เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ดูที่หัวใจแล้วงานทั้งหลายจะยุติ
วันนี้พระมาฉัน ๓๖ เหลือจากนั้นอยู่ข้างในไม่ได้ฉัน สำหรับวัดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันครบองค์เลย ตั้งแต่สร้างวัดมาไม่เคยมีพระมาฉันครบองค์เลย ขาดตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน ท่านไม่ฉันท่านไม่ออกมา ทำความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็ให้โอกาสด้วย ถ้าองค์ไหนไม่ฉันแล้วองค์นั้นไม่ต้องยุ่งกับอะไร งานการเกี่ยวกับเพื่อนกับฝูงเลย เช่นปัดกวาดเช็ดถูทำข้อวัตรปฏิบัติอะไรนี้ตัดออกหมด ให้ปฏิบัติตัวเองโดยเฉพาะ เรียกว่าความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย วันหนึ่งๆ อดท่านไม่ฉันๆ นี้วันละหลายๆ องค์อยู่ข้างใน คือมันเคยชินมาแล้ว ไม่ได้พูดถึงกันเลยละ องค์ไหนไม่ฉันไม่ออกมาก็แล้วไปเลย พวกนี้ฉันก็ทำไปๆ เป็นอย่างนั้นตลอด ท่านไม่ฉันท่านก็ไม่ออกมา ท่านทำความเพียรของท่าน
ส่วนมากมักจะไปทางอาหารนะนักภาวนา คืออาหารนี่เป็นสำคัญมากเกี่ยวกับบำรุงร่างกาย ร่างกายมีกำลังก็ไปทับจิตแล้วก้าวภาวนาไม่ออก ถ้ามันทับมากๆ ภาวนานี่ก้าวไม่ออก ต้องได้ผ่อนสั้นผ่อนยาวอยู่เสมอ ถ้าอดไปจริงๆ มันก็จะตายจะว่าไง ถ้าปล่อยให้มันกินจริงๆ มันก็ไม่เป็นท่าทางด้านจิตใจ แน่ะ ต้องได้แบ่งสันปันส่วนกันอยู่ตลอดเลย มีอดบ้างอิ่มบ้างๆ อยู่อย่างนั้น การภาวนาก็พอก้าวออกๆ ส่วนมากจะมาขึ้นอยู่กับอาหาร เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติท่านจึงต้อง อาหารนี่เรียกว่าเขียมๆ ทั้งนั้นไม่ให้สมบูรณ์ ต้องมีเขียมๆ เป็นพื้นเอาไว้ๆ เขียมๆ อด ทีนี้ทางใจก็ค่อยเจริญขึ้นๆ
คำว่าใจเจริญได้แก่สติดี รักษาจิตใจได้ดี จิตก็มีความสงบเย็น ความคิดความปรุงคือเรื่องของกิเลส มันคิดมันปรุงตั้งแต่เรื่องของกิเลส เรื่องวัฏวนวัฏจิตทั้งนั้น ที่จะให้คิดไปเพื่อมรรคผลนิพพานมีน้อยมาก ต้องได้บังคับให้คิดในทางที่ถูกที่ดี ไม่เช่นนั้นกิเลสจะเอาไปถลุงหมด ความคิดความปรุงตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มีแต่เรื่องกิเลสเอาไปถลุง กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ ดูเอาหัวใจของใคร
แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด มันก็เกิดขึ้นบนเวทีระหว่างจิตกับกิเลสฟัดกันก็มารู้ขึ้นตรงนี้ รู้ตอนที่ว่าธรรมมีสติปัญญา จิตใจมีความสามารถแก่กล้าอาจหาญชาญชัยต่อการฆ่ากิเลส จนกระทั่งถึงเข้าขั้นฆ่ากิเลสแก้กิเลสโดยอัตโนมัติ คือไม่ต้องมีความเพียร เป็นอัตโนมัติไปแล้ว เมื่อถึงขั้นที่ธรรมมีกำลังแก้กิเลสฆ่ากิเลสแล้วต้องเป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนๆ เว้นแต่หลับ มันจะหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา หมุนฆ่ากิเลส ซอกแซกซิกแซ็ก เป็นเองๆ นี่เป็นอัตโนมัติในความเพียรของผู้ฆ่ากิเลส
ทีนี้เวลาหนักเข้าๆ กิเลสหมอบลงๆ คือถ้าความเพียรเป็นอัตโนมัติแล้วอย่างนั้นกิเลสเกิดไม่ได้ ที่มีอยู่แล้วก็ค่อยระงับดับลงๆ พอสติปัญญาขึ้นเป็นอัตโนมัติแล้วกิเลสไม่มีทางเกิดละ มีแต่ลดลงๆ แล้วเชื่อมเข้าไปหามหาสติมหาปัญญา อันนี้ซึมไปเลย กิเลสแทบไม่ปรากฏ มีอยู่ก็ไม่แสดง ไม่กล้าแสดง พอแสดงปั๊บขาดสะบั้นไปเลย นั่นเห็นไหมสติปัญญาเมื่อมีกำลังกล้าแล้วขาดสะบั้นๆ เหมือนกิเลสมีกำลังกล้า ฟาดความเพียรของเราขาดสะบั้นๆ อย่างหลวงตาไปนั่งร้องไห้อยู่บนภูเขา คือกิเลสฟาดสติขาดสะบั้นๆ น้ำตาร่วง นี่เห็นไหมกระแสของกิเลสเวลามันรุนแรง ตั้งไม่อยู่เลย เราไม่ลืม
ทีนี้เวลาธรรมมีกำลัง คำว่าธรรมมีกำลังคือสติเป็นพื้นฐานๆ ละไม่ได้นะสติ เป็นพื้นฐานสำคัญ สติเป็นตัวรักษาต้านทานทุกอย่าง ถ้าสติมีอยู่แล้วกิเลสจะไม่เกิด บังคับสติให้ดี จิตเมื่อมีอารักขาแล้วก็ค่อยสง่างามขึ้นมาเพราะไม่ถูกกิเลสรบกวนก็สงบเย็นๆ ถ้ากิเลสไม่กวนเสียอย่างเดียวมันก็สงบเย็น ที่หาความสงบเย็นไม่ได้ก็เพราะกิเลสกวน กิเลสเกิดอยู่ในจิตนั่นแหละมากวนจิต
ทีนี้เวลาสติปัญญาเข้าขั้นอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติแล้วนี้ เรียกว่าทำงานโดยลำพังตนเอง ที่จะให้ได้เพียรๆ นี่ไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ คือมันผาดโผนหมุนติ้วๆ ตลอดเวลา ต้องรั้งเอาไว้ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี เช่นการหลับการนอน บังคับให้นอน ส่วนมากบังคับ เรื่องการหลับการนอนมันจะไม่ยอมนอน มันหมุนของมันเอง เพลินอยู่ในการฆ่ากิเลส เพลินๆ เรียกว่าเป็นอัตโนมัติ คือมันหมุนของมันเอง ถึงขั้นนี้มันก็รู้ที่นี่ ย้อนไปหาเรื่องกิเลสทำงานทำลายหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน มันเป็นอย่างนี้มาทุกหัวใจ นั่นมันวิ่งถึงกันแล้วนะ เป็นอัตโนมัติของกิเลสทำลายจิตใจของสัตว์โลก เป็นอัตโนมัติอย่างนี้
เมื่อธรรมขั้นนี้ก้าวขึ้นทำลายกิเลสโดยอัตโนมัติแล้วมันวิ่งรับกัน แต่ก่อนกิเลสทำลายจิตใจของสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติของมันเป็นอย่างนี้ๆ เหมือนเวลาธรรมมีกำลังแล้วฆ่ากิเลสแก้กิเลสโดยอัตโนมัตินี้เอง นั่นมันวิ่งถึงกัน ถ้ามันได้ปรากฏในจิตแล้วทุกอย่างจะสดๆ ร้อนๆ ทั้งนั้น เรื่องมรรคผลนิพพานๆ ที่มันไม่ได้ทำแล้วว่าสุดเอื้อมๆ ดีไม่ดีไม่เชื่อๆ แต่เวลาทำลงไปๆ ผลปรากฏขึ้นมากน้อยมันก็หยั่งถึงผลขั้นสูงขึ้นไปๆ ถึงยังไม่รู้ก็ยอมรับ เชื่อๆ
อย่างที่ว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ถึงขั้นความเพียรดูดดื่มแล้ว มันจับผิดจับถูกๆ เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม เป็นอยู่ในหัวใจนี่ แต่ก่อนว่านิพพานมีหรือไม่มีน้า เป็นอย่างนั้นนะ พอถึงขั้นนี้แล้วนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม มีหรือไม่มีถึงว่าอยู่ชั่วเอื้อม ฟังซิมันหมุนใส่กัน เป็นอยู่ในหัวใจ จนพุ่งถึงแล้วหมดปัญหา ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ นะ ปรากฏขึ้นมากน้อยจะสดๆ ร้อนๆ ในหัวใจของผู้บำเพ็ญ ถ้าไม่บำเพ็ญไม่ได้ทำแล้วจิตใจมันจืดมันชืด มันดูดดื่มไปทางกิเลสตัณหาคือทางต่ำ อะไรต่ำแล้วไหลลงเรื่อยๆ เหมือนน้ำไหลลงทางต่ำ ไหลลงเรื่อยๆ ถ้าจะให้ขึ้นทางสูงต้องผลักดัน มีเครื่องดันขึ้น
พอถึงขั้นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมอันนี้หมุนติ้วเลย นิพพานมีหรือไม่มีก็ตาม ทีแรกเวลาเราเรียนเริ่มปฏิบัติเบื้องต้นก็เป็นอย่างนั้น นิพพานมีหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่เชื่อว่ามี ส่วนย่อยมันแบ่งไปกินว่านิพพานมีหรือไม่มีน้า เป็นอย่างนั้นนะ พอการปฏิบัติหมุนเข้าไปๆ นิพพานมีหรือไม่มีน้าหายไปเลย สุดท้ายนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ดันตลอด นั่น
เกิดมาในชาตินี้เรามีวาสนาแล้วนะ ได้พบพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา เลิศเลอสุดยอดแล้ว สามแดนโลกธาตุไม่มีใครสามารถที่จะคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมาให้รู้ให้เห็นทั้งกิเลสทั้งธรรมได้เหมือนองค์ศาสดาเรา ไม่มี สามโลกธาตุไปหารายใดก็หาเถอะ เพราะฉะนั้นท่านจึงว่า กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านี้ยากแสนยาก การเกิดขึ้นของท่านผู้รู้ที่จะรู้อย่างว่านี่ไม่มี องค์เดียวๆ พระพุทธเจ้าอุบัติทีละองค์เท่านั้นเพราะเกิดได้ยากแสนยาก นี่ท่านก็ได้อุบัติขึ้นมาแล้วเป็นศาสดา คำสอนนี่เป็นคำสอนของศาสดาผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นไปแล้ว ให้ยึดเป็นหลักนะ ถ้ายึดนี้เป็นหลักแล้วจะค่อยเป็นค่อยไป ค่อยหมุนตัวไปเอง
พอถึงขั้นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมไม่ต้องพูดแหละ คือมันจะไม่นอนทั้งวันทั้งคืน จิตใจมันดูดมันดื่มที่จะให้หลุดให้พ้นไปเสียโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ก็เลยนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ไป มันเป็นในใจของผู้บำเพ็ญนั่นแหละ ดังที่ท่านว่าเดินจงกรมฝ่าเท้าแตกๆ อันนี้มีในตำรา ตั้งแต่เวลาเราเรียนหนังสืออ่านไป เอ้อ ท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก ก็ดูกลางๆ นะจะว่าเชื่อจริงๆ ก็ไม่ปักใจจะเชื่อ ว่าไม่เชื่อก็ไม่ปักใจที่จะไม่เชื่อนะ ฟังลอยๆ คือจิตใจเวลานั้นมันลอยอยู่
เช่นอย่างพระโสณะประกอบความพากเพียร เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราก็ฟังไปธรรมดาๆ พอมันมาถึงเรื่องของตัวเองเข้า มันวิ่งใส่กันยอมรับทันทีเลย คำว่าเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก ได้แก่ความเพียรกล้า ดูดดื่ม เรียกว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ อย่างนี้ละประเภทนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม นี่ประเภทฝ่าเท้าแตกไม่สงสัย ลืมหลับลืมนอน นอนก็ไม่หลับ การนอน เอา นอน แต่ธรรมกับกิเลสฟัดกันอยู่บนหัวใจไม่ยอมหยุด นอนก็นอนซิ กิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจไม่ยอมนอน อ้าว เหนื่อยลุกขึ้นมานั่ง นั่งก็ฟัด แน่ะ นอนก็ฟัด ลงไปเดินจงกรมก็ฟัดกันอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแจ้ง นี่ละความเพียรอัตโนมัติ ลืมวันลืมคืน ลืมหลับลืมนอน บังคับให้หลับมันก็ไม่หลับ
ให้มันเห็นในหัวใจเจ้าของซิ ทีนี้พอมาถึงขั้นนี้แล้ว เราเองเราไม่ได้แตกนะฝ่าเท้า หากเป็นสักขีพยานกันได้ดี เวลาเดินจงกรมลืมเวล่ำเวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เวลามาพักทีนี้ออกร้อนฝ่าเท้า โอ๋ย เหมือนไฟลนนะ เอามาดูอย่างนี้จริงๆ เอ ฝ่าเท้ามันแตกเหรอ นี่เวลามาพักนะ เข้ามาแคร่มาพัก ฝ่าเท้ามันแตกเหรอ ดูมันก็ไม่แตก ทีนี้พอเอามือลูบ โอ๊ย มันเสียว คือมันจะทะลุ หนังบางเข้าๆ ทะลุเข้าไปข้างในเรียกว่าฝ่าเท้าแตก มันไม่ได้แตกอย่างนี้นะ หนังบางเข้าไปๆ ดินกัดเข้าไปบางเข้าไป จับนี้เสียวๆ เราเป็นแล้วนี่ ยอมรับว่าท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก คือมันกัดเข้าไปๆ จนถึงเนื้อ ไม่ใช่ฝ่าเท้าแตกอย่างนี้นะ คือหนังพื้นเท้ามันบางเข้าไปๆ จนทะลุถึงเนื้อ ท่านเรียกว่าฝ่าเท้าแตก เห็นในตำรา ยกตัวอย่างก็พระโสณะนี่แหละ ผู้ประกอบความเพียรฝ่าเท้าแตก
ทีนี้มาถึงตัวเราเข้า ให้มันมีพยานอย่างนั้นซิ ท่านว่าเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก มันฝ่าเท้าแตกยังไงๆ ถ้าธรรมดาเดินจงกรมบังคับบัญชาเจ้าของไปจนกระทั่งฝ่าเท้าแตก เรานี้จะว่าทิฐิหรือไม่ทิฐิก็ตามมันไม่อยากเชื่อ พอถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติแล้วเอาละที่นี่ ถ้าได้ลงทางจงกรมแล้วเท่านั้นเลย ไม่ว่าเดินช้าเดินเร็วหากเดินอยู่ไม่หยุด ความเพียรนี่หมุนอยู่ภายในไม่ออกข้างนอก ตานี่ฝ้าฟาง คือจิตมันไม่ออกข้างนอก มันอยู่ข้างใน ตาก็เลยกลายเป็นตาฝ้าตาฟาง เดินจงกรมไปนี้มันโซซัดโซเซ จิตมันหมุนอยู่ภายในไม่ออก เดินไปโซเซๆ โครมครามเข้าป่า เอ้า เข้าป่า ออกมาอีก
คือจิตมันหมุนอยู่ภายใน ตาก็เลยเซ่อซ่าไป เดี๋ยวโครมครามเข้าป่า เอ้า เข้าป่าอีกแล้ว อย่างนั้นนะ ไม่เดินเร็วละ ทั้งวันมันเดินได้เพราะความเพียรมันหมุนอยู่ภายใน ไม่ได้หมุนอยู่ข้างนอกนะ ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนี่นะ ทำมาแล้วเป็นมาแล้ว เป็นแต่เพียงว่าฝ่าเท้ายังไม่แตก มันออกร้อนเหมือนไฟลน เวลามานั่งมองเห็นกาน้ำโดดใส่กาน้ำ กลืนไม่ทันสำลักกั๊กๆ แต่เวลาเดินจงกรมมันไม่สนใจกับอะไรเลย ทั้งวันมันก็เดินได้ เวลามาพักมองเห็นกาน้ำ โดดใส่กาน้ำ กลืนไม่ทันสำลักกั๊กๆๆ เป็นหมดแล้วนี่ นี่เรียกว่าความเพียรกล้า ไม่มีหยุดมีถอย นอนก็ต้องบังคับให้นอน
บังคับให้นอนธรรมดาไม่ได้ มันจะทำงานของมันระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันจะไม่หยุดนะ ต้องเอาพุทโธ นี่เราก็เป็น เป็นแล้วนะ ยับยั้งกันด้วยพุทโธ คือไม่ให้ไปทำงานทางด้านปัญญา ปัญญามันเฉียบมันแหลมมันรวดเร็วกับกิเลส มันหมุนของมันอยู่ตลอดเวลา สติกับปัญญาเป็นอันเดียวกันเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว หมุนตลอด ทีนี้เวลาเราจะหลับนอนมันจะตายจริงๆ นี่จะว่าไง ภายในนี้เหนื่อย คือมันหมุนอยู่ภายใน ทีนี้จะมาพักให้จิตสงบเข้าสู่สมาธิ เรื่องสมาธิก็เก่งอยู่แล้ว แต่เวลาออกทางด้านปัญญามันก็หาเรื่องสมาธิว่ามันนอนตายอยู่เฉยๆ ไม่ได้แก้กิเลส ปัญญาต่างหากแก้กิเลส ทีนี้เวลาปัญญาแก้กิเลสมันจะไม่พาหลับพานอน เป็นอย่างนั้นนะ
ต้องยับยั้งกันด้วยพุทโธ เอาพุทโธอยู่ในจุดเดียว ให้อยู่กับจุดเดียวนี้ ถ้าว่าเผลอเราไม่อยากพูดนะจิตขั้นนี้ไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงว่าอ่อนทางหนึ่ง ทางไหนหนักกว่ามันก็ดึงไป เช่นทางด้านปัญญาหนักกว่านี้ เรามาทำสมาธิให้ใจสงบ ไม่ทำอย่างรุนแรงบังคับจริงๆ ไม่ได้นะ มันจะพุ่งออกทางด้านปัญญา จึงต้องยับยั้งด้วยพุทโธ เอาพุทโธๆ ถี่ยิบ ไม่ให้ออกนะ ถ้าออกก็ออกทางด้านปัญญาต่างหากไม่ได้ออกไปไหน พุทโธๆๆ เดี๋ยวก็สงบลงๆ แน่วเลยที่นี่ หยุดนิ่งเงียบเลย นิ่งอย่างนั้นก็ยังต้องบังคับเอาไว้ ไม่บังคับไม่ได้มันจะออกทางด้านปัญญา เพราะปัญญานี้รุนแรงมากทีเดียว ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วรุนแรงมากทีเดียว บังคับให้อยู่กับพุทโธๆ จิตสงบแน่วลงไป
พอจิตสงบลงไปแล้วเรียกว่าหยุดทำงาน นั่นละพัก เข้าสู่ความสงบแน่ว ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะจิตเวลามันพักงาน ไม่ได้ทำงานทางด้านปัญญา จิตสงบแน่วเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม กระปรี้กระเปร่าขึ้นภายในจิตใจ มีกำลังวังชาขึ้นในปัจจุบันนั้น พอเต็มที่แล้วทีนี้พอรามือเท่านั้นละมันจะพุ่งของมันเลย พอเรารามือ เรียกว่าสติทางนี้อ่อนทางบังคับให้อยู่ในความสงบอ่อน มันจะพุ่งออกทางปัญญาเลย นี้ก็เอาใหญ่เลย ท่านจึงว่าการเข้าพักสมาธินี้แม้ไม่ได้การได้งานอะไรแต่เป็นการพักผ่อนนอนหลับ เอากำลังวังชาเพื่องานคือสติปัญญาต่อไป เป็นอย่างนั้นนะ ให้มันเห็นประจักษ์ในใจซิการภาวนา
ต้องได้พักอย่างนั้น จะให้มันพักธรรมดาเข้ามานี้ไม่มีทาง อำนาจของสติปัญญานี้รุนแรงมากทีเดียว พุ่งๆๆ เวลามันได้ออก จิตนี้มันโง่เมื่อไร ถึงขั้นฉลาดมันรอบตัวๆๆ ตลอดเวลา นี่ละสติปัญญาเมื่อจิตเป็นธรรมแล้วมันโล่งไปหมดเลย ไม่มีอะไรมาขวางได้เลยนะจิต ที่มันขวางขวางก็คือกิเลสนั่นละขวาง เมื่อกิเลสอ่อนลงสติปัญญาเป็นฝ่ายธรรมกล้าแข็งขึ้นไปนี้มันพุ่งๆ ของมันเลย นี่พูดถึงเรื่องสติปัญญาอัตโนมัติ นี่ละนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ไม่มีคำว่าถอย ตายก็ตายไปเลยให้ถอยไม่มี เดินจงกรมตั้งแต่ลงทางจงกรมนี้จนกระทั่งค่ำมันเดินอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ไม่รู้จักว่าเพลียไม่เพลีย เดินโครมครามเดี๋ยวเข้าป่านู้นเข้าป่านี้ คนอื่นเขาไปเห็นเขาจะว่า พระองค์นี้เป็นบ้าหรือไงเขาจะว่าละ
ว่าได้เพราะเขาไม่เคยรู้ จิตมันหมุนอยู่ภายในนะมันไม่ออก ทีนี้ตามันก็เซ่อซ่าไปหมด ตาฝ้าตาฟาง สติปัญญามันหมุนอยู่ภายในๆ เดินจงกรมเดี๋ยวเซ่อซ่าโครมครามเข้าป่า แล้วแย็บ เอ้าเข้าป่า ออกมาแล้วไปอีก ทางนี้มันหมุนไม่ถอย สักเดี๋ยวโครมครามเข้าทางนี้ เป็นอย่างนั้นก็ตามอยู่คนเดียวใครจะไปว่าอะไรช่างซิ ถ้าคนอื่นเขาไปเห็นเขาจะว่าบ้าละ มันเป็นอย่างนั้นลักษณะอย่างนั้นจริงๆ นี่ละความเพียรดูเอา คือมันไม่สนใจกับอะไรมันจะสนใจตั้งแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ในหัวใจนี้ อยู่ภายในนี้เท่านั้นมันจะไม่ออกข้างนอก ทีนี้ก็ตาฝ้าตาฟางเดินจงกรมเข้าป่าเข้ารกไป ไม่เดินเร็วละ แต่จิตกับธรรมกับกิเลสฟัดกันนี้มันหากหมุนของมันตลอดเวลา
นี่ละที่ว่าเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก คือกลางวันก็เดินกลางคืนก็เดิน เดินไม่หยุดไม่ถอยมันจะไม่แตกได้ยังไงฝ่าเท้า แตกได้ เราไม่ถึงขั้นฝ่าเท้าแตก เป็นแต่เพียงว่ามันออกร้อนเหลือกำลัง เวลามาพักนี้มันออกร้อนมาก เอ๊ ฝ่าเท้าเรานี้แตกเหรอ ได้เอาฝ่าเท้ามาดู ไม่แตก เอ๊ะ ไม่แตก เอามือลูบคลำนี้เสียวหมด คือมันกำลังจะทะลุถึงเนื้อแล้วนั่น เราฝ่าเท้ายังไม่แตก ถ้าหากว่านานกว่านี้อีกแตกไม่สงสัยเลย เชื่อแล้วเชื่อว่าพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก แตกได้อย่างนี้เอง คือมันมีสิ่งบังคับทางความพากเพียรไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายฝ่าเท้าต้องแตก เชื่อทันทีเลย เวลามาเป็นกับตัวเองแล้วเชื่อ แต่เรายังไม่แตก เรายังไม่แตกก็ว่าไม่แตก แต่เสียวนี้เสียวแล้ว มาลูบคลำนี้เสียวไปหมด ฝ่าเท้าเสียวหากไม่แตก ถ้านานกว่านั้นแตก แต่กิเลสมันแตกเสียก่อนน่ะซิ
นี่ละความเพียรท่านว่าฝ่าเท้าแตก ถ้าบังคับเดินจงกรมเฉยๆ จนฝ่าเท้าแตกมันเชื่อได้ยากนะ พอถึงความเพียรขั้นนี้แล้วยอมรับทันที มันไม่รู้จักหยุดจักถอยเลย แม้แต่นอนมันก็ยังนอนไม่หลับ บังคับให้นอน สุดท้ายเอาพุทโธบริกรรม ให้หลับกับพุทโธ พุทโธนี้ปล่อยไม่ได้นะ เวลาจำเป็นจริงๆ ให้ลงจุดเดียวคือเอาพุทโธเป็นที่ยึด พอปล่อยนี้ปั๊บมันจะวิ่งออกทางด้านปัญญาพุ่งๆ เลย ให้มาอยู่กับพุทโธคำเดียวๆ บริกรรมติดต่อสืบเนื่องเรื่อยๆ แล้วจิตก็แน่วลงสงบ นี่ละพักจิตต้องพักวิธีนี้ สำหรับเราเองเป็นอย่างนี้แหละ ต้องพักด้วยพุทโธ เวลาจะบังคับจิตให้เข้าสู่ความสงบต้องบังคับด้วยพุทโธ เพราะมันรุนแรง ทางด้านสติปัญญารุนแรงมากทีเดียว พอปล่อยมือปั๊บพุ่งเลยๆ
ถึงขั้นสติปัญญาแกล้วกล้าสามารถ มันคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างนั้นละ พุ่งๆ ตลอด เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดเลยไม่มีเหลือ ความเพียรที่อย่างว่านี่นะ ที่เป็นธรรมจักรหมุนตลอดเวลานี้หยุดเองนะไม่ต้องบังคับ บางทีเจ้าของได้วิตกกังวลเหมือนกัน ตั้งแต่ทำความเพียรตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานปลอบใจเจ้าของ เอ้อ เวลานี้ยังไม่มีทุนมีรอนมันจะทุกข์ยากลำบาก เอา อุตส่าห์ไป แต่เวลามีกำลังวังชามีทุนมีรอนแล้วมันจะค่อยเบาไปๆ มันคาดเอานะนั่น มันจะค่อยเบาไปๆ สบายไปเรื่อยๆ ว่างั้นนะ อันเราคาดไม่ใช่ความจริง
ทีนี้พอถึงขั้นความจริงแล้วมันมีกำลังมากเท่าไรมันยิ่งหมุนใหญ่เลย ทีนี้ก็เลยมาคิด เอ้า ก็เราคิดแต่ก่อนว่าเราพยายามทำความเพียรนี้ตะเกียกตะกายก็ปลอบเจ้าของว่าให้อุตส่าห์เสียก่อน เวลามีกำลังวังชาแล้วจะค่อยสะดวกสบายไป นี้ผิดทั้งเพ ผิดเลยเชียว มันมีกำลังมันยิ่งหมุนของมันตลอดเวลา นี่ตัวยุ่งใหญ่อยู่ตรงนั้น กิเลสกับหัวใจพันกันอยู่นี้ไม่ยุ่ง ตอนกิเลสกับธรรมฟัดกันนั่นละยุ่ง เลยจะไม่ได้หลับได้นอน บางคืนตลอดรุ่งเลยนอนไม่หลับ กลางวันมันจะไม่หลับ คือกิเลสกับธรรมฟัดกันมันไม่ได้ถอยกันนี่นะ เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปเลย เรื่องเหล่านี้ยุติหมดโดยไม่ต้องบังคับ ที่มันหมุนตัวเป็นธรรมจักรหยุดกึ๊กเลย หมด ก็จะไปฆ่าอะไรจะไปทำงานกับอะไร ฆ่ากิเลสกิเลสก็ตายให้เห็นชัดเจนแล้วขาดสะบั้นลงไป โลกธาตุนี่จ้าไปหมดแล้ว แล้วกิเลสตัวไหนจะผ่านเข้ามาพอที่จะให้ได้ฆ่ากับมันให้เป็นความกังวลไม่มี นั่นหมด นั่นละท่านว่าท่านสิ้นกิเลส สิ้นอย่างนั้น
เมื่อสิ้นเสร็จโดยประการทั้งปวงแล้วจะค้นให้มันมีก็ไม่มี เช่นความโลภ บังคับให้มีก็ไม่มี ความโกรธถึงจะแสดงกิริยาอาการเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนคนทั้งหลายเขาโกรธกัน แสดงอย่างนั้นต้องเป็นความโกรธภายในใจ แต่จิตนี้ไม่ได้เป็น จิตอันนี้มันเป็นพลังของธรรมอันหนึ่งต่างหาก พุ่งๆ ขึ้นมา ความโกรธไม่มี หากเป็นพลังของธรรม เผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตามมีแต่กิริยาของธรรมทั้งนั้นออกมา ความโกรธความเคียดแค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ เมื่อเจออยู่จะเรียกว่ามันสิ้นได้ยังไง นั่นละมันสิ้นมันสิ้นอย่างนั้น มีแต่กิริยาของธรรมออกพุ่งๆ นี่ท่านทั้งหลายไปพิจารณาเอา
นี่ละใจดูใจ ดูใจจะมีวันสิ้นสุดยุติ เรื่องวัฏจักรวัฏวนเกิดแก่เจ็บตาย ภพน้อยภพใหญ่ไม่มีประมาณมาตั้งกัปตั้งกัลป์ จะมายุติกันที่ดูหัวใจตัวเอง ด้วยจิตตภาวนาตามทางของศาสดา ที่นี่เป็นที่ยุติ วัฏจักรจะยุติลงจุดนี้ ถ้าไม่ดูหัวใจเสียก่อน งานอะไรใครจะงานอะไรตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีใครที่จะว่างงานแล้วตายไป ไม่มี มีพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ว่างงาน นิพพานไปด้วยความว่างงาน ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วงานหมดแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว การฆ่ากิเลสอันเป็นงานใหญ่หลวงของวัฏจักรวัฏวนนี้ ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้วเสร็จสิ้นลงไปแล้วงานอันนี้
งานที่ควรจะทำก็คืองานแก้กิเลสนี้เอง ก็ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี นั่นท่านสิ้นสุด ตั้งแต่นั้นมากิเลสตัวใดไม่มีที่จะมากวนใจท่าน จึงเรียกว่าสิ้น นั่น ฆ่ามันที่หัวใจ ถ้าดูที่หัวใจนี้แล้วงานทั้งหลายจะยุติ ถ้าดูภายนอกนี้ดูไปจนกระทั่งกัปตั้งกัลป์ตายแล้วจมกันอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้าย้อนเข้ามาดูหัวใจด้วยจิตตภาวนาจะมีวัน งานทั้งหลายจะหดย่นเข้ามาๆ สุดท้ายขาดสะบั้นลงไป งานวัฏจักรไม่มีในจิตแล้วก็เป็นวิวัฏจักรไม่ต้องหมุน งานบริสุทธิ์ นั่นจำให้ดี
นี่ละงานพระพุทธเจ้าที่สอนโลก สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำไม่ผิด ให้มันเป็นในหัวใจซิ พระพุทธเจ้าจะสดๆ ร้อนๆ ที่หัวใจเราเลย พอมันจ้าขึ้นมาเท่านี้พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์เป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เหมือนแม่น้ำในมหาสมุทรจะกว้างแคบขนาดไหน มือจ่อลงไปตรงไหนเป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด นี่ความบริสุทธิ์ของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วเข้าถึงปั๊บนี้มหาวิมุตติมหานิพพาน เท่ากับมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นละ พอเข้าถึงนี้เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานอันเดียวกันหมดเลย นั่น หายสงสัย ถามหาพระพุทธเจ้าอะไร อันนี้เป็นอันเดียวกันแล้ว การประพฤติปฏิบัติ ดูที่จิตใจจะมีทางยุตินะ ดูภายนอกไม่ว่าท่านว่าเรากิเลสพาให้ดู ดูเท่าไรเหมือนไฟได้เชื้อ เผากันไปอย่างนั้นตลอด
โลกอันนี้โลกถูกกิเลสเผาตลอดเวลานะ ถ้าดูเข้าไปที่หัวใจจะเห็นจุดที่กิเลสเผา ดับกิเลสคือฟืนไฟที่หัวใจได้แล้วเป็นน้ำดับไฟเงียบหมด นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นใดยิ่งกว่าความสงบอย่างราบคาบนี้ไม่มี นั่น สงบคือกิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้ว นั่นละผู้สิ้นกิเลส นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ อยู่ตรงจุดนั้น จบแล้วที่นี่เรียนวัฏจักรจบ วิวัฏจักรโผล่ขึ้นมาแล้ว วัฏจักรขาดสะบั้นไปหมดเลย เรียนลงที่หัวใจ เรียนอะไรได้อะไรมามีแต่ความเสี่ยงได้เสี่ยงเสีย เสี่ยงมีเสี่ยงเป็นไปอย่างนั้นตลอดจนกระทั่งวันตาย เศรษฐีก็เสี่ยง ได้มากได้น้อยก็เสี่ยง ความได้ความเสียความบกพร่องความสมบูรณ์ของตัวเองเสี่ยงตลอดเวลาเลย ธรรมนี้เมื่อมีขึ้นในหัวใจแล้วอบอุ่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสมบูรณ์เต็มที่แล้วหมดเสี่ยง ไม่มีอะไรเสี่ยงแล้ว สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ให้พากันจำเอานะ เอาละพอ
วันนี้ก็เทศน์นานพอสมควรอยู่ ว่าจะไม่เทศน์มันหากเป็นของมันอย่างนี้แหละ ให้ดูนะงานที่จะยุติลงได้ให้ดูหัวใจ ดูอะไรๆ ไม่เสร็จสิ้น ถ้าดูหัวใจมีทางเสร็จสิ้น มันจะรวมเข้ามา งานใหญ่งานหลวงงานวัฏจักรวัฏวนวิวัฏจักรอยู่ที่หัวใจดวงเดียว ดูนี้ให้รอบคอบแล้วขาดหมด ไม่มีงานอื่นใดมาติดต่อแล้ว แล้วมีอะไรอีก (ถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนครับ คณะสงฆ์วัดศรีจำปาชนบท หมู่ที่ ๙ ตำบลพังโคน อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนครและศรัทธาญาติโยมชาวอำเภอพังโคน ขอถวายสถานีเสียงธรรมเพื่อประชาชนแด่องค์หลวงตา ได้ทดลองออกอากาศตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๙ ช่วงเวลา ๐๔.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น.ทุกวันครับ)
ดีแล้วไปทำกันนะ ธรรมะเข้าสู่ใจไปที่ไหนกว้างแคบเย็นไปตามๆ กันหมด ถ้าธรรมะเข้าไปที่ไหนเย็นไปๆ รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว มีการยับยั้งชั่งตัวได้ดี ธรรมะเข้าตรงไหนๆ ถ้ากิเลสเข้าตรงไหนเป็นไฟๆ เผาไหม้ไปเรื่อย ลำสดลำแห้งไม่ว่ากิเลสเผาได้หมดเลย ธรรมะนี้เป็นน้ำดับไฟดับได้หมด ให้พากันเอาธรรมะเข้าสู่ใจ เอาธรรมะเข้าเป็นเพื่อนพึ่งเป็นพึ่งตายกับใจ อยู่ที่ไหนทำงานใดอย่าลืมธรรมภายในใจ ท่านทั้งหลายจะไม่เสียท่าเสียทีกับกิเลสตลอดไป จะมีการยับยั้งชั่งตัว มีการต้านทานแล้วระงับดับได้ๆ พอซุกหัวนอนได้เป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นสง่าภายในใจ จำเอานะ ธรรมไปที่ไหนเย็นหมด กิเลสไปที่ไหนร้อนเป็นไฟไปหมด มีเท่านั้นละไปได้ ให้พร
เมื่อวานนี้ก็ไปบึงกาฬ บึงกาฬนี้ ๙๐ เตียง แต่ทางฝั่งลาวข้ามเข้ามาหาโรงพยาบาลบึงกาฬ มามากรับภาระมาก เราเลยไปช่วยบ่อย อย่างอื่นก็ช่วยเยอะ อาหารเมื่อวานก็เอาไป เดี๋ยวนี้เป็นปรกติไปโรงพยาบาลไหนให้โรงละสองหมื่นๆ ตลอดไปเลย สงสาร โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งอยู่ในหัวใจเรา เราแบกตลอดเลยทุกภาคนะ ไม่ใช่ภาคหนึ่งภาคเดียว ทั่วประเทศไทย เป็นแต่ว่ามากกับน้อยต่างกัน ทั่วตลอดเลย นี่ก็โดดไปฝั่งลาวนู่น เวียงจันทน์ เครื่องมือตาไม่มีเลย เวียงจันทน์ในนามของประเทศลาวไม่มีเครื่องมือตาเลยจะทำไง ไปทีแรกเขาเขียนรายการมาให้เราเรารับหมดเลย ยกรายการนี้สั่งเลยเชียว ๑๖ ล้าน สั่งมาแล้ว ไปคราวหลังนี้ตามอีก จะพยายามทำเครื่องมือตาให้ครบ ในนามของประเทศลาวทั้งประเทศได้อาศัยเพียงเวียงจันทน์ก็พอ เราว่างั้น นี่พยายาม ไปคราวนี้อีก ๑๔ ล้าน ไปเมื่อเร็วๆ นี้อาทิตย์กว่าละมั้ง ไปคราวก่อนให้ ๑๖ ล้านตา ไปคราวนี้ให้อีก ๑๔ ล้าน เป็น ๓๐ ล้านพอดีตา นอกจากนั้นเราไม่นับละ ของฟาดใส่รถยนต์นี้เป็นแถวยาวเหยียด สิบล้อๆ
อย่างนั้นละหลวงตาไปไหนถ้ามีแล้วถอยไม่ได้ อย่างนี้ทั้งนั้น ออกหมดเลย ที่จะกำไว้นี้ไม่มี มีตั้งแต่แบตลอดเลย เป็นอย่างนั้นละ ไปที่ไหนกระเทือนทั่วประเทศลาวถ้าเราไปทีไร รถนี้ยาวเหยียดเลย สิ่งของเต็มหมด เงินคราวก่อนให้ ๑๖ ล้าน..ตา คราวนี้ไป ๑๔ ล้าน เป็น ๓๐ ล้าน เงินสดคราวที่แล้วไปสามแสนกว่า คราวนี้ก็สามแสนกว่า ให้เงินสด ส่วนเงินก้อนก็ให้ ๑๖ กับ ๑๔ ล้าน เป็น ๓๐ ล้านแล้วนี่ เราจะช่วยทางตาทางนู้น และพยายามจะให้ครบทางเวียงจันทน์ ครบโรงพยาบาลเดียวก็พอประเทศลาวทั้งประเทศ คิดว่าเครื่องมือตาจะให้พอ
ส่วนทางนี้เราเยอะแล้ว เราตั้งไป ๕ จุดแล้วเวลานี้ บุรีรัมย์ นี่ก็จะให้ครบตานะ ย่านนี้เข้าในบุรีรัมย์ จากนั้นก็ไปเพชรบูรณ์จุดหนึ่ง พิษณุโลกจุดหนึ่ง อุตรดิตถ์จุดหนึ่ง ตานี้จะให้พอๆ เริ่มสั่งแล้วแหละ บุรีรัมย์ ๖ ล้าน เพชรบูรณ์ ๔ ล้าน พิษณุโลก ๙ ล้าน ๕ หมื่น อุตรดิตถ์ ๕ ล้าน ๘ แสน นี่สั่งแล้วนะจะให้เข้าจุดๆ ให้พอๆ ลงจุดไหนตาให้พอในจุดนั้นๆ วางเป็นระยะๆ เป็นย่านๆ ไป เพราะฉะนั้นจึงไม่มี ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าหลวงตามีเงินนะ ไม่มีละ หัวใจมันเปิดอยู่นี้ตลอดด้วยความเมตตา จะเอาอะไรมามี มีไม่ได้ว่างั้นเถอะ ไหลออกตลอดเวลา มีแต่ออกทั้งนั้นเราไม่เอา เราก็บอกแล้วว่าเราพอทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจเรา มีแต่ความเมตตาให้ไม่หยุด มีเท่าไรให้ทั้งนั้นๆ ตลอดจนกระทั่งวันตาย
เวลาตายนี้เราก็เขียนพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว เวลาเราตายนี้เขาจะเผาศพเรา มีใครบริจาคมากน้อยมาเท่าไรๆ ใครจะมางานเผาศพเรา เงินเหล่านี้อย่าเอาไปใช้สุรุ่ยสุร่ายจัดโลงนั้นโลงนี้มาเผาศพอีตาบัว ตัดออกให้หมด ให้คณะกรรมการเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ให้หมดเลย แล้วยกเงินจำนวนนี้อย่างน้อยซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง นี่เป็นจุดใหญ่ที่เราพูดไว้แล้ว ส่วนที่ว่าจะเอาเงินนี้เข้าสู่คลังหลวงเราไม่แน่ใจมันจะไหลไปทางไหนบ้าง ถ้าเอาเงินนี้ไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงแน่ใจ เราจึงชี้นิ้วลงตรงนี้ว่า เงินจำนวนที่เขาบริจาคทั้งหมดนี้ เราจะซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงเป็นวาระสุดท้าย เราจะเผาด้วยไฟ
สมบัติเหล่านี้สมควรกับผู้มีชีวิตอยู่ จะสงเคราะห์ท่านผู้มีชีวิต เอาเป็นวาระสุดท้าย ตายแล้วดีดผึง พูดให้ชัดเจน เปิดเผยในหัวใจของเรามาเป็นเวลา ๕๖ ปีนี้แล้ว เราไม่มีอะไรสงสัยในโลกนี้ เปิดจ้าหมดแล้วทุกอย่าง ไม่มีในหัวใจ ขึ้นชื่อว่าสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี ผ่านหมด ว่างเปล่าไปหมดโลกธาตุนี้ เราพอเราพออย่างนั้น พออย่างเลิศเลอ เพราะฉะนั้นจึงสงเคราะห์โลกด้วยความเมตตาเต็มสัดเต็มส่วน มีเท่าไรมีไม่ได้ว่างั้นเลย หมดๆ เลย ด้วยอำนาจความเมตตากวาดออกหมดเลย เอาละไปละ
มันก็แปลกอยู่นะที่มันไหลออกนี้เหมือนจะไม่มีอะไรติดตัวเลย แต่มันก็ไหลเข้ามาอย่างนี้ละ ได้ไหลออกอยู่ตลอดนะ ทางไหลออกไม่ถอย รอบวัดเลย เงินเราไหลออกทั่วโลก เพราะเงินนี้เงินเพื่อโลก เขาเขียนไว้นั้น ไม่ได้มีคำว่าเพื่อเรา เราจึงได้บอกให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าเวลาเราตายนี้ เงินในบัญชีจะมีอยู่นะเพราะมันหลายบัญชี เขาถวายที่ไหนๆ เข้าบัญชีทางโน้น เช่นอย่างไปกรุงเทพเขาถวายทางกรุงเทพ เอาเข้าบัญชีทางกรุงเทพในนามของหลวงตาบัว บัญชีทุกบัญชีเป็นบัญชีเพื่อโลก ไม่ใช่บัญชีเพื่อเรา ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้
จะมีสักกี่บัญชีก็ตามเป็นบัญชีเพื่อโลกทั้งนั้น อย่าเข้าใจว่าหลวงตาบัวตายแล้วจะมาเป็นเปรตเฝ้าบัญชีเงิน ไม่มา นิพพานเลิศขนาดไหนยิ่งกว่าไอ้หลังลายนี่วะ เราไม่มาเฝ้า บอกให้ทราบเฉยๆ เวลาเราตายนี้เงินจะมีอยู่นะ จะมีอยู่ตามบัญชีต่างๆ เช่นในกรุงเทพมีหลายบัญชีอยู่ เขาถวายทางโน้นเอาเข้าบัญชีทางโน้น มาทางนี้ก็เหมือนกัน เวลาเราตายแล้วบัญชีนี้จะมารวมตัวว่า หลวงตาบัวมีเงินเท่านั้นๆ แล้วให้รวมลงเลยว่าเงินเท่าไรก็ตามนี้คือเงินเพื่อโลก เท่านั้นพอ เราไม่เอาอะไรแล้ว พอทุกอย่างแล้ว พากันเข้าใจนี้ไว้.....
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |