อย่างนั้น เอาละไปละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |