เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
สร้างธรรมขึ้นที่ใจ
ก่อนจังหัน
พระมีแปลกหน้ามาเรื่อย มองดูแปลกหน้ามาเรื่อยพระ มาว่ามาศึกษาๆ พระที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ ไม่ใช่น้อยๆ ฟังแต่ว่าหมื่นๆ แสนๆ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมาเป็นเวลา ๕๐ ปี พระที่มาเกี่ยวข้องกับวัดนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ เราก็อดคิดไม่ได้ที่พระไปเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น มันเป็นแสนๆ ล้านๆ เป็นไรวะ แต่ระยะนั้นพระจะยังไม่มาก ก็อาจจะหมื่นๆ แสนๆ แบบเดียวกัน ออกจากท่านไปตรงไหนที่พอจะมีวี่แววบ้าง ทำประโยชน์ให้ตนเองเป็นที่แน่ใจแล้วสอนคนอื่น พ่อแม่ครูจารย์มั่นมีเยอะนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นเพชรน้ำหนึ่ง อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ มีจำนวนมากสำหรับลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น แต่ลูกศิษย์ของหลวงตาบัวนี้จะมีแต่ส้วมแต่ถานนั่นแหละเต็มไปหมด
ความเพียรท่านทั้งหลายให้จับสติให้ดีนะ นี่ละเป็นที่ตั้งรากตั้งฐาน เอากิเลสให้ขาดสะบั้นไม่หนีจากสติได้นะ สติพอแก่กล้าขึ้นไปก็เป็นมหาสติมหาปัญญา สติปัญญาๆ เวลาจะทำจิตใจให้สงบสติต้องจับติดเลย อย่าให้สังขารมันคิดขึ้นมาได้ สังขารคือตัวสมุทัยตัวกิเลสมันผลักมันดันอยากคิดอยากปรุงตามเรื่องของมัน ทีนี้เราจะคิดปรุงเรื่องของธรรมเช่นคำบริกรรม เป็นต้น มันไม่อยากคิด เช่น พุทโธๆ เป็นต้น มันไม่ให้คิด มีแต่เรื่องกิเลสสมุทัยออกคิดออกปรุง นี่ละที่ว่าทำภาวนาไม่ได้ผลได้ประโยชน์ มันจะได้อะไรก็มันไม่มีสติ
เอาไปทำซิ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นโมฆะเหรอ พวกโมฆะคือพวกเรานี้เองไม่ได้หน้าได้หลังอะไร เอาๆ ตั้งสติให้ดีอย่าให้เผลอจะเป็นยังไง ตั้งแต่ตื่นนอนฟาดจนค่ำ จับอยู่กับธรรมบทใดให้ติดแนบๆ ทำหน้าที่การงานอะไรไม่ปล่อย เอาลองดูซิ พระพุทธเจ้าโกหกโลกจริงๆ เหรอ สติตั้งดีแล้วจิตจะสงบได้ เพราะกิเลสกวนมันด้วยความคิดความปรุง กวนตลอด นำธรรมเข้ามาบังคับไม่ให้มันคิดปรุงทางด้านกิเลส เอาธรรมให้มันทำงาน นั่นละตั้งได้นะตั้งรากตั้งฐาน เรียกว่าเริ่มตั้งรากตั้งฐานได้คือความสงบ จากสงบก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคง
เรื่องสมาธิคือความสงบใจของเรา เวลาพักพัก สงบๆ ออกจากความสงบแล้วให้พิจารณาคลี่คลายทางด้านปัญญา ยกร่างกายของเราที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มีไหมในตัวของเรา เอามาพิจารณา ในเบื้องต้นอาศัยธรรมเหล่านี้เป็นคำบริกรรมเครื่องกล่อมใจให้สงบ พอจิตมีความสงบแล้วแยกออกเป็นทางด้านวิปัสสนา กรรมฐาน ๕ เลยกลายเป็นหินลับปัญญาไป คลี่คลายออกๆ เวลาจะใช้ปัญญาให้ใช้ เวลาจะให้สงบให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความสงบ อย่าก้าวก่ายกัน อย่าห่วงหน้าห่วงหลังใช้ไม่ได้นะ จะทำงานอะไรให้ทำจริงๆ จังๆ เช่นจะเพื่อความสงบ จิตพุ่งเลยกับความสงบ ออกทางด้านปัญญาก็ให้ออกทางด้านปัญญา ไม่ต้องห่วงความสงบคือสมาธิ จำให้ดีนะทุกคนๆ
ทำไมจะตั้งไม่ได้ ถ้าเอาจริงเอาจังตั้งได้ไม่สงสัย มันเลอะๆ เทอะๆ ไม่ได้เอาไหนถ้าเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้ว แต่เรื่องกิเลสนี้จริงจังมาก ฟังแต่ว่าจริงจังมาก โลกนี้โลกจริงจังกับกิเลส มันจึงเป็นส้วมเป็นถานเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดนนี้จริงจังมากไม่มีจืดจาง เพราะต่างคนต่างเสาะแสวงหา ต่างคนต่างพอใจ คิดอ่านไตร่ตรองไปตามกิเลสตัณหา ไม่ได้คิดอ่านไตร่ตรองไปตามอรรถตามธรรม จะหาความสงบได้ยังไง
หน้าที่การงานของพระมีอะไรบ้าง ในวัดนี้มีแต่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เที่ยวหาดีดทางโน้นดิ้นทางนี้ สร้างนั้นแล้วสร้างนี้ ยุ่ง ส่วนมากเวลาเราไม่อยู่มันชอบจะสร้างนั้นสร้างนี้ ตีไว้ตลอดไม่ให้ออกไม่ให้ยุ่ง นั่นเป็นการสั่งสมกิเลสความฟุ้งซ่านรำคาญเป็นอารมณ์ ฟาดใจของเราเป็นลำดับลำดานี่เรียกว่าสร้างใจ สร้างธรรมขึ้นที่ใจ วัตถุที่ไหนมันก็มีอย่าไปอวดเขา โลกนี้เต็มไปด้วยวัตถุ วัตถุนั้นละกลับมาทับหัวใจสัตว์โลก และเป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวใจสัตว์โลกเพราะวัตถุ ไม่มีนามธรรมคืออรรถธรรมเข้าสู่ใจบ้างเลย ยังไงก็เป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ไม่มีความสงบนะ
เอาจริงเอาจัง อย่าเหลาะๆ แหละๆ นักภาวนาพระนี่สำคัญมาก เอาให้จริงให้จังคือว่าสติติดแนบๆ มันเป็นยังไงพิสูจน์ตัวเอง มันจะไปไหนน่ะ เอาธรรมเข้าไปพิสูจน์ สติๆ เวลาจะให้จิตสงบต้องใช้สติ คำบริกรรมเป็นสำคัญมาก ออกทางด้านปัญญา จิตสงบแล้วมันอิ่มอารมณ์ คือจิตสงบอิ่มอารมณ์ ไม่หิวอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ อย่างที่ว่าพาพิจารณาทางด้านปัญญา ถ้าจิตไม่สงบท่านก็ไม่ได้สอนให้พิจารณาทางด้านปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา นั่น ศีลเป็นพื้นฐานของนักบวชเรา สมาธิคือความสงบใจ เมื่อใจอิ่มอารมณ์แล้วใจย่อมสบายๆ ให้พาใจที่สงบนั้นละออกทางด้านปัญญา มันจะไม่เถลไถล ถ้าใจหิวโหยทางอารมณ์ต่างๆ เอาไปใช้ปัญญา กิเลสเอาไปถลุงหมด เป็นสัญญาอารมณ์หมด ไม่ได้เป็นปัญญาแก้กิเลส
ท่านสอนไว้ผิดที่ตรงไหน ศีล สมาธิ ปัญญา ตรงแน่ว แล้วก็วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ สุดยอดของธรรมทั้งหลาย พากันตั้งอกตั้งใจทำ วันนี้มีพระเท่าไรก็ไม่รู้ มากตลอด ต้องได้กดเอาไว้สำหรับวัดนี้ พระมามาก แล้วที่แผ่กระจายไปทั่วประเทศไทยลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้มากนะ แต่มันมีแต่ส้วมแต่ถานแตกกระจัดกระจายไปเหม็นคลุ้งไปทั่ว ไม่ได้มีกลิ่นที่หอมหวนชวนดมชวนชมนะ เพราะมันไม่จริงจังอย่างที่ว่านี่ละ ถ้าลงได้จริงจัง จับไหนจริงจัง เอา ว่างั้นเลย แน่เลย พระพุทธเจ้าสอน ธรรมเป็นธรรมรับรองเพื่อมรรคเพื่อผลแท้ๆ ทำไมจึงไม่มีใครรับเอาไว้เพื่อมรรคเพื่อผลแก่ตนล่ะ เอาตั้งแต่กิเลส หอบแต่กิเลสตลอดเวลาจะได้เรื่องได้ราวอะไร
อย่าเป็นบ้ากับโลกเขานะ โลกเวลานี้กำลังเป็นบ้าหนักนะ อู๊ย ดูแล้วจนจะดูไม่ได้ ทุกอย่างๆ เวลานี้เป็นบ้าไปหมดเลย ความรู้เรียนมามากน้อยเป็นความรู้ที่กิเลสผลิตให้ กลับมาก็มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาตนและผู้อื่น เผาตนด้วยความภูมิใจนะ ว่ายศถาบรรดาศักดิ์สูง เป็นบ้าอำนาจ ได้เงินได้ทองมาจากการรีดการไถเขานี่ภูมิใจ ภูมิใจกับกองไฟ มันจะหนีจากพระพุทธเจ้าไปไหน เอาของเขามาเป็นของตัวเป็นได้ยังไง ไม่เป็น เอาของเขามาก็เป็นของเขาวันยังค่ำ เอาเขามาก็มาเผาตัวเองวันยังค่ำอีก ภพนี้ภพหน้า วันนี้วันหน้า เผาตลอดเวลา
ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ นี่แก่เข้ามาแล้วเป็นห่วงหมู่เพื่อนมากทีเดียว แก่เท่าไรยิ่งห่วง ห่วงหมู่เพื่อน แทนที่จะมาห่วงตัวเองเราบอกเราไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นี่ก็เพราะคุณค่าแห่งการสร้างความดีสำหรับตนจนหาที่ต้องติไม่ได้ ในหัวใจดวงนี้มีที่ต้องติอะไรไม่มีเลย คือพอก็พอแบบเลิศเลอ อิ่มก็อิ่มแบบเลิศเลอเสีย ไม่ได้อิ่มเหมือนเรารับประทานข้าว กินตอนเช้าอิ่ม ตอนบ่ายหิวแล้ว ธรรมนี้ได้อิ่มในหัวใจ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นนิพพานธรรมหรือธรรมธาตุ นั่นละอิ่มตลอด ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง หาให้ถึงขั้นนั้นซิ พระพุทธเจ้าสอนถึงนิพพานเที่ยง
พวกเราบืนไปแต่กิเลส จึงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย พระเรานั้นละตั้งใจให้ดี อยู่ที่ไหนอย่าเผลอสติ อย่าเหลาะๆ แหละๆ ก้าวไปเดินไปๆ สติติดแนบกับตนตลอดเวลา ถ้าสติมีกิเลสไม่เกิดนะ ตั้งสติดีอยู่กิเลสไม่เกิด พอเผลอเมื่อไรปั๊บไปเลย กิเลสเอาไปถลุงหมดแล้ว จำให้ดี
จังหันนี้ไม่ว่าวัดป่าบ้านตาดไม่ว่าสวนแสงธรรม พวกลูกศิษย์ลูกหาเขามาจังหัน มาประเภทธรรมดานี้เราก็ไม่ว่าแหละ ไอ้ประเภทบ่ายโมงมาจังหัน ประเภทบ่ายโมงครึ่งมาจังหัน ประเภทบ่ายสองโมงครึ่งมาจังหัน ทีนี้มันก็จนตรอกจนมุมซิพระเราประเภทบ่ายโมงครึ่ง สองโมง รับจังหันมันไม่มี นี่มาอีกแล้ว บ่ายโมงครึ่งหรือพวกนี้น่ะ มาเรื่อย สวนแสงธรรมเหมือนกันจนฉันอิ่มแล้วยังมา มานี้ก็แบบเดียวกันจะว่าไง ให้พร
หลังจังหัน
สำหรับวัดนี้ดูเอา นี่บริเวณเกี่ยวข้องกับประชาชน มีบริเวณนี้เท่านั้น มานี้เข้ามาถึงศาลาแค่นี้ให้กลับ ภายในนี้มีแต่บริเวณของพระปฏิบัติธรรมล้วนๆ ไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องเลย นอกจากประชาชนคนที่เขารับใช้พระคนสองคนเขาเข้าออกได้ นอกจากนั้นไม่ให้ใครเข้า นี่บริเวณนี่ ข้างในนี่เป็นทำเลของพระทั้งหมดเลยท่านภาวนาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ส่วนจากนี้ออกไปโน้นสำหรับประชาชน เราแบ่งไว้อย่างนั้น
(ถวายสถานีวิทยุครับ วัดโนนป่าว่าง ตำบลบ้านด่าน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนจังหวัดสระแก้ว อ.อรัญประเทศ แด่หลวงตา ได้ทำการทดลองออกอากาศตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๙ ตั้งแต่เวลา ๔.๐๐ น.ถึง ๒๓.๐๐ น.ทุกวัน)
(มีผู้เขียนหนังสือมาถึงหลวงตาดังนี้ครับ ดิฉันมีเพื่อนเป็นชาวอังกฤษ เขาได้อ่านศึกษาและปฏิบัติภาวนา โดยการอ่านหนังสือที่ท่านอาจารย์ปัญญาแปลเป็นภาษาอังกฤษ เป็นประวัติหลวงปู่มั่น ปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน และเทศน์อบรมพระปีเก่าๆ เขามีความศรัทธาในศาสนาพุทธ และการปฏิบัติของหลวงตาเป็นอย่างมาก แต่เขาต้องศึกษาจึงยังไม่มีโอกาสมากราบหลวงตาและภาวนาที่เมืองไทย เขาจึงพากันก่อตั้งชมรมจิตตภาวนาขึ้น เปิดรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตาทางอินเตอร์เน็ต เขาฟังที่หลวงตาเทศน์ทุกวันนี้ไม่ออก พวกเขาจึงใช้วิธีนั่งภาวนาบริกรรมพุทโธๆ ในขณะฟังหลวงตาเทศน์ เสียงพระธรรมเทศนาของหลวงตาทำให้จิตเขาสงบเย็นนิ่งไปตามเสียงธรรม จิตเขาไม่อยากรับอารมณ์ภายนอก เสียงภายนอก จิตเขารู้สึกแน่นๆ เรียนหนังสือทำให้มีสมาธิมากขึ้น อยู่อิริยาบถใดก็มีสติแน่นขึ้น ถึงแม้เขาไม่ทราบว่าหลวงตาแสดงธรรมว่าอะไรบ้าง แต่จิตเขาสงบนิ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาจึงฝากให้ดิฉันกราบเรียนหลวงตาผ่านทางเว็บไซต์หลวงตา เพื่อขอบูชาในพระธรรมมา ณ ที่นี้ กราบนมัสการหลวงตามาด้วยความเคารพ
ดิฉันขอกราบแสดงความคิดเห็นว่า ที่หลวงตาแสดงธรรมทุกวันนี้ น่าเสียดายที่ไม่มีพระชาวอังกฤษอย่างท่านปัญญา หรือท่านดิ๊กคอยแปลให้ทุกวัน เอาเฉพาะที่เป็นหลักสำคัญในแต่ละกัณฑ์ จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวต่างชาติมากขึ้น จึงขอกราบนมัสการ หากควรเป็นไปได้แล้ว จึงกราบขอรบกวนให้ท่านอาจารย์ดิ๊กได้มีโอกาสแปลในแต่ละวันด้วยเทอญ)
เป็นแต่เพียงบอกเล่ามาเฉยๆ เรื่องภาวนา เทศน์ทางภาคปฏิบัติ ท่านจะเทศน์ตีตะล่อมเข้ามา ตีอารมณ์ทั้งหลายที่เคยยุ่งมาแต่ก่อน ตีตะล่อมเข้ามาด้วยธรรม ธรรมเทศนาละตีเข้ามาๆ จิตจะค่อยหดตัวเข้ามาๆ เหมือนเราตากแหเอาไว้ เวลาฟังเทศน์เหมือนดึงจอมแห ตีนแหจะหดเข้ามาๆ จนเป็นกองแห อันนี้จิตของเรามันส่งกระจายไปทั่วโลกเหมือนตากแห พอฟังเทศน์นี้ก็เหมือนดึงจอมแหนั่นละ มันหดเข้ามา กระแสของจิตหดเข้ามาๆ จนเข้ามาสู่จุดที่ว่าก้อนแหนั้น คือความรู้รวมตัวเป็นจุดสง่างามอยู่ภายในหัวอก การภาวนาจะไม่ขึ้นสมองเหมือนความจำ ความจำนี้เรียนมากเท่าไรใช้ความจำทั้งนั้นอยู่บนสมอง แต่ทางภาคภาวนานี้ไม่ขึ้นสมองนะ ลงจุดศูนย์กลาง ทีนี้เวลาฟังเทศน์เข้าไปกระแสจิตหดเข้ามาๆ ก็แน่วอยู่ในนี้ นี่ละที่เข้าบอกนี้ว่า ไม่ฟังเสียงธรรม คือจิตช่วยตัวเองได้แล้วเวลานั้นจิตอยู่ปรกติ เสียงธรรมจึงแว้วๆ อยู่สูงๆ ส่งจิตเข้ามาสู่นี้แล้วจิตสงบแน่วอยู่อย่างนั้น
การฟังเทศน์ในภาคปฏิบัติ เทศน์ทางภาคปฏิบัติจะตีเข้ามา ภาคปริยัติว่ากันไปนู้น เราก็เรียนปริยัติจะให้ว่าไง ขัดข้องที่ตรงไหนปริยัติเราก็เรียนมาแล้ว ภาคปริยัติออกข้างนอก เป็นสัญญาอารมณ์ออกไปๆ จำไป เวลาจะประมวลจริงๆ ต้องเป็นภาคปฏิบัติ ฟังธรรมะนี้จะประมวลเข้ามาๆ สุดท้ายจะมาอยู่ที่นี่หมด กองมหาภัยคือกิเลสตัณหาสร้างผลประโยชน์ของมัน แต่สร้างฟืนสร้างไฟเผาหัวอกของสัตว์โลกก็อยู่ที่หัวใจ ทีนี้มารู้กัน จิตใจที่ว้าวุ่นขุ่นมัวเพราะคิดมากไม่ดูตัวคิด ต้นเหตุที่มันคิดไปจากไหน ไปจากหัวใจ ทีนี้พอธรรมะเข้าไปนี้เป็นน้ำดับไฟ ใจก็ค่อยสงบเข้าไปๆ เวลาฟังเทศน์ท่านท่านตีตะล่อมเข้ามาๆ จุดศูนย์กลาง พอมันเข้าถึงที่เต็มที่ช่วยตัวเองได้แล้วเสียงธรรมก็แว้วๆ ผิวเผินอยู่ข้างนอก นั่นเป็นอย่างนั้น
การฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติเป็นอันดับหนึ่งจากการปฏิบัติทั้งหลาย แต่ต้องหมายถึงครูบาอาจารย์เทศนาว่าการโดยอรรถโดยธรรมถูกต้องดีงาม มีหลักมีเกณฑ์ในการสั่งสอน ไม่ได้หมายถึงว่าสั่งสอนทั่วๆ ไปสุ่มสี่สุ่มห้าก็เอาแน่ไม่ได้ แต่ท่านผู้สั่งสอนโดยอรรถโดยธรรมมีหลักมีเกณฑ์ทางจิตใจแล้วสอนเป็นอย่างนั้นละ ตีตะล่อมเข้ามาสู่จุดศูนย์กลาง พอจิตรวมตัวเข้ามาอยู่นี้แล้วจิตจะสงบแน่วเลย ไม่มีกิริยาอาการใดออก แม้ที่สุดธรรมเทศนาก็ไม่เกี่ยวกัน แว้วๆ อยู่สูงๆ นู่น จิตช่วยตัวเองได้แล้วอยู่สงบแน่ว นั่นละเรียกว่าฟังเทศน์ได้ผล
ผลแห่งการฟังเทศน์ท่านแสดงไว้ ๕ อย่าง เราก็ลืมไปแล้วละเพราะเรียนปริยัติมานาน ๑ จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ๒ สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจชัดจะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดขึ้น ๓ บรรเทาความสงสัยเสียได้ ๔.ทำความเห็นให้ถูกต้อง ๕ จิตผู้ฟังย่อมสงบผ่องใส นี่ละผลแห่งการฟังธรรมเข้ามาสู่จุดนี้ เพราะฉะนั้นพระในครั้งพุทธกาลหรือบริษัทประชาชนทั้งหลาย ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจึงสำเร็จมรรคผลนิพพานได้เหมือนกันทั้งฆราวาสทั้งพระ เพราะเทศน์นั้นเป็นธรรมะล้วนๆ จากท่านผู้บริสุทธิ์พุทโธ คือศาสดาองค์เอกสอนจะไม่มีผิดมีพลาดไปเลย รองลงมาก็คือพระอรหันต์สอน
พระอรหันต์สอนท่านจะถอดออกใจของท่านออกไปสอน ท่านไม่ไปลูบคลำตามตำรับตำราที่ไหนๆ มาสอน ท่านจะเอาหลักความจริงๆ เกิดขึ้นที่ใจมีอยู่ที่ใจ ทั้งกิเลสทั้งธรรมจะเกิดขึ้นที่ใจ เมื่อเทศนาว่าการถอดออกจากใจเทศน์แล้ว ก็เรียกว่าตีตะล่อมจิตที่มันว้าวุ่นขุ่นมัวให้สงบตัวเข้ามาๆ เป็นจิตที่สงบผ่องใส จากนั้นก็ช่วยตัวเองได้ในขณะฟัง เพราะฉะนั้นภาคปฏิบัตินี้ การฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ต้องบังคับจิตใจละในขณะที่ฟังเทศน์ท่านนั้น เท่ากับท่านตีตะล่อมเข้ามาให้แล้วๆ จิตของเราแน่วลงได้เลย ถ้าเราฟังโดยลำพังอย่างนี้จิตมันดีดมันดิ้น บังคับบัญชาไม่ให้ออกมันก็ออกของมัน แต่พอฟังเทศน์เสียงเทศน์สัมผัสสัมพันธ์เข้าสู่ใจสืบต่อกันโดยลำดับ แล้วกล่อมใจให้สงบแน่วลงไป การฟังเทศน์เป็นอย่างนั้นฟังเทศน์ในภาคปฏิบัติ
เราจึงเชื่อเลย แต่ก่อนก็ธรรมดานะเรียนมาทางด้านปริยัติ ว่าฟังเทศน์ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานในขณะฟัง ทีนี้เวลามาโดนเข้าจริงๆ มาโดนตัวเองเลยเชียวกับพระทั้งหลายที่เป็นภาคปฏิบัติด้วยกัน ฟังเทศน์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ในหัวใจท่านหมด ท่านแสดงออกมาที่ไหนมีแต่เรื่องมรรคเรื่องผลๆ จับติดๆ ไม่ผิดไม่พลาดจิตใจแน่วลง ถ้าทางด้านปัญญาก็ขยับตามท่านเรื่อยๆ ทางด้านสมาธิก็กล่อมใจให้สงบลง ทางด้านปัญญาท่านเทศน์ไปไหนขยับตามนะปัญญา ปัญญาจะไม่อยู่ ปัญญาจะขยับตามๆ เรื่อยๆ ได้ผลเป็นที่พอใจๆ การฟังเทศน์จากภาคปฏิบัติของท่านผู้รู้จริงเห็นจริงเป็นอย่างนั้นละ
นี่ก็ฟังว่าวิทยุของเรานี้ออก ๖๘-๖๙ แห่งแล้วมั้ง(๖๘ ครับ) เออ วิทยุวัดป่าบ้านตาดออกทั่วประเทศไทยได้ ๖๘ แห่งแล้ว เราพอใจ วิทยุจะออกไปที่ไหนออกไปเถอะ ธรรมทั้งหมดนี้พูดสาธุเราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามสิ่งอื่นใด แต่รวมแล้วมาอยู่ภาคปฏิบัติ ธรรมะจะเกิดขึ้นจากใจ อยู่ที่ใจล้วนๆ เวลาออกนี้ออกจากนี้ไม่มีสิ้นมีสุดทะลุปรุโปร่งไปหมดโล่งไปหมดเลย กิเลสขาดสะบั้นไปจากใจเสียอย่างเดียวใจนี้เปิดโล่งไปหมด
ท่านจึงเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ ใจนี้ว่างไปหมดไม่มีอะไรมากีดมาขวาง สิ่งที่กีดขวางก็คือกิเลสนั่นละ มีมากมีน้อยจะกีดขวาง แล้วก็เป็นเรื่องติดเขาติดเราไป เมื่อติดเขาติดเราก็เป็นเสี้ยนเป็นหนามกีดขวางหนทางไม่ให้ก้าวเดินได้สะดวก เมื่อเปิดกิเลสออกหมดโดยสิ้นเชิงแล้วโล่งไปหมดใจ จะออกทางไหนออกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามแต่ผู้มาฟังจะควรได้รับธรรมะประเภทใด ธรรมะประเภทนั้นจะออกออกทันทีๆ เลย
นี่ละการฟังเทศน์ครั้งพุทธกาลสำเร็จมรรคผลนิพพาน เราเชื่อตอนที่ไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่น คือฟังเทศน์คราวนี้จิตขยับขึ้นอย่างนี้ ฟังที่นั่นขยับขึ้นเรื่อยๆ เพราะท่านเทศน์โล่งไปหมด ท่านไม่มีอะไรติดข้องนะ เวลาเราติดปัญหาอยู่ตรงไหนคอยฟัง ท่านเทศน์มาถึงนี้ท่านจะไปไหนเราแก้ยังไม่ตกแก้ไม่ได้ ท่านผ่านมานี้ปุ๊บปรับขยับไปตามๆ หลายครั้งหลายหนพ้นได้ไม่สงสัย นี่ละเรายันในหัวใจนี้เลย ฟังเทศน์บางทีจิตดับถึงสามวัน ฟังซิน่ะ ทั้งๆ ที่รู้อยู่นี้มันดับได้ยังไง พูดไม่ออกแต่ไม่สงสัยในใจ จิตดับ คืออารมณ์ต่างๆ ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ดับ ดับอยู่ภายในหลังจากการฟังเทศน์ท่านมาแล้วจิตดับอยู่ถึงสามวัน เป็นอย่างนั้นละ
เราก็ไม่เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา ก็พึ่งไปเห็นไปรู้ไปเป็นขึ้นในเวลาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น จิตดับถึงสามวัน ดับอารมณ์ทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องให้คิดนั้นคิดนี้ ดับหมดเลย เหลือแต่ความรู้ที่สง่างามแน่วอยู่ในนั้น นั่นเห็นผลประจักษ์ใจชัดเจนมากจึงไม่ลืมสดๆ ร้อนๆ ว่าจิตดับอยู่ถึงสามวัน ความรู้รู้เด่นยิ่งเด่น อาการทั้งหลายที่ไปจากจิตนี้ระงับดับหมดเลย นั่นละมันดับมันดับอย่างนั้นนะ นี่ละการฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติ เมื่อจิตใจมันลงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะดีไปตามๆ กันหมด ถ้าจิตใจไม่ลงมีแต่กิเลสยุยงส่งเสริมให้ดีดให้ดิ้นทางนั้นทางนี้ ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตนเอง แล้วก็เผาไหม้ส่วนรวมไปไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่เอาไฟเผากัน โลกอันนี้เป็นโลกเอาไฟเผากัน
ใครจะนำธรรมะมาสอนโลกกว้างแสนกว้างให้สงบร่มเย็น พอมนุษย์ทั้งหลายจะอยู่กันเป็นสุขนี้ไม่มี เราอยากว่าไม่มี มีแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วใครจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ก็มันไม่มีใครสนใจปฏิบัติตาม แล้วจะได้เห็นผลอะไรมาแสดงเป็นน้ำดับไฟแก่โลกล่ะ ไม่มี นี่ละโลกจึงมีแต่ฟืนแต่ไฟเวลานี้ แล้วกิเลสมันก็หลอกว่าโลกเจริญ บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ อะไรมันเจริญ เอาธรรมจับปุ๊บมันรู้ทันทีไม่ต้องไปถามใครธรรมจับ มันเจริญตั้งแต่ฟืนแต่ไฟความดีดความดิ้น ชิงดีชิงเด่นชิงทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นชื่อว่าเรื่องของกิเลสชิงทั้งนั้น เรื่องธรรมท่านไม่ชิงใคร ท่านปฏิบัติสงบเท่าไรยิ่งเด่นยิ่งดียิ่งเลิศยิ่งเลอ อันนั้นฟุ้งเท่าไรยิ่งเป็นของดิบของดีเป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร นี่ละเรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น มีแต่ความดีดความดิ้นตื่นลมตื่นแล้งกันไป หาความสุขภายในจิตใจไม่มีแม้ดวงเดียว แต่เรื่องของธรรมนี้สงบจ้าอยู่ภายใน เห็นหมดรู้หมด ใครดีดใครดิ้นยังไงๆ เขาเป็นบ้ายังไงเราไม่เป็นเสียอย่างเดียวก็แสนสบายๆ
ให้พากันปฏิบัติธรรม อบรมจิตใจตัวคึกตัวคะนองตัวอันธพาลมหาภัยอยู่ที่ใจนะ เวลานี้อยู่ที่ใจเพราะไม่มีธรรมระงับมัน ถ้ามีธรรมระงับเข้าบ้างใจของเราจะค่อยปรากฏมีคุณค่าขึ้นมาๆ มากน้อยเท่าไรจิตมีคุณค่าธรรมมีคุณค่าเท่าไร เรื่องที่เป็นฟืนเป็นไฟก็ค่อยสงบตัวลงๆ แล้วก็เย็นไปได้ดังพระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลาย นั่นคือท่านผู้เย็นสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้าก็ดีพระอรหันต์ทั้งหลายก็ดีท่านเย็นสุดยอดแล้ว นำธรรมที่เย็นสุดยอดมาพร่ำสอนบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเป็นฟืนเป็นไฟเผากันทั่วโลกนี้ ระงับดับไปตามที่เห็นสมควรจะระงับได้แค่ไหน
ผู้ที่ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมโดดเข้าแต่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ไม่มองดูหมอมองดูยาก็มีแต่วันจะตายท่าเดียว โลกอันนี้เดี๋ยวนี้มันมีแต่วันจะตายท่าเดียวนะ เพราะกิเลสตัณหาฉุดลากเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู.ๆ ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงครูเสียงอาจารย์เลย ครูอาจารย์อรรถธรรมนั้นเท่ากับหมอกับยามันไม่ฟัง มันฟังตั้งแต่เรื่องที่เป็นอยู่เวลานี้ไม่ต้องถาม หัวใจเราทุกคนมีด้วยกันถามกันทำไม นี่ละมันพาให้โลกร้อนอยู่เวลานี้ หาความสงบเย็นใจไม่ได้เลย พากันจดจำเอานะ วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้ละ ต้อนรับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่มาจากทางใกล้และทางไกล ให้นำไปคิดปรับปรุงจิตใจให้ดี มหาภัยอยู่ที่ใจมหาคุณก็อยู่ที่ใจ เมื่อนำธรรมเข้าไปปรับปรุงแก้ไขตนเองแล้วจะเป็นมหาคุณขึ้นมา ถ้าไม่ปรับปรุงแล้วก็เป็นมหาภัยตลอดไปเลย เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|