จิตมันสู้
วันที่ 20 พฤษภาคม 2549 เวลา 7:55 น. ความยาว 61.14 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

จิตมันสู้

ก่อนจังหัน

วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน เป็นวันว่างสำหรับขวนขวายความดีเข้าสู่ใจ ทั่วโลกเขาถือกัน วันเสาร์ วันอาทิตย์ เป็นวันว่างการงานภายนอก เพื่อความสงบทางด้านจิตใจเกี่ยวกับเรื่องศีลเรื่องธรรม ทางพระพุทธศาสนาเราก็มีวันพระ วันโกน พอดีได้เสาร์ อาทิตย์ บวกเข้าไปก็เป็น ๔ วันนั่นน่ะ ในเดือนหนึ่งได้ ๓-๔ วันมาประกอบทางด้านจิตใจก็ดีนะ

คือใจมีอาหารสำหรับตน เหล่านี้เป็นอาหารของร่างกายที่ปรนปรือยุ่งเหยิงวุ่นวายกัดฉีกกันเหมือนหมานี่น่ะ คืออาหารของร่างกาย อาหารของใจไม่มีก็เดือดร้อน มันกัดออกไปภายนอกแย่งอันนั้นแย่งอันนี้ อะไรก็ไม่พอๆ ออกไปจากใจที่ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาคือความทะเยอทะยานอยากนี้ไม่มี วิ่งเต้นกันเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แต่มีจิตใจไปเป็นใหญ่ครอบครองอยู่นั้นแล้ว ความได้ความอยากเพียงธาตุขันธ์นี้ไม่มาก แต่ความทะเยอทะยานอยากทางด้านจิตใจนี้มากต่อมาก ไม่มีฝั่งมีฝา

จอมปราชญ์ทั้งหลายที่เลิศเลอคือพระพุทธเจ้าของเรา ท่านจึงคัดออกให้พอมีวันว่างบ้างไม่งั้นสัตว์โลกมันจะจมไปด้วยกันหมด จะไม่มีอะไรฉุดลากขึ้นบ้าง จึงคัดวัน เช่น วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน นี้ให้เป็นวันว่างสำหรับผู้ที่ต้องการความสุขความเจริญ ได้ขวนขวายความดีงามเข้าสู่ใจ ใจจะได้มีอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง จะสงบร่มเย็น ใจโลกไม่มีอาหารความดีงามเข้าช่วยหล่อเลี้ยงนะ มีแต่กิเลสตัณหาเผาทั้งใจเขาใจเรา โลกก็ไม่รู้ ไม่งั้นไม่เรียกว่ากิเลสเป็นธรรมชาติที่ฉลาดแหลมคมบนหัวใจสัตว์ จะไม่มีสัตว์ตัวใดได้เห็นโทษเห็นภัยของกิเลสเหล่านี้เลย ดีดดิ้นไปตามมันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ก็เป็นอยู่อย่างนี้ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องฉุดลากให้มอง

เช่นตาเรานี้มองไปที่ไหนเห็นอะไรเห็นหมด แต่ไม่เห็นหน้าเจ้าของ ใครๆ ก็เหมือนกันไม่ได้เห็นหน้าตัวเอง หน้าใครต่อใครสิ่งใดเห็นหมด ตานี้ดีตาแมวสู้ไม่ได้ แต่ไม่เห็นหน้าเจ้าของ ท่านจึงเอาธรรมเข้ามาสะกัดเป็นเหมือนกระจกเงา สะกัดเข้ามาแล้วก็มองเห็นหน้าเจ้าของ หน้าเป็นยังไงๆ ก็รู้ อันนี้จิตย้อนเข้ามา ธรรมท่านให้ส่งจิตย้อนเข้ามาหาใจตัวเอง หน้าของตัวเองคือหัวใจ มันดีดมันดิ้น ดิ้นไปอะไรๆ บ้าง ให้จิตย้อนเข้ามาดูหัวใจคือความดีดดิ้นนี้ แล้วธรรมจะเกิด จะรู้เนื้อรู้ตัวในเวลานั้น เพราะฉะนั้นจึงให้พากันสงบจิตใจ ย้อนเข้ามาสู่ตัวเองให้มีวันสงบร่มเย็นทางด้านจิตใจบ้าง

โลกนี้รุ่มร้อนมากทีเดียว ไม่มีใครรู้กันเลยว่าโลกนี้มีอะไรหลอกให้รุ่มร้อนมาตั้งกัปตั้งกัลป์และต่อไปอย่างนี้ไม่มีสิ้นสุด เหมือนมดไต่ขอบด้งนั่นแหละ ไต่ไปไต่มาขอบเก่า อันนี้เกิดไปเกิดมาสับสนปนเป ตัวเองนี่แหละไปเกิดภพนั้นภพนี้ สับสนปนเปในตัวเองอีก และสัตว์ทั้งหลายต่างคนต่างสับสนปนเป ด้วยภพด้วยชาติ ด้วยสุขด้วยทุกข์ ด้วยความสูงความต่ำ เป็นอย่างนี้ตลอดมาไม่มีใครมองเห็นได้ ก็มีองค์ศาสดาผู้โลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง จึงได้นำธรรมมาสั่งสอนสัตว์โลก พอให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง

เช่นอย่างให้บำเพ็ญคุณงามความดี นี้เป็นธรรมสำคัญมากที่จะเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจ เพราะใจนี้เป็นนักสมบุกสมบัน การเที่ยวเกิดตายไม่มีอะไรเกินใจ ธาตุของเรานี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตายลงไปแล้วสวรรค์ไม่ไป นรกไม่ไป แต่ใจนี้ไปได้ทั้งสวรรค์ทั้งนรก จึงต้องได้เสาะแสวงหาความดีงามเข้าสู่ใจ ให้ใจได้ไปในทางที่ถูกที่ดี พากันจำเอานะ

ไม่มีใครมองเห็นแหละใจดวงนี้ เหมือนเรามองไปข้างหน้า ตาเราเห็นหมด ที่ไหนเห็นหมด แต่ตาตัวเองไม่เห็นตัวเองเพราะไม่มีกระจกเงามองย้อนหลัง นี้ให้มีธรรมย้อนหลังเราจะได้เห็นตัวของเรา เวลามีชีวิตอยู่อย่างนี้ก็ทราบนี่เป็นมนุษย์ เวลานี้ทราบด้วยกัน ร้ายดีมีจนก็ทราบด้วยกัน แต่ที่จะไปข้างหน้าเป็นยังไง ปิดตันหมดที่จะไปข้างหน้า ตายจากนี้แล้วจะไปเกิดเป็นอะไรๆ ดีไม่ดีมันจะเหมาว่าตายแล้วสูญ นั่นน่ะฉิบหาย เรียกว่าจมเลยพวกนี้

ไม่เคยสูญใจดวงนี้ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดมา ไม่มีอะไรจะทำใจดวงนี้ให้สูญ แม้ตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ ยอมรับว่าทุกข์ในนรก มากน้อยเพียงไรยอมรับความทุกข์ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ ทีนี้ฟื้นออกมาจากนั้นแล้ว ดีดดิ้นขึ้นในทางสูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสวรรค์ชั้นพรหมถึงนิพพาน เสวยความสุขไปเรื่อยๆ ถึงนิพพานเป็นบรมสุข เป็นธรรมธาตุ ไม่สูญ อย่างนั้นนะ จิตดวงนี้จึงสำคัญมาก ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจดูใจเจ้าของให้ดี

ดูใจเจ้าของ ก็คือคนมีสติละถึงจะดูใจเจ้าของได้ สติดีแล้วปัญญาก็ค่อยรอบคอบพินิจพิจารณาคัดเลือก บวกลบคูณหารตัวเองให้ดี แล้วก็ได้ของดีไปใช้ๆ แล้วก็ไปดีๆ จิตมีเจ้าของ สติปัญญาเป็นเจ้าของของจิต ถ้าไม่มีสติปัญญาเป็นเจ้าของ ดังที่เราเคยเห็นพวกบ้ามันพะรุงพะรังอยู่ตามถนนหนทาง ไฟเขียวไฟแดงสี่แยกสามแยก มันไปทำอะไรของมันอยู่นั้นไม่สนใจกับใคร รถวิ่งขวักไขว่จะชนกัน ทั้งรถจะชนรถ ทั้งรถจะชนคนบ้า วุ่นไปหมด นั่นละจิตดวงนั้นมันไม่มีเจ้าของ คือสติความรับผิดชอบผิดถูกชั่วดี ปัญญาไม่มี มันก็ทำตามประสาของมัน นั่นละความรู้เฉยๆ ไม่มีเจ้าของ ดูคนบ้าก็แล้วกันไม่มีเจ้าของ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ นี่คือความรู้ นี่เรียกว่าจิต เจ้าของของจิตคือสติปัญญารู้ผิดถูกชั่วดี

ท่านจึงสอนให้จิตมีเจ้าของ เข้มงวดกวดขันรักษาตัวเองแล้วก็จะดีไปๆ เรื่อย ถ้าปล่อยให้จิตไปเฉยๆ มันก็คืบคลานไปเหมือนไส้เดือนบุ้งกือนั่นแหละ ความรู้มีอยู่ในร่างของมัน แต่ไม่มีสติปัญญาเครื่องรักษาตัวเองมันก็เป็นไปแบบนั้น เหมือนคนบ้าเดินตามถนน นั่งตามถนน ที่ไหนนั่งได้นอนได้ทั้งนั้นคนบ้า เพราะไม่มีสติปัญญาเป็นผู้รับผิดชอบตัวเอง เป็นอย่างนั้น จึงต้องสั่งสมสติปัญญาเข้าให้ดี เพื่อให้มีความเฉลียวฉลาดแหลมคม แล้วก็มาซักฟอกเจ้าของ ฉุดลากเจ้าของให้พ้นจากความทุกข์โดยประการทั้งปวงถึงพระนิพพาน จำให้ดีนะ เอาละเทศน์เพียงเท่านั้น

หลังจังหัน

        วันนี้ขบวนรถเรานี้ทางหลวงอกจะแตกนะ ทางหลวงเขาควบคุมเรื่องรถ รถขบวน ขบวนหนึ่งได้สักห้าคันหรืออะไร (ประมาณ ๕ คันไม่เกิน ๗ คันครับ) ขบวนหนึ่งๆ รถเขานำ ทางหลวงเขามีกำหนดให้ว่าขบวนหนึ่ง ๕ คันถึง ๗ คัน แต่ขบวนของหลวงตาบัวนี้ฟาดเอาเสีย ๓๐ คัน ทางหลวงก็เป็นลูกศิษย์แล้วจะทำอย่างไร ทางหลวงเลยอกจะแตกตายนะ ขบวนของเรามันตั้ง ๓๐ คัน ทางหลวงที่ควบคุมเกี่ยวกับการสัญจรไปมาของรถเลยอกจะแตก จะว่าก็ว่าให้อาจารย์ ทีนี้จะทำอย่างไร เลยทนเอาอย่างนั้นละ ที่ไหนก็เป็น

เราก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้นะ ปฏิปทาของเราที่ดำเนินมาอย่างนี้ไม่มีเลย แต่มันเป็นไปได้ยังไงก็ไม่ทราบ พิจารณาซิ ตั้งแต่ออกปฏิบัติไปคนเดียวตลอดเลย พ่อแม่ครูจารย์เสริมตลอดนะ ตามธรรมดาเวลาใครจะไปเที่ยว ลาท่านไป ท่านจะถาม ไปกี่องค์ บางทีท่านก็ตำหนิ ไปอะไรองค์เดียว คือท่านคงดูผู้ที่ไป แต่สำหรับเราไม่ทราบจะโง่หรือฉลาด ท่านเสริมทุกทีพอว่าจะไป คือก่อนที่จะไปไหนนี้ด้วยอำนาจแห่งความเคารพ ถวายความเห็นเสียก่อน กราบเรียนถามถึงเรื่องในวัดในวา เพราะเราเป็นคนดูแลในวัด ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร พระเณรมาเต็มวัดๆ เราหัวอกจะแตก พูดให้มันชัดเจนนะ ดูแลพระเณร

เพราะพระเณรทั้งหลายที่ไปนี้ เณรมีองค์สององค์ไม่มาก แต่มีอยู่ก็เรียกว่าพระเณร ส่วนมากมีแต่พระ มันหากได้สอดส่องนะ หนัก หนักมากจริงๆ  เวลาอยู่กับท่านตาคอยสอดคอยแทรกไปซอกนั้นซอกนี้ ซอกแซกซิกแซ็กดูพระดูเณร กลัวจะมาระเกะระกะสายหูสายตาท่าน จะทำให้ท่านหนักอกหนักใจ เพราะอยู่ๆ ก็มาเองมาทับท่าน ทีนี้เราก็ต้องเป็นคนคอยดูแลสอดส่องพระเณรตลอดเลย องค์ไหนไม่ดียังไงเตือน ค่อยเตือนๆ สอดแทรกเรื่อย ใจเรื่องความเพียรเลยเพียรแบบนี้ไปเสีย หนักนะ

เวลาจะไปไหนมาไหนจะถวายความรู้สึกท่านเสียก่อนว่า มีธุระอะไรบ้างในวัดนี้ ธรรมดาก็ไม่มีธุระอะไรแหละ แต่ต้องกราบเรียนถามท่าน ถ้าท่านว่าไม่มีธุระอะไร ถ้าไม่มีก็คิดอยากจะไปเที่ยวภาวนาสักชั่วระยะหนึ่ง ว่าอย่างนี้นะ ไปสักชั่วระยะหนึ่ง เท่านั้น ถวายท่านแล้วก็เงียบเลยที่นี่ ท่านเก็บไปพิจารณาแล้ว ไม่ใช่ว่าจะตอบรับท่านให้ไปอย่างนั้นทีเดียวนะ แล้วแต่ท่าน ถวายความรู้สึกความคิดนึกของเจ้าของต่อท่านแล้วก็ปล่อยละ คอยฟัง ท่านมีโอกาสเมื่อไรท่านสมควรยังไงท่านจะพิจารณาของท่านเอง นั่นละความรอบคอบของจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราเทิดสุดหัวใจเลย

เพียงถวายความคิดเห็นของเจ้าของเข้าไปอย่างนั้นแล้ว ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเมื่อไร เหมือนว่าลืมไปนะบางที ท่านเอาไปพิจารณา บทเวลาท่านจะให้ไป เออ ที่ท่านมหาอยากจะออกไปเที่ยววิเวกก็ไปได้ละ นั่น ท่านเปิดแล้ว กี่วันก็ตามถวายความคิดเห็นของตัวเองแล้วทิ้งไว้เลย ถวายท่านไว้เลย แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเห็นสมควรเมื่อไร เมื่อท่านเห็นสมควรแล้วท่านก็จะบอก เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยววิเวกก็ไปได้ละ แล้วจะไปทางไหนล่ะ ท่านถาม คือท่านเห็นหมดท่านเที่ยวผ่านมาแล้ว คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้น เออ ที่นั่นดี แถวนั้นดี แล้วจะไปกี่องค์ พอว่าไปองค์เดียวท่านขึ้นทันทีเลย คือท่านช่วยสนับสนุน

พอว่าจะไปองค์เดียว เออ ท่านมหาต้องไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ชี้ส่ายนิ้วไปตามพระเณรนั่ง ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาท่านจะไปองค์เดียว เป็นอย่างนั้นกับเราทุกครั้ง เราก็ไม่เคยสนใจว่าใครเป็นยังไงต่อยังไง เพราะเราก็พุ่งๆ ของเราคนเดียว เวลาไปก็คนเดียวตลอดเรา เราไม่เคยคิดว่าจะมีลูกศิษย์ลูกหามากมายอย่างนี้นะ เป็นคนเดียวตลอด ออกปฏิบัติเป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ สอบเปรียญได้พรรษา ๗ ออกพรรษานั้นเลย เพราะตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้วว่าเมื่อเรียนหนังสือถึงขั้นเปรียญสามประโยคแล้วพอเป็นปากเป็นทางในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ขัดข้องแหละ เพราะฉะนั้นจึงตั้งสัจจะไว้ตรงนั้น พอเรียนจบนี้แล้วจะออกโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้

พอจบนั่นปั๊บออกเลยจริงๆ อะไรห้ามไม่อยู่ แต่ก็เดชะนะ ไปได้ รอดไปทุกที พ้นไปได้ ไปได้จริงๆ เพราะธรรมดามีครูบาอาจารย์อยู่บนหัวเรา ถ้าท่านไม่ให้ไปเราจะฝืนได้อย่างไร แต่มันก็พอดีเป็นโอกาส หากมีที่จะได้ไปบางทีท่านออกไปต่างจังหวัดเสียบ้าง ไปตรงนั้น นี่ละที่นี่ออก ออกคนเดียวเลย เมื่อไปฟังอรรถธรรมของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วนี้มันถึงใจนะ เรียนหนังสือนี่เรียนไปขนาดไหนท่านบอกตั้งแต่เรื่องมรรคเรื่องผลๆ แต่ความเป็นในจิตเรานี้ส่วนใหญ่เชื่อมรรคผลนิพพาน ส่วนย่อยมันมาแบ่งกินว่า เอ๊ มรรคผลนิพพานจะยังมีอยู่จริงๆ เหรอ นั่น ส่วนย่อยมันมาแบ่งกินนะ ส่วนใหญ่เชื่อ

แล้วมันก็ไม่ลงใจอยู่นั้นแหละ เวลาจะทำอะไรก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยถ้าใจยังไม่ลงเต็มที่ ถึงขนาดที่ว่าถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์หรือท่านผู้ใดมาชี้บอกว่า มรรคผลนิพพานยังมีอยู่สดๆ ร้อนๆ แล้ว เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น แล้วเราจะเอาตายเข้าว่า ตายเพื่อมรรคผลนิพพาน พอออกจากนั้นเราก็พุ่งใส่หลวงปู่มั่น พอไปถึงท่านก็เหมือนท่านกางเรดาร์ไว้เลย คำพูดนี้เด็ด เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด สมเจตนาที่เรามุ่งไปอย่างยิ่ง คือมุ่งไปเพื่อมรรคผลนิพพาน อยากทราบว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่จริงเหรอ  ถ้ามีเราเอาตายเข้าว่าเลย ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วท่านผู้ใดจะปลงใจของเราอันนี้ลงได้

พอไปท่านก็ผางออกมาเลย นี่ท่านมาหาอะไร นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ขึ้นเลย ต้นไม้ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ดินฟ้าอากาศไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไล่ไปหมด ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหนๆ ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ ลงนี้นะ ให้ท่านเอาใจให้ดี เวลานี้ใจกำลังถูกปกคลุมหุ้มห่ออยู่ด้วยกิเลสตัณหา ทำให้มืดมนอนธการ มรรคผลนิพพานมีอยู่ในใจก็ถูกปิดถูกบัง ไม่ลงใจ ให้เข้าใจเสียว่ากิเลสก็ดี มรรคผลนิพพานก็ดีอยู่ที่ใจ เอ้า เปิดออกด้วยจิตตภาวนา ท่านว่านะ เอาเปิดออก อย่างอื่นเปิดไม่ได้ ต้องเปิดด้วยจิตตภาวนา เปิดกิเลสตัณหาตัวเป็นฟืนเป็นไฟออก เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในมรรคผลนิพพาน

ท่านใส่เปรี้ยงๆ ทางนี้ฟังอย่างถึงใจเลย เพราะเราไปด้วยเจตนาร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าอย่างนั้นเถอะ พอลงมาแล้วเท่านั้นละ ลงใจแล้วนะนั่น สุดขีดแล้ว ท่านชี้ลงนี้หมด ลงที่หัวใจ ให้เปิดด้วยจิตตภาวนา ท่านว่าอย่างนั้น เปิดกิเลสเปิดธรรมจะรู้จะเห็นได้ด้วยจิตตภาวนา ให้เปิดตรงนี้ เอาอย่างอื่นอย่างใดมาเปิดไม่เห็น นั่นละฟังซิท่านพูดชัดเจน จิตตภาวนาเท่านั้นที่จะเปิดให้เห็นทั้งกิเลสและธรรมภายในหัวใจนี้ อย่าไปหาที่อื่นที่ใดไม่มีกิเลสไม่มีธรรม ให้ดูที่หัวใจ นี่ละมหาเหตุอยู่ตรงนี้ท่านว่าอย่างนั้น ลงใจสุด เรียกว่ากิเลสมีเต็มหัวใจก็ตาม แต่วันนั้นเรียกว่าการเชื่อมรรคผลนิพพานสุดหัวใจเลย ไม่มีบกพร่อง

เอาละที่นี่ลงมาอย่างภูมิใจแล้ว พอใจ ลงมายังไม่ถึงกุฏิเลย ถามตัวเองเลย เป็นอย่างไรที่นี่ไปฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์ ฟังแล้วอย่างจุใจ เป็นอย่างไรที่นี่มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี เราจะจริงหรือไม่จริงที่นี่ ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นเห็นไหม ตัดสินเจ้าของเอง เพราะฉะนั้นตั้งแต่นั้นมาเราจึงลำบากลำบนมากนะเรื่องความพากความเพียร ไม่ใช่โอ้อวด ไม่ค่อยจะเหมือนใครง่ายๆ ละ เรื่องความพากความเพียรเอาจริงเอาจังมากทีเดียว ส่วนมากอดอาหารละมากที่สุด จนท้องเสีย ถึงอายุเท่าไรจะออกช่วยชาติบ้านเมือง ท้องเสียมากนะ เป็นมาจากอดอาหารเรื่อยมาๆ

นี่พูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ไปองค์เดียว พ่อแม่ครูจารย์เสริมตลอด ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่าน บอกเท่านั้นละ ตลอดมาเป็นเวลา ๙ ปี ไปองค์เดียวทั้งนั้น จะตำหนิที่ไหนเปรียญก็ถึงขั้นมหาแล้วใช่ไหมล่ะ สงสัยที่ตรงไหน ไปที่ไหนก็ไปได้อย่างสง่าผ่าเผยด้วยอรรถด้วยธรรมที่เรียนมาไม่สงสัย มีแต่เราจะก้าวเดินตามธรรมอย่างไรบ้างเท่านั้น จึงได้รับความทุกข์ความลำบากมาก มีแต่ไปคนเดียวๆ ไม่เอาใครไปด้วยเลย

นี่ละนิสัยว่านิสัยอาภัพวาสนา ที่จะไปกับหมู่กับเพื่อนอย่างนี้เป็นไปไม่ได้ หัวใจเรามันขัดมันข้อง ถ้าไปสององค์ก็น้ำไหลบ่า ไปทางนี้น้ำไหลบ่า ไปองค์เดียวป่าช้าอยู่กับเรา เป็นตายเรารู้เราเอง ถ้าไปกับหมู่กับเพื่อนมันหากเป็นความรับผิดชอบอยู่ลึกๆ คนเราไปด้วยกันใช่ไหม มันหากเป็นน้ำไหลบ่าทางนี้ๆ ไม่รุนแรง ถ้าเราไปคนเดียวเอาละที่นี่ มอบความเป็นความตายอยู่กับเราคนเดียว อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน แต่เรื่องภาวนานี้หมุนติ้วๆๆ ไม่หยุดไม่ถอย เพราะจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพานตามที่พ่อแม่ครูจารย์สั่งสอนไว้อย่างแม่นยำด้วยว่า มรรคผลนิพพานก็ดีกิเลสก็ดีไม่มีอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจ ท่านบอก

ให้แก้ให้ถอดถอนกิเลสตัณหานี้ด้วยจิตตภาวนา ธรรมจะปรากฏขึ้นที่นั่น กิเลสจะพังลงที่นั่น เอาลงตรงนี้นะ สอนเรื่องจิตตภาวนาไม่บอกอย่างอื่น อย่างอื่นแก้ไม่ตก ท่านพูดอย่างเด็ดด้วย อย่างอื่นแก้ไม่ตก จิตตภาวนาเท่านั้นที่จะแก้กิเลสตัณหาตก เอาให้ดี ท่านว่า ทีนี้บทสุดท้ายท่านก็มาสรุป เป็นลักษณะที่เด็ดมาก พุ่งๆๆ เลย พอตอนสุดท้ายก็ เอ้อ ท่านมหาก็นับว่าเรียนมามากพอสมควร ถึงขนาดเป็นมหา อย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ ท่านว่าอย่างนี้

ธรรมะที่ท่านเรียนมาทั้งหมดเวลานี้ยังไม่เกิดประโยชน์ ให้เก็บบูชาไว้เสียก่อน อย่านำธรรมที่เรียนมากับภาคปฏิบัติมาคละเคล้ากัน จะเป็นความยุ่งเหยิงวุ่นวาย การปฏิบัติธรรมจะไม่สะดวก เพราะฉะนั้นการศึกษามามากน้อยเอาไว้เสียก่อนในคัมภีร์ ให้ค้นลงภาคปฏิบัติ ทีนี้เมื่อเวลาถึงกาลของมันแล้ว ระหว่างภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติจะวิ่งถึงกันนี้เอาไว้ไม่อยู่ เราก็ไม่ลืม เวลานี้ให้เก็บไว้เสียก่อน บูชาไว้เสียก่อน ให้ท่านเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนาให้มาก อย่าไปสนใจที่เรียนมามากน้อย จะไม่เกิดประโยชน์เวลานี้

นั่นละเราฟังถึงขนาดนั้น ท่านพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลานี้ที่ท่านเรียนมามากน้อยยังไม่เกิดประโยชน์ อย่าเอามาคละเคล้ากัน จะเป็นอุปสรรค ให้เน้นหนักลงทางภาคปฏิบัติ คือจิตตภาวนาล้วนๆ ถึงกาลเวลาที่ทางด้านปฏิบัติกับด้านปริยัติจะเข้าถึงกันแล้วจะวิ่งประสานกันเลย เอาไว้ไม่อยู่ นี่เราก็ไม่ลืมนะ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอจิตได้หลักได้ฐานแล้วออกทางด้านปัญญา มันก็วิ่งประสานกันระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ เอาไว้ไม่อยู่จริงๆ พุ่งๆ เลย เข้าได้หมดท่านพูดนะ ปริยัติ ปฏิบัติวิ่งประสานกัน เอาไว้ไม่อยู่ ท่านว่า อยู่ได้อย่างไรมันวิ่งถึงกัน ท่านพูดถึงขนาดนั้น

เราก็ฟัดเต็มเหนี่ยวของเรา เต็มกำลังความสามารถ เรื่องความทุกข์ความทรมานในการฝึกฝนเจ้าของ จึงไปคนเดียวพอดี ป่าช้าอยู่กับเราคนเดียว ไม่ได้ฝากไว้กับคนนั้นคนนี้ให้เป็นน้ำไหลบ่า ไม่เอา นี่ละปฏิบัติมาอย่างนี้ ก็สมมรรคสมผลตลอดมา สรุปเอาเลยนะ สมมรรคสมผล เหตุหนักผลก็หนัก เหตุเบาผลก็เบา ตามแต่เหตุ เหตุมีหนักขนาดไหนผลจะแสดงขึ้นมาๆ เหตุของเรานี้เหมือนว่าสละตายๆ ตลอด ผลก็ค่อยปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ

จนกระทั่งวาระสุดท้าย สุดยอดเลย ไม่ต้องพูดถึงปฏิปทาค่อยก้าวเดินเสียเวลา จิตมันก็พุ่งๆ ขึ้นเรื่อยๆๆ ด้วยอำนาจแห่งการเสียสละเอาเป็นเอาตายเข้าว่า เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น ชาตินี้ขอให้ได้มรรคผลนิพพาน ขอให้ได้เป็นพระอรหันต์ อย่างอื่นไม่เอา เมื่อฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นแล้วก็หนุนปึ๋งเลย เข้าช่องนิพพานช่องเดียว จะเป็นจะตาย หาบกิเลสตัณหาเป็นส้วมเป็นถานไปก็จะหาบเข้าไปมรรคผลนิพพาน มัน ก็เอา เพราะจิตมันเอา มันสู้

จนกระทั่งเอาจนถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงกันแล้ว ตัดสินกันได้ ลงกันได้ ตั้งแต่ความพากเพียรที่ได้ฟังจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น สรุปความลงแล้วมายุติกันในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เรียกว่าโลกสมมุติสามแดนโลกธาตุขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ จิตใจดีดนี้ก็เหมือนโลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลย นั่นเวลาตัดสิน ลงมาแล้วจึงได้เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยคาดเคยคิดมาเลย ไม่เคยคิด เป็นขึ้นเองในหัวใจ สรุปความลงเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว มันวิ่งถึงกันเองนะ ไม่ได้สวมรอย ไม่ได้วัดรอย มันหากเป็นเอง

อย่างพระพุทธเจ้า เวลาท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลกท่านก็ปรารถนา เพราะตอนนั้นท่านก็มีกิเลสอยู่ ท่านก็คาดไปธรรมดาว่าได้เป็นพระพุทธเจ้าสอนโลกจะสะดวกสบาย บทเวลาได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ธรรมประเภทนี้ซีผางขึ้นมาที่นี่ กับโลกทั้งหลายที่ท่านจะแบกจะหามสัตว์โลกผู้มืดบอด อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ อยู่ในหัวอกของท่านทั้งนั้นที่ท่านจะแบกจะหาม กับธรรมชาติที่จ้านี้มันเข้ากันไม่ได้กับคำว่าเป็นพระพุทธเจ้า

พอเป็นพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์แล้วกลับท้อพระทัย จะสอนไปอย่างไร มองดูมีแต่หินหนาป่าไม้เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกเต็มสงสาร หาสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นสาระ เช่นแร่ธาตุต่างๆ ฝังอยู่ในนี้มันมีหรือไม่มีนะ ค้นไปค้นมาก็มี ผู้มีอุปนิสัยปัจจัยมี อุคฆฏิตัญญูมี วิปจิตัญญูมี เนยยะมี ปทปรมะมากแสนมากมี  ท่านจึงค่อยคุ้ยเขี่ยขุดค้นสอนโลกไปเรื่อยๆ มาอย่างนี้ เวลาเป็นขึ้นแล้วท้อพระทัย จะไปสอนใครให้รู้ได้ ธรรมชาติถึงขนาดนี้แล้วใครจะรู้ได้ สอนที่ไหนว่าที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด เพราะโลกนี้มันโลกบ้าวัฏวน กับธรรมชาตินี้เข้ากันไม่ได้ สอนให้เขาเขาก็จะว่าเป็นบ้าไปหมด โอ๊ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่งเท่านั้น พอถึงกาลเวลาแล้วก็ไปเสียเท่านั้นแหละ

นี่ลงทีแรกเป็นอย่างนั้นนะ เคยคาดเคยคิดเมื่อไร พระพุทธเจ้าก็ทรงท้อพระทัยอย่างเดียว ทีนี้มันก็ท้อใจ พูดให้มันชัด มันเป็นอย่างนั้น ไม่เคยคาดเคยคิด ท้อใจธรรมชาติอันนี้ที่จะนำไปสอนโลก ใครจะไปเชื่อ ไปพูดที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าๆ ไปหมด โอ๊ย อยู่ไปกินไปวันหนึ่งพอแล้ว ทีนี้บทเวลาที่จะได้มาสั่งสอนโลกมันมีธรรมบทหนึ่งกระเทือนขึ้นมาอย่างแรงนะ พอเจ้าของจะทอดธุระแล้ว ว่าจะไม่สอนใครเลย ทำมาแทบเป็นแทบตาย ชีวิตรอดมาจึงได้มาเจอธรรมดวงนี้แล้วจะสอน ใครจะสามารถอุตส่าห์พยายามปฏิบัติธรรมด้วยความพากความเพียรประเภทนี้ ถึงขนาดได้ธรรมประเภทนี้ออกมา ประหนึ่งว่าไม่มี มันลบไปหมดเลยนะ

สุดท้ายธรรมประเภทที่กระเทือนในหัวใจ ไม่คิดไม่อ่าน นี่เรียกว่าธรรมเกิด ธรรมเตือน ก็เมื่อว่าโลกอันนี้ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ มีแต่เราคนเดียวรู้ได้ในธรรมประเภทนี้แล้ว โลกมนุษย์ทั้งหลายเขารู้ไม่ได้ เราเป็นเทวดามาจากไหนเราถึงรู้ได้ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับโลกทั่วไป ทำไมถึงรู้ได้ โลกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมเขาจะรู้ไม่ได้ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันทำไมเรารู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นั่นละเพราะเหตุใดตรงนี้ละมันวิ่งถึงกัน พอว่าเพราะเหตุใด สายทางมา ความดีของเราที่สร้างมาหนุนกันมาเป็นสายทางเข้ามาถึงจุดนี้กึ๊ก รู้ได้เพราะเหตุใด วิ่งปั๊บ อ๋อ รู้ได้ สายทางของเรามันประกาศป้างออก ของคนอื่นคนใดก็มีบุญวาสนาบุญญาภิสมภารมากน้อยเหมือนกัน มันก็มีมาแบบเดียวกัน ยอมรับ อ๋อ รู้ได้ ถึงไม่มากก็ได้ ไม่ปฏิเสธ นั่นละจึงมีแก่ใจค่อยสั่งสอนกันมา ถูๆไถๆ ไปอย่างนี้ละ

พูดตามความจริง เราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะมีบริษัทบริวารมากอย่างนี้นะ โดยลำพังของเราเป็นอย่างนั้น เป็นนิสัยวาสนาอาภัพ ไปที่ไหนไปองค์เดียวๆ ตลอดเลย เป็นเวลา ๙ ปี ลงเวทีมาแล้วหมู่เพื่อนถึงค่อยมาเกาะ พรึบๆๆ เรื่อยจนกระทั่งป่านนี้ จะไปไหนรถทางหลวงเลยอกจะแตก ขบวนของหลวงตามัน ๓๐ คัน ที่เขากำหนดไว้ขบวนละ ๕ คัน ๖ คัน อย่างมาก ๗ คัน ที่เขาจะนำขบวน ของเรามันตั้ง ๓๐ คัน ทางหลวงเลยจะตาย ทีนี้ทางหลวงก็เป็นลูกศิษย์จะทำอย่างไร เลยอกจะแตก กลืนไม่ได้คายไม่ออก ก็เป็นอาจารย์ของเรา ขบวนอาจารย์ของเราจะให้ว่าอย่างไร ตกลงก็กลืนไปกินไปอย่างนั้นละ นี่มันจะกี่คันนะวันนี้ก็ดี พอฉันเสร็จแล้วจะไปห้วยทราย ยาวเหยียดตั้งแต่นี้ถึงห้วยทราย มันจะต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้นนะ

ก็ย้อนมาอีก เราก็ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะมีลูกศิษย์ลูกหาอย่างนี้ ตามธรรมดานิสัยเราง่าย ทุกอย่างง่ายหมด ไม่มีอะไรพะรุงพะรังยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่อยู่ที่กิน ที่หลับที่นอน ที่ขับที่ถ่าย ที่อะไรพอดีๆ กับธรรมชาติของร่างกายซึ่งเป็นของพอดีกัน ให้วางไว้ระดับพอดีกันๆ ร่างกายนี้ก็เป็นซากผีดิบ แล้วจะหาของดิบของดีอะไรมาให้มันอยู่มันกิน มันหลับมันนอน มันก็เอาพอๆ กันมาอยู่ด้วยกันได้ เอาเท่านั้น พออยู่พอเป็นพอไปพอ ไม่ใช่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ร่างกายก็เป็นอย่างนี้ แต่อยากหาอะไรมาประดับประดา หาเมืองแดนสวรรค์ชั้นพรหมมาเป็นเครื่องประดับประดาร่างกายซึ่งเป็นป่าช้าผีดิบ มันเข้ากันไม่ได้ โลกจึงวุ่นวาย หาเลยความพอดีของตัวเองมันวุ่นวาย หาตามความพอดี เอาเจ้าของออกตั้งเลย เจ้าของขนาดไหนสิ่งที่มาเกี่ยวข้องก็ให้ขนาดเดียวกัน พอเหมาะ พากันเข้าใจแล้วนะ

ว่าจะไม่มีใครมันก็อย่างนี้จะให้ว่าอย่างไร มันเป็นเอง เราไม่เคยเกี่ยวข้องกับใคร แต่มันก็เป็นเองของมัน เวลาออกปฏิบัติก็เป็นอย่างนั้น ไม่เคยมีใครไปเกี่ยวข้อง พระนี่ติดตามไม่ได้ ไปองค์เดียวๆๆ พุ่งๆ เลย ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ทีนี้พอหมู่เพื่อนได้โอกาส เป็นเวลาที่พ่อแม่ครูจารย์มรณภาพลงไปด้วย ขาดที่พึ่ง ไขว่คว้า เรานี้เป็นเหมือนกับผู้ต้องหา วิ่งหลบนู้นหลบนี้ๆ ไปคนเดียว ไม่ให้ใครทราบ ไปที่ไหนปิด มหาบัวไม่ให้มี ปิด กลัวเพื่อนฝูงจะติดตามไป ไปแต่อีตาบัว มันก็รุมจนได้ เข้าใจไหม ต่อจากนั้นมาก็เลยพะรุงพะรังอย่างนี้ละ ไม่คิดไม่คาด นิสัยวาสนาอะไรเราก็ไม่ทราบละ เราไม่เคยคิดเคยคาด มันก็มีอย่างนี้ละเต็มไปหมด

เทศน์ก็ไม่ใช่ขั้นธรรมดา ตั้งแต่เริ่มสอนพระทีแรกเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด สอนอยู่บนศาลา บรรดาผู้ที่ฟังธรรมะทั้งหลายธรรมขั้นเด็ดขาดจะได้ฟังธรรมะที่เทศน์สอนพระกรรมฐานล้วนๆ บนศาลา เทศน์อย่างเฉียบอย่างขาดไปเลย จากนั้นก็กระจายเป็นแกงหม้อใหญ่ทั่วประเทศไทย เวลานี้ดูจะมีตั้งแต่เทศน์หลวงตาบัวออกทั่วโลกดินแดน ก็สมจริง เราไม่เคยสะทกสะท้านที่เราเทศน์ออกไปว่าจะผิดไป จะออกไปไหนก็ออกไปเถอะว่างั้นเลย เพราะถอดออกจากหัวใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นี้แล้ว ไม่มีที่ต้องติ สอนออกไปจะต้องติที่ตรงไหน ผิดที่ตรงไหน พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ จึงแน่ใจ ไม่ใช่โม้ไม่ใช่คุย พูดตามหลักความจริง เป็นอย่างนี้ละ เอาละ เท่านั้นละวันนี้

ไปได้ความดีความชอบมาจากไหนถึงได้เงินเป็นกอบเป็นกำ เหมือนนิทาน สูสุดทอ ใครได้ฟังไหมนิทาน สูสุดทอ พวกนี้ใครไม่มีวาสนาไม่ได้ยินละนิทานอย่างนี้ นานๆ จะโผล่มาทีนึง พอดีใครมาเกิดวาสนามาพบก็จะได้ฟังนิทาน สูสุดทอ เข้าใจไหมล่ะ ตั้งแต่ชื่อ สูสุดทอ ก็น่าฟังแล้วใช่ไหมชื่อของเขา เขาเป็นเพื่อนกันสองคน เขาไปหาอาหารประเภทต่างๆ ในป่าในเขา พวกอะไรก็แล้วแต่ อาหารป่าว่างั้นเถอะ เขาเอาไปถวายนายเขา นายเขาทำงานอยู่นู่น เขาได้ของหลายอย่างๆ เอาไปถวายนายเขา ทีนี้นายเขาเห็นว่ามีความดีความชอบ สองคนนี้เขาเป็นเพื่อนกันหรือว่าเป็นเสี่ยวกัน เขาไปด้วยกัน เขาก็เอาของนั่นละหามไป เอาไม้คานหามไป ของใส่นี้เต็มไปถวายนาย นายก็มาดู ของมีแต่อาหารป่าทุกอย่างๆ นายก็พอใจดีใจ เขาก็เลยตั้งความดีความชอบให้ ตั้งให้ไอ้นั่น

ไปด้วยกันคนหนึ่งเขาไม่ตั้ง เขาตั้งให้คนเดียว ตั้งชื่อให้เป็น สูสุดทอ ยศเขาเป็น สูสุดทอ พอกลับออกมาจากนั้นแล้ว คนหนึ่งเป็น สูสุดทอ คนหนึ่งไม่ได้เป็น สูสุดทอ แต่มันเป็นเสี่ยวกันเป็นเพื่อนกัน ทีนี้ไม้ที่หามไป เราหามไม่ได้หรอกเพื่อนเราได้เป็นสูสุดทอแล้ว ให้เพื่อนแบกเอา เราเป็นสูสุดทอไปแต่ตัวเปล่าๆ อ้าว แกเป็นสูสุดทอเราก็เป็นเพื่อนของแก แกเป็นสูสุดทอฉันก็ต้องเป็นสูสุดทอละซิ จะให้แต่ฉันแบกคนเดียวไม่ได้ อ้าว เข้าท่านะ แกก็ดีนะ เขาลงกันด้วยเหตุผล อ้าว ก็เข้าท่านะ เพื่อนคนหนึ่งเป็นสูสุดทอคนหนึ่งไม่ได้เป็น แต่ก็เป็นเพื่อนกัน ตกลงก็ต้องเป็นสูสุดทอด้วยกัน

ทีนี้เขาก็เลยเอาไม้แบกคานทางนี้ๆ สองคน ถ้าแบกนี้คนนี้ไปข้างหน้า คนนี้อยู่ข้างหลัง เราเป็นสูสุดทอเราต้องไปก่อน อ้าว เราก็เป็นสูสุดทอ ก็เถียงกัน ไปข้างหน้าข้างหลัง เถียงกัน จะทำไง ถ้างั้นเอาแบบล้อเกวียนเขา เอาอันนี้พานนี้ อันนี้แบกนี้ ไม้ก็อยู่อย่างนี้ ไอ้นี้ก็ไปทางเกวียน ไอ้นี้ก็ไปทางเกวียนตามกันไป เข้าใจไหมที่พูดอย่างนี้ ไม้ธรรมดาก็แบกไปธรรมดานะ นี่ต่างคนต่างแย่งสูสุดทอกัน ถ้าจะไปข้างหน้านี้เป็นสูสุดทอ หลังนี้ก็เป็นเพื่อนมันต้องเป็นสูสุดทอกัน แล้วทำไง ถ้างั้นไปด้วยกัน มาตามทางมาอย่างนั้นละ แต่เขาก็ลงกันได้ด้วยเหตุผลของเขา พอทางนั้นว่าเราเป็นสูสุดทอ อ้าว เราเป็นเพื่อนกันเราก็เป็นสูสุดทอด้วยกัน เข้าทีนะ เอ้า ลงกัน

ตกลงก็เอาไม้เปล่าๆ คนนี้แบกทางนี้ๆ ไปตามทางเกวียน ไปจนกระทั่งมาถึงบ้าน พอมาถึงบ้านไอ้เพื่อนมันโมโหจะตาย แต่มันทนเอา ทนเอาก็เพราะว่าเพื่อนไม่มีเจตนา แต่ก่อนก็เป็นคนดิบคนดีคนซื่อๆ ตรงๆ แต่พอได้เป็นสูสุดทอมาแล้วมันเป็นบ้ายศเข้าใจไหม ก็ให้อภัยคือเพื่อนเรามันเป็นบ้ายศต่างหาก ช่างหัวมันเป็นไงช่างมัน เอากันมาตามทางนั้นละ ทะเลาะกันมา ทะเลาะทีไรไอ้ตัวสูสุดทอสู้เพื่อนไม่ได้ ถ้าว่าเป็นสูสุดทอ ก็เราเพื่อนกันก็เป็นสูสุดทอด้วยกัน อ้าว เข้าท่านะ เอ้าถ้างั้นเสมอกัน จนกระทั่งเอาไม้มา

ทีนี้พอมาถึงบ้านแล้วไอ้เพื่อนมันโมโห มันก็จับไม้ปาเข้าป่าแล้วมันก็ไปบ้านมัน ปล่อยให้สูสุดทออยู่คนเดียว ขึ้นไปดูมองนั้นมองนี้ นั่งธรรมดาไม่เป็น คือธรรมดามันก็นั่งตามประสีประสาคนยังไม่ได้เป็นสูสุดทอ พอได้เป็นสูสุดทอแล้วมานั่งขัดสมาธิ มองนั้นมองนี้ ลูกเขาผิดแปลกสายหูสายตาเขา ทำไมพ่อมาคราวนี้ไม่เหมือนเก่า เป็นยังไงลูก ดูลักษณะพ่อเป็นยังไงแปลกๆ อยู่นะ เอ้อ เห็นจะใช่ เดี๋ยวนี้พ่อไปได้ความดีความชอบ แล้วความดีความชอบว่าไง เอ๊ พ่อก็ระลึกไม่ได้ มันชื่อว่าไงมันเหมือนกะทอ จำชื่อสูสุดทอไม่ได้ เวลาลูกถามชื่อว่าไงล่ะยศนั่น เอ้อ กูก็จำไม่ได้ มันเหมือนกะทอละลูก ทีนี้ลูกเขาก็เลยวิ่งไปหาเสี่ยวนั้นล่ะ ไปถาม พ่อเวลานี้เหมือนจะเป็นบ้าเป็นไงไม่รู้นะ ดูแล้วพ่อเหมือนจะเป็นบ้า

กูก็รำคาญมันแต่นู้นมา ตั้งแต่มันได้เป็นสูสุดทอ มันอาละวาดกูมาตลอดทาง แต่ก็สู้กูไม่ได้ เหตุผลทางนี้มันยอมรับ อาละวาดกันมาตลอดทาง ไม้ท่อนเดียวนั้น มันให้กูแบกข้างหลัง กูว่าเราเป็นเพื่อนกันทำอย่างนั้นไม่ได้ ตกลงก็เลยเดินเรียงหน้ากระดานไป ให้คนหนึ่งไปข้างหน้าข้างหลังไม่ได้ใช่ไหม พอว่างั้นมันก็ยอม เอ้อ เป็นสูสุดทอ เราก็เป็นเพื่อนกันจะทำไง ถ้างั้นเอาแบก พอมาถึงบ้านไอ้เสี่ยวมันก็จับปาเข้าป่าแล้วมันก็ไปบ้านมัน มันโมโห ไอ้นี้ขึ้นไปก็ไปนั่งขัดสมาธิ มองโน้นมองนี้แล้วดูโน้น ตาหยี นิทานนี้ไม่ได้ยินง่ายๆ นะ คนทั่วกรุงสยามไม่ได้ยินนะให้ฟังให้ดี

พอขึ้นไปแล้วก็มองโน้นมองนี้ ลูกเขาเห็นผิดหูผิดตาก็ถาม เป็นยังไงพ่อวันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ อย่างกูว่าละสู ไปได้ความดีความชอบมา เวลาถามความดีความชอบว่าไง เอ้อ กูก็จำไม่ได้ มันก็เหมือนกะทอนี่ละ จึงวิ่งไปหาเสี่ยว ไปถาม จึงบอก โอ๊ย มันเป็นบ้ามันอาละวาดกูมาสุดทางละ ภาษาทางภาคอีสานเขาเรียกว่าบักห่านี่พูดง่ายๆ มันอาละวาดกูมาสุดทางแต่สู้กูไม่ได้ คือมันยอมเหตุผลอยู่นะ กูซัดทีไรมันก็ยอม ตกลงก็เลยได้เอาไม้นี้มา กูโยนเข้าป่าแล้ว

ทีนี้มากินข้าวนะ ลูกเขาหาข้าวมาให้กิน แกไม่เคยนั่งขัดสมาธิ ทีนี้แกก็นั่งขัดสมาธิกินข้าวละซิ แกตื่นสูสุดทอแก กินไปกินมาดูไปดูมามันเผลอ ขาไม่เคยนั่งขัดสมาธิมันเผลอ ขานี้เตะสำรับตกโน้น ขามันดีดออกมันไปเตะสำรับตกโน้น อ้าว ทำไมพ่อถึงทำอย่างนี้ล่ะ มาเตะสำรับทำไมอย่างนี้ เอ้อ เห็นใจพ่อเถอะนะลูก อันนี้มันไม่สมยศพ่อ พ่อจึงได้เตะไปโน้น ความจริงมันเผลอ ขามันดีดออก เลยว่ามันไม่สมยศพ่อ เข้าใจไหมล่ะ นี่ละสูสุดทอ จบแล้วพอ เอาละเท่านั้นละพอ มาจบที่เตะสำรับ เลยไม่ได้สะแตก เตะสำรับแล้วเลยไม่ได้สะแตก สูสุดทอท้องแห้งว่างั้นเถอะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก