เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
หนึ่งไม่มีสอง
(มีผู้เก็บกระเป๋าสตางค์ตกภายในวัดได้) ของใครให้มาเอา สตางค์ที่ตกอยู่ในย่านกุฏิ ๓๖ ตามหลักพระวินัยท่านมี ถ้ามีของอยู่ภายในวัดซึ่งอยู่ในวงกรรมสิทธิ์ของพระที่อารักขาแล้ว สิ่งที่ไม่เคยแตะต้องตามหลักพระวินัยท่านห้ามเอาไว้ ให้จับได้เลย เช่นอย่างนี้ ไม่จับปรับโทษอีกด้วย เป็นอย่างนั้นนะ พวกเงินพวกทองตามหลักพระวินัยท่านห้ามไม่ให้จับไม่ให้แตะต้อง แม้แต่เป็นธรรมดาก็เรียกว่าเป็นของอนามาส ไม่ควรไปจับต้องเลย ถ้ายิ่งเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ก็โทษหนักกว่านั้นเข้าไปอีก ท่านไม่ให้จับเงินจับทอง หรือสิ่งที่ใช้แทนเงินแทนทองห้ามจับ เช่นอย่าง ธนบัตร เงินเขาก็ถือเป็นพวกแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นเงินใช่ไหมล่ะ สิ่งที่ใช้แทนเงินได้เช่นธนบัตรมันก็เข้าเป็นอันเดียวกัน ท่านห้ามจับทั้งนั้น
แต่เวลาสิ่งเหล่านี้มาตกอยู่ในบริเวณที่พระพัก อยู่ที่ไหนก็ตาม พระต้องเก็บเอาไว้หรือสั่งคนใดคนหนึ่งมาเก็บเอาไว้ให้ปลอดภัย ถ้าไม่มีใครพระต้องเก็บ แล้วโฆษณาหาเจ้าของ ตามพระวินัยท่านแสดงไว้อย่างนั้น โฆษณาหาเจ้าของนานพอประมาณ ไม่เห็นมีใครมาแล้วก็นำวัตถุอันนี้ไปทำสาธารณประโยชน์ จะไปทำอะไรก็ตามเป็นสาธารณประโยชน์แล้วก็ไปทำได้ เมื่อมันสุดวิสัยมันนานแล้ว เจ้าของเขามาทวงหรือเขามาบอกก็ชี้บอกว่า ได้ทำสาธารณประโยชน์ที่นั่น ๆ แล้ว หมดปัญหา ท่านว่าอย่างนั้นนะ ถึงเขาจะมาปรับโทษพระก็ไม่เป็นโทษ
อันนั้นธรรมดาใครจะมาปรับ แต่พระวินัยท่านละเอียด ถึงจะมาปรับโทษพระ พระก็ไม่เป็นโทษ เพราะได้ประกาศตามหลักธรรมวินัยคือความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว เช่น ประกาศก็ประกาศบอกแล้ว เมื่อไม่มีใครมาทวงคืนหรือมารับเอาคืน ก็ให้นำวัตถุนี้ไปสร้างสาธารณสถานหรือเป็นสาธารณประโยชน์ เวลาเขามาถามก็ให้ชี้แจงตามที่ไปจัดไปสร้างไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าหมดปัญหาไปเลย หากเจ้าของเขาจะมาทวงเอาบาปเอากรรมอะไรก็ไม่ได้ พระท่านไม่เป็นโทษ พูดถึงขั้นนั้นนะพระวินัย ละเอียดลออมาก
พวกโกโก้ ช็อกโกแลตมีมาหลัง ๆ นะ พวกกาแฟ เหล่านี้ก็มีมานาน นี่เพียงสักแต่ว่ามี จะว่าไม่มีจริง ๆ มันก็มีอยู่ มีน้อยมาก สำหรับพระกรรมฐานสมัยตั้งแต่เราย้อนหลังขึ้นไปหาครูบาอาจารย์แล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องถามถึงเลย ท่านไม่คิดถึงมันเลยละเพราะคิดเท่าไรก็ไม่มี พวกโกโก้ กาแฟ น้ำอ้อย น้ำตาล ไม่มีนะ คือมีก็มีอยู่ตามตลาดลาดเลในอำเภอในตัวเมืองไปเสีย ในหมู่บ้านนี้เรียกว่าไม่มีเลย ทีนี้เวลาท่านไปพักเที่ยวภาวนา ท่านไม่ได้ไปตามอำเภอไปตามจังหวัดนะ ท่านเข้าในป่า เพราะเหตุนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่มีในป่า พวกโกโก้ กาแฟ ในตลาดก็จะหายากอยู่แต่ก่อน หากมีแต่มีแบบว่าหายาก ไม่ค่อยมีละ ตามอำเภออย่างนั้นพอมีบ้าง
เพราะการไปมาหาสู่ไม่สะดวก สินค้าอะไร ๆ นำออกนำเข้าลำบาก นำไปมาที่ไหนลำบากเพราะรถยนต์ไม่มี พวกล้อพวกเกวียนก็ขนมาใส่ร้านเขา รถราไม่มี ตอนที่มีรถรานี้อะไรก็ค่อยมีมากขึ้น ๆ เดี๋ยวนี้เกลื่อนไปหมดเลย รถเป็นพาหนะที่สำคัญ แต่ก่อนไม่มีแหละ เรื่องน้ำร้อนน้ำชานี้เรียกว่าไม่มี พระท่านไม่ฉัน พระกรรมฐานไม่เอา ไม่สนใจเลย ฉันจังหันฉันเสร็จแล้วเท่านั้น อย่างมากก็มะขามป้อม สมอ ก็ฉันจิ๊บ ๆ แจ๊บ ๆ นิดหน่อย ฟังแต่ว่านิดหน่อย ส่วนน้ำอ้อยน้ำตาลนี้ไม่มีเลย เฉพาะในสมัยเรานี้ก็ไม่มี มามีเอาตอนสร้างวัดป่าบ้านตาด มีต่อหน้าต่อตาเรา มาทีแรกก็ไม่มี
การฉันน้ำร้อนน้ำชาไม่มีในวัดนี้แต่ก่อนนะ ไม่มีเลย เพราะเราเคยพาดำเนินมาอย่างนั้น ไม่มีใครจะไปสนใจกับน้ำอ้อยน้ำตาลอะไร ครั้นอยู่มานานคนนั้นมาถวาย คนนี้มาถวายมันก็มีมา เมื่อมีมาแล้วจะทำไง ก็แจกแบ่งกันฉันตามที่มันเกิดมันมีมา แต่ไม่แสวงหา มีมาก็จัดฉันไป ต่อมาก็มากเข้า ๆ ซิเลยเต็ม เดี๋ยวนี้เต็มกระทั่งโกดัง น้ำตาล ของเล่นเมื่อไร โกดังของเล่นหรือนั่น เต็ม กระสอบละ ๕๐ กิโล ๆ ให้พอประมาณ ๆ ถ้าให้มากไปแล้วมันหนักด้วย เลยเอาประมาณ ๕๐ กิโล จะแยกแจกไปที่ไหนก็ ๕๐ กิโลเป็นส่วนมากนะ เช่น ไปวัดต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล ส่วนมากมาเร็วก็มารถคันเดียวก็ให้คันละ ๕๐ กิโล ๆ เป็นประจำ นั่นละมีมาก แต่ก่อนไม่มี
สะดวกมากสำหรับพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมเปิดทางโล่งเลย เปิดทางความไม่กังวลโล่งเลย เรามาอยู่ทีแรกก็ไม่มี พอมานานเข้า ๆ ก็มีมา เดี๋ยวนี้เลยเป็นโรงน้ำอ้อยน้ำตาล โรงโกโก้ กาแฟ โรงอรรถโรงธรรมไม่มี เราอยากจะว่าไม่มี มีแต่โรงโก้โก้ กาแฟ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ระลึกได้ เขาเอาสมอใส่กระสอบมา เต็มกระสอบมาเลย รถกระบะเล็ก ๆ มานี่ กึ๊ก ๆ เข้ามานี่ เขามาจากไหนเราก็ลืมแล้วแหละ ดูว่ามาจากทางสกลนคร มาก็มาเจอกับเรา ทีนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเรา กึ๊ก ๆ เข้ามามาจอดกึ๊ก เราก็มานี้พอดี ครัวแต่ก่อนเล็กกว่านี้ พอมาจอดกึ๊กก็ว่า นี่สมอ ให้เอาไว้ที่ไหน เขาเป็นฆราวาส ก็คนไม่เคยเห็นกันนั่นซี สมอเอาไว้ที่ไหน เราก็เลยชี้บอก
เราเดินมานี่จะลงไปน้ำบ่อ เขามาก็ว่า สมอเต็มถุงนี่จะให้เอาไว้ที่ไหน เราก็เลยบอก โน่นให้เอาไว้โรงปอบ เขาก็มองหน้าเรา เราก็เฉย เอาไว้ที่ไหนเขาว่าอีก นู่นเอาไว้โรงปอบ แล้วก็เดินเรื่อยเลย เขาก็มองตามหลังเราไปเราเฉยจนกระทั่งป่านนี้ นั่นบทเวลาจะทำเห็นไหมล่ะ เอาไว้โรงปอบ เฉยเลย เขาก็มองหน้าเรา เราก็รู้ว่าเขามองแต่เราไม่มองเขา เราก็เดินเฉยไปแบบหลวงตา เอาไว้ที่ไหน ย้ำอีก ว่าเอาไว้โรงปอบ ใครเกิดมาไม่เคยได้ยินว่าโรงปอบอยู่ที่ไหนใช่ไหม
อยู่ ๆ มาถาม เอาไว้ที่ไหน โรงปอบอยู่ที่ไหนเราก็บอก นู่นเอาไว้โรงปอบ ปุ๊บปั๊บจ้องหน้า เอาไว้โรงไหนถามอีก โรงปอบ เราชี้นิ้วเลย เขามองหน้าเราก็เดินเฉยเลย ปอบมะขามป้อม สมอ เข้าใจไหม แต่เราไม่บอกอย่างนั้น เราบอกเอาไว้โรงปอบแล้วไปเฉย อย่างนั้นละเวลาจะทำ ทำอย่างนั้นนะ ทำได้ทุกแบบจึงบอก เรื่องโลกสมมุติอะไร ทำไปอย่างนั้นแหละ ตามโลกสมมุติเขาใช้กันยังไงเขานิยมกันยังไงก็ว่าตามเขาไปอย่างนั้น สมมุติก็ใช้กันไป จึงเรียกว่าสมมุติ ใช้กันไปอย่างนั้น
พูดถึงวิมุตติแล้วพ้นหมดเลย สมมุติไม่มีเลยไม่มีเหลือ อย่างนั้นนะถึงว่าวิมุตติ พ้นจากสมมุติไปหมด อันนั้นไม่มีเลย สมมุติจะมีอยู่ในแดนสมมุตินี่เท่านั้น วิมุตติแล้วไม่มี แดนวิมุตติกับแดนสมมุติ เรื่องของกิเลสถ้าเราจะเทียบกันอย่างสมมุตินะก็เรียกว่า มันคอยเอาเปรียบและได้เปรียบตลอดเวลา ธรรมจะได้เปรียบมันน้อยมาก มีแต่เสียเปรียบมัน ถ้าต่อสู้ก็เสียเปรียบเสีย ส่วนมากไม่ต่อสู้ร้องแง ๆ ไปเลย เป็นอย่างนั้นนะกับกิเลส มันแหลมคมมากขนาดนั้นละ มองไม่เห็นเลย นี่ละที่เราพูดเราสลดสังเวช
จิตใจของสัตวโลกนี่ตัวฟืนตัวไฟมันเผาอยู่ในหัวใจทุกดวงเลย พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้นะ จ้าเข้าไปนี้มันไปไหนวะ เอาอะไรมาปิดธรรมพระพุทธเจ้าน่ะ มันจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นละไม่ให้ใครเห็น ไม่มีใครเห็น พวกโลกนี้ไม่เห็นมันซิมันจึงสนุกขยี้ขยำทุกสิ่งทุกอย่าง จะไปสร้างคุณงามความดีมันก็ขึ้นอยู่บนคอไป นั่งอยู่บนคอด้วย ถ้ามันปวดขี้มันก็ขี้รดไปด้วย ไหลลงตามหลัง เจ้าของก็เดินจงกรมเฉย เดินจงกรมเฉยเป็นยังไง คือเซ่อไปเรื่อย ๆ เข้าใจไหม เดินจงกรมก็ไม่มีสติ ปัญญาไม่ต้องพูด ทางนี้ก็ไหลลง ทางนั้นก็ขี้รดลงไปเรื่อย ๆ มันเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา เจ้าของก็เพลินเดินจงกรม วันนี้ได้เท่านั้นชั่วโมง ได้เท่านี้ชั่วโมง เพลิน กิเลสขี้รดหัวไม่สนใจ ขี้มีกี่กองล่ะ
เดินจงกรมเท่านั้นชั่วโมง เท่านี้ชั่วโมง ขี้ที่กิเลสขี้รดลงมานั้นได้กี่กองแล้วล่ะ ไม่ได้ถามนะ เราเทียบนี่คือความแหลมคมของมัน คมมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงได้ครอบโลกธาตุ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์ ๆ จึงเป็นฟ้าดินถล่ม ไม่ถล่มได้ยังไง ใครขึ้นมาได้ง่าย ๆ เหรอ มาเหนือธรรมชาตินี้เหนือไม่ได้นะ นี่ที่เป็นของอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ฟ้าดินถล่ม บรรดาสาวกอรหัตอรหันต์รอง ๆ กันลงมา เป็นอย่างนั้น เพราะเป็นของที่ไม่มีได้ในที่ไหน ๆ นอกจากผู้สิ้นกิเลสเท่านั้นจะมีได้เป็นราย ๆ นอกนั้นไม่มีใครจะแฝงขึ้นมาได้เลย แข่งกิเลสขึ้นมาโดยไม่มีฟ้าดินถล่มอะไร ๆ อยู่ ๆ ไม่ต้องต่อยกิเลสหงายไปเลย ไม่มี ต้องซัดกันถึงฟ้าดินถล่ม นั่นเห็นไหม
เวลามันเปิดออกมาแล้วก็เห็นหมดล่ะซิ เวลามันปิดก็เหมือนเอากระทะครอบหัวเรานั้น ฟ้ากว้างขนาดไหนดวงดาวบนฟ้ามีมากขนาดไหนมันไม่เห็น กระทะครอบหัวมันอยู่นั้น พอเปิดกระทะออกแล้วที่ไหนก็เห็นหมด จึงว่าอัศจรรย์ ๆ ธรรมพระพุทธเจ้า จะอุบัติขึ้นมาได้แต่ละพระองค์ ๆ นี้ โถ สร้างพระบารมี ใครจะสร้างได้ คิดดูซิอย่างปรารถนาพุทธภูมินี้เป็นหมื่น ๆ นะ ยกตัวอย่าง ที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากชั้นดาวดึงส์ ตามประวัติท่านแสดงไว้นี้ ประชาชนทั้งหลายมีความกระหยิ่มยิ้มย่องอัศจรรย์พระพุทธเจ้าเวลาเสด็จลงมา ใครก็ปรารถนาพุทธภูมิ ๆ มากมาย แต่จะได้สักรายหรือสองรายก็ไม่รู้นะ น่ากลัวไม่ได้นะที่ปรารถนามาก ๆ น่ะ นั่นละผ่านไปได้ยากอย่างนั้นละฟังเอาซิ
ปรารถนาก็ปรารถนาในเวลานั้น พอเลยจากปรารถนาแล้วกิเลสก็ขึ้นบนหัวขี้รดไปเรื่อย ๆ ไปเลย ปรารถนาพุทธภูมิไม่มี กิเลสเอาไปกินหมด นี่ซิจึงว่าตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งสำเร็จเป็นศาสดาองค์เอกนี้เต็มภูมิแล้วถึงเป็นได้ทุก ๆ ขั้นของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ ๓ ตอน อันหนึ่งก็ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป อันดับที่สองก็ ๘ อสงไขยแสนมหากัป อันดับที่สามก็ ๔ อสงไขยแสนมหากัป ต้องเต็มภูมิทุกพระองค์ถึงจะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ แล้วยากขนาดไหนล่ะฟังซิ
อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ ๑๖ อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง อย่างทุกวันนี้เราก็เทียบเอาล้านเป็นเกณฑ์ นับไปถึงล้านแล้วจะเรียกว่าอสงไขย นับไม่ได้แล้วไม่นับกัน จะเอาล้านเป็นที่ตั้ง หนึ่งล้าน สองล้าน ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ไปเลย ไม่ได้เลยจากนั้น เอาล้านเป็นที่ตั้ง หนึ่งล้านเรียกว่าหนึ่งอสงไขย สองล้านก็สองอสงไขยไปอย่างนั้น เรียกว่านับไม่ได้ถึงเท่านั้นครั้งเท่านี้ครั้ง เป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป นี่ละท่านได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นของยากของลำบากขนาดไหน กว่าจะได้นำธรรมมาสอนโลก เรียกว่าเอาพระองค์เป็นประกันทุก ๆ พระองค์ไปเลย ก่อนจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้ามาสอนสัตวโลก
พระพุทธเจ้าทั้งสามนั้นก็หมายถึง การแนะนำสั่งสอนสัตวโลกนะ พระพุทธเจ้าอันดับหนึ่ง สั่งสอนสัตวโลกได้มาก อันดับที่สองรองกันลงมา อันดับที่สามก็ลดกันลงมาเป็นลำดับลำดา แต่สำหรับภูมิแห่งความเป็นศาสดาองค์เอกนั้นเสมอกันหมด เต็มภูมิของศาสดาทุก ๆ พระองค์ เป็นแต่เพียงว่าการขนสัตวโลกนี้มีจำนวนมากน้อยต่างกัน อย่างพระพุทธเจ้าของเราท่านก็บอกท่านไม่ได้มาก ท่านก็รับสั่งไว้แล้ว ท่านบอกไม่ได้มาก ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าอันดับนั้น ๆ ต่างกัน
แม้แต่พระชนมายุก็เหมือนกัน มีลดหย่อนผ่อนผันลงเป็นลำดับลำดา พระองค์ก็ยืนยันไว้ตั้งแต่ยังไม่นิพพานว่า ก็มีเรานี่แหละที่อายุน้อยที่สุด เพียง ๘๐ ปีเท่านั้น ยังไม่ตายบอกไว้แล้ว เพียง ๘๐ ปีเท่านั้น บอกไว้แล้ว พอถึงวันก็เสด็จไปเลยเห็นไหม สะทกสะท้านอะไร ผิดพลาดที่ตรงไหน พอถึงวันเดือนสามเพ็ญประกาศลั่นแล้ว พระวาจาพระพุทธเจ้าหนึ่งไม่มีสองแล้ว ถึงวันเดือนหกเพ็ญเต็มสามเดือนแล้วก็ไปเลย นิพพานเลย นั่นละพระวาจาพระพุทธเจ้ารับสั่งคำไหนไม่มีสอง ท่านจึงแสดงไว้ในพระบาลีว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองคืออะไร
หนึ่งไม่มีสอง ได้แก่ พระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาในโลกนี้มีเพียงพระองค์เดียวหนึ่ง พระองค์เดียวเท่านั้น ไม่เคยมีเป็นคู่เคียงกันมาเลย เพราะเป็นสิ่งที่ยากแสนยากที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นก็ลือลั่นในโลกธาตุนี้แล้ว นี่ละ เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง พระพุทธเจ้าอุบัติเพียงแต่ละพระองค์เท่านั้น อันหนึ่ง
อันสองก็พระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงหยั่งทราบตรงไหนทำนายอันใดแล้วไม่มีสองอีก เป็นอย่างนั้นตลอดไป ช้ากับเร็วก็เป็นไปตามนั้นเลย เช่น ทางจากนี้ไปบ้านตาดกี่กิโล จากนี้ไปกำแพงนี้กี่กิโล ถึงด้วยกันแต่ช้าหรือเร็ว กำแพงอยู่ระยะนี้ บ้านตาดอยู่ระยะนั้น ไปตามต้องถึงตามนั้น มีอยู่ตามนั้น บ้านตาดอยู่ตรงนั้นแน่ หน้าวัดอยู่ตรงนี้แน่ บอกว่าแน่เลย ๆ เรียกว่า เอกนามกึ พระญาณหยั่งทราบอะไรแล้วไม่มีสอง
แล้วอันหนึ่ง พระวาจาที่รับสั่งอะไรแล้วนั้น พระญาณหยั่งทราบแล้วยังไม่แล้วนะ เช่นทรงทำนายใครต่อใครก็ตาม ถ้าทรงทำนายแล้วต้องเป็นหนึ่งเลยไม่มีสอง จะเป็นอื่นไปไม่ได้ จะไปลบล้างยังไงก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปตามนั้น แล้วพระวาจาที่รับสั่งลงไปแล้วก็ไม่มีสองอีกเหมือนกัน รับสั่งอย่างไรเป็นอย่างนั้น นี่ก็สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว รับสั่งไว้แล้ว พอประมาณก็ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่ท่านจดจารึกมาให้เราทั้งหลาย เป็นแบบแปลนแผนผังก้าวเดินตามนี้ นี้เรียกว่าพระวาจาที่รับสั่งไว้เรียบร้อยแล้วไม่มีสอง เช่นว่าบาปมี ไม่มีไม่ได้ อะไรมาลบไม่ได้ บาปมี-มีตลอดไปเลย ใครสร้างบาปเป็นบาปทันที ใครสร้างบุญเป็นบุญทันที
ท่านบอกว่าบาปมีบุญมี แล้วแต่ผู้ที่จะไปเอื้อมทางไหน เอื้อมไปทางบาปเป็นบาปทันที เอื้อมมาทางบุญเป็นบุญทันที ทั้งสองอย่างนี้ให้ผลเสมอกัน นี่ก็พระวาจาพระพุทธเจ้ารับสั่งไว้ว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ว่าบาปมีมีอย่างนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้ บุญมีมีอย่างนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้ นรกมีเป็นอื่นไปไม่ได้ สวรรค์ พรหมโลก นิพพานมีเป็นอื่นไปไม่ได้ นั่นฟังซิ นี่พระวาจา สวากขาตธรรมคือตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีอะไรแก้ไขได้แล้ว มีความชอบความเหมาะสมทุกอย่าง ความถูกต้องดีงามอยู่ในวงของสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้แล้วทุกอย่างเลย
จึงเรียกว่าธรรมที่สอนโลกนี้เป็นธรรมที่รับรองจากพระวาจาของพระพุทธเจ้าว่า หนึ่งไม่มีสอง ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย อย่างเปรตผีประเภทต่าง ๆ นี้เต็มทั่วดินแดนโลกธาตุ ที่รับเข้าอยู่ในเรือนจำก็มี อยู่นอกเรือนจำก็มี เหมือนคนเรานั่นแหละ พวกนักโทษอยู่ในเรือนจำก็มี แต่ละเรือนจำ ๆ มีนักโทษมากขนาดไหน ถ้าเราไปดูนักโทษในเรือนจำ โห นักโทษในเรือนจำนี้มาก ๆ เรือนจำนั้นสู้ไม่ได้ เรือนจำนี้สู้ไม่ได้ เขานับเพียงเท่านี้เขาก็มีแข่งกันว่า เรือนจำนั้นคนมาก เรือนจำนี้คนน้อย
แต่ถ้าแยกออกไปจากเรือนจำล่ะ ผู้ที่ไม่ติดคุกติดตะรางอยู่ในเรือนจำเหมือนพวกเธอทั้งหลายมีขนาดไหน ไม่เห็นถามเขาบ้างล่ะ พวกนี้มีมากกว่าใช่ไหม นี่ละพวกสัตว์นรกที่ตกนรก ที่ไปจมอยู่ในนรก นรกหลุมใหญ่บรรจุนักโทษได้มาก อนันตริยกรรมก็มีในนั้นเป็นเรือนจำใหญ่ นรกอันนี้เท่ากับเรือนจำหลังใหญ่ รองลำดับลำดากันลงมานี้เต็มไปหมด แล้วก็ติดโทษอยู่ในนั้นเป็นประจำ ๆ มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งออกนอกเรือนจำนี้แล้ว เราจะว่าพวกสัตวโลกจะมีเสวยกรรมตั้งแต่อยู่ในนรกเท่านั้นหรือ ที่นอกจากนรกไปแล้วมันเสวยกรรมมากมายยิ่งกว่าสัตว์ที่อยู่ในนรกนั้นอีกเป็นไหน ๆ เหมือนกับคนที่อยู่ทั่วโลกดินแดนเรานี้ ไม่ได้เข้าอยู่ในคุกแต่ก็เสวยกรรมของตัวเองอยู่นอกคุก ๆ เหมือน ๆ กัน มากเหมือนกัน
อันนี้คนชั่วที่เข้าไปจมอยู่ในนรก นี้เรียกว่าพวกที่มีกรรมหนาสมควรจะ เหมือนอย่างว่านักโทษสมควรที่จะเข้าใส่คุกใส่ตะรางเขาก็จับ ที่ยังไม่สมควรที่จะเข้า มันหลบ ๆ หลีก ๆ อยู่นั้นก็มีเยอะ แล้วผู้ไม่ทำความชั่วก็มีมาก ก็อยู่ตามสภาพของเขา แต่อย่างไรก็ตามไม่เหนือกรรม กรรมดีกรรมชั่วต้องติดแนบอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการเสวยกรรมดีกรรมชั่วความสุขความทุกข์จึงมีด้วยกัน เป็นแต่เพียงว่ามีมากมีน้อยต่างกันเท่านั้นเอง
อันนี้เราเทียบถึงสัตว์ในแดนนรกก็ว่ามากต่อมาก แล้วนอกจากแดนนรกไปอีกมากไหม ขนาดไหน สามแดนโลกธาตุนี้มากขนาดไหน ยังมากกว่านั้น ถึงไม่ได้เสวยกรรมแบบนั้นก็เสวยกรรมแบบนอกนรก เหมือนกับเขาไม่ได้เสวยกรรมเป็นนักโทษ เขาก็เสวยกรรมเป็นพลเมืองดีเรานี้แหละ พลเมืองทุกข์เขาไม่อยากว่ากันแหละ พลเมืองทุกข์อยู่นอกก็ทุกข์อยู่ในก็ทุกข์ อยู่ในเรือนจำก็ทุกข์ ออกมาข้างนอกก็ทุกข์ เข้าใจเหรอ เวลาปวดขี้อยู่ในเรือนจำ ขี้ไม่ทันขี้แตกอยู่ในเรือนจำก็ได้ อยู่นอกเรือนจำเวลาปวดขี้นี้วิ่งเข้าถานไม่ทันขี้ราดก็ได้
เมื่อวานซืนนี้หลวงตาก็ขี้ราดเข้าไปในส้วม ก็เอาความจริงมายืนยันกันอย่างนี้ซิ เราปวดปุบปับฟาดเข้าไปในห้องไม่ทัน มันฟาดออกมานั้น โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ มันรอเมื่อไรมันหนักกว่าเรานี่นะ มึงไม่อยากไปอย่าเข้า มึงอยากขี้ราดอยู่นอกนี้ก็เอา ใครจะอยากขี้ราดนอกมันก็โดดเข้าไป อันใดเหลืออยู่นั้นก็เข้าไปข้างใน อันไหนนอกก็ให้ราดไป อำนาจของกรรมมันบังคับแล้วเหมือนเราปวดขี้แหละ ถ้าลงได้บังคับแล้วทะลักเลย กรรมบังคับสัตวโลกก็แบบเดียวกันเมื่อถึงกาลเวลา ใครอย่าอวดหนาอวดเรื่องกรรม ตั้งแต่ปวดขี้มันยังไม่เห็นอวดได้วะ เข้าถานไม่ทันขี้ทะลักอยู่นอกถานมีเยอะ มีไหม แถวนี้ใครเคยมีไหม หลวงตาบัวไม่ปฏิเสธ เมื่อสองวันมานี้ก็มี จึงได้เอามาขายหน้าตัวเองให้พี่น้องทั้งหลายทราบ แล้วพวกนี้มีไหม นี่ละใครเหนือมันได้
อำนาจของกรรมมันยิ่งเก่งกว่านี้นะ อำนาจของกรรมมันยิ่งเก่งกว่านี้อีก นี่เป็นข้อเทียบเคียงเท่านั้น นี่ละที่ว่า เอกนามกึ คือหนึ่งไม่มีสอง พระวาจาที่รับสั่งลงไปอย่างใดแล้วต้องเป็นหนึ่งเท่านั้น เป็นสองไปไม่ได้เลย เอกนามกึ เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง ๆ คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าอุบัติได้ทีละองค์หนึ่ง ไม่มีสอง เป็นคู่เคียงกันมา แล้วพระญาณหยั่งทราบในเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่มีสอง คือแม่นยำเหมือนกันหมดหนึ่ง พระวาจาที่รับสั่งออกจากพระญาณหยั่งทราบทุกสิ่งแล้วนั้นก็ไม่มีสองเหมือนกัน ก็มาเป็นส่วนกระจายให้เราทั้งหลายได้รู้ได้เห็นก็คือ การสั่งสอนของท่าน พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สั่งสอนแม่นยำเหมือนกันหมด สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ๆ นี่เหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นถึงว่า เรื่องว่าบาปว่าบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน หรือกรรมของสัตว์ กิเลสตัณหาเหล่านี้ที่ทรงรับสั่งไว้แล้วว่า มันเกี่ยวโยงกับสัตว์ทั้งหลายนับแต่กิเลสอยู่ในหัวใจของสัตว์ทั้งหลาย สิ่งที่ผลิตจากกิเลสนี้ออกไปเป็นความทุกข์ความลำบาก ก็มีเกี่ยวโยงกันไปหมด ลบไม่ได้เลย สิ่งเหล่านี้ลบไม่ได้ มีเหมือนกันหมด แล้วใครจะมาลบล่ะ เรายังจะอวดดีอยู่หรือว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี มันน่าทุเรศนะอันนี้ พิจารณาให้ดี พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสมาเป็น เอกนามกึ เหมือนกันหมด รับสั่งไว้หนึ่งไม่มีสอง ว่าสิ่งเหล่านี้มีมาดั้งเดิม บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นต้นนะ มีมาดั้งเดิม ใครจะไปลบล้างได้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ลบล้างไม่ได้ เราเก่งมาจากไหนถ้าไม่อยากจม ให้ระมัดระวังให้มากนะ
เวลาเขาจับไม่ได้ก็เก่งนั่นละ เขาเรียกนักเลงโต เสือใหญ่ เวลาเขาจับไม่ได้ นักเลงโตอยู่นั้น เสือใหญ่อยู่นั้น พอเขาจับมัดคอได้แล้วเท่านั้นแล้วเป็นยังไงล่ะ นักโทษใหญ่มหันตโทษอยู่นั้นหมด อยู่กับคนคนนั้นหมด นั่นเห็นไหมล่ะ เวลาเขาจับได้แล้วมันดิ้นได้ไหมล่ะ เวลาเขาจับไม่ได้มันก็ดิ้น เวลานี้ลมหายใจยังปิดไว้นะพอประทัง ๆ ไว้ ลมหายใจยังไม่ขาด ทางยมบาลเขาจดทะเบียนบัญชีไว้เรียบร้อยทุกรายของสัตว์ของบุคคลแล้ว ทางนี้ยังมาโม้อยู่ว่านรกไม่มีบาปไม่มี เขาจดทะเบียนบัญชีไว้เรียบร้อยแล้ว รอแต่ลมหายใจขาดเท่านั้น พอลมหายใจขาดพับนี่ผึงเลย ไม่มีความหมายอะไรละที่ประกาศลั่นโลกอยู่ด้วยการลบการล้างบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี ผึงเดียวลง
ให้พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้นะ อย่าฝืนพระพุทธเจ้า ถ้าใครไม่อยากจมอย่าฝืน เป็นของมีมาดั้งเดิมไม่มีใครจะลบล้างได้เลย ลบไม่ได้นะ ให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัวเอง ยากลำบากให้ฝืนนะ เราอยากเป็นคนดีฝืนกันทั้งนั้น บรรดาจอมปราชญ์มีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นี้เป็นจอมปราชญ์ นี้เรียกว่าจอมแห่งความทรหดอดทนที่สุดต่อความทุกข์ความลำบาก ที่จะบากบั่นต่อการบำเพ็ญคุณงามความดีเพื่อพระองค์และเพื่อโลกสงสาร นี้แสนสาหัสในความลำบากลำบน เราอย่าเอาความลำบากลำบนของเราทำนิด ๆ หน่อย ๆ ไปอวดพระพุทธเจ้านะ พระองค์ลำบากยิ่งกว่านี้ ถึงบ้างครั้งบางคราวชีวิตรองเลย ๆ ตายไปเลย ด้วยอำนาจแห่งความปรารถนาไม่มีอ่อนข้อ คอขาด-ขาดไปเลย ฟังซิ เรามันจะมีอะไรไม่เห็นมีคอขาด เห็นมีแต่พวกเสื่อขาดหมอนขาดแหลกไปหมด ไปที่ไหนมีแต่อันนั้นขาด คอขาดเพื่อคุณงามความดีทั้งหลายไม่เห็นมีกัน
วันนี้ไม่ทราบพูดเรื่องอะไรมาเกี่ยวโยงถึงบาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลก นี้ก็คือ เอกนามกึ ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระวาจาที่นำมาสั่งสอนสัตวโลกเป็น เอกนามกึ เสมอกันหมดเลย เอกนามกึ อันหนึ่งพระพุทธเจ้าก็มีแล้ว จริงอยู่แล้วมีแล้ว และพระญาณหยั่งทราบก็จริงมาแล้ว อันที่สามก็คือพระวาจาที่สั่งสอนสัตวโลกให้นำประพฤติปฏิบัติ อย่างนี้จริงไปตามนั้นเลย ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าด้วย ไม่มีหลุมไหนนรกหลุมไหนจะอาจเอื้อม จะมาทำลายคนจะมาลากเข็นคนทำความดีตามคำสอนพระพุทธเจ้าไปลงนรกสด ๆ ร้อน ๆ ต่อพระพักตร์หรือต่อหน้าพระพุทธเจ้านี้ไม่เคยมี มีแต่มันดื้อด้านตัวเองไปจมนรกต่อหน้าพระพุทธเจ้านั่นแหละ อันนี้มีมากนะ มันไม่ยอมฟังเสียงใครเลย อันนี้มีมากต่อมาก
ให้เราระวังให้ดีนะ ไปถึงกุฏินี้เสื่อหมอนมันจะมารอรับอยู่ที่ปากทางนี้ มาแล้วเหรอ จับฟัดใส่หมอนกับเสื่อมัดคอติดกันเลยไปเลย นี่มันเร็วที่สุดนะอันนี้ เดี๋ยวว่าจะไปเดินจงกรมเสียก่อน โอ๋ย ไม่จำเป็น ลากคอไปเลย พวกคอเรานี้คอเสื่อคอหมอนมีไหม หรือมีแต่คอหลวงตาบัวนี่เหรอ ที่พูดโก้ก ๆ อยู่นี้น่ะ มันเร็วนะกิเลส โธ่ พิลึกจริง ๆ นะถ้าไม่มีใครตามทันจะไม่รู้เลยว่ามันรวดเร็วนะกิเลส
มันรวดเร็วที่สุด ในสามแดนโลกธาตุนี้มันเป็นหนึ่งเทียว เพราะฉะนั้นมันถึงครอบโลกธาตุเอาไว้ ไม่ยอมให้ใครมาอาจเอื้อมได้เลย นอกจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาตรัสรู้แล้วเปิดทางผึง ลากสัตวโลกขึ้นไปเท่านั้น ต่อหน้าต่อตามันเลย พระพุทธเจ้าเหนือกิเลสแล้วเอากิเลสพังลงไปแล้วก็ลากเข็นขนสัตว์ขึ้นไปได้ นอกนั้นไม่มีนะ มีแต่จะลากกันลง ๆ ลากกันขึ้นไม่ค่อยมี ลากลง โอ๊ย เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มวัดเต็มวา เต็มศาลาโรงธรรม มีแต่ลากลง ๆ ทั้งนั้นแหละ ลองถามซิไปนี้มันจะไปไหน พวกนี้อยู่ด้วยกันมันจะลงหรือมันจะขึ้น มีแต่จะลงทั้งนั้นจะว่าไง วันนี้พูดอะไรไม่มากละนะพอสมควร พากันพิจารณา ให้ตั้งใจปฏิบัตินะ
เมื่อวานนี้ทองคำวันที่ ๒๗ ได้ ๒ บาท ๕๐ สตางค์ดอลลาร์ ๑๗๗ ดอลล์ได้ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ละเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ (๑๐๐ ดอลลาร์ค่ะ ลูกสาวฝากมาจากชิคาโก ๒๖ เหรียญ) นับแล้ววันนี้ก็ได้ ๑๒๖ เหรียญแล้ว ได้ทุกวัน ๆ เดี๋ยวนี้ดอลลาร์เราที่ว่าจะเข้าคลังหลวงคราวนี้ที่ยังไม่ได้เข้านั้นมันก็ล้านกว่า เดี๋ยวนี้ก็ยังล้านกว่า ตอนนั้นดูจะล้านกว่านิดหน่อย จะเข้าก็ยังคาราคาซังอยู่นี่เลยรอ แล้วก็เก็บเพิ่มขึ้นเรื่อย เดี๋ยวนี้ดูเหมือนล้านกว่า จะกว่าเป็นแสนขึ้นไปละมั้ง เราก็ไม่ได้ดูสมุด สมุดมีอยู่ ๒ แห่ง สมุดดอลลาร์อยู่กับเราแห่งหนึ่ง อยู่กับกรุงเทพฯแห่งหนึ่ง ทางนู้นรับได้เข้าทางนู้นได้ ทางนี้รับเข้าทางนี้ได้ แต่เวลาจ่ายเราเป็นคนสั่งจ่ายผู้เดียวทั้ง ๒ แห่งนี้ เวลานี้ที่แน่ใจก็คือว่าดอลลาร์ที่ได้เตรียมจะเข้าเวลานี้มันล้านกว่า ค่อยนับไปเรื่อย ๆ รอฟังจังหวะไปเรื่อย ๆ หากว่าควรที่จะซื้อทองคำอะไรเราหมุนติ้วทันทีเลย ไม่ยากละนะ รอคอยฟังเหตุการณ์ดูไปเสียก่อน
ถึงเราไม่ได้ซื้อทองคำมันเป็นดอลลาร์ ดอกของมันก็มีของมันนี่นะ มันก็มีของมัน เงินสดก็มีของมันดอลลาร์ก็มีของมันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ถึงวันเวลาที่เราจะหมุนเข้าซื้อทองคำเราก็หมุนได้เลย อันนี้ต้องคอยฟังบรรดาลูกศิษย์ลูกหาพิจารณากันเรียบร้อยแล้วเมื่อไร เราพร้อมเสมอนะ ว่าควรจะซื้อเมื่อไรได้ทันที คือเราต้องการขนให้มันได้มาก คือเวลาเข้าทีไรให้ได้มากไม่ให้ขาดทุนแล้วเข้าใช่ไหมล่ะ ถ้าดอลลาร์นี้แข็งขึ้นมาก ๆ เงินเรามันลดลงเราก็รีบพิจารณาเสีย ถ้าเงินเรายังพอเป็นไปอยู่ก็รอกันไปอย่างนี้ถูกต้องใช่ไหมล่ะ พอฟัดพอเหวี่ยงกันไปอย่างนี้ เราพยายามที่สุดแล้วกับพี่น้องชาวไทยเรา ๆ ค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป
เวลานี้คนกำลังตื่นบ้ากัน อย่างนี้เห็นไหมธรรมะ จะว่าหลวงตาบัวเป็นบ้ายอมรับ ยอมรับตามเขาว่าหลวงตาบัวเป็นบ้า นี่มีใครว่าหลวงตาเป็นบ้าใช่ไหม ก็ข้าก็ได้ยินมาอย่างนั้นแหละ จะว่าอย่างนี้เข้าใจไหม แต่แล้วท่านล่ะเป็นบ้าหรือไม่เป็นบ้า ปั๊วะหน้าผากเลย มึงเป็นบ้าเหรอมึงจึงมาถามกู เอาแล้วเข้าใจไหมใส่ปั๊วะก่อนแล้ว ตีปั๊วะแล้วมึงเป็นบ้าหรือมึงจึงมาถามกู แหม เวลานี้มาพิจารณาดูแล้วเรื่องเงินนี่สำคัญมากนะ
เราไม่ได้ตำหนิเงินนะ ความพอดีและความไม่พอดีของคนต่างหากที่เราควรจะติจะชมนะ เวลานี้คนเราทั่วโลกกำลังดิ้นกับเรื่องกระดาษอันนี้กับเงิน ทองก็แร่ธาตุธรรมดา ๆ เงินก็สมมุติขึ้นมาเป็นเงิน ทีนี้จิตมันมาถือนี้เป็นราค่ำราคาเสียทั้งหมด แล้วลบตัวเองซึ่งเป็นของมีราคามาดั้งเดิม ให้เป็นของเหลวแหลกแหวกแนว เป็นบ๋อยของสิ่งนี้เสียมากต่อมาก เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงมากขึ้นเพราะการดีดดิ้นเกินเหตุเกินผลเกินประมาณ ไม่ใช่ดีดดิ้นมาเพื่อบรรเทาความทุกข์ความทรมานทั้งหลายให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี มันกลับกลายเป็นเชื้อเสริมไฟไปโดยลำดับเวลานี้
เอ้า พี่น้องทั้งหลายพิจารณาซิ ถ้าว่าหลวงตาบัวเป็นบ้าเรายอมรับ เวลาตายแล้วไม่ต้องนิมนต์ใครมากุสลาพระบ้าก็ได้ ให้ไปกุสลากันเอง เพราะหลวงตาบัวนี้ไปกุสลาให้ใครไม่ได้แล้ว เขาหาว่าเป็นบ้าหมดแล้ว ให้พากุสลากันเองนะ เราก็ไม่ต้องให้ใครมายุ่ง เราจะไปของเรา เราเป็นพระประเภทบ้า พวกนั้นเป็นคนดีทั้งหมดมากุสลามันเข้ากันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ พิจารณาให้ดี เราก็เพียงพูดเฉย ๆ จะไปแก้ไขดัดแปลงอะไรไม่ได้นะ พูดให้เป็นแง่คิดต่างหาก เราไม่ได้พูดเพื่อการลบล้างสิ่งเหล่านี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีมาดั้งเดิมมาแต่กาลไหน ๆ สมบัติเงินทองมีมาดั้งเดิม แต่ความตื่นเต้นหรือความหลงตามมันมีมากมีน้อยความสุขความทุกข์จึงพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป ถ้าดิ้นกับมันมาก ๆ แล้วนี้จะเป็นไฟทั้งหมดนะ
เราอย่าเข้าใจว่าโลกนี้จะเจริญรุ่งเรือง คืออันนี้เผาทั้งนั้นแหละ เผาหัวใจสัตวโลกให้ต่างคนต่างดีดต่างดิ้น แซงหน้าแซงหลัง แซงดีแซงเด่นแซงไปเรื่อย ๆ อันนี้เป็นตัวสำคัญมาก ให้นำไปพิจารณาให้ดีถ้าว่าหลวงตาบัวเป็นบ้านะ นี่พิจารณาหมดแล้ว ไม่ใช่เอามาพูดเฉย ๆ เอาละให้พร
เมื่อวานนี้มา ๕ โรงนะ โรงพยาบาลมาเอาของ ๕ โรงจะมีน้อยกว่าอย่างอื่น ๒-๓ โรงนี้เป็นประจำ รู้สึกจะเป็นประจำ ๒-๓ โรงหรือ ๔ โรงระยะนี้มีอยู่ตลอด แต่ ๕ โรงขึ้นไปนี้มีห่าง ๆ ที่ไม่มีเลยรู้สึกจะหายากมากนะ วันหนึ่งไม่มีโรงพยาบาลมารับของรู้สึกจะหายากอยู่นะ มาทุกวัน
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |