เรือนร่างของใจ
วันที่ 8 มิถุนายน 2549 เวลา 7:45 น. ความยาว 46 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

เรือนร่างของใจ

ก่อนจังหัน

พระ ๓๙ ไม่ใช่เล่นๆ นะ แน่นข้างใน แต่ทำเลของพระไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง จะให้มีเฉพาะคนรับใช้พระผู้ชายสองคนหรือสามคนเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เข้าไป เป็นทำเลที่ท่านภาวนาไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน เรื่องการทำความพากเพียรเพื่อชำระจิตใจนี้เราเข้มข้นมาตลอด เราไม่เคยจืดจาง แม้จะช่วยโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วยส่วนพระนี้เราไม่ไปแตะ มีแต่เสริมเรื่อยๆ เพราะเห็นความสำคัญของกิเลสกับธรรมอยู่ภายในใจดวงนี้ งานของวัฏวน กองทุกข์ทั้งหลายที่อยู่ในวัฏวนนี้อยู่ที่หัวใจ งานของเราอะไรๆ นี้จะไม่มีทางสิ้นสุด มีมากว่นมากๆ ทุกข์มากๆ ตลอดทั่วถึงกันหมด งานเข้ามาหาใจนี้เป็นงานประมวลความทุกข์ความสุขเข้ามาๆ ตัดเข้ามาย่นเข้ามา มายุติที่ใจ

พอใจหมดเรื่องเท่านั้นโลกอันนี้เหมือนไม่มี ว่างไปหมดเลย ยุ่งก็คือใจ กิเลสพาให้ยุ่ง จำให้ดีนะเหล่านี้ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอน งานใดก็ตามที่จะให้มีความสงบงบเงียบให้มียุติไม่มี ถ้าเข้าสู่งานหัวใจซึ่งเป็นโรงงานใหญ่ เข้าไปตรงนี้แล้วด้วยการพินิจพิจารณาดูใจตัวเอง แล้วก็ลงในจิตตภาวนา นี่เป็นงานที่จะยุติที่หัวใจ งานจะยุติที่หัวใจด้วยการพินิจพิจารณาดูใจตัวเอง แล้วลงไปในทางจิตตภาวนา เลิกหมดทุกข์ ไม่มี บรมสุขขึ้นทันที เพราะฉะนั้นจึงให้พากันตั้งอกตั้งใจภาวนา

ไม่มีใครที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ค้นหาต้นเหตุแห่งกองทุกข์ แห่งวัฏวนทั้งหลายอยู่ที่ไหน ค้นลงไปที่จุดนั้นตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมา ธรรมก็เลิศขึ้นที่นั่น กิเลสเลวปัดออกหมดในเวลานั้น ได้นำมาสอนโลก สามโลกนี้ไม่มีใครที่จะมาค้นคิดหาอรรถหาธรรมได้มาสอนพวกเรา คุ้ยเขี่ยขุดค้นฆ่ากิเลสสังหารกิเลสออกจากใจ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้น ให้พากันขวนขวาย

สำหรับพระเราความพากเพียรเคยพูดเสมอ สติเป็นสำคัญ ใครจะอยู่ที่ไหนเคลื่อนไหวไปมาไม่มีอะไรเร็วกว่าสติ งานการของเราจะเป็นอะไร เดินจงกรมจะช้าหรือเร็ว สตินี้เร็วตลอด อย่าไปเดินแบบปลงธรรมสังเวช เดินค่อยต่อเท้าไป ค่อยเดินค่อยต่อเทาไป กลัวจะเผลอสติ มันบ้า เราอยากว่าอย่างนั้น อะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าใจ อะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าสติ ขาก้าวเดินได้สามก้าว สติไปได้รอบโลก เดินจงกรมแบบนั้นอย่าทำให้เห็น สลดสังเวชนะเรา แทนที่จะอนุโมทนากลับสลดสังเวชกับผู้ภาวนาไปทำแบบสลดสังเวช

เราไปเห็นแล้วในกรุงเทพ เดินจงกรมต่อเท้าไป ไปดู โอ๊ย พระกรรมฐานด้วยกัน กรรมฐานดูกรรมฐานมันดูถนัดชัดเจนนะ เลยติดตาติดใจตั้งแต่นั้นมา อย่างนี้เหรอผู้ที่ภาวนา ที่จะชำระกิเลสให้เป็นคติตัวอย่างอันดีงามให้โลกได้ชุ่มอกชุ่มใจ เดินแบบนี้เหรอ นั่นไปเห็นไปดูแล้วสลดสังเวช อันนี้มันแบบสลดสังเวชนะ หาความสวยงามไม่ได้นอกจากความสลดสังเวช อะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าสติสตัง เดินไปธรรมดา เรียบๆ ธรรมดาสติปกครองใจตลอดไป สวยงามตลอดไป ไม่สะดุดตาสะดุดใจจนเกิดธรรมสังเวช

มันมีทุกแบบนะ นักภาวนาแบบสลดสังเวชก็มี แบบน่าเคารพเลื่อมใสก็มี อันนี้ก็เหมือนกัน เดินจงกรมอยู่ในครัว ค่อยๆ ต่อเท้าไปกลัวมันจะเผลอสติ ให้พากันต่อเท้าไปนะ อย่ามาทำในวัดนี้ให้เห็นนะ นี้ผ่านมาหมดแล้วเรื่องเหล่านี้ ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินเที่ยวกรรมฐานก็ทั่วประเทศไทย เราไปหมดแล้ว เข้านอกออกในสำนักกรรมฐาน สำนักปริยัติ อยากจะว่าไม่มีใครเกินหลวงตาบัว เข้านอกออกในได้หมด ดูทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วประมวลมาละที่นี่ ประมวลมาคัดเลือกมาๆ มาปฏิบัติแล้วมาสอน อย่าให้มีธรรมสังเวชนะ

เดินไปอย่างสวยงาม สติสตังอยู่ในใจ ไม่มีอะไรที่จะรวดเร็วยิ่งกว่าสติ สติครอบครองแล้วรวดเร็วสวยงามไปด้วยกันทั้งนั้น ทางข้างในครัวภาวนา ภาวนาให้ดีนะ นี่เข้มงวดกวดขันตลอดมา สำหรับวัดนี้ไม่ให้อ่อนแอนะทางด้านภาวนา พูดให้ชัดเจน เครื่องประกาศมันอยู่ในหัวอกนี่น่ะ ด้วยการขวนขวายทางด้านจิตตภาวนา จนมันจ้าขึ้นมาภายในหัวอก มีจืดมีจางที่ไหน อกาลิโก จ้าอยู่ตลอดเวลา แล้วอะไรจะมาแข่ง ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรแข่งได้เลย ให้พยายามเอาอันนี้ให้ได้นะจิตดวงนี้ เลิศเลอที่สุดคือจิตดวงนี้ ที่พ้นจากสิ่งมัวหมองมลทินหาราค่ำราคาไม่ได้แล้ว เป็นจิตที่เลิศเลอ ให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ

ข้างในอย่าไปมัวยกโทษแต่คนอื่นนะ คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ เจ้าของดีหรือไม่ดีไม่ดู ไปหาดูตั้งแต่คนอื่น นักภาวนาทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นนักภาวนาแท้ต้องสงบเงียบให้อภัยกัน ใครผิดใครพลาดหากจะเตือนได้ก็เตือน เตือนไม่ได้ก็ปลงธรรมสังเวชไปเสีย อย่าเอาเรื่องของกันและกันมานินทา สถานที่นี่ไม่ใช่สถานที่นินทาคนนั้นคนนี้ สรรเสริญคนนั้นคนนี้ โดยหาเหตุหาผลไม่ได้ ต้องเป็นธรรมทั้งนั้นจึงเรียกว่านักภาวนา

ดูกันเห็นกันด้วยความให้อภัย นี่คอยยกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้ คนนี้ไม่ดีอย่างนั้นคนนั้นไม่ดีอย่างนี้ ยกมาตีกันอยู่ตลอดเวลามันนักภาวนาอะไร นักหมากัดกัน คอยตำหนิคนนั้นคอยตำหนิคนนี้ หัวใจเจ้าของมันดีดอยู่นั้นน่ะทำไมไม่ดู ดูตรงนั้นซิ ตัวเหตุร้ายมันอยู่ตรงนั้น อยู่ด้วยกันต้องให้อภัยกัน การติฉินนินทากันไม่เกิดประโยชน์นอกจากเกิดโทษ ผู้ได้ยินคำตำหนินั้นก็บอบช้ำภายในจิตใจ ให้อภัยกันจึงเรียกว่าธรรมๆ เรื่องกิเลสไปที่ไหนไม่ได้กัดได้เห่าก็เอา กิเลสมันชอบเห่าชอบกัด ตั้งใจให้ดีนะการภาวนา

งานรวมยอดแห่งวัฏวนนี้มาลงในจิตตภาวนา พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายพ้นแล้วด้วยอำนาจแห่งจิตตภาวนา นี่เรียกว่างานประมวลวัฏวนกองทุกข์ทั้งหลายอยู่ที่หัวใจ เอาจิตตภาวนาหยั่งเข้าไปๆ จะเป็นการทำลายกงจักรแห่งวัฏจักรภายในใจให้ค่อยเบาบางๆ แล้วพ้นไปได้เลย งานนอกนั้นไม่มีที่จะให้ผ่านพ้นไปได้ ยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งกว้างยิ่งขวาง ยิ่งเพิ่มทุกข์ความลำบากมากมายเข้าไปโดยลำดับ ถ้าหมุนเข้ามาที่หัวใจๆ ต่างคนต่างหมุนดูหัวใจด้วย หมุนดูภายนอกด้วย หมุนดูภายในด้วย คนนั้นจะรู้จักประมาณ มีหลักมีเกณฑ์ มีการยับยั้งชั่งตัวได้

การเสาะแสวงหา การทำมาหาเลี้ยงชีพ รู้จักเก็บรู้จักจ่าย ไม่ใช่จะฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้ากู้บ้ายืมเขาไปโดยถ่ายเดียว แบบสุกเอาเผากินๆ วิ่งไปวันหนึ่งคืนหนึ่งหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ให้กิเลสพาหาเป็นทุกข์กระทั่งวันตายคนประเภทนี้ ต้องมีการเก็บการรักษา รู้จักประมาณ มีการยับยั้งชั่งตัว สมกับเรารับผิดชอบเรา พากันจำเอานะ เอาละให้พร

หลวงปู่มั่นท่านว่า บวชใหม่ๆ ยังไม่ได้ ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ต้องมีผู้ที่ได้แล้วเสก ปฏิสงฺขา เป่าฟู้ๆ แล้วเอามาให้ๆ แจก ปฏิสงฺขา  เข้าใจไหม นี่ยังไม่ได้คาถาก่อนฉัน ต้องให้คนอื่นเสกเป่าแล้วเอาให้ ท่านเล่าให้ฟังเราเลยไม่ลืม อันนี้มันมี ปฏิสงฺขา ไหมล่ะพระเหล่านี้ ใครจะเสกเป่าให้ใครล่ะ ถ้าพ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดอะไรถึงใจนะเรา เพราะตั้งใจไปศึกษาจริงๆ ไม่มีตกเรี่ยเสียหายเลย ท่านพูดแย็บออกมาตรงไหนจับปั๊บๆ ตลอดเลย แล้วพระเหล่านี้มันมี ปฏิสงฺขา ไหมล่ะ ต้องให้เณรมาเสกเป่าให้เหรอ มันยังไง

หลังจังหัน

สมัยอยู่หนองผือไม่มีเครื่องขยายเสียง พึ่งเริ่มมีตอนถวายเพลิงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ดูมีเครื่องใหญ่ๆ เครื่องหนึ่งมาตั้ง นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็น ไปถวายเพลิงศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น เขาเอามาก็ดูเหมือนใช้ไม่ได้ สุดท้ายออกสนามไม่ได้ หากได้เห็น สมัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ เหล่านี้ไม่มีเลย สมัยนั้นท่านเทศน์ไม่มีฆราวาสเข้าไปฟัง มีแต่พระล้วนๆ นั่งเต็มศาลาเหมือนไม่มีพระ เงียบ กลางคืนได้ยินเสียงท่านองค์เดียวก็ชัดเจนเพราะมันเงียบ ท่านเทศน์ เสียงธรรมท่านเป็นเสียงธรรมมีแต่หม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ พุ่งๆ เลย

ตั้งแต่เราไปอยู่กับท่านทีแรกนั้นท่านเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมง เริ่มเทศน์จนกระทั่งจบ ๔ ชั่วโมง ครั้นอยู่นานมาๆ นี้ลดลง เทศน์ ๓ ชั่วโมงจบ วาระสุดท้ายนี้ ๒ ช่วโมงจบ จากนั้นไม่เทศน์อีกเลย ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมงจบ ท่านเทศน์มีแต่เนื้อธรรมล้วนๆ เลย ออกมาจากหัวใจท่านๆ เพราะใจท่านเป็นธรรมทั้งดวงแล้ว ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว เวลาเปิดออกมานี้ แรกๆ ที่เราไปฟังท่าน ๔ ชั่วโมงจบ แต่ไม่มีใครสนใจว่าเวลาช้าหรือเร็วขนาดไหน มีแต่เสียดาย พอท่านจบลงแล้วยังเสียดายอยากให้ท่านเทศน์ต่อ คือเพลินในธรรมของท่าน ท่านเทศน์มีแต่เนื้อธรรมล้วนๆ ฝ่ายภาคปฏิบัติ แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ แกงหม้อใหญ่ไม่มีเพราะไม่มีฆราวาสไปฟัง มีแต่พระล้วนๆ ฟัง

เวลาท่านเทศน์จบลงแล้ว สามสี่ชั่วโมงนี้ ผู้ฟังยังเหมือนหัวตอนะ เงียบ ดูลักษณะไม่มีท่าพลิกท่าเปลี่ยนเลย คือจิตมันหมุนอยู่ในธรรมไม่ได้ออกมาส่วนร่างกาย จึงไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดแสบร้อนพอจะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอิริยาบถบ้างเลย ท่านเทศน์จบลงแล้วยังเสียดายอยากฟังท่านเทศน์ต่อไป คือการเทศน์นี้กล่อมลง ท่านเทศน์มีแต่เนื้อธรรมล้วนๆ เทศน์เหมือนแม่กล่อมลูกด้วยบทเพลงนั้นแหละ กล่อมลงๆ แล้วเด็กหลับ ทีนี้บทธรรมที่ท่านเทศนาว่าการ จิตที่ยังไม่เคยกับอรรถกับธรรมก็อาศัยการเทศน์นี้แล้วจิตค่อยสงบได้ๆ

ภาคปฏิบัติโดยธรรมดากับภาคปฏิบัติโดยฟังเสียงอรรถเสียงธรรม อันนี้เป็นที่หนึ่ง ภาคปฏิบัติด้วยการฟังธรรมเป็นอันดับหนึ่ง จิตลงเอง ถ้าเราอยู่โดยลำพังนี่บังคับยาก พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ระลึกถึงโยมแม่ โยมมารดาเรา ตั้งนิมนต์เรานะ แต่ก่อนแขกคนก็ไม่ค่อยมาก ถ้ามีแขกคนมามาก ส่วนมากเรายกผลประโยชน์ให้ฝ่ายผู้หญิง มีผู้ชายมาด้วยเราก็พาผู้ชายเข้าไปในครัว ยกผลประโยชน์ให้ฝ่ายผู้หญิง ไปยากมายาก แล้วมีท่านปัญญาเป็นผู้ติดตามไปอัดเทป

ที่เทศน์สอนคุณเพานี้เป็นเวลา ๓ เดือนเต็มเลย เทศน์ทุกคืนๆ โยมแม่ได้ฟังเทศน์อันนี้แหละ เลยบอกว่า แม่ได้กำลังมากทีเดียวทางด้านจิตใจ คราวที่อาจารย์มาเทศน์สอนคุณเพาว่างั้นนะ คือฟังทุกคืนๆ ทีนี้เวลาไม่มีแขกเราก็ไม่ไป ถ้ามีแขกคนเราก็ไป โยมแม่ก็นิมนต์เสียเอง ไม่มีแขกมีคนก็ตาม ถ้าอาจารย์ว่างขอนิมนต์อาจารย์มาเทศน์สอนแม่บ้าง ถ้าฟังเทศน์แล้วจิตนี้ไม่ต้องบังคับ พอเริ่มเทศน์นี้จิตนี้จะจ่อ สติจ่อไปแล้วลงเลยๆ ไม่ต้องบังคับเหมือนเรานั่งภาวนาธรรมดา ว่างั้น นั่งภาวนาธรรมดาบังคับจนหลังจะหักมันก็ไม่ยอมลง ว่างั้นนะโยมแม่ บังคับจนหลังจะหักมันก็ไม่ยอมลง แต่ฟังเทศน์นี้พอเริ่มนี้จิตมันจ่อแล้วลงเลยๆ ไม่มีพลาด เพราะฉะนั้นเวลาว่างนิมนต์อาจารย์ไปเทศน์ให้โยมแม่ฟังบ้าง ไม่มีใครก็ตาม ว่างั้น ปรกติเราจะไปเฉพาะมีแขกคน ไปเทศน์ที่ครัวนั่นแหละ ท่านปัญญาเอาเทปไปด้วย

นี่พูดถึงเรื่องการฟังเทศน์ได้ผล อย่างฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นตั้งสามสี่ชั่วโมง นั่นละได้กำลังใจ กล่อมลงๆ ทีนี้เวลาจิตพึ่งตัวเองได้ มันลงเต็มที่ของมันแน่วแล้ว ทีนี้เสียงธรรมแว้วๆ อยู่สูงๆ นะ นี่จิตพึ่งตัวเองได้แล้วไม่เกี่ยวกับธรรมนั่นนะ เวลาส่งจิตเข้าไปสู่ความสงบ พึ่งตนเองได้แล้ว เสียงธรรมจะอยู่ผิวเผินๆ ถ้าในขั้นสมาธิขั้นยังไม่สงบ ฟังหลายครั้งหลายหนมันสงบเองๆ คือการฟังธรรมมันหลายขั้นของภูมิจิตภูมิธรรม ถ้าจิตก้าวเดินทางวิปัสสนาแล้วนี้ เวลาฟังเทศน์นี้มันจะไม่สงบนะ

จิตธรรมดาพอฟังเทศน์นี้จะสงบลงๆ แล้วแน่วเลยในขณะฟังเทศน์ ถ้าจิตก้าวเดินออกทางวิปัสสนาแล้ว ท่านเทศน์นี้มันจะขยับตามๆ ทางด้านปัญญาท่านเทศน์นี่มันขยับตามๆ ไม่อยู่นะ ต่างกัน แล้วได้ผลทั้งฝ่ายความสงบและทางด้านปัญญา การฟังเทศน์ภาคปฏิบัติ ไม่ใช่เทศน์เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง จิตก็เพลินไปข้างนอกเสีย เทศน์ภาคปฏิบัติตีเข้ามาๆ เพราะเรื่องราวอยู่ที่หัวใจ หัวใจเก็บไว้หมด เทศนาว่าการเป็นน้ำชำระล้างที่หัวใจ ใจมีความสงบ เย็นลงๆ ทีนี้ผู้เข้าขั้นวิปัสสนาทางด้านปัญญา พุ่งตามเลยๆ ผู้ยังไม่สงบมีแต่ความสงบ ได้ผลทั้งสองอย่าง

เท่าที่ฟังเทศน์มานี้เราพูดจริงๆ ตามหลักความจริง เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใด พูดถึงเรื่องความเคารพความเชื่อความได้ผลมาจากการฟัง ก็คือฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ยกนิ้วให้เลย เทศน์สักกี่ชั่วโมงมันไม่ได้สนใจนะ คือมันดื่มด่ำๆ ตลอดๆ รสแห่งธรรมกล่อมใจให้ดื่มเรื่อยๆ ถ้าทางด้านวิปัสสนานี้ก็พุ่งตามๆ เทศน์ทางด้านความสงบก็แน่วลง นี่ละท่านเทศน์จากความรู้ความเห็นความเป็นในใจของท่านจริงๆ ท่านไม่ลูบไม่คลำ ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นอยู่ในตัวเรียบร้อยแล้วจากภาคปฏิบัติของตนเอง ออกมามีแต่ของคัดเลือกแล้วๆ ทั้งนั้น ผู้ฟังก็สนุกดื่มสนุกกินละซิ แล้วได้ผลๆ เรื่อย

เรายังไม่ลืมเราฟังเทศน์ท่านอยู่หนองผือ จนแปลกใจนะ ก็เราไม่เคยคาดเคยคิด ฟังเทศน์ท่านกลางคืน ก็มีคืนเดียวเท่านั้นละที่มันเป็น ฟังเทศน์ท่านแล้วดับหมดเลย จิตปรากฏว่าดับ หากรู้อยู่หากดับ มันดับอะไรพูดไม่ถูกนะ มันดับแต่ความรู้รู้อยู่งั้น หากจิตปรากฏว่าดับหมด ฟังซิน่ะพูดไม่ถูก สามวัน เอ๊ะ ทำไมจิตเราเป็นอย่างนี้ อำนาจแห่งธรรมท่าน ท่านเทศน์ท่านเร่งของท่าน ธรรมะขั้นสูงเท่าไรท่านยิ่งหมุนนะ คำว่ายิ่งหมุนคือพลังของจิตของธรรมท่านออกมาอย่างรุนแรงๆ พลังของธรรมพุ่งๆ ผู้ฟังก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย

นั่นละจิตของเราได้เป็นวันหนึ่ง เป็นคราวนั้นคราวเดียว ถึงสามวัน ได้ยินเรื่องยินแต่มันดับอยู่ลึกๆ ภายในนี้ สามวันดับอยู่นี้จากการฟังเทศน์ท่าน ก็หนเดียวเท่านั้นแหละ ก็ไม่เคยเป็นอีก นี่ละมันแปลกเหลือเกิน ฟังเทศน์ท่านผู้สอนท่านผู้รู้จริงๆ เห็นจริงๆ ท่านเอาของจริงออกมาเลย ท่านไม่ลูบๆ คลำๆ นะ ถอดเหมือนว่ายื่นให้ๆ ผู้ฟังก็ฟังอย่างถึงใจๆ ก็มีพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละยกเป็นเอกเลยเท่าที่เราผ่านมานี้ ครูอาจารย์ทั้งหลายเราก็ยกให้ แต่เราไม่ได้เข้าใกล้ชิดติดพันเหมือนพ่อแม่ครูจารย์มั่น อันนี้เป็นจริงๆ ท่านเทศน์นี้แหมพุ่งๆๆ เลย

อยู่กับท่านทีแรกเทศน์ ๔ ชั่วโมงจบ แต่ละครั้งๆ ต่อมาลดมา ๓ ชั่วโมง พอเข้าบั้นแก่นี้ ๒ ชั่วโมงหยุด จากนั้นมาไม่มีอีกเลย ๔-๓-๒ ชั่วโมงหยุด นี่ละธรรมเปิดเผยภายในใจ ผิดกันกับกิเลสเปิดเผยภายในใจ กิเลสเปิดเผยภายในใจนี้สร้างกองฟืนกองไฟความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นไปกับหัวใจตลอด ใจเป็นเหมือนกงจักรหมุนติ้วๆ ด้วยอำนาจกิเลสพัดผันตลอดเวลาหาความสุขไม่ได้ ทีนี้เวลามีการอบรมอรรถธรรมเข้าไปๆ เรื่องราวทั้งหลายค่อยระงับลงๆ เรื่องทั้งหลายก็คือเรื่องกิเลสนั่นละระงับลงๆ เรื่องธรรมค่อยขึ้นละที่นี่

ความสงบก็เป็นธรรม เย็นใจ ความสงบเย็นใจ ความสุขเป็นธรรมๆ จากนั้นก็เป็นความสว่างไสวขึ้นภายในใจซึ่งเป็นธรรมทั้งนั้นๆ ออกเรื่อยๆ ธรรมเกิดเกิดที่หัวใจสว่างไสวที่หัวใจ เป็นสุขมากน้อยที่หัวใจ ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่รับความสุขและความทุกข์ของโลก มีหัวใจแต่ละดวงๆ เท่านั้น รับทั้งกองทุกข์ทั้งความสุขรับหมด ใจนี้เป็นนักสู้ สู้ไม่รู้จักเป็นจักตายคือใจใคร คือใจปุถุชนคนหนาด้วยกิเลส สู้ไม่รู้จักเป็นจักตายคือพวกนี้เอง ถ้าได้ปฏิบัติธรรมเข้าไปมีทางปลีกทางแวะนะ ผู้ปฏิบัติธรรมมีทางปลีกทางแวะ ทางหลบหลีกปลีกตัวได้

ผู้ไม่เคยปฏิบัติธรรมนี้พวกนี้พวกสู้ตาย เข้าใจไหม พวกไหนยังไม่รู้อยู่เหรอ เราจะบอก ไม่เอาไกลละเอาใกล้ๆ นี้ อยู่ในขอบเขตศาลานี้ ลูกศิษย์หลวงตาบัวพวกสู้ตายพวกนี้ ไม่รู้ภาษีภาษาชนดะไปเลย เอ้า ภาวนาซิ คำว่าสู้ตายนี้มันจะมารู้สึกตัว มันคัดมันเลือกของมันเอง อะไรๆ ที่จะเป็นพิษเป็นภัยต่อใจมันจะปัดของมันเอง ปัดเองๆ จากการอบรมของเราที่อบรมไปชำนิชำนาญ ความสงบร่มเย็นละเอียดลออ มันจะคัดจะเลือกของมันเอง ปัดออกๆ เป็นอย่างนั้น

การภาวนาเป็นการที่รวมเรื่องราวทั้งหลายแห่งวัฏวนมาอยู่ที่ใจ งานอะไรกว้างแคบเท่าไรไม่มีทางยุติ ทำไปเท่าไรยิ่งกว้างยิ่งขวางเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อมีมากน้อยเท่าไรเผาไหม้ไปเรื่อยๆ พอหมุนเข้ามาสู่ทางด้านใจ อย่างน้อยให้ดูใจตัวเอง ยังไม่ว่าภาวนาก็ตาม ให้ย้อนเข้ามาดูใจตัวเองบ้าง จากนั้นก็เข้าสู่ภาวนา ทีนี้มันจะรวมเรื่องเข้ามาหาใจๆ ทีนี้ก็เลยรวมเรื่องวัฏวนความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเกิด แก่ เจ็บ ตายที่เต็มไปด้วยกองทุกข์นี้เข้ามาสู่ใจ นั่นลงแล้วนะ รวมเข้ามาจุดนี้ จุดนี้จึงเป็นจุดรวมของวัฏวน วิวัฏจักรคือไม่ต้องหมุน วัฏวนหมุนด้วยอำนาจกิเลส วิวัฏจักรไม่ต้องหมุน จักรของหัวจักรขาดสะบั้นไปหมด จะมารวมอยู่ที่หัวใจดวงเดียวนี้ งานใดไม่สำเร็จ งานใดไม่มีที่ยุติ พอรวมเข้ามาสู่หัวใจงานนี้ละจะเป็นงานที่จะพาให้ยุติ แคบเข้ามาๆ ที่หัวใจ เพราะใจเป็นคลังงานแบบสู้ไม่ถอย สู้ตายคือหัวใจ

ทีนี้เวลาอบรมเข้าไปๆ เข้ามาสู่ใจนี้มันจะคัดจะเลือกๆ ละที่นี่ ย่นเข้ามาๆ งานในโลกนี้จะมาประมวลที่ใจดวงเดียว ใครจะว่าไปเที่ยวเมืองนั้นเมืองนี้นอกขอบเขตจักรวาลที่ไหนก็ไปเถอะ ไม่ได้เห็นไม่ได้ละเอียดลออไม่ได้ผล แต่ผู้ที่ท่องเที่ยวภายในจิตใจนี้ได้รู้ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ประจักษ์ใจๆ ไม่ต้องถามใครด้วยจิตตภาวนา ค่อยรู้เข้าเห็นเข้า ละไปๆ คืบคลานไปเรื่อยๆ แล้วกระจายออกๆ จิตค่อยสว่างไสวออกไป ทีนี้ประมวลเข้ามาๆ ทุกข์ก็ค่อยสลัดออกๆ สุขนี้คอยจะขึ้นอยู่แล้ว เพราะจิตใจที่หาความสุขไม่ได้ เพราะกองทุกข์จากกิเลสมันครอบงำ ทีนี้พอกิเลสจางลงไปๆ ความสุขความสงบเย็นใจจะปรากฏขึ้นที่ใจจากจิตตภาวนา จากนั้นก็เรียกว่าจิตมีความสงบเย็นใจ จิตเป็นสมาธิคือความตั้งมั่นอยู่ด้วยความสงบเย็น

ความคิดความปรุงของใจธรรมดาอยู่ไม่ได้นะไม่ได้คิด มันอกจะแตกมันอยากคิดอยากรู้อยากเห็น ทุกอย่างอยู่กับจิตนั้นหมดอยากๆ ทางเดินของความอยากคือสังขารมันคิดมันปรุงเรื่อย อยากคิดตลอด ทีนี้เอาภาวนาเป็นน้ำดับไฟ งานของธรรมคืองานภาวนา เช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรือธรรมบทใดก็ตามเอามากำกับใจ ให้มีสติกำกับใจ นี้เรียกว่างานของธรรม เมื่องานของธรรมเข้าไปสู่นี้แล้ว งานของโลกวัฏวนที่เต็มไปด้วยฟืนด้วยไฟนี้จะค่อยสงบตัวลงๆ งานของธรรมขึ้นแล้วจะสร้างความสงบร่มเย็นขึ้นไปโดยลำดับ ตลอดความสว่างไสวจะเกิดขึ้นที่ใจ จำให้ดีนะ

การสอนนี้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ไม่ได้มาลูบๆ คลำๆ สอน เราสอนอย่างแม่นยำพูดตรงๆ อย่างที่ว่าเขาออกวิทยุไปที่ไหนออกเถอะบอกเลย เราไม่มีทางสงสัยแล้วในหัวใจของเราที่แสดงธรรมออกไป บอกอย่างนั้นเลย เวลามันรู้นี้แล้วกระจ่างออกๆ เป็นอย่างนั้นละจิตใจ แล้วค่อยดับทุกข์ไปโดยลำดับๆ จะมายุติที่หัวใจ กองวัฏวนคือใจ เกิด แก่ เจ็บ ตาย รายหนึ่งๆ นี้เกิดกี่ภพกี่ชาติ ตั้งกัปตั้งกัลป์มามีแต่เกิดกับตายๆ อยู่ในใจดวงเดียวนั้น ส่วนใจแท้ไม่เกิดไม่ตาย หากไปอาศัยสิ่งเกี่ยวข้องทั้งหลาย เช่นไปเกิดเป็นสัตว์ก็เอารูปร่างของสัตว์มาเป็นเรือนร่างของใจนั้นเสีย รูปร่างของสัตว์ของอะไรๆ ก็ตามเอามาเป็นเรือนร่างของใจๆ

เป็นเทวบุตรเทวดาก็กายทิพย์นั่นละเป็นเรือนร่างของใจเรื่อยๆ สวมนั้นสวมนี้เรียกว่าเกิดว่าตาย ไปอยู่ในภพใดชาติใดเรียกว่าเกิดว่าตาย คือเข้าไปสวมร่างนั้นๆ จิตนี้เข้าไปสวม จิตแท้ไม่ตาย เราจะรู้ว่าจิตไม่ตายก็ต้องเป็นนักภาวนาเท่านั้น ผู้อื่นไม่รู้ ทีนี้เวลาจิตสงบรวมตัวเข้าไปๆ มันจะเป็นจุดของความรู้ ร่างกายของเราเป็นเรือนร่างของความรู้ เช่นเราเอาตะกร้ามานี้ เอาผลไม้วางไว้ในตะกร้านี้ เราจะมองเห็นผลไม้ที่ต่างจากตะกร้า ว่าในตะกร้านี้ผลไม้เป็นลูกอะไรผลอะไรเห็นชัดเจน นี่ละจิตอยู่ตรงนั้น ความรู้นั่นละอยู่จุดศูนย์กลางแห่งเรือนร่างนี้ เวลาจิตสงบเข้าไปจะเป็นอย่างนั้น แล้วอันนี้จะค่อยซักฟอกตัวเองให้ผ่องใสเข้าไป

ผลไม้ได้แก่ความรู้ที่อยู่ในท่ามกลางแห่งเรือนร่างนี้ จะค่อยสงบผ่องใสเข้าไปๆ ผ่องใสเข้าไปเรื่อยๆๆ ต่อไปเรือนร่างอันนี้เวลาพิจารณาแล้วมันปล่อยของมันๆ มีแต่จิต เรือนร่างของจิตก็คืออรรถคือธรรมอยู่ในนั้นที่นี่ ละเอียดเข้าไปๆ เรือนร่างร่างกายนี้ทิ้งไป มันพิจารณารอบแล้วมันปล่อยออกไปสลัดออกๆ ส่วนหยาบสลัดออก ส่วนละเอียดปรากฏเด่นขึ้นๆ มากเข้าๆ ก็เหลือแต่จิตที่มีความผ่องใสสง่าผ่าเผยละที่นี่ ร่างกายหายหมด

เวลามันเข้าถึงขั้นว่างมันว่างจริงๆ นะ จิตนี้เมื่อเข้าถึงขั้นว่างว่างจริงๆ ต้นไม้ใบหญ้าเท่าไรเขาก็มีตามสภาพของเขา แต่อำนาจแห่งความว่างนี้มันครอบไปหมด ใจนี้ว่างไปหมด ว่างแต่ยังไม่วาง ว่างภายนอกยังไม่ว่างภายใน ว่างภายนอกว่างเข้ามาๆ ว่างภายในวางภายในหมดโดยสิ้นเชิง ท่านว่าบริสุทธิ์แล้ว คือว่างทั้งภายนอกว่างทั้งใจตัวเอง วางทั้งภายนอกวางทั้งหัวใจตัวเองหมดโดยสิ้นเชิง นี้ละผลแห่งจิตตภาวนาเป็นมาอย่างที่ว่านี้

ขอให้ตามดูเถอะจิตนี่ สิ่งที่ควบคุมมันอยู่เวลานี้มีแต่กิเลสตัณหา มองหาใจไม่เจอเลย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องได้อาศัยการอบรม ให้จิตมีความสงบผ่องใสเข้าไป จากผ่องใสเข้าไปแล้วความรู้นี้จะค่อยเด่นขึ้นมาๆ ทีนี้ก็จับความรู้นี้แน่นหนามั่นคงเข้าไปสิ่งเหล่านั้นค่อยสลัดออกๆ ความรู้นี้ก็ผ่องใสเรื่อยๆๆ สุดท้ายก็มีแต่ความรู้อยู่ในเรือนร่าง เรือนร่างนี้ก็ว่างไปหมดเหมือนต้นไม้ภูเขา ดูร่างกายเรานี้มันทะลุไปหมดเลย เหลือแต่จิตที่เด่นดวงด้วยความว่างความสว่างไสว นั่นเป็นอย่างนั้นนะ จากนั้นปล่อยหมด ร่างกายก็ปล่อย ความว่างทั้งหลายนี้ว่างด้วยวางด้วย ว่างทั้งภายนอกภายในปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง นั่นเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ

จิตนั้นกลายเป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้ว อยู่ในร่างกายนั้นก็สว่างไสวอยู่ภายใน จิตของท่านที่บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว เช่นจิตพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน ความสว่างไสวจะไม่มีอิริยาบถ จ้าอยู่นั้นตลอดเวลา หลับก็จ้าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นี่ละถึงขั้นจ้าแล้วจ้าอย่างนั้น เวลามันเศร้าหมองอยู่ที่ไหนก็เศร้าหมอง เวลาสว่างไสวก็สว่างไสวอย่างนั้น ให้พากันจำเอา คำสอนพระพุทธเจ้านี้แม่นยำมาก เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีผิดมีเพี้ยนขอให้เดินตามนั้น แล้วก็จะค่อยเจอไปๆ เรื่อยๆ

เมื่อเจอสุดขีดแล้วก็เหมือนแม่น้ำลำคลองต่างๆ ไหลลงสู่มหาสมุทร พอไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วกลายเป็นน้ำมหาสมุทรไปด้วยกันหมด คำว่าแม่น้ำลำคลองไหลมาจากคลองนั้นคลองนี้หมดปัญหาทันที เมื่อแม่น้ำเหล่านั้นได้ไหลเข้าสู่มหาสมุทรแล้ว จิตนี้เมื่อก้าวเข้ามาๆ ด้วยวาสนาบารมีที่เราสร้างมาใกล้เข้ามาๆ เหมือนแม่น้ำไหลเข้ามาหามหาสมุทร ใกล้เข้ามาๆ พอถึงมหาสมุทรแล้วกลายเป็นมหาสมุทรอันเดียวกัน อันนี้จิตเวลาบำเพ็ญคุณงามความดีก็ใกล้เข้ามา ใกล้มหาวิมุตติมหานิพพาน ใกล้เข้ามาๆ พอถึงนั้นปั๊บเป็นอันเดียวกันหมดเลย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าสาวกองค์ใด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนกว่ากัน เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดเลย นี่ละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น พากันจำเอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ ว่าไม่เทศน์มากก็เทศน์แล้วนี่ได้เทศน์ทุกวัน ให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ

เมื่อวานนี้เพลียเป็นกำลังจนไม่อยากลุกอยากเดินไปไหน มันอากาศร้อนจนจะไม่อยากไปไหนเคลื่อนย้ายไปไหนเลย เพลียมากที่สุดคือเมื่อวานนี้ วันนี้ก็น่ากลัวจะเป็นแบบเดียวกันอยู่ ไม่อยากลุกอยากเดินไม่อยากลืมหูลืมตา หมดกำลังขนาดนั้นละ ทีนี้ให้พรนะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก