เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
อายตนนิพพาน
เราพยายามหนุนทุกด้านทุกทางนะพี่น้องทั้งหลาย ขอให้เห็นใจ ศาสนาพระพุทธเจ้าของเรานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอด้วยความเมตตาต่อโลกต่อสงสารนะ ทำทุกสิ่งทุกอย่างเมตตาจะแทรกตลอดเวลาเลย ไม่ปราศจากเมตตา เราจึงให้พยายามทุกคน ปรับปรุงตัวเองด้วยนะ การกล่าวตักเตือนนี้ก็เพื่อปรับปรุงตัวเอง คือใจเป็นของสำคัญมาก อย่างที่หลวงตานำพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ ด้านจิตใจเป็นอันดับหนึ่ง วัตถุเหล่านี้เป็นอันดับที่สอง ถ้าจิตได้รับการอบรมด้วยศีลด้วยธรรมที่เป็นมหามงคลอย่างยิ่งต่อตัวเองแล้ว การดำเนินความเคลื่อนไหวของเราทุกด้านทุกทาง การทำมาหาเลี้ยงชีพทุกอย่าง ความดีความชั่ว จะรู้ตัว ๆ สะดุดใจไปตลอด เป็นการกระตุ้นเตือนใจไปตลอด แล้วก็ดีไปตลอดคนเรา เพราะฉะนั้นทางด้านจิตใจจึงเป็นของสำคัญมาก
เราอยากให้สมัยปัจจุบันนี้มีทีวีหลายช่องหลายทาง คือนี่เราก็ฝันย้อนหลังเฉย ๆ นะ เรื่องก็ผ่านมาแล้วได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว เรายังเสียดายไม่จืดไม่จางว่า พระพุทธเจ้าทรงทำความดีต่อโลกถึงสามแดนโลกธาตุนี้ เวลาทรงขวนขวายพระองค์ตะเกียกตะกายยังไงบ้าง เราอยากให้ทีวีนี้ไปถ่ายดูกิริยาอาการของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกมา ก็เท่ากับว่าเทวดาตกจากชั้นฟ้ามาลงนรกสด ๆ ร้อน ๆ นั่นเอง เสด็จออกจากพระราชวังทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระองค์และเพื่อโลกทั้งหลายนั้น ทรงได้รับความลำบากลำบนมาตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่ขณะที่เสด็จออกจากพระราชวัง ตัดอุปสรรคกองทุกข์มหันตทุกข์อยู่ในเวลานั้นหมด เข้าไปรวมอยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้า ทรงเบิกทรงเพิกทรงถอนออกหมดเลย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นภัยต่อประโยชน์ใหญ่หลวงที่เกี่ยวกับโลกสงสาร
การเสด็จออกทรงผนวชคราวนี้จึงต้องได้ฝ่าฟันอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงมากทีเดียว ในขณะที่เสด็จออกทรงผนวชนั้นแหละสำคัญนะ คราวนี้รวมหมดเรื่องความกังวลวุ่นวาย ความทุกข์ทุกประเภทจะมารวมในพระทัยทั้งหมด พระองค์ทรงเบิกกว้างออก ๆ ด้วยพระบารมีก็ช่วยหนุนพระองค์ให้เสด็จออกไปด้วยความสะดวก แต่ต่อสู้กันกับอุปสรรคที่กีดขวางอยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้า อันนี้ใครไม่เห็น เห็นแต่เวลาเสด็จออกทรงผนวชเงียบ ๆ แต่เรื่องภายใน มหาโจรมหามารอยู่ภายในใจที่ขัดขวางต่อทางเดินเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์นั้น รู้สึกว่าแน่นหนามากที่สุดเวลานั้น เบิกอันนั้นออกไปเต็มเหนี่ยวเลย
จากนั้นก็ทรงบำเพ็ญทุกแบบทุกฉบับที่จะได้เป็นประโยชน์แก่โลก ถ้าได้ถ่ายทีวีไปทุกระยะ ๆ นี้จะเป็นยังไงบ้าง กระเทือนไหมหัวใจของประชาชนเรา กระเทือนมากทีเดียว เฉพาะผู้มีอุปนิสัยปัจจัยพอสมควรแล้วจะกระเทือนมากมาย จึงทำให้เสียดายสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา ทรงบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงประกาศในนามพระศาสดาสอนโลก ผู้ที่บำเพ็ญธรรมตาม ทีนี้ก็ตามเสด็จกันไปเรื่อย ๆ ถ่ายทอดกันไปเรื่อย พระสงฆ์สาวกที่มาเป็นสรณะของพวกเรานี้ นับแต่พระพุทธเจ้าเป็น พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ อุบัติขึ้นมาได้อย่างไร ด้วยความทุกข์ความทรมานอย่างไรบ้าง อันดับที่สอง ธรรมที่เลิศเลอสุดในแดนโลกธาตุนี้คืออะไร คือธรรมธาตุ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์บรรลุธรรมปึ๋งเข้าไปในธรรมธาตุนี้ครอบโลกธาตุ นี่ก็อยากให้เห็น ออกทางทีวีให้เห็นธรรมประเภทนี้
พระสงฆ์สาวกที่ดำเนินตามพระพุทธเจ้ามาโดยลำดับลำดา จนได้กลายเป็นธรรมธาตุ ๆ ของพวกเราเป็นสามสรณะนี้เป็นมายังไง แล้วก็เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ถ่ายทอดมาเป็นลำดับ แล้วเป็นยังไงมันไม่น่าจะสลดสังเวชบ้างเหรอมนุษย์เราชาวพุทธนี่นะ มันอดคิดไม่ได้นะ นอกจากนั้นแล้วก็ยังอยากจะให้ถ่ายทอดโดยลำดับ สรณะของโลกที่จะฟื้นฟูโลกให้มีความสงบร่มเย็นคืออะไร จี้เข้าไปหาต้นเหตุโรงงานใหญ่ ๆ สำนักปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ของพระในครั้งพุทธกาลท่านอยู่ในที่เช่นไร มีตั้งแต่ป่าแต่เขาทั้งนั้นส่วนมากต่อมาก ในตำราบอกไว้ชัดเจนมากทีเดียว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่งั้นแหละ เราอยากให้ได้เห็น
เวลาพระองค์ประทานพระโอวาทประทานที่ไหน ประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์สาวกที่จะมารื้อฟื้นสัตวโลกช่วยพระองค์ ให้เบาพระภาระลงบ้างนั้นทรงทำยังไง แล้วพระสงฆ์เหล่านั้นท่านดำเนินยังไง ปฏิบัติยังไง การอยู่การกินการหลับการนอนการใช้การสอย การเคลื่อนไหวไปมา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของท่านท่านปล่อยเลยตามเลยอย่างพวกเรานี้ หรือท่านมีความเข้มงวดกวดขันในการระมัดระวังรักษา กิริยาเหล่านี้จะเป็นมหามงคล ๆ ในสำนักของท่านที่ท่านบำเพ็ญเพื่อถอดถอนกิเลสซึ่งเป็นตัวมหาภัยต่อตัวเองโดยลำดับ อย่างไม่มีอะไรจะเทียบได้เลย เป็นลำดับมา แล้วก็ตักตวงเอาธรรมออกมาให้พวกเราทั้งหลายได้ปฏิบัติตาม
นี่เราอยากให้ถ่ายทอดเห็นมาโดยลำดับลำดาเลย สถานที่ท่านบำเพ็ญทำประโยชน์แก่โลกมาโดยลำดับ แล้วเรื่อยมาจนกระทั่งถึงพระที่ท่านมุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ท่านอยู่ยังไง กินยังไง ถ่ายดูสภาพของท่าน ทุกวิถีทางที่ท่านต่อสู้กับข้าศึกศัตรูคือกิเลสภายในใจ ท่านจะหาความสุขไม่ได้เลยนะ ท่าต้องท่าต่อสู้ตลอดเวลา ท่าเหน็ดเหนื่อยเนือยนาย นอนแล้วหลับ หลับแล้วตื่น ตื่นแล้วไม่อยากลุกนี้เราจะไม่ได้ไปเห็นท่านนะอย่างนั้น จะเห็นตั้งแต่ใต้ถุนศาลาหลวงตาบัวนี่ มีหลวงตาบัวเป็นผู้ออกหน้าสนาม หลับครอก ๆ ทั้ง ๆ ที่เทศน์อยู่ก็หลับครอก ๆ ผู้ฟังจะตื่นได้ยังไงก็ผู้เทศน์กำลังหลับ ฟังซิน่ะ นี่อยากให้ถ่ายทอดดูจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เป็นยังไง
นี่ละพระสงฆ์ท่านดำเนินมาอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ ฆ่ากิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เอาหัวอกของเราออกยันเลยเทียวนะ เรียกว่าเดนตายมาถึงได้มาพูดป้าง ๆ พูดอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยนะว่าได้ซัดกันอย่างเต็มเหนี่ยวหาที่สงสัยไม่ได้แล้ว พูดสงสัยที่ตรงไหน จ้า ๆ อยู่ตลอดเวลา ผลเวลาเกิดขึ้นมาจากความที่ว่าจะสลบไสล เฉียด ๆ หรือถึงขั้นตายก็ยอมอย่างนี้ นี่ละผลออกมาจากอันนั้นเป็นยังไงพิจารณาซิพี่น้องทั้งหลาย เราจึงพูดด้วยความ ถ้าพูดแบบภาษาโลก ๆ ก็ว่า ด้วยความตื้นตันใจทุกอย่าง เราไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจของเราเลยในการสั่งสอนโลก ว่าธรรมประเภทที่จะสั่งสอนโลกนี้มีอะไรบ้าง ขอให้เข้ามาว่างั้นเลย ขนาดนั้นนะ เวลานี้ได้ฟาดเต็มเหนี่ยวแล้วกับกิเลส กิเลสพังลงไปแล้วไม่มีอะไรมาขวางธรรมเลย มีแต่ธรรมครอบโลกธาตุ มาด้านไหนให้มาว่างั้นเลยนะ อยากช่วยเหลือเกินช่วยโลกช่วยสงสาร อย่าพากันนั่งหลับหูหลับตานะ
เอาให้จริงให้จังบ้างซิ ชาวไทยเราเป็นเมืองพุทธแท้ ๆ นี่นะ ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ฟังเสียงศาสดาฟังเสียงสรณะของเรา อย่าฟังเสียงแต่สรณะที่มันพาจม ๆ สรณะอะไร ความโลภ สรณํ คจฺฉามิ เอา โลภมาก ๆ เอาให้มันตายอยู่ในความโลภนั่น สนามรบคือความโลภ โลภไม่พอ ๆ เอาจนตายในสนามรบ ความโกรธก็ฟันกันฟาดกันฆ่ากัน ฆ่าฟันรันแทง เมียก็ให้ได้คนละห้าร้อยคน ๆ ผัวได้คนละห้าร้อยคนพันคนเป็นอย่างน้อย เอามารบกันในนั้น เอามาแข่งธรรมพระพุทธเจ้าดูซิเป็นยังไง นี่ละสรณะของพวกเราทุกวันนี้ มันจะตายอยู่เดี๋ยวนี้รู้ไหม นี่ที่ว่าสรณะพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นสรณะของธรรม สรณะของกิเลสเป็นอย่างนี้เข้าใจเอานะ สรณะของกิเลสมันพาจมลง ๆ
พากันตื่นเนื้อตื่นตัวหรือยัง ใครเคยผ่านสิ่งเหล่านี้มาเท่าไรแล้ว ใครเอาความเลิศเลอมาแข่งธรรมมีไหม ไม่มี พระพุทธเจ้ามีได้ทุกพระองค์ สาวกทั้งหลายมีได้ทุกพระองค์ เต็มหัวใจไม่สะทกสะท้าน ออกสนามได้ครอบโลกธาตุ แล้วกิเลสตัวนี้เป็นยังไงเอามาแข่งพระพุทธเจ้าดูซิน่ะ ตัว สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราที่ติดแนบตลอดเวลาไม่มีวันจืดจางเลย เอามาแข่งพระพุทธเจ้าดูซิ เอามาเทียบกัน มันก็จะพอมีทางออกนะคนเรา ถ้ามีดีมีชั่วเทียบเคียงกันแล้ว พิษภัยและกับบุญกับคุณนี้เทียบกันเข้าแล้วก็มีทางออก หาทางออกได้ นี่มันไม่เทียบนั่นซีจึงไม่หาทางออก หาแต่ทางเข้าตลอดเวลา
ไปที่ไหนเสียงบ่นอื้อกันออกมาจากปากทุกหย่อมหญ้านะ ในหัวใจเผาตลอดเวลาเลย ในสามแดนโลกธาตุนี้จุดไหนจุดที่กิเลสไม่เข้าไปตีไปเผาหัวใจของสัตวโลกให้เดือดร้อนวุ่นวาย ระส่ำระสายตลอดมาจนกระทั่งนรกอเวจีขึ้นมานี้ มีจุดไหนน่ะที่ว่างจากทุกข์ของกิเลสสร้างไม่ได้ เผาหัวใจสัตวโลกไม่ได้ ไม่เคยมี เผาได้ทั้งนั้นทีเดียว นี่ละอำนาจของกิเลส
เวลานี้มันกำลังเป็นสรณะของชาวพุทธในเมืองไทยเราอย่างแน่นหนามั่นคงนะ มันจะไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงครูเสียงอาจารย์ เสียงศาสนาเสียงศาสดาบ้างเลย มันจะฟังแต่ความโลภ สรณํ คจฺฉามิ ความโกรธ สรณํ คจฺฉามิ มีผัวมีเมียมาก ๆ ราคะตัณหา สรณํ คจฺฉามิ เต็มบ้านเต็มเมือง ผลของสิ่งเหล่านี้จึงมีแต่ไฟเผาหัวใจสัตวโลก ไม่มีหัวใจดวงใดดีเลย ฟังให้ดี นี้พูดออกมาอย่างไม่มีกิเลสในหัวใจมาพูดเวลานี้นะ เพราะฉะนั้นถึงได้พูดเต็มเหนี่ยว
กิเลสเหล่านี้เคยเผาหัวใจเรามากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ได้ฟาดขาดสะบั้นลงไปแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่ปรากฏว่ามีทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าไปแทรกในหัวใจเลย มีแต่บรมสุขที่เรียกว่านิพพานเที่ยง ๆ ฉันใด ธรรมชาตินี้ก็ฉันนั้น นั่นละธรรมธาตุเป็นอย่างนั้น เท่านั้นละที่มาสอนโลก พระพุทธเจ้าจึงสอนได้อย่างอาจหาญชาญชัยไม่มีสะทกสะท้าน พระสงฆ์สาวกองค์ใดที่ได้ผึงเข้าไปตรงนั้นเหมือนกันหมด ไม่ต้องไปหาพยานมาจากไหนมายืนยันว่า จริงหรือไม่จริง ไม่ต้องว่า ถ้าไม่อยากจมอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ให้ฟังเสียงธรรมเท่านั้น ถ้ายังไม่อิ่มพอในความจดความจำแล้ว การเทศน์เหล่านี้รำคาญหู หนีไปนอนเสียดีกว่า เป็นอย่างนั้นนะ คู่แข่งมันมีอยู่ตลอดเวลา พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ทุกคนนะ
โอ๊ย เราสลดสังเวชจริง ๆ ยิ่งจวนตายเท่าไรยิ่งทำให้คิด มันเตือนอยู่ในหัวใจตลอดเวลา ก็โลกมันหมุนตลอดเวลา ธรรมเครื่องรับทราบโลกมันจะไม่หมุนรับกันได้ยังไง ตัวหนึ่งหมุนอยู่ ตัวที่รับทราบมันก็รับทราบตลอดเวลาเช่นเดียวกัน เป็นอัตโนมัติเหมือนกันนั่นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัวนะ เอ้า ยากลำบากเพื่อความดีงามทั้งหลายยากเถอะน่ะไม่เป็นไร ศาสดาองค์เอกที่ครองบรมสุขพาเรายาก ยากเพื่อบรมสุขไม่เป็นไร แต่ยากเพื่อมหันตทุกข์อย่าพากันยากอย่าพากันฝืนนะ อย่าพากันดิ้นตายไปกับมันจะจมจริง ๆ นะ ถ้าไม่เชื่อศาสดาแล้วไม่มีทาง ไม่มีหวังว่างั้นเลย ถ้าลงเชื่อสรณะที่ว่านี่ อันนี้พัง ๆ ตลอดเวลา เกิดภพใดชาติใดเพื่อจะพังทั้งนั้น ที่จะฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาไม่มี ถ้าไม่มีสรณะ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เข้าไปเกี่ยวข้องและฉุดลากขึ้นมาแล้วไม่มีทางนะ พากันจำให้ดี
โฮ้ เราสลดสังเวชนะ ไปที่ไหนมองไปที่ไหน ใจนี่มันไม่มีอายตนะเหมือนโลก อายตนนิพพานไม่เป็นอายตนะอย่างนี้นะ เราก็ไม่เคยพูดอายตนนิพพาน ถึงพูดแล้วมันก็ไม่รู้เรื่อง ท่านมีในตำรามีเราก็อ่าน แต่ก่อนเราก็อ่าน อายตนนิพพานเป็นยังไง ก็มีแต่อายตนะของสัตวโลก ตู หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะ แปลว่า เครื่องสืบต่อ ประสานกัน แปลแล้วนะ อายตนะ แปลว่าเครื่องประสาน เครื่องสืบต่อ เรียกว่าอายตนะ คือทางออกทางเข้าประสานกัน เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กันนี้เรียกว่าอายตนะ แปลว่า ทางประสานกัน แปลให้ฟังเสียวันนี้ เอามหาออกมาบ้าง มีทั้งหลวงตาบัว มีทั้งมหาต้องเอาออกได้ทั้งสองซี ถึงเวลาที่จะงัดมหาออกมาก็งัดออกมา
อายตนะ แปลว่าอะไร แปลว่า เครื่องสืบต่อ ประสานกัน เข้าใจแล้วยัง ทีนี้อายตนนิพพานท่านไม่เป็นอย่างนี้ ใครปึ๋งเข้าไปรู้เลย ท่านเขียนไว้ในปริยัติ นี่เราได้อ่านปริยัติว่าอายตนนิพพานเป็นยังไง แต่ก่อนเราก็อ่านงง ๆ พอเจอเข้าไปเท่านั้น อ๋อ ถามใครอะไร องค์ไหนก็ไม่ถามใคร บรรดาท่านผู้ที่เข้าถึงธรรมธาตุแล้ว อายตนนิพพานเป็นอันเดียวกันเลย รู้กันหมด ไม่ต้องไปถามใครเลย ไม่เหมือนอายตนะภายนอก มันผิดกันนะ
เราได้พยายามเต็มกำลังความสามารถ พี่น้องชาวไทยเราที่สมนามว่าเป็นลูกชาวพุทธ ๆ ขอให้ระลึกถึงคำว่าลูกชาวพุทธไว้ในหัวใจ วันหนึ่ง ๆ อย่าได้ลืม อย่างน้อย ๕ หนก็ยังดี ระลึกถึงความตาย ระลึกถึง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ระลึกดูบาปดูบุญ ระลึกถึงบาปถึงบุญ ระลึกถึงบาปให้ขยะ ให้ระลึกวันหนึ่ง ๆ นี้ละเครื่องที่จะวัดจะตวงกัน ดีชั่วสุขทุกข์อยู่กับหัวใจเรา ระหว่างหัวใจกับสุขกับทุกข์ที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ในหัวใจดวงเดียวนี้ โดยเอาหัวใจนี้เป็นสนามรบของกิเลสกับธรรมฟาดกันบนหัวใจ เราเป็นผู้รับเคราะห์ ถ้ากิเลสมีกำลังมากเราดิ้นตามกิเลส เราจะจมไปเรื่อย ๆ ถ้าเราฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะได้รับการฉุดลากด้วยความเมตตาจากพระพุทธเจ้าออกไปเรื่อย ๆ
เอ้า ทุกข์ ๆ ไปทุกข์เพื่อพ้นไม่เป็นไร ทุกข์เพื่อจมอย่าทุกข์ต้องคิดอย่างนั้นซิเรา เราทุกข์เพื่อจมหรือทุกข์เพื่อจะพ้นจากความทุกข์จมทั้งหลายเหล่านี้ ต้องถามตัวเองอยู่เสมอนะ ทุกข์แบบนี้ทุกข์ยังไง ทุกข์นี้เพื่อความสุข เอ้า ทน พระพุทธเจ้าพาทน ผู้ดีพาทน จอมปราชญ์พาทน แต่ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์นี้พวกนรกอเวจีแหละเป็นต้นฐานขึ้นมา ลากลงตลอด ให้ฝืนมัน อย่าไปตามมันนะ เราเป็นผู้รับผิดชอบเรา ไม่มีใครรับผิดชอบนะ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ แม้ที่สุดมนุษย์มนาเทวดาทั้งหลายต่างคนต่างช่วยตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ด้วยกรรมดีกรรมชั่วของตัวเองนะ กรรมชั่วมันก็ดึงลง ใครจะไปช่วยไม่ได้ กรรมชั่วมีอยู่กับผู้ทำนั่นแหละ กรรมดีก็เหมือนกัน ใครจะไปเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้ขึ้นไม่อยู่ ผางเลย ๆ จำให้ดี
นี่ละการสอนโลกเราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกด้านทุกทาง ไม่อยากเห็นนะ ตะกี้นี้ก็พูดถึงเรื่องถ่ายทอดทีวี เราอยากได้ทีวีสด ๆ ร้อน ๆ มาถ่ายตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วก็ถ่ายทีวีปัจจุบันนี้เข้ามาบวกกันหรือมาประจัญบานกันเป็นยังไง ทีวีทางนี้เป็นยังไง ทีวีทางธรรมเป็นยังไง ทีวีทางวัฏจักรวัฏทุกข์เป็นยังไง ผลของมันแสดงอะไรออกมา ผลของธรรมแสดงอะไรออกมา ให้ได้เห็นกันทั้งเหตุทั้งผลประกอบกัน จะสมบูรณ์แบบทีเดียว
เดี๋ยวนี้ไปไหนมันเห็นตั้งแต่อันนี้ ถ่ายตัวเอง คือไม่จำเป็นต้องไปหาทีวีที่ไหนนะ พวกนี้มันเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทีวี ตา หู จมูก ลิ้น กายนี้มันเต็มไปแล้วที่จะไปเที่ยวถ่ายที่นั่นที่นี่ ถ่ายได้แต่มูตรแต่คูถออกมาถ่ายวันยังค่ำ มูตรคูถคืออะไร ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันถ่ายมาเต็มบ้านเต็มเรือนเต็มที่หลับที่นอนหมอนมุ้ง หลับครอก ๆ ก็จมอยู่กับที่มันถ่ายมาทั้งวัน มันถ่ายตลอดนะพวกนี้ พวกเก่งกว่าทีวีคือพวกเรานี่ อย่ายุ่ง พอมองเห็นทีวีอย่ายุ่ง เราพอแล้ว เราหลับครอก ๆ ยังถ่ายได้ ทีวีเวลาหลับถ่ายไม่ได้นะ อันนี้เราหลับครอก ๆ ถ่ายได้ มันเก่งกว่าทีวี พวกนี้พวกเก่งกว่าทีวี พากันเข้าใจนะ เทศน์เพียงแค่นั้นก็พอดีกระมัง ถ่ายทีวีก็เอาละพอสมควรแล้วนะ ก็พอจะเป็นผลเป็นประโยชน์บ้างแล้ว ให้พากันไปปฏิบัติ ถ่ายให้โลกทั้งหลายได้ดู โลกมีหูมีตา คัดเลือกได้ทั้งดีทั้งชั่วอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้นำไปคัดเลือก ได้ยินได้ฟังอะไรแล้วเอาไปคัดเลือกให้ดีให้เป็นประโยชน์แก่ตน
วัดใหม่กกสะทอนนี้ที่ดินเราซื้อเบื้องต้นก็สามล้าน สามล้านกว่าเล็กน้อย ต่อจากนั้นเพิ่มเข้าอีกดูเหมือนจะห้าล้านกว่า ห้าหรือหกล้านอยู่ในย่านนี้ วัดใหม่นี่นะ เราซื้อที่เขาทีแรกสามล้านกว่า ยกขึ้นเป็นวัดทันทีเลย จากนั้นก็มาสมทบกันเรื่อย ๆ เวลานี้ดูเหมือนราคาจะไม่ต่ำกว่าห้าล้านเป็นอย่างน้อย ห้าล้านกว่าแล้วแหละ วัดนี้จึงกว้างขวางมากเวลานี้ เราสร้างไว้อย่างนั้นแหละ หลวงตาบัวตายแล้วกุลบุตรสุดท้ายภายหลังสืบต่อความดีงามทั้งหลายจากสถานที่บำเพ็ญความดีนี้ มีวัดเป็นสำคัญเป็นสถานที่อบรมความดี เราจึงมีไว้เป็นแห่ง ๆ ไว้อย่างนั้น เอาละทีนี้ให้พร
สรุปทองคำเมื่อวันที่ ๒๖ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๒ บาท ดอลลาร์ได้ ๑๐ ดอลล์ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงคราวนี้อย่างน้อยสี่พันกิโล และเวลานี้ได้มอบและฝากไว้ที่คลังหลวงแล้วสองรายการเป็นจำนวน ๒,๐๖๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ได้หลังจากการฝากและมอบแล้วแต่ยังไม่ได้หลอมนี้ ๒๔๖ กิโล ๓๖ บาท ๕๘ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดเวลานี้ได้แล้ว ๒,๓๐๙ กิโล
พากันปฏิบัตินะ อายตนนิพพพานจะไม่ถามใครเลย เช่นเดียวกับ สนฺทิฏฺฐิโก ที่ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาอันเดียวกันเลย ถึงกันหมดไม่ต้องถามใคร ไม่มีอะไรเป็นปัญหาเลย เคยเห็นไม่ใช่เหรอในตำราท่านบอก อายตนนิพพาน เราเห็นมาพอแล้วเรียน แต่เราเรียนก็ผ่านไปดูไป ๆ เวลาเรียนนั้นเพียงว่าเรียน ๆ ผ่าน ๆ ไม่ได้ถึงเข้าจุดความจริงจากภาคปฏิบัติมันก็จับตัวจริงไม่ได้ เรียนมากเรียนน้อยจับตัวจริงไม่ได้ ไม่มีตัวจริงจะให้จับ คือตัวจริงมีแต่ผู้จริงจะจับเอาความจริงมันไม่มี มีแต่ความจำ ๆ เหยียบไปแหลก ๆ ไปความจริงอยู่ใต้ ดังที่ท่านพูดถึงเรื่องว่า บาลีเราก็ได้แต่เดี๋ยวนี้ลืมแล้ว ท่านแสดงไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจิตเดิมนั้นผ่องใส แต่อาศัยกิเลสที่เป็น อาคนฺตุเกหิ กิเลเสหิ กิเลสเข้าจรมา จิตใจจึงมัวหมองท่านว่าอย่างนี้ อ่านไปนี้พวกนักเรียนนี้โต้กันตาดำตาแดง ไอ้เราก็พลอยขึ้นเวทีฟัดกับเขาด้วย ครั้นกลับออกมาก็มีแต่พวกตาบอดทั้งหมด ไม่ได้มีใครได้สาระเป็นที่ระลึกต่อกันเลยนะ
ท่านบอก ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจิตเดิมผ่องใส แต่อาศัยกิเลสที่สัญจรเข้าไปคลุกเคล้ากันแล้วก็แสดงความเศร้าหมองออกมา คือออกมาภายนอก ทีนี้พวกเรียนทั้งหลาย เมื่อจิตผ่องใสแล้วจะมาเกิดทำไม ผู้ที่ไม่เกิดนั่นคือจิตท่านผ่องใส แล้วจิตผ่องใสมันมาเกิดได้ยังไง ก็อ่านถกเถียงกันนี้ก็ไม่มีใครลงใครแหละ มันไม่รู้ แต่เวลาไปปฏิบัติเข้าละซี นี่ละของจริงเข้าทีเดียวผางหมดเลย ไม่ไปถามใครเลยพอจิตเข้าไปถึง จิตผ่องใสนี้มันควรก็การเกิดอยู่โดยดี นั่นเวลาดูเข้าไปแล้วนะ จิตบริสุทธิ์กับจิตผ่องใสต่างกัน พอเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วผึงเลย ไม่มีคำว่าเกิดตายอีก
แต่นี่ท่านบอกว่าจิตผ่องใส ท่านไม่ได้บอกว่าจิตบริสุทธิ์ ไอ้พวกเอาผ่องใสมาฟัดกันทั้งกัดทั้งแย่งกัน ถ้าเป็นผ้าขี้ริ้วนี้ขาดเลยไอ้ปุ๊กกี้มันยังไม่ปล่อยนะ เราถึงได้มารู้เรื่องถึงเรื่องว่าจิตผ่องใสกับจิตบริสุทธิ์ ท่านไม่ได้พูดว่าจิตบริสุทธิ์ ในบาลีก็เห็นแต่ว่าจิตผ่องใส ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจิตเดิมแท้ผ่องใสท่านว่างั้น จิตเดิมคือจิตอวิชชา นั่นผ่องใส จิตอวิชชาผ่องใสมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติไปถึงขั้นนั้นจึงงงถูกอวิชชาตีหน้าผากได้สบายนะ มหาสติมหาปัญญาก็เถอะเข้าไปเจอทีแรก ถ้าประเภทพวกทันธาภิญญาที่รู้อย่างเชื่องช้าไปลำดับลำดา เว้นขิปปาภิญญาเสีย อันนี้ไม่มีปัญหาขิปปาภิญญาขาดสะบั้นไปพร้อมเลย
อย่างอนาคามีก็เหมือนกัน พระอนาคามีที่เป็นขิปปาภิญญานี้ผึงเดียวทะลุเลย แต่พระอนาคามีที่เรียกว่าพวกประเภทเนยยะค่อยไต่เต้าไป ๆ ถึงระยะนี้ เพราะฉะนั้นถึงวัดกันได้ตลอด พอสำเร็จขั้นนี้หยุด ควรกับเทวโลกชั้นไหนรู้ทันที อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐานี้พรหมโลก ๕ ชั้นเป็นชั้นสุทธาวาส จิตระดับไหนที่ควรแก่พรหมโลกชั้นไหน ๆ พอปั๊บนี้ปั๊บมันจะรู้กันทันที ๆ นี้ปั๊บออกมารับกันปั๊บรับ รับกันเลยตลอดไม่ต้องถามใคร นี่พวกเนยยะ คือรู้ไปอย่างเชื่องช้าลำดับลำดาไปเรื่อยถึงที่สุด แต่พวกขิปปาภิญญานี้พุ่งเลยทันที ไปนั้นแต่ว่าพุ่งเลยไม่รอ นั่นต่างกัน อันนี้พวกขิปปาภิญญานี้ก็เหมือนกัน ที่ธรรมทั้งหลายถ้าเร็วแล้วก็พึบเดียวไปเลย ผ่านก็ผ่านเพื่อทะลุถ่ายเดียวเท่านั้นไม่รอ มันต่างขนาดนั้นนะ
จิตผ่องใสเวลาเข้าไปแล้วมันไปรู้นี่ซิ จิตผ่องใสนี้เป็นจิตของวัฏจักรจิตอวิชชา จิตบริสุทธิ์นั้นหมายถึงวิมุตตินิพพานทันทีเลย ที่พระพุทธเจ้าท่านรับสั่งไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตเดิมผ่องใสแต่อาศัยกิเลสที่จรมาคลุกเคล้ากัน ก็เลยกลายเป็นจิตเศร้าหมองไป นี่พวกไปเรียนก็เลยเอาความผ่องใสนี้เป็นความบริสุทธิ์เสีย เมื่อจิตผ่องใสแล้วจะมาเกิดได้ยังไง เวลาปฏิบัติเข้าไปมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น นี่ความผ่องใส ก่อนถึงความบริสุทธิ์ต้องผ่านความผ่องใส ทำลายความผ่องใสนี้ผ่านไปได้ก่อนแล้วถึงจะเจอความบริสุทธิ์ ความผ่องใสนี้หมดปัญหาทันที ให้มันรู้อย่างนั้นซี เถียงก็เถียงเราขึ้นเวทีคนหนึ่งกับพวกตาบอดด้วยกันฟัดกัน ตาบอดต่อยกันบนเวทีตกข้างเวที ไม่มีใครอยู่เวทีได้เลยตกหมด ความบริสุทธิ์ผึงขึ้นเท่านั้นแหละรู้หมดเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
ก่อนที่จะถึงความบริสุทธิ์ต้องผ่านเหล่านี้ พึบเลย พอถึงปุ๊บอันนี้หมดความหมาย รู้ทันที อ๋อ ผ่องใสคืออันนี้เอง นั่นมันบอกในตัว นั่นละผู้ไม่เกิด ผู้บริสุทธิ์แล้วไม่เกิดแหละ ทำยังไงก็ไม่เกิดเป็นอฐานะโดยประการทั้งปวง เป็นอฐานะในสมมุติทั้งปวงว่างั้นเถอะ บรรดาสมมุติจะเข้าไม่ถึงเลย เป็นอฐานะโดยสิ้นเชิง ต่างกันนะ ถ้าจิตผ่องใสนี่เป็นอย่างหนึ่ง ออกจากปริยัติเวลาถกเถียงกัน เพราะอันนี้มีอยู่ในหลักวิชาเปรียญ หลักวิชาบาลีเปรียญ พวกเรียนมหาผ่านอันนี้ทั้งนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงต้องไปถกกันตรงนี้
เราก็ขึ้นเวทีกับเขา เวลาออกไปปฏิบัติแล้วมารู้ทีหลังนั้น มันล้มไปหมดเลยนะ ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน ตอนนั้นเถียงกันตาดำตาแดง ได้แต่ปากแตกหูแตกลงมาตกเวที ได้แต่ความงมเงาเกาหมัดลงมา พอวิสุทธิธรรมปึ๋งขึ้นเท่านั้นผางเลยเทียว ขาดสะบั้น อันนี้พังหมด คนเดียวเท่านั้นไม่ต้องถามใครเลย นี่ละความจริงอันเดียวพอแล้วนะ ไอ้ความจอมปลอมเถียงกันตกเวทีดาดาษปากแตกก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว พอธรรมชาติอันนั้นอันเดียวผึงขึ้นเท่านั้นอันนี้ล้มหมดเลย ไม่ต้องมาถามว่างั้นเถอะ เป็นพยาน เอ้อ ทันทีเลย เป็นอย่างนั้นละจิต
นี่ละพระพุทธเจ้าว่า สนฺทิฏฺฐิโก สนฺทิฏฺฐิโก เป็นขั้น ๆ สนฺทิฏฺฐิโก แปลว่ารู้เองเห็นเอง ไม่ต้องมาถามใคร ประจักษ์กับตัวเองในธรรมทุกขั้น ๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายก็ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดก็ปึ๋งขึ้นเลย อย่างที่ว่าจิตผ่องใสกับจิตบริสุทธิ์ จิตผ่องใสมันก็รู้แต่ผ่องใสเฉย ๆ มันยังไม่ผ่านมันก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าผ่องใส ดีไม่ดีจะเหมาเป็นนิพพานอย่างว่านั่นแล้ว พอจิตบริสุทธิ์ผึงขึ้นเท่านั้นรู้หมดเลย ลบหมดทันทีเลย นั่น สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดลบหมดเลย เป็นอย่างนั้นละ
เราไปภูเรือเมื่อวานนี้เขามาให้ศีลให้พร ตอนไปถึงมันจะเที่ยงแล้วเลยโทรไปตั้งแต่วังสะพุงนี้ไปบอกเขาว่า เราจะถึงหลังเที่ยงเล็กน้อย เพราะอยู่วังสะพุงมันจวนจะเที่ยงแล้ว ก็เลยบอกเขาไป เขาก็รอเต็มไปหมดเลย พอเราไปเขารอไว้แล้ว พอขนของเสร็จแล้วก็นั่งคุยกับเขาเล็กน้อย ก็มีหัวหน้าเขามา เป็นผู้ชายนะ คือหัวหน้าในวงการไม่ใช่หัวหน้าเป็นหมอนะ หัวหน้าในวงการที่ควบคุมดูแล ขอให้หลวงพ่อมีอายุยืนนานแข็งแรงเปล่งปลั่ง เขาพูดเข้าท่า แข็งแรงเปล่งปลั่ง ทางนี้ขึ้นปั๊บทันทีเลยรับกัน อันนี้ไม่ตอบมันขบขันมาก เอาละพอ หัวเราะกันลั่นเลย นั่นเห็นไหมออกประโยคเดียวเท่านั้นละ เขาบอกให้แข็งแรงเปล่งปลั่งอะไร ๆ ทางนี้ขึ้นรับปั๊บแล้วสอดเข้านี้เลย โอ๋ย หงายทั้งโรงพยาบาลเลยละ จนป่านนี้มันลุกได้แล้วยังไม่รู้ เราก็มาแล้ว ก็อย่างนั้นแหละ
เห็นไหมล่ะธรรมเป็นอย่างนั้นละ ไม่เหมือนโลก จะคิดจะคาดไว้ไม่ได้นะ สอดมาทางไหนมันรับกันทันที ๆ ออกมารอบตัว ออกรอบตัว คุยหรือโม้เหรอนี่ ก็มันเป็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง แต่ก่อนไม่เป็นก็บอกไม่เป็น เวลามันเป็นจะให้ว่าไง มันก็เป็นอย่างนั้น คิดดูซิอย่างที่เขาถามมานั้น ไอ้เขาถามเราก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะถามยังไง ๆ แต่เวลาเขาถามมาแล้วคำตอบมันก็ขึ้นในขณะนั้นเลย ผางเลยไม่ว่าปัญหาใดก็ตามถ้าจะเป็นประโยชน์นะ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ดึงก็ไม่ออก มันขึ้นเหมือนกันรับเหมือนกัน พอขึ้นรับปั๊บมันจะรู้ทันทีว่าเกิดประโยชน์หรือไม่เกิดประโยชน์ มันระงับของมันไปเอง พอพับขึ้นปั๊บพับไปเองเลย ถ้าอันไหนจะเป็นประโยชน์รับพับขึ้นเลย หลบทันไม่ทันหงายเลย หงายไม่เป็นท่าหงายหมาเข้าอีกซ้ำเข้าไปอีก มันต้องอย่างนั้นซี (หลวงตาตอบว่ายังไงค่ะ) ตอบว่าสันพร้ายังมาถามแอบถามอยู่วะมันน่าโมโหว่ะ
ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าที่ไหนมันหากมีบทขบขันจนได้นั่นแหละ ก็อย่างที่เคยพูดบ้านศาลาให้ฟังได้ยินไหมล่ะ เขามารายงานตัวเขาว่าเขาเป็นนายอำเภอ เคยพบกับเขาเมื่อไรนายอำเภอ ไม่เคยพบ ก็พึ่งพบในวันนั้น ในเวลานั้นขึ้นไปก็ถวายเทียนแพ ก็รายงานตัวว่าผมเป็นนายอำเภอ ทางนี้ก็คึกคัก หือ นายอำเภอหรือทำท่าคึกคักเสียด้วย ทำท่าจริงจังเสียด้วย ตรวจนั้นตรวจนี้ดูเสื้อดูอะไร เอ๊ เครื่องหมายนายอำเภอไม่เห็นมีนี่นะ ซักไปซักมามีแต่รอยหยิกรอยข่วนเต็ม เมียนั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะแก้ก ๆ คนไม่เคยเห็นกัน บทเวลามันก็ขึ้นแบบนั้นแหละ ทางนายอำเภอยิ้ม ๆ เมียนั่งหัวเราะอยู่ข้างหลัง พวกนั้นหัวเราะกันลั่น พูดเสียงดังนี่ได้ยินทั่วไปหมดล่ะซี
แล้วก็ต่อไปอีก ๆ ตีทั้งผู้ชายแล้วก็ฟาดพวกผู้หญิงอีก พวกนี้เล็บคะนอง เอะอะ เดี๋ยวหยิกเดี๋ยวข่วน มันเรียนวิชาแมวมาจากไหน หาผัวหาเมียมันไม่หาผัวหาเมีย มันหาวิชาแมวมาข่วนกัน ซัดผู้หญิงอีกนะ มันได้ทั้งสอง ตลกทั้งสองเลย ได้พร้อมกันไปหมดเลยไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบ ที่เสมอก็คืออำเภอหนองหาน เสมอกัน เอาละไป
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |