เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
จดจ่อในสติให้มาก
ก่อนจังหัน
พระให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติความพากเพียร สติเป็นพื้นฐาน ความเพียรอยู่กับสติ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมาก ไม่ว่าจะกิจนอกการในอะไรสติเป็นสำคัญมาก ถ้าเผลอสติแพล็บผิดแล้วๆ สติจึงสำคัญมาก การประกอบความพากเพียรถ้าใครมีสติเป็นพื้นฐานให้ติดต่อสืบเนื่องกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตั้งรากตั้งฐานภายในจิตใจได้ ถ้าสติไม่ดีนี้ทำยังไงก็ไม่ได้เรื่อง เพราะสตินี้สำคัญทีเดียวเป็นแนวหน้าๆ ทำการทำงานอะไร จับนั้นจับนี้อย่างเราทำนี้ สติต้องติดแนบตลอดๆ ความเพียรไม่เสีย กิเลสไม่เกิดในระยะนั้น ถ้าสติขาดไปเท่านั้นเสียไปหมดๆ
ผู้ประกอบความพากเพียรที่จะมีรากมีฐานโดยลำดับต้องอาศัยสติ ครูบาอาจารย์ท่านสอนยังไงให้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์เอาไว้ เช่นคำบริกรรมคำใดก็ตามสติต้องติดแนบอยู่กับนั้น สติไม่เผลอกิเลสเกิดไม่ได้ ถ้าเผลอเมื่อไรกิเลสเกิด เกิดแล้วออกไปเอาไฟมาเผาเรา ให้พากันจดจ่อในสติให้มาก ให้ถือสติเป็นสำคัญ งานการใดๆ ความเคลื่อนไหวไปมา ไม่ใช่คนตายก็ต้องเคลื่อนไหว สติมันรวดเร็วขนาดไหนว่ะ งานการอะไรที่สติจะไม่ทันไม่มีถ้าตั้งนะ ถ้าไม่ตั้งไม่เกิดประโยชน์ นอนตายอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์
อะไรจะรวดเร็วยิ่งกว่าสติกับปัญญา ตั้งสติให้ดี ทำการทำงานอะไรสตินี้กลายเป็นสัมปชัญญะ รู้ตัวๆ ตลอดเวลา เฉพาะพระเรานี้มีสติกับสัมปชัญญะเป็นพื้นฐาน สติจ่อลงในจุดที่ต้องการ สัมปชัญญะเวลาเคลื่อนไหวไปมาทำการทำงานนี้มีความรู้สึกตัวรอบตัวๆ ไม่ค่อยเผลอก็เป็นการเป็นงาน ถ้าสติขาดเสียอย่างเดียวไม่เป็นท่า
ผมเห็นพระที่มาศึกษาอบรมกับวัดป่าบ้านตาดนี้ มีจำนวนหมื่นๆ แสนๆ ไม่ใช่ธรรมดา มากต่อมากๆ แต่องค์ใดที่จะปรากฏเด่นชัดในคุณธรรมสมความมุ่งหมายที่ผู้เทศน์เทศน์แทบเป็นแทบตายนั้นมีหรือไม่มีนั่นซิ ไปที่ไหนหายเงียบ จมลงทะเลๆ ให้กิเลสเหยียบเอาหมด ครูบาอาจารย์ผู้สอนที่ถูกต้องแม่นยำมีอยู่สมัยปัจจุบันนี้ก็ดี แต่การปฏิบัติของเราต่างหากมันเหลวไหลไม่ได้เรื่องได้ราว เช่นอย่างมาศึกษาอยู่ในวัดเป็นส่วนหยาบๆ นี้ก็เหมือนกัน ในส่วนหยาบตาดูให้ดี หูฟัง ให้สติติดๆ แล้วจะได้คติตัวอย่างไปทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับเรา ถ้าสติไม่มีแบบเหม่อๆ มองๆ ไปไหนไป ไม่เป็นท่านะ
เฉพาะวัดป่าบ้านตาดนี่พระต้องได้กดเอาไว้ ให้อยู่ในระยะ ๓๐ หรือ ๔๐ ไม่ให้มากมันจะเลอะเทอะ พระเลอะเทอะเลวที่สุดนะ โลกเลอะเทอะเป็นอย่างหนึ่ง ธรรมคือพระเลอะเทอะนี้ดูไม่ได้ ขอให้ดูตัวเองให้ดีๆ อย่าเลอะเทอะ ดูตัวเองดีแล้วใครจะนับถือไม่นับถือมันเรื่องนอก เรื่องของโลกเขา เรื่องของเรานั้นเป็นยังไง เรานับถือเราหรือไม่นับถือเรา ถ้านับถือเราต้องเป็นผู้มีความเข้มงวดกวดขัน มีสติสตังระมัดระวังตลอดเวลา นี่เรียกว่าเป็นผู้มีคุณค่าตลอดไป ถ้าขาดสติเสียอย่างเดียวแล้วไม่เป็นท่า
เวลานี้กิเลสกำลังเหยียบย่ำทำลาย เฉพาะเมืองไทยเราซึ่งเป็นเมืองพุทธแทบจะดูไม่ได้นะ พูดให้มันชัดๆ เลอะเทอะขนาดนั้น พระก็เลอะเทอะไปแบบหนึ่ง ฆราวาสก็เลอะเทอะไปแบบหนึ่ง จนดูกันไม่ได้เวลานี้ การพูดทั้งนี้ยกธรรมมาแสดง ว่าพวกเราเหลวไหลไปด้วยกัน แม้ผู้เทศน์ก็ไม่ได้รับรองยืนยันตนว่าดิบว่าดีอะไร แต่อาศัยธรรมมาเป็นเครื่องดำเนิน มาแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน เราก็สอนทั้งเราสอนทั้งหมู่เพื่อน ประชาชนเรื่อยมาอย่างนี้ ให้พากันนำธรรมนี้ไปยึดไปปฏิบัติไม่ผิด
เรื่องของธรรมแล้วไม่ผิด เรื่องของกิเลสผิดวันยังค่ำ เคลื่อนไหวไปมาที่ไหนมีแต่ความผิดพลาดๆ เพราะเป็นเรื่องของกิเลส ถ้าเป็นเรื่องของธรรมมีสติธรรม ปัญญาธรรม เป็นสำคัญ ติดแนบอยู่ที่ตรงไหนไม่ค่อยผิดพลาด เอาให้จริงให้จัง เราอยากเห็นพระทรงมรรคทรงผลตามหลักปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง ให้นำไปปฏิบัติ ธรรมะที่สอนไว้แล้วไม่มีผิดพลาด มันผิดพลาดอยู่กับตัวเราผู้ดำเนินตาม ปลีกๆ แวะๆ ไปอย่างนั้น ไม่ตรงตามแนว มรรคผลจะมีมาจากไหน ไม่มี ถ้านอกเหนือไปจากธรรมวินัยที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้ว ไม่มีทางที่จะได้รับมรรครับผล
ขอให้ดำเนินตามธรรมวินัย ท่านบอกว่าพระธรรมและพระวินัยนั่นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราล่วงไปแล้ว นั่น ให้ยึดหลักธรรมหลักวินัยก็เหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวนั่นแหละ ถ้าห่างเหินจากธรรมวินัยแล้วแหลกไปทั้งนั้นไม่มีดีเลย ให้ยึดหลัก ให้มีศาสดา อยู่ที่ไหนให้มีศาสดาคือธรรมคือวินัยติดแนบตัวเองอยู่เสมอ แล้วจะดีวันดีคืนพระเรา
ทำไมตั้งไม่ได้พระ ตั้งหน้าตั้งตามาปฏิบัติเพื่อชำระกิเลส กิเลสมันใหญ่หนาแน่นยิ่งกว่าครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เหรอพวกเราจึงแก้ไม่ได้ พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายท่านแก้ท่านถอดถอนปราบปรามมันจนไม่มีอะไรเหลือในใจ เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราเรื่อยมา มันเป็นกิเลสประเภทใด ก็กิเลสประเภทเดียวกันนี้ สติปัญญาเครื่องมือปราบมันก็เป็นแบบเดียวกันให้นำมาใช้ สำหรับผู้นำมาใช้สำคัญมาก นำธรรมนำวินัยเครื่องมือปราบกิเลสมาใช้ แต่ส่วนมากมีแต่ให้กิเลสปราบเอาๆ อยู่ที่ไหนมองไปที่ไหนมีแต่กิเลสสับยำหัวคน หัวสัตว์โลก ดูไม่ได้นะ
นั่นละธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เวลาเป็นขึ้นในพระทัยแล้วมองดูโลก ท่านก็เคยเกิดกับโลกมากี่กัปกี่กัลป์ ไม่ได้คาดได้ฝันว่ามันจะเป็นดังที่หลังจากตรัสรู้แล้ว มองดูโลกจนจะดูไม่ได้เลยท้อพระทัย ไม่อยากสั่งสอนใคร เพราะธรรมชาติคือพระทัยที่บริสุทธิ์สุดส่วนนั้นเลิศเลอเกินกว่าที่โลกจะยึดได้เกาะได้ ท่านจึงท้อพระทัย
กิเลสเวลามันหนามันเอาให้ถอยหลังกรูดๆ นะกับอรรถกับธรรม ดีไม่ดีเห็นธรรมเป็นข้าศึก ชวนไปวัดไปวาเหมือนจะเอาไปฆ่า จะจูงไปฆ่า เรื่องไม่ดีทั้งหลายไม่ต้องบอกมันไหลไปเลยๆ ให้ดูหัวใจเจ้าของนะที่พูดนี้ ทุกคนมีหัวใจฟังทุกคน และความดีดความดิ้นเหล่านี้เป็นอยู่ที่หัวใจทุกคน ธรรมที่จะนำมาปราบก็สอนเรียบร้อยแล้วให้นำไปปราบ ถ้าอยากเป็นคนดีมีสาระให้มีความอบอุ่นแก่ตน ให้นำธรรมเข้าไปปฏิบัติ ถ้ามีแต่กิเลสล้วนๆ ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่จะยึดจะเกาะ โลกนี้รวนเร คว้านั้นคว้านี้คว้าน้ำเหลวกันทั้งนั้น แทบมองไม่เห็นว่ามีผู้เกาะยึดติดสิ่งที่เป็นสารคุณคือธรรมภายในใจ มีน้อยมากนะ นอกนั้นเป็นเรื่องของกิเลสตีตลาดทั้งหมด
เวลานี้กิเลสกำลังเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่โตทีเดียว ไม่ว่าคนธรรมดา ไม่ว่าวงราชการงานเมืองเป็นขั้นๆ ตอนๆ กิเลสเป็นแนวหน้าๆ ไปทั้งนั้น เพราะฉะนั้นบ้านเมืองจึงหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ สมบัติเงินทองข้าวของก็มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ทำไมมันถึงอดอยากขาดแคลน เพราะผู้กินกิน ผู้กลืนกลืน ผู้ไม่มีกินมันก็จะเป็นจะตาย นี่คือเรื่องของกิเลสได้เท่าไรไม่พอ ท้องอยากได้สักสิบท้องก็ยังไม่พอนะ ท้องเดียวนี้มันเต็ม เอามาอีกสิบท้องก็ยังไม่พอกับกิเลส
ความอยากของกิเลสนี้อยากมากหิวมาก แม่น้ำมหาสมุทรทะเลก็ร่ำลือว่าเป็นแหล่งแห่งน้ำในโลก ไม่มีอะไรที่จะมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร มาเทียบกับ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำคือความอยากความทะเยอทะยานของกิเลสตัณหานี้ใหญ่โตยิ่งกว่าน้ำมหาสมุทรเป็นไหนๆ นั่นฟังซิ แล้วเราจะเอาอะไรไปให้มันพอล่ะ แม่น้ำมหาสมุทรมีฝั่งมีแดน ส่วนกิเลสตัณหา แม่น้ำคือตัณหาความอยากความทะเยอทะยาน ไม่มีฝั่งมีแดน ให้เท่าไรเหมือนไฟได้เชื้อ ไสเข้าไปแสดงเปลวจรดเมฆๆ
เราจะเอาความสุขเพราะความไม่อิ่มไม่พอวิ่งตามกิเลส ตายทิ้งเปล่าๆ นะ ขอให้พิจารณา เอาอรรถธรรมแหละมาแก้กัน พระพุทธเจ้าสอนโลกด้วยธรรม ตรัสรู้ด้วยธรรม ความพออยู่กับองค์ศาสดา ธรรมเป็นธรรมสอนโลกที่แม่นยำที่สุด ขอให้พากันยึดเอาเป็นหลักเป็นเกณฑ์
ผมเองก็ไม่ค่อยได้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน โดยเฉพาะพระสงฆ์เหมือนแต่ก่อน สอนก็ปาไปอย่างนั้นแหละ ปาไปทางโน้นปาไปทางนี้ ไม่ทราบว่าถูกหรือไม่ถูก ปาไปอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนสอนพระสอนจริงๆ ถึงเวลาประชุมๆ ธรรมะจึงมีแต่ธรรมะสดๆ ร้อนๆ เด็ดๆ ทั้งนั้น ควรจะเป็นคติได้เป็นอย่างดี แต่ทุกวันนี้คนที่มาเกี่ยวข้องกับเราก็มาก ที่จะหาเวล่ำเวลามาสอนพระโดยเฉพาะก็ไม่ค่อยมี กำลังวังชาก็ลดลงเป็นลำดับแทบจะเทศน์อะไรไปไม่ได้ ทุกวันนี้เทศน์ถึง ๔๐ นาทีนับว่าได้มากแล้วนะ แต่ก่อนชั่วโมงกว่าๆ ไปเทศน์ที่ไหนเป็นชั่วโมงกว่าตลอดมา เดี๋ยวนี้ถึง ๔๐ หรือ ๕๐ นาทีถือว่าได้มาก นั่นละฟังเอาซิ มันลดลงๆ อ่อนลง กำลังวังชาซึ่งเป็นเครื่องใช้ของธรรมอ่อนลงๆ ธรรมก็ออกไปตามกำลังของเครื่องมือ เครื่องมือไปไม่รอดธรรมก็แสดงออกไม่ได้ ขอให้ทุกๆ คนตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
ให้ยึดธรรมเกาะธรรมนะ อย่าเป็นบ้ากับกิเลสอย่างที่เคยเป็นมาแล้วนี้ นี้นับวันยิ่งกำเริบเสิบสานเข้ามานะ กิเลสพอกพูนหัวใจเอาไฟเผาหัวอกๆ แต่ละหัวอก หัวอกไหนที่มีน้ำอยู่ในนั้น น้ำดับไฟ มันมักจะมีแต่ไฟเผาทั้งเป็นๆ ไม่ตายแต่ถูกเผา ก็คือกิเลสเผาหัวอกสัตว์โลกนั่นแหละ ทั้งๆ ที่ยังไม่ตายก็เผา ธรรมดาสัตว์ตายแล้วค่อยเผากัน อันนี้กิเลสเผาคนเผาทั้งเป็น พากันจำให้ดีนะ เอาละให้พร
อาหารที่ส่งเข้าไปในครัว ผู้จัดการอาหารในครัวให้มีผู้สำคัญๆ เป็นหัวหน้าจัดการอาหารแยกโน้นแยกนี้ในครัวนะ อย่าเห็นแก่ได้แก่เอาไม่ได้นะวัดนี้ไม่มี วัดนี้มีไม่ได้ ให้มีความสม่ำเสมอกันหมด อดด้วยกันอิ่มด้วยกัน เป็นตายด้วยกัน เรียกว่าธรรม อย่าเห็นแก่ได้แก่กิน เห็นแก่ปากแก่พุงตัวเองโดยไม่มองคนอื่น อย่าให้เห็นนะสำหรับวัดป่าบ้านตาด มีไม่ได้เราบอก เพราะไม่เคยเป็นอย่างนั้นตลอดมา มีอะไรถึงกันหมดๆ จำให้ดีนะในครัวน่ะ มาสุ่มสี่สุ่มห้ามาเต็มอยู่นั่น ที่เลอะเทอะมีไม่น้อยนะอยู่ข้างใน มาแอบอยู่นั้นละ แล้วสร้างความเลอะเทอะให้คนอื่นหนักใจ
หลังจังหัน
ตำรวจตระเวนชายแดนชุดวัดป่าบ้านตาด ร่วมทำบุญศูนย์ดวงตา สองหมื่นบาทถ้วน เอาละหลวงตารับเรียบร้อยแล้ว ทีนี้หลวงตาจะบริจาคให้ ต.ช.ด.ชุดดังกล่าวนี้กลับคืนตามเดิม (สาธุ) ....เวียงจันทน์เราจะพยายามให้ครบเครื่องมือตาเพราะขาดแคลนมากจริงๆ คิดดูเวลานี้ได้ให้ไป ๑๖,๙๙๘,๕๔๐ แล้วเฉพาะตานะนี่ที่ให้เวียงจันทน์ เดี๋ยวนี้ยังไม่จุใจ เราไปร้อยเอ็ดมาคราวนี้ หลังจากนี้จะไปเวียงจันทน์ ไปสอบถามเรื่องราวอะไรเรียบร้อยแล้วขาดเหลืออะไรนั่นละตกลงกันตอนนั้น ส่วนวัตถุอาหารการกินต่างๆ นั้นเรากะว่าจะให้เขามารับเองดังที่เคยปฏิบัติมา เราจะเตรียมไว้ที่ศาลาใหญ่ให้เขามารับไป
ทางนั้นขาดแคลนมากก็คือโรงพยาบาล เฉพาะตารู้สึกว่าแทบจะไม่มี โห ทำไง เราจึงได้ให้ตามที่เขาเขียนรายการๆ นั้น ให้หมดทุกรายการเลย ดูเหมือน ๑๖ ล้านกว่านะ นี่ก็ยังไม่ครบเฉพาะเครื่องทำตา ไปคราวนี้ก็จะไปซ้ำตรงนี้อีก สั่งเครื่องมือตาอีก เท่าที่เราได้ออกแล้วเวลานี้มีโรงพยาบาลศูนย์อุดรนี้ ได้ให้สมบูรณ์เต็มที่แล้วตา ให้สมบูรณ์มานานแล้วตั้งแต่เราไปผ่าตัดตาอยู่โรงพยาบาลรัตนิน หมออุทัยซึ่งเป็นลูกศิษย์นั่นละ พอผ่าตามารู้สึกสว่างไสว ดาวดวงเล็กดวงน้อยเห็นหมดนะ นั่นละจากกรุงเทพมาอยู่วัด ๓ วันเท่านั้นละเข้าโรงพยาบาลศูนย์เลย
เชิญหมอและพยาบาลมาประชุมกันโดยด่วนเลยเชียว ตกลงเป็นข้อเด็ดขาดด้วยกัน เราบอกงั้นเลย เด็ดขาดคือว่าหมอจะได้ครบไหมถ้าเราเอาเครื่องมือทำตามาครบ เวลานี้ยังไม่ครบเขาบอก แต่จะให้ครบถ้าเครื่องมือตาครบ เอาตรงนี้ละสำคัญ คือให้หมอครบ คือหมอมันหลายแผนกตา แผนกต่างๆ กัน หมอเขาก็ยืนยันเพราะเขาอยากได้อยู่แล้ว เขายืนยันคือเวลานี้ยังไม่ครบเพราะเครื่องมือยังไม่ครบ เราก็ถามว่าถ้าเครื่องมือครบหมอจะมาครบไหม เขาว่าครบว่างั้นเลย เขาจะรีบหา เอ้า ถ้างั้นเอาเลย เราก็จะเอาให้ครบ สั่งแบบตูมกันเลย ทางนี้ก็เอาเด็ดไปเลยสั่ง หมอก็มาทัน
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ว่าสมบูรณ์ๆ แล้วเมื่อเร็วๆ นี้มาขออีก ๗ ล้าน มันสมบูรณ์อะไรนี่น่ะเราว่า มาขออีก ๗ ล้าน เราก็ให้ทันทีเลย เพราะเราเปิดไว้แล้วว่าโรงพยาบาลศูนย์สำหรับตาไม่ต้องมาขอเรา ถ้าหากว่าหมอเห็นสมควรกับเครื่องมือใดแล้ว ให้หมอพิจารณาสั่งเองๆ เมื่อของตกมาแล้วหมอรับรองคุณภาพเครื่องมือว่าดีแล้ว ให้ส่งบิลมาหาเรา แล้วเราจะส่งเช็คไปตามบริษัทต่างๆ ทำอย่างนี้เรื่อยมา สะดวกตลอด อุดรเรียกว่าสมบูรณ์เต็มที่ละ ไม่ให้ขาดแคลน เมื่อเร็วๆ นี้มาขออีก ๗ ล้านกว่า ว่าสมบูรณ์แล้วทำไมมาอีก เขาบอกเครื่องมือใหม่มาก็เลยมาขอ คือธรรมดาเขาจะสั่งได้เลย เพราะเราเปิดไว้แล้วว่าสำหรับตาแล้วไม่ต้องมาขอเรา ให้สั่งได้เลย แต่นี้มันถึง ๗ ล้านเขาก็ต้องมาขอ เราก็ให้ทันทีเลย นี่เรียกว่าเรียบร้อยแล้ว
ศรีนครินทร์ ขอนแก่น ก็ให้ไป ๖ ล้าน ๘ แสน ไม่พอเครื่องมือตา บกพร่อง เอาคนไข้มาให้โรงพยาบาลศูนย์เรื่อยๆ เพราะโรงพยาบาลศูนย์อุดรสมบูรณ์แบบจริงๆ เราเป็นผู้ควบคุมเครื่องมือแพทย์ บอกไม่ให้บกพร่องเลย ทีนี้โรงพยาบาลศรีนครินทร์มีไม่สมบูรณ์ เขาเอาคนไข้มาให้โรงพยาบาลศูนย์เรื่อยๆ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ก็มาขอเรา เราให้ไป ๖ ล้าน ๘ แสน นี่ก็ตา อุดร ขอนแก่น ใกล้เคียงกันได้เครื่องมือตาเรียบร้อยแล้ว
ทีนี้ก็ไปตั้งที่บุรีรัมย์ ๖ ล้าน เพชรบูรณ์ ๔ ล้าน พิษณุโลก ๙ ล้าน ๕ หมื่น อุตรดิตถ์ ๕ ล้าน ๘ นี่สั่งแล้วทั้งนั้นเครื่องมือตา พอทราบจากวิทยุเท่านั้นพรึบมาเลย พอเราพูดวันนี้วันหลังมาถึงแล้วเรื่องตา เหล่านี้มีแต่มาถึงแล้วทั้งนั้น ยกทัพมาเลย หมอผู้อำนวยการมาเลย มาแสดงความจำเป็นให้ทราบทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็ให้ตามนั้นๆ สำหรับเวียงจันทน์ ประเทศลาวปล่อยไม่ได้นั่นก็ดี จะต้องไปช่วยอีก เพราะฉะนั้นมาจากร้อยเอ็ดแล้วจึงจะไปเวียงจันทน์เสียก่อน ไปถามดูเครื่องมือ ได้ความอย่างไรแล้วจะให้เขามารับจากวัดเราอย่างที่เคยปฏิบัติมา
มานี่ก็ช่วยโลกทั้งนั้นๆ ถ้าพูดถึงเรื่องหนักเราหนักมากนะ แต่ความเมตตามันหนุนไว้ หนักมันก็หนุนไว้จนได้นั่นแหละความเมตตาสงสาร คิดดูซิฉันจังหันแล้ววันหนึ่งไปไหนท่านทั้งหลายทราบไม่ใช่หรือ ฉันจังหันปั๊บไปแล้วนะนั่น ไปแล้วๆ เป็นอยู่ในหัวใจไม่ได้บอกใครให้ทราบแหละ ฉันเสร็จแล้วก็ไปๆ สงเคราะห์โรงพยาบาลเป็นส่วนมาก ไปโรงนั้นไปโรงนี้ เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลแต่ละโรงเราได้ให้โรงละสองหมื่น แต่ก่อนให้แต่สิ่งของเต็มรถๆ เดี๋ยวนี้ไปถามดูถึงเรื่องค่าใช้จ่ายของเขาเดือนหนึ่งหมดประมาณเท่าไร โรงนั้นหมดเท่านี้ โรงนี้หมดเท่านี้ เราก็เฉลี่ย เลยให้โรงละสองหมื่น ไปโรงไหนก็ให้โรงละสองหมื่นๆ ทุกโรงไปเลย
คนไข้หัวใจ ชีวิตจิตใจอยู่กับหมอว่าไง ทีนี้หมอจะก้าวได้ก็เพราะเครื่องมือ นั่นละสำคัญ เพราะฉะนั้นเครื่องมือเราจึงยอมติดหนี้ ที่อื่นเราไม่ติด ช่วยโลกมาตลอดแต่เราก็ไม่เคยติดหนี้ใคร สำหรับโรงพยาบาลติดบ่อย เครื่องมืออันนี้มาจำเป็นอย่างนั้นๆ เขามาชี้แจงเรื่องความจำเป็นของเครื่องมือ เครื่องมือแต่ละเครื่องนี้จำเป็นกับคนไข้มากน้อยเพียงไร เอาละที่นี่ ทีนี้เงินเราก็ไม่พอจะทำยังไง ชั่งน้ำหนักของเครื่องมือแพทย์มีน้ำหนักมากกว่าเรื่องติดหนี้ไม่ติดหนี้นี่ เอาๆ สั่งเลย ติดเรื่อย มันจำเป็นอย่างนี้ละ เราไม่มีขนาดนั้นละฟังซิ
ร่ำลือวัดป่าบ้านตาด การได้มาแห่งสมบัติทั้งหลายนี้ยอมรับว่าได้มา แต่เวลาออกไปนี้ เข้าเท่าไรออกเท่านั้นเป็นอย่างน้อย บางทีปากออกกว้างกว่า ติดหนี้เขาก็มี เป็นอย่างนั้นละ ไม่มีเหลือในวัดนี้ เราทำทุกอย่างให้โลก เวลาเรามีชีวิตอยู่นี้เราจะทำสุดความสามารถของเรา ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเราละ คิดดูซิผลสุดท้ายเวลาจะตายยังเขียนพินัยกรรมไว้แล้ว เวลาเราตายนี้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีศรัทธาที่จะมาบริจาคทานเพื่อเผาศพเรา เงินจำนวนเหล่านี้ให้ตั้งกรรมการขึ้น เก็บรักษาเข้มงวดกวดขันให้ได้หมดเลย จากนั้นก็ยกอันนี้เข้าซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง เราจะเผาด้วยไฟ สมบัติเงินทองนี้ยังเป็นประโยชน์แก่ผู้มีชีวิต เราจะเอาเข้าสู่ทางจุดใหญ่ คือจะซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวง นี่เป็นวาระสุดท้าย เป็นอันว่าเลิก เลิกไปเลย
พูดด้วยความอาจหาญชาญชัยเต็มหัวใจมาได้ ๕๖ ปีนี้แล้ว เราหายสงสัยกิเลสตัวใดที่จะมาแฝงจิตไม่มี ความทุกข์นิดหนึ่งที่จะเข้าแทรกจิตก็ไม่มี ความทุกข์ทั้งหลายมาตามกิเลส สำหรับธาตุขันธ์ยกไว้ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยธรรมดา แต่ที่จะให้มีกิเลสเข้าแทรกให้เป็นความทุกข์ในใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง นั่นละบรมสุขมีตลอด สอนโลกที่เต็มไปด้วยความเดือดร้อนวุ่นวายเป็นฟืนเป็นไฟ สอนด้วยอรรถด้วยธรรมด้วยบรมสุขทั้งนั้นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านไม่มีทุกข์ไปเจือปนสอนโลกเลย ท่านมีแต่บรมสุขสอนโลกทั้งนั้นละ เลิศเลอขนาดไหนธรรม สอนโลกเป็นอย่างนั้น
นี่ก็เป็นวาระสุดท้ายในชีวิตของเรา จวนเข้ามาแล้ว ยิ่งเร่งทุกอย่างจวนเข้ามา ความเมตตาสงสารยิ่งหนาแน่นขึ้นมา ชีวิตจิตใจนี้ไม่ได้ห่วงใยอะไรสำหรับตัวเอง ห่วงเพื่อโลก เมื่อธาตุขันธ์ยังมีชีวิตอยู่เคลื่อนไหวไปมา เช่นแนะนำสั่งสอนนี้ก็เป็นประโยชน์ จะขวนขวายไปทางไหนก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเมื่อธาตุขันธ์ยังมีอยู่ พอลมหายใจหมดแล้วหมดทันทีเลย อันนี้ละสำคัญที่สงเคราะห์สงหาเสียตั้งแต่บัดนี้
สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้เราพูดตรงๆ บอกไว้เลย เงินทองอะไรจะมีในบัญชีธนาคารบ้างอะไรบ้างนี้ เรามีเพื่อโลกทั้งนั้น เราไม่ได้มีเพื่อเรา ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เวลาหลวงตาบัวตายอาจจะมีเงินอยู่ในบัญชีหลายแห่ง เป็นหลายล้านบาทอยู่อย่างนี้นะ เหล่านี้เพื่อความจำเป็น จุดไหนๆ ที่จะไปเอาอันไหนมาทุ่มเอามา จากบัญชีไหนๆ ทั้งนั้นละ สำหรับเราเราไม่มีเราไม่เอา พอ พอทุกอย่าง สามโลกธาตุนี้ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือภายในใจ ปล่อยหมดแล้วบรมสุขขึ้นทันที เราไม่เคยมีทุกข์ภายในใจ แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี มีแต่บรมสุขตลอด
เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ยกไว้เป็นธรรมดาของสมมุติ เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนกันทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่าไม่เข้าถึงใจเท่านั้น มันเป็นอยู่ตามสภาพของขันธ์ของสมมุติ กับวิมุตติจิตมันเข้ากันไม่ได้ เป็นหลักธรรมชาติอย่างนั้น เราจะทำเสีย การที่เราทำมานี้เหตุกับผลมันสมดุลกันทุกอย่าง เราจะเห็นได้ชัดในวงปัจจุบันที่ออกปฏิบัติธรรม เรียนหนังสืออยู่นู้นท่านพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานในตำราๆ จิตมันดื่มด่ำๆ เข้าในมรรคผลนิพพาน ดื่มเข้าเรื่อย เรียนไปดูดดื่มเข้าไปเรื่อย จิตมันหนักเข้าไปที่จะได้มรรคผลนิพพาน จนกระทั่งเกิดความสงสัย
ทีนี้เวลาจะเอาจริงๆ นะ กิเลสส่วนย่อยกิเลสมันจะแทรกเข้าไป ส่วนใหญ่พุ่งไปหามรรคผลนิพพานหมดแล้ว เชื่อแล้ว ส่วนย่อยมันมาแบ่งกิน เอ มรรคผลนิพพานจะมีอยู่หรือไม่น้า นั่นเห็นไหม นี่ส่วนย่อยมันแบ่ง จะตัดทอนกำลังของเราลง เรียนไปความหนักแน่นเพื่อมรรคผลนิพพานมีมากเข้าๆ ทีนี้ส่วนย่อยมันมาแบ่งกิน เอ๊ มรรคผลนิพพานจะมีหรือไม่น้า นี่คือกิเลสมันจะแบ่งกิน จากนั้นมา เอ้า อันนี้เราจะศึกษากับครูบาอาจารย์องค์ใด ผู้เป็นเจ้าของแห่งสมบัติคือมรรคผลนิพพาน เป็นที่ลงใจแล้วมอบกายถวายตัวต่อท่าน เราจะเอาตายเข้าว่าเลยเพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ว่างั้นเลย
พอหยุดจากเรียนปึ๋งก็เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ เต็มเหนี่ยว ได้มาอย่างเต็มหัวใจเลย พอลงจากท่านประชุมแล้วออกมา ก็ไม่ได้ประชุมแหละ เป็นเหตุกับเรานี่ละ ที่พระจะมารวมกันมากๆ ได้ยินเสียท่านแว้วๆ ขึ้น ออกมาฟังอย่างถึงใจแล้วก็มาถามตัวเอง เป็นยังไงวันนี้เรื่องสงสัยมรรคผลนิพพานเป็นยังไงวันนี้ หายสงสัยหมด แม้กิเลสจะมีเต็มหัวใจแต่ความเชื่อแน่ในมรรคผลนิพพานก็มีเต็มหัวใจด้วยกัน เอาละที่นี่เอาตายเข้าว่าเลย นั่น นี่ละที่ว่าเหตุกับผลมันรับกันๆ ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยย่อหย่อนในเรื่องความพากความเพียร เอาเป็นเอาตายเข้าว่าตลอดๆ เฉียดสลบ แต่เราไม่เคยสลบเราก็บอกไม่สลบ เฉียดตลอดอยู่อย่างนั้นเรื่อยมา
พอได้รับโอวาทของท่านอาจารย์มั่นเต็มหัวใจแล้ว เอาละที่นี่เอาตายเข้าว่าเพื่อมรรคผลนิพพานโดยถ่ายเดียว จะเอาให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ จะไม่เป็นอื่นว่างั้นเลย เรียกว่าเอาชีวิตเข้าแลก ถ้าเป็นอื่นก็เป็นอื่นจากเรียกว่าตายก่อนเสียเท่านั้นเอง ซัดตั้งแต่บัดนั้นมาเรื่องความเพียร หนักจริงๆ ความเพียรของเรา ดูนิสัยก็แล้วกันท่านทั้งหลายดูเอา นิสัยจริงจังเด็ดขาด นี่ลงในเจ้าของเด็ดขาดทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นจะอ่อนแอไม่ได้การประกอบความพากเพียร
ภาวนาไปองค์เดียวตลอดไม่ยอมให้ใครไปด้วยมันเป็นน้ำไหลบ่า มีองค์หนึ่งมีสององค์ก็ไหลบ่า รับผิดชอบทางนั้นทางนี้โดยสัญชาตญาณเองนะมันหากเป็น ถ้าไปคนเดียวป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ เป็นกับตายเรารู้เราเอง เอาเลย ไม่ฉันกี่วันช่างหัวมัน มันจะตายจริงๆ ไปบิณฑบาตมาฉันๆ คืออดอาหารนี้มันเสริมความเพียรได้ดี สติดีมาก อาหารน้อยลงเท่าไรๆ สติยิ่งดีๆ อดปั๊บนี้สติยิ่งพุ่งๆ แต่ร่างกายมันจะตายซิ เมื่อมันจะตายจริงๆ ก็ไปบิณฑบาตมาฉันเสียบ้าง ไม่ฉันมันก็จะตายไปไม่ถึงที่ถึงแดน เอาอย่างนั้นมาตลอดเลยจนกระทั่งท้องเสีย
มีแต่อดอาหารเป็นสำคัญละเรา เพราะเห็นผลในการอดอาหาร การตั้งสติได้ดี สติปัญญาคล่องตัวๆ เอาตรงนี้ เอ้าทุกข์ยากลำบากก็เอา จุดนี้เป็นจุดได้ผลได้ประโยชน์ บึกบึนมาเรื่อยจนกระทั่งท้องเสีย มาจนถึงวาระที่จะช่วยชาติบ้านเมือง เสียมาตั้งแต่โน้น แล้วเอาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียด้วยนะ ความเพียรก็ได้ปรมาจารย์พ่อแม่ครูจารย์มั่นเสริมเสียด้วย พอว่าลาท่านจะไปเที่ยวอย่างนี้นะ กราบเรียนท่านแล้วเมื่อกาลอันควรแล้วท่านก็จะแย็บออกมา เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวนั้นก็ไปได้ละ คือกราบเรียนท่านแล้วทิ้งไว้เลย แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเรียบร้อยแล้วท่านเห็นสมควรเมื่อไรท่านก็จะบอก
นี่เราก็กราบเรียนแล้ว เห็นสมควรแล้วท่านก็ลั่นคำลงละ เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวนั้นก็ไปได้ละ แล้วจะไปทางไหนๆ ท่านก็ถาม พอเสร็จแล้วถามปั๊บเข้ามานี้ จะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านผางขึ้นเลย เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวคนอื่นอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่น ท่านเห็นนิสัย นิสัยมันผาดโผนโจนทะยาน ไปแต่องค์เดียวภาวนาเป็นเวลา ๙ ปี ไม่เอาใครไปด้วยเลย ใครก็ทราบแล้ว เรียนก็ถึงขั้นมหา การศึกษาเล่าเรียนมาเป็นปากเป็นทางในทางปฏิบัติด้วยดีอยู่แล้วจะไปบกพร่องที่ไหน มันก็บกพร่องแต่การดำเนินตามจะได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น นั่นละทุ่มกันเลย เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วยๆ
จิตนี้ก็ล้มลุกคลุกคลาน ออกทีแรกล้มลุกคลุกคลาน ครั้นต่อมาก็เพราะความเข้มข้นในความพากความเพียรไม่หยุดไม่ถอยก็ค่อยตั้งตัวได้ๆ จิตสงบร่มเย็น จากนั้นเป็นสมาธิ เอาสรุปความลงไปเลย จากนั้นก็ออกทางด้านปัญญานี้หมุนติ้วๆ เลย ตอนนี้ละตอนออกทางด้านปัญญา อยู่คนเดียวแล้วยังไม่แล้วยังใครไปแตะไม่ได้ จะไปด้วยไม่ได้เลย ขาดสะบั้นไม่ให้ใครไปด้วยเลย ตอนนั้นตอนงานไม่ว่าง สติปัญญาขั้นอัตโนมัติ เรียกว่าขั้นจะไปแล้วนี่ ถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติแล้วจะไปโดยถ่ายเดียวไม่มีคำว่าจะลง ไปโดยถ่ายเดียว พุ่งๆ เลย เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
พอพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ นั่นละตอนที่เราหมุนเต็มที่ ตอนพ่อแม่ครูจารย์ป่วยหนักเราก็หมุนทางใจอย่างหนัก ท่านก็หมุนทางธาตุทางขันธ์ เราก็หมุนทางจิตใจจะฆ่ากิเลส พอเผาศพท่านเรียบร้อยแล้วก็บึ่งเลย กลับออกมา เดือนสามออกจากวัดดอยธรรมเจดีย์ไป เดือนหกกลับมา ซัดกันเสียเต็มเหนี่ยว เดือนหก ท่านมรณภาพตอนเดือนสามละมั้ง พอเสร็จแล้วก็ไปเป็นเวลาหกเดือน กลับมาเผาศพท่านอะไรเสร็จแล้ว เราก็มาเผาศพกิเลสที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นี่เรียกว่าเผาศพกิเลส ท่านเผาธาตุเผาขันธ์ กิเลสท่านเผามานานแล้ว เราก็เผากิเลสที่นั่น
จากนั้นมาก็เริ่มละที่นี่ เพราะหมู่เพื่อนรุมอยู่ตลอดเวลา เราไม่ยอมให้เข้าติดตัวเรา ขโมยหนีตลอดๆ จนกระทั่งจะว่าลงเวทีก็ว่าได้ แต่เราไม่ได้มีเจตนามันหากเป็นด้วยหมู่เพื่อนรุมเรา ก็เลยแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ เพราะฉะนั้นธรรมที่เราได้มานี้ได้อย่างสมเหตุสมผล เรารอดล้มรอดตายมากว่าที่จะได้ธรรมประเภทนี้ สมเจตนาว่าต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้นเป็นอื่นไม่เอา เข้ากันได้เลย จากนั้นก็สอนโลกเรื่อยๆ มา จนกระทั่งปัจจุบันนี้เป็นยังไงการสอนโลกของเรา สอนทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีผิดมีพลาดแน่ในหัวใจ ไม่ว่าจะธรรมขั้นใดๆ ให้เป็นที่แน่ใจสำหรับผู้ฟังทั้งหลาย เราไม่มีสงสัยในหัวใจเรา ถอดออกไปตรงไหนแม่นยำๆ หมดเลย จึงให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
ธรรมพระพุทธเจ้าพุทธศาสนานี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ อย่าให้กิเลสหลอกทางโน้นหลอกทางนี้ คว้านั้นคว้านี้ ศาสนานั้นศาสนานี้ อันนั้นว่าดีอันนี้ว่าดี คว้าโน่นคว้านี้ตายทิ้งเปล่าๆ นะ พุทธศาสนาเลิศเลอแล้วให้ยึดให้เกาะ ท่านสอนตรงไหนให้จับให้ดี อันนี้เป็นศาสนาเลิศเลอ ศาสนาคู่โลกคู่สงสาร พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้เป็นแถวแนวอันเดียวกันเลยเรื่อยไป ไม่ปลีกไม่แวะ ไม่คว้าโน้นมาเป็นศาสดาไม่คว้านี้มาเป็นศาสดา ไม่มี เอาศาสดาองค์เดียวเป็นแบบเป็นฉบับต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แล้วต่อไปนี้ก็อริยเมตไตรย เราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะมันเชื่ออยู่ในหัวใจนี้แหละ จากนั้นก็จะมีพระพุทธเจ้าอนาคตวงศ์จะมีต่อไปอีกสิบองค์ ท่านก็บอกเป็นลำดับตลอดชื่อนามของท่านผู้จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ารองลำดับลำดากันไปเรื่อยๆ ท่านแน่ขนาดนั้นละพุทธศาสนาเล็งญาณบอกไว้เลย บอกล่วงหน้าๆ ไว้
นี่เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาอย่าให้เสียท่าเสียทีนะ เรื่องพุทธศาสนาแม่นยำมากที่สุด เลิศเลอสุดยอดแล้วคว้าให้ติดมือนะ อย่าปล่อยวางเป็นอันขาด นี่สอนเต็มเหนี่ยว ลงมาจากเวทีมาสอนจึงไม่สงสัยอะไร วันนี้เอาเพียงแค่นั้นละ พอ
(หลวงตาครับ ทนายจากสำนักงานทนายความ เขาช่วยชาวบ้านเขามีความเป็นห่วงหลวงตา เขาเลยมาถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตา ความประสงค์ก็เพื่อหากว่าหลวงตามีความจำเป็นในการที่จะต้องใช้ทนายความ เขาชื่อชุมพล เขาบอกว่าเขาทราบข่าวว่าเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ทางสำนักงานทนายความ เรียกว่าทนายของชาวบ้านนี่ ได้ทราบข่าวว่ามีบุคคลบางกลุ่มบางพวกจะเข้ามาสร้างความไม่สงบให้แก่หลวงตา ถึงขั้นที่จะฟ้องร้องถึงโรงถึงศาลกับท่านหลวงตา โดยเขาทราบทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ดังนั้นทางคณะทนายความชาวบ้านจึงมีมติเห็นพ้องต้องกันว่า ส่งให้นายชุมพล อุดมโภชน์ เป็นตัวแทนเป็นทนายความของชาวคณะมาถวายตัวแก่ท่านหลวงตา เพื่อหากว่าหลวงตามีสิ่งที่จะปรึกษาด้านกฎหมาย และยินดีรับใช้หลวงตาตลอดเวลา เขาจึงกราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง คณะทนายความ สำนักงานกฎหมายทนายความชาวบ้านครับ เขาชื่อนายชุมพล กราบเรียนนะฮะ เขาก็เป็นห่วงหลวงตาละครับ)
เออ ห่วงไป ผู้ห่วงห่วงไป ลูกศิษย์กับอาจารย์ห่วงกัน พ่อแม่กับลูกต้องห่วงกัน เอ้า ห่วงไปเราไม่ว่า เอ้า ว่าต่อไป (เขาชื่อนายชุมพล อุดมโภชน์ นะครับ เขาก็พร้อมที่จะรับใช้หลวงตา หากหลวงตามีความประสงค์จะใช้เกี่ยวกับเรื่องทนายความ) เขาจะมาสร้างเหตุการณ์ก่อกวนเราว่างั้นเหรอ เออ สร้างก็สร้างเถอะเขาสร้างข้างนอก เราไม่มีอะไรที่ก่อกวนตัวเองหมดทุกอย่างแล้ว เขาจะสร้างอะไรให้เขาสร้างไปเข้าใจเหรอ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เขาอยากสร้างอะไรก็ให้เขาสร้างไป เราไม่สร้างเราหมดแล้วที่จะสร้างจะสมจะส่งจะเสริมอะไรในหัวใจเราหมด ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ใครจะสร้างจะอะไรมันเรื่องของโลก โลกมันสกปรก อยากก่อเรื่องอะไรเขาก็ก่อของเขาเอง
ก็ดังหมาวิชัยมันจะมาเอาหลวงตาบัว เดือนสิงหาข้างหน้าจะหาข้อมูลมาฟ้อง ว่าหลวงตางุบงิบเงินที่ช่วยชาตินี้ไว้หลายพันล้านบาท เขากำลังหาข้อมูล แล้วจะเอานี้มาฟ้องหลวงตาให้จม เข้าใจเหรอ เดือนสิงหานี้ ทางนี้ก็ตอบไปแล้วตั้งแต่เขายังไม่หา เดี๋ยวนี้เขาคงยังไม่หาข้อมูล หรือหาแล้วก็ไม่ทราบ ก็บอกให้เขายกโคตรมาเลย ข้อมูลมีกี่โคตรให้เอามาเลยมาฟ้องหลวงตาบัว พอมาถึงหลวงตาบัวแล้ว หลวงตาบัวนี้จะจับหัวมันไสเข้าไปโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ให้พวกหมอพวกพยาบาลทั้งหลายที่เขารับบริจาคจากเรามากน้อยเพียงไร ซึ่งเขาจดบัญชีเอาไว้ใช่ไหม ให้เขาเอาอันนั้นละตีหน้าผากมันหงายหมากลับไป
ยังไม่ถึงไหนละไปหาข้อมูลโรงพยาบาลศูนย์โรงเดียวเท่านั้นพอ เพราะมันร่วมร้อยล้านนู่นน่ะ เฉพาะโรงพยาบาลศูนย์นี่นะ ของสำคัญๆ เราให้หมดเลย เพราะฉะนั้นเวลาจะมาหาข้อมูลกับเรา เราเป็นผู้ต้องหาไม่มีใครเชื่อละ ต้องไปหาโรงพยาบาล ไปหาหมอหาพยาบาลให้เขาเป็นผู้ให้ข้อมูล นั่นเขาไม่ได้มีคดีติดหัวเหมือนเรา ให้เขาเป็นผู้ชี้แจงเข้าใจไหม พูดสนุกเฉยๆ ตีหน้าผากมันให้มันหงายหมาไปบักหมาวิชัย มันไปเรียนวิชาหมามาจากไหนมันถึงกัดนู้นกัดนี้ กัดไปกัดมาก็มากัดหลวงตาบัว
หมอวิชัย แต่ก่อนเป็นผู้อำนวยการอยู่ที่โรงพยาบาลเพ็ญ มันเอารถโปเกมาขวางหน้าเราหาอุบายขอรถจากเรา พอเราเข้าไปนั้นปั๊บมันเอารถโปเกมาขวาง เวลาเราออกมารถโปเกมันขวางให้ว่าดูไม่ได้ ขอรถใหม่ความหมายว่างั้น ทีนี้ในห้อง เฉพาะห้องผ่าตัดหลายล้าน เราให้เรียบร้อยแล้วอันนี้ก็ให้ จากนั้นก็ให้เรื่อยมา ให้หมอวิชัยนี้แหละเข้าใจไหม เราไม่มีอะไรกับหมอวิชัย มีแต่ให้แต่สงเคราะห์ถ่ายเดียว ไอ้นี้มันหวังตำแหน่งรัฐมนตรีพูดตรงๆ มันห่วงตำแหน่งรัฐมนตรีมันอยากได้รัฐมนตรี ถ้าตีหีวหลวงตาบัวได้แล้วมันจะได้เป็นรัฐมนตรี คงอย่างนั้นละท่า มันจะไปเอากับใครรัฐมนตรี มันก็ไปเอากับนายกฯทักษิณนั่นละจะไปเอาใคร ไปให้นั้นประทานให้ นายกฯทักษิณก็แม้ว แม้วนั้นก็ลูกศิษย์เรา มันจะเป็นอะไรไป เข้าใจเหรอ มันมีแต่เรื่องขบขัน ดูโลกสกปรก มีแต่เรื่องขบขัน
แล้วมีอะไรอีกล่ะ (เขามากราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตา ให้หลวงตารับทราบ) เอ้อ มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์นี้โลกเขายอมรับ แต่จะมาขอเป็นอาจารย์ของเรานี้โลกเขาจะไม่ยอมรับ ถูกต้องแล้วเขามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เหมาะแล้วถูกต้อง เขาไม่ได้มาฝากตัวเป็นอาจารย์
เดี๋ยวนี้ทางอำเภอเพ็ญก็กำลังสร้างอะไรสถานีตำรวจ (ส้วมทั้งหญิงทั้งชาย ๔ ห้อง แล้วก็ที่ปัสสาวะอีก ๒ ที่ เอาไว้รับรองชาวบ้าน เป็นที่นั่งชาวบ้านมาติดต่อโรงพัก) โรงหนึ่งใช่ไหม นั่นละกำลังสร้างเดี๋ยวนี้ กำลังสร้าง ทั้งห้องน้ำ ทั้งโรงอะไรที่ประชาชนเขาไปติดต่อเป็นโรงใหญ่อยู่ นี่เราก็ไปสร้างให้แล้ว บ้านข้าวสารก็สร้างให้ อำเภอเพ็ญก็สร้างให้อยู่เวลานี้
นี่พระท่านทำทางจงกรมให้ต่อจากกุฏิไปทางด้านตะวันตกเลย เรากลับมาเห็นทำเรียบร้อยแล้ว คือกุฏิเราหลังนี้เวลากลางคืนฝนตกเราจะเดินจงกรมในกุฏิ เราก็เล่าธรรมดาไม่ได้บอกให้พระทำนะ เราชอบตามธรรมชาติ อะไรสะดวกสบายเท่านั้นๆ ไปเลย พระเลยมาทำจากกุฏินี้ต่อไปด้านตะวันตก ยาวเท่ากันกับบริเวณกุฏิไปทางนี้ ยาวไปนู้นเท่ากัน กลางคืนก็เลยจุดไฟไว้ที่ทางจงกรมตรงกลาง เดินจงกรมกลางคืน ฝนตกไม่ตกช่างหัวมันที่นี่ แต่ก่อนถ้าฝนตกก็เดินบนนี้ ถ้าฝนไม่ตกก็ไปเดินทางซีเมนต์ ทางจงกรมลาดซีเมนต์อยู่ข้างใน เดี๋ยวนี้เดินนี้เลยเตลิด เดินไปเดินมาสะดวก
ส่วนมากที่สร้างโน้นสร้างนี้สร้างเวลาหลวงตาไม่อยู่นะ เพราะพระเหล่านี้ทราบนิสัยหลวงตา ไม่ชอบก่อสร้างแต่ไหนแต่ไรมา พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เหมือนกัน ท่านอยู่โดยหลักธรรมชาติๆ เหล่านี้มันเป็นเครื่องแฝงเรื่องเสริมขึ้นมาต่างหาก ท่านเองท่านเป็นอย่างนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่น ทีนี้เวลามันมาเข้าหัวใจเราก็เป็นแบบเดียวกัน ก็เลยอยู่เป็นหลักธรรมชาติ อะไรสบายหมด อยู่ที่ใดนอนที่ใดไปที่ไหนสบายหมดเลย นี่หลักธรรมชาติ อะไรเป็นเครื่องเสริมเครื่องเติมเข้ามาเป็นเครื่องต่ำลงไม่เอา อันนี้เขาทำไว้แล้วก็อาศัยไปอย่างนั้น
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|