เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
บรมสุขเกิดพร้อมกับจิตที่บริสุทธิ์พุทโธ
เหี้ยอยู่ในรู เก้าวันสิบวันออกหากินทีหนึ่ง มีเหี้ยตัวหนึ่งอยู่นี้ มันมีรู้เข้า เวลามันไปหากินมาเราก็รู้ วันนี้เข้า ประมาณสักเก้าวันสิบวันออกหากินทีหนึ่ง อิ่มแล้วออกหากินทีหนึ่ง ส่วนงู เช่นงูเหลือมเป็นต้น ๑๕ วัน อันนี้ก็สังเกตุที่วัดป่าบ้านตาด แต่ก่อนมีงูเหลือมตัวหนึ่ง มันถึงเวลาแล้วร้านอาหารให้สัตว์ พวกหนูมากินกลางคืน แล้วงูเหลือมก็มาคอยอยู่นั่น แล้วมากิน พอนั้นแล้วก็ ๑๕ วันมาทีหนึ่ง โอ้ยมันกินเร็วมาก หนูไม่ทันรู้ตัวปั๊บเลยๆ กินอิ่มละ ถ้ามันมาวันไหนกินอิ่ม เพราะหนูมันหลายตัว พระท่านจำเอาไว้ ๑๕ วันมาทีหนึ่ง ส่วนเหี้ยตัวนี้มาเก้าวันสิบวันมาทีหนึ่ง พวกเรานี่วันหนึ่งกินสิบหนหรือสิบห้าหน มันแก้กันแบบนั้นละพวกนี้ เราก็ไปอีกแบบหนึ่งกินทั้งวัน คนนั้นเอามาให้กินคนนี้มาให้กินเต็ม นี่เรายิ่งเก่ง ก็สอนเขา จะให้เขาไปไหนเขาก็เดินตามครูใช่ไหม ครูพาไปอย่างไรเขาก็เดินตามครู
นาฬิกาไม่ทราบตรงหรือไม่ตรง (ตรงครับ) ตรงอยู่เหรอ แต่ก่อนไม่มีนะนาฬิกา มันพึ่งมามีเร็วๆ นี้ เราก็มีนาฬิกาปีนั้นละ ปี ๒๔๙๓ มีในปีนั้น จึงได้ดูนาฬิการู้ แต่ก่อนไม่มี นั่งจนก้นแตก ฟาดตั้งแต่หัวค่ำ บางวันยังไม่มืดนั่งปั๊บนี่จนกระทั่งตะวันโผล่ บางวันตะวันโผล่ถึงออกจากที่ ๑๒-๑๓ ชั่วโมงนั่งจนก้นแตก ไม่มีนาฬิกา ไม่รู้ว่ากี่ชั่วโมง แต่เวลาเรามีนาฬิกาเทียบแล้วถึง ๑๒-๑๓ ชั่วโมง ถ้าวันไหนนั่งแต่วัน ถ้าวันไหนมืดแล้วหรือสองทุ่มเข้า อันนี้มันก็ไปสว่าง คือเอาสว่างเป็นเกณฑ์ เอาสว่างเป็นวันใหม่เรียบร้อยแล้วนั้นเรียกว่าเป็นวันใหม่ออกได้ ถ้าไม่ถึงนั้นอย่างไรก็ออกไม่ได้ นั่นละคำสัตย์คำจริง
จะเป็นจะตายก็ต้องเป็นตายอยู่ในที่นั่ง ถ้ามีข้อแม้อันไหนก็ให้ออกช่องนั้น เช่นอย่างเราตั้งสัจจะว่าวันนี้จะนั่งตลอดรุ่ง ข้อยกเว้นก็มีข้อเดียว คืออยู่กับครูบาอาจารย์เวลามีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นในครูบาอาจารย์หรือพระเณรในวัดให้ลุกได้ เพื่อไปช่วยเหตุการณ์นั้น นอกจากนั้นไม่ให้มี สำหรับเราเองไม่มีเลย ก็พูดตรงๆ ตรงไปตรงมา ว่าปวดหนักปวดเบาเอาออกเลย ให้ลุกนี่ไม่ลุก แต่ก็ไม่เคยมีนะ ไอ้ปวดเบานี่ไม่มีละ เพราะเหงื่อนี่มันเลย จีวรนี่เหมือนซัก เปียกหมดทั้งตัวเลย เพราะงั้นการถ่ายเบาจึงไม่มี ส่วนถ่ายหนักน่าจะมีบ้าง ไม่เคยมีนะ มีก็เจอกันละ ถ้ามีแล้วต้องเจอกัน เป็นอย่างนั้น คือเด็ดจริงๆนะ เราพูดจริงๆ นะ ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าลงได้เอานะเท่านั้นพอ ไม่ต้องซ้ำซาก ขาดสะบั้นไปตามนั้นเลยละ
มันจึงได้เห็นเรื่องทุกขเวทนามาก เวลาจิตมันยังไม่รอบ มันฟัดกันอยู่เรื่องกองทุกข์ ที่เรานั่งอยู่นี้เหมือนหัวตอนะ ทุกขเวทนาที่มันเผาร่างกายเหมือนไฟไหม้หัวตอ ข้อผูกมัดมีแล้วว่าไม่ลุก เป็นอย่างไรก็เอาให้กัน อะไรจะตายก่อนตายหลัง พิจารณาเรื่องทุกขเวทนา แยกธาตุแยกขันธ์ ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนๆตลอด จะทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะ ไม่เรียกว่าธรรม ไม่เรียกว่าการต่อสู้ ต้องทนด้วยสติปัญญาพิจารณา แยกส่วนแบ่งส่วนของทุกข์ที่เกิดขึ้น ไล่ไปทุกสัดทุกส่วนมัดกันอยู่ในนี้ เช่นมันปวดมันจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายของเราที่มันหนักกว่าเพื่อน เอาจุดนั้นเป็นจุดพิจารณามากกว่าเพื่อน
สมมุติว่าปวดเขา หนังหรือปวด เอาไล่ไป ถ้าว่าหนังนี้ปวดคนตายแล้วเอาไปเผาไฟไม่เห็นมันเจ็บมันปวด เป็นเพราะอะไร เนื้อ-เอ็น-กระดูก ไล่เข้าไป เวลาคนตายแล้วสิ่งเหล่านี้มีอยู่เผาไฟจนเป็นเถ้าเป็นถ่านเขาไม่เห็นว่าเขาเป็นทุกข์ เวลานี้ทุกข์นี่มันเป็นมาจากไหน ไล่เข้าไป ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนตลอด ทีนี้พอมันรอบ พอรอบรู้ตามเป็นจริงว่าไม่มีอะไรเป็นทุกข์ ก็มีแต่ความสำคัญของจิตที่หมายนั้นหมายนี้ มารู้ความสำคัญของตัวเองจิตหดเข้ามา สุดท้ายจิตก็จริง อวัยวะทุกส่วนก็จริง เมื่อจริงแล้วจิตมันก็ลงผึง หายเงียบเลย ทั้งๆที่ร่างกายนี้เหมือนกับไฟไหม้หัวตอ ทุกขเวทนาเผา เหมือนไฟเผาหัวตอ แต่เวลามันรอบแล้วดับหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ
เอาเสียจนกระทั่งกายหายเงียบเลย ความรู้สึกไม่ออกมาเกี่ยวข้องกันเลย ลงแน่ว นั่นละทีนี้เราจะพูดได้แต่ว่า สักแต่ว่าปรากฏ คำว่าปรากฏคือจิตดวงนั้นเป็นที่อัศจรรย์อยู่อันเดียว จะพูดว่าเด่นกว่านั้นก็ไม่ได้นะ ผิด พูดแต่ว่าสักแต่ว่าปรากฏ คือร่างกายนี้หมด มีเหลืออยู่อันหนึ่งที่ปรากฏเด่นและอัศจรรย์อยู่ในนั้น นี่ปล่อยแล้วนะ ปล่อยหมด พิจารณารอบหมดแล้วลง ถ้าวันไหนจิตลงกันได้ยาก พิจารณายังไม่ลงเหตุลงผล มันไม่ถอนนะ มันไม่ลง ทุกข์ก็ต้องโหมตัวเข้ามา สติปัญญาก็ต้องหมุนติ้วตลอดเวลา ยิ่งทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนเป็นธรรมจักรไปเลย ไม่ใช่ทนอยู่เฉยๆ นะ
ทีนี้พอมันรอบเมื่อไรในตัวเองเข้าใจเอง มันก็ลงผึง ร่างกายเหล่านี้ทุกข์ทั้งหลายดับหมดเลย เหลือแต่ธรรมชาติอันหนึ่งที่อัศจรรย์ มีแต่สักแต่ว่าปรากฏ นอกนั้นไม่มี โลกธาตุนี้ไม่มี มีแต่อันเดียวที่ว่าสักแต่ว่า แต่ไม่ใช่สักแต่ว่าธรรมดานะ สักแต่ว่าปรากฏ หากเป็นของอัศจรรย์มากคืออันนั้นแหละ ที่จะพูดให้ชัดกว่านั้นมันผิดจากความจริง คือในโลกนี้เหมือนไม่มีอะไรเลย มีอันนี้เท่านั้น โลกทั้งหมดไม่มี มันปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง ร่างกายนี้ก็หมด มันสักแต่ว่าอันหนึ่งที่มี ปรากฎนั่นคือจิตที่มันลงเต็มที่แล้วมันอัศจรรย์ เมื่อมันอยู่อย่างนั้นละ เมื่อมันอยู่อย่างนั้นเท่าไรมันก็ไม่มีอะไรโลกอันนี้ ถ้าจิตไม่เคลื่อนออกมาแล้วไม่มี ร่างกายก็อยู่อย่างนั้นแหละ
นี่ก็เทียบได้กับท่านพระอรหันต์ เช่นพระกัสปปะเป็นต้น ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วันท่านถึงจะออก ก็อย่างนั้นนะ แต่เราไม่ได้วัดรอยนะ พอมาเทียบได้เท่านั้นละ เรามันไม่เป็นอย่างนั้นนิโรธสมาบัติ ๗ วันนะ มันเป็นชั่วระยะไหนพอจะจับมาเป็นสักขีพยานกันได้ เพียงเล็กน้อยเราก็เอามา เราไม่ได้วัดรอย เวลามันเป็นอย่างนั้นแล้วร่างกายมันจะถูกเผาไปเลยก็ไม่เห็นมีอะไร เวลาจิตลงไปอย่างนั้นมันไม่รับกันเลย นี่มันเป็นวันๆ ถ้าวันไหนพิจารณายากลำบาก มันยังไม่รอบคอบ ยังไม่ลงด้วยเหตุด้วยผลจิตมันก็ลงไม่ได้นะ มันจะเกี่ยวนี้ นั่นละทุกข์มากตอนนั่นละ
ทีนี้พอมันลงเมื่อไร รอบเมื่อไรแล้วมันลงของมันเอง เราจะไปบังคับให้ลงอย่า ต้องเหตุผลอรรถธรรมบังคับกันเองในนั้น ลงเอง ถ้าวันไหนพิจารณายากๆ กว่าจะลงเป็นเวลานานๆ วันนั้นบอบช้ำมากนะ ถ้าวันไหนพิจารณาลงจับติดๆ เหมือนว่าคีมปากคมๆ จับติดปั๊บๆ ๆ ลงผึง ถึงจะนั่งเวลาเท่ากันก็ตามตลอดรุ่งเหมือนกัน ถ้าวันไหนลงได้ง่าย พอถึงเวลาแล้วลุกออกไปเลย เหมือนเรานั่งภาวนาธรรมดา แต่ถ้าวันไหนมันทุกข์มากๆ ไม่ลงให้ง่ายๆ วันนั้นบอบช้ำมากทีเดียว ถึงเวลาลุกเราเคยเป็นแล้ว มันเป็นอย่างนี้ เราไม่รู้แต่ก่อน ถึงเวลาลุกลุกล้มตูมเลย คืออันนี้มันหมดสภาพ มันไม่ทำงาน ไม่รู้ตัวเลย ตั้งแต่เอวนี้ลงไปมันตายหมดแล้ว ส่วนนี้ยังดีนะ
นั่นละเวลาเราลุกล้มตูมเลย ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เราก็งง อ้าวทำไมเป็นอย่างนี้ เอามือค้ำยันเอาไว้ ล้มลงไปก็อยู่อย่างนั้น แล้วเหยียดมันก็ไม่เหยียดด้วย คู้เข้ามาเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน มันตายแล้วนั่น นี่เป็นครั้งแรกละที่เรานั่งตลอดรุ่ง เพราะเราไม่เคย พอถึงเวลาที่จะออกนี้จิตถอยออกมาแล้วนี้ อันนี้มันตายหมดแล้ว มันก็ไม่รู้เจ็บรู้ปวด เราก็ลุก ลุกก็ล้มเลย ส่วนดีๆอยู่นี้มันก็ค้ำยันเอาไว้ ส่วนนี้ตายเลย ทีนี้เวลามันล้มคู้เข้ามาก็เงียบ อะไรก็เงียบเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เอ้าทำไมจึงเป็นอย่างนี้นะ นี่มันเป็นทีแรกนะ เราไม่รู้ เรียกว่าเป็นบทเรียนละทีนี้
ทิ้งไว้อย่างนั้นก่อน ขาเหยียดไว้อย่างไรให้อยู่อย่างนั้นก่อน แล้วทีนี้ต่อไปเลือดลมก็ค่อยเดิน มันรู้ภายในนะ เลือดลมค่อยประสานกันๆ เราก็ค่อยรู้สึกตัว รู้สึกตัวลองกระดิกนิ้วเท้ากัน ถ้ากระดิกยังเฉยอย่าลุก ถ้ากระดิกนิ้วเท้าได้ กระดิกไปกระดิกมาได้ คู้เข้ามาได้ เหยียดออกไปก็ได้ อย่างนี้ลุกได้ ถ้ากระดิกอันนี้เฉย กำหนดคู้เข้ามาไม่ฟังเสียงเรา เฉยเหมือนกัน อย่างนี้อย่าลุก ลุกล้มเลย เป็นบทเรียน คืนแรกที่เรานั่งตลอดรุ่งมันซัดกันเสียจน.. ทุกขเวทนาถึงขนาดนั้น มันตายหมดแล้ว จากนี้ลงไปตายหมดเลย เวลาจะลุกอันนี้มันก็ตาย มันไม่เจ็บนะถ้าลงมันตายแล้ว เงียบหมด หายหมด เราก็ลุก ส่วนนี้ยังดี พอลุกไปมันไม่เป็นไปตาม ลุกมันก็ล้มเลย
คือวันนั้นทุกขเวทนาโหมตัวอย่างเต็มที่ตลอดรุ่ง เวลาลุกล้ม เมื่อเรารู้แล้ววันไหนมันลำบากมากๆ มันก็รู้ละทีนี้ เออวันนี้จะลุก จะลุกนี่ต้องมีท่าทางปฏิบัติต่อกัน วันไหนเป็นอย่างนั้น เรานั่งขัดสมาธิ ท่าเดียวไม่มีเปลี่ยน บีบบังคับไว้ตลอดเลย ไม่มีพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง ท่าเดียวเท่านั้นตลอดรุ่ง จะพลิกทางนั้นทางนี้ไม่ได้ ไม่ให้พลิก ถึงเวลามันจออกละทีนี้อันนี้มันตายหมดแล้วนะ เราต้องเอามือเรา ทางส่วนนี้ดีนะ ส่วนนี้ตายหมดแล้ว เอามือเราจับขาเรา จับดึงออกวางไว้ ขาไม่รู้ว่ามือจับนะ มันตายแล้ว แต่มือรู้ว่าขาเย็น เราจับขานี้วางออก วางเอาไว้ตรงนั้นแล้วเราก็เอามือค้ำ คอยสังเกตุมันอยู่
จนกระทั่งเลือดลมค่อยไป พอเราวางแล้วเลือดลมค่อยไป ทั้งสองครั้ง แล้วทีนี้กระดิกนิ้วเท้าดู กระดิกนิ้วเท้าทดลองดู จนกระทั่งกระดิกได้ คู้ได้ เหยียดได้ แน่ใจลุกได้ลุกไปเลย ถ้าไม่แน่ใจอย่าลุก ลุกล้มทันที นี่วันที่ทุกขเวทนาหนาแน่นซัด มันจะลงได้ ระงับทุกขเวทนาเฉพาะเวลาจิตลง พอถอนขึ้นมานี้พิจารณาอีก ทีนี้กว่ามันจะลงได้มันก็นาน มันก็ทรมานอีก พอถึงตอนเช้ามันหมดแล้ว ตายหมดแล้ว ถ้าวันไหนพิจารณานี้มันจับติดๆ พิจารณาลงผึงเลย จนกระทั่งมันถอนขึ้นมา ถอนขึ้นมาทีกแรกทุกข์ก็ยังไม่มี พอถอนขึ้นมาแล้วนานเข้าเดี๋ยวทุกข์ก็มี ทุกข์มีก็ฟัดกันกับทุกข์อีก
การพิจารณาทุกขเวทนาเราจะเอาอุบายวิธีการที่เราพิจารณามาแล้ว และได้ผลมาแล้วนั้นมาพิจารณานั้นไม่ได้ มันเป็นเรื่องสัญญาอารมณ์ไป เหมือนกับว่ามันเป็นปริยัติเป็นอะไรไป ต้องพิจารณาใหม่ ต้องอุบายใหม่ มันยจะซ้ำของเก่าก็ตามขอให้ขึ้นเป็นอุบาย ใหม่สดๆร้อนๆ ดับลงได้ อย่างนั้นทุกครั้งเลย การนั่งสมาธิเวลานานเท่ากันก็ตามมันสำคัญอยู่ที่จิต ถ้าจิตมันลงได้ง่ายๆ วันนั้นจะไม่ได้ทรมานมาก ลุกขึ้นไปเลย นั่งตลอดรุ่งเหมือนกันก็ตาม ร่างกายไม่บอบช้ำ เพราะจิตดีจิตลงได้ง่าย ถ้าวันไหนซัดเสียจนเต็มเหนี่ยวๆ วันนั้นจะลุกก็ดังว่าจับขาดึงออกเสียก่อน นี่เรื่องความทุกข์ ทุกข์อย่างนั้น
ถ้าพูดถึงเรื่องลง ลงได้ทุกคืน เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว ทรมานกับไม่ทรมานต่างกัน ถ้าวันไหนมันลงยากนี้วันนั้นต้องทรมานร่างกายหนักทีเดียว ถ้าวันไหนลงได้ง่ายพอถึงเวลาลุกลุกไปเลย แน่ะมันต่างกันนะ มันขึ้นอยู่กับจิต เรื่องฝึกทรมานนี้หนักจริงๆนะเรา นิสัยวาสนาหยาบนะ จะทำธรรมดานี้ไม่ได้ มันก็รู้นิสัยเจ้าของ เพราะงั้นมันจึงดัดเอาอย่างเด็ดนะ ต้องเด็ดใส่กัน ไม่เด็ดไม่ได้ นั่นละทันกัน เราจะเอาวิชานี้หรือวิธีการอย่างอื่นมาใช้ไม่ได้นะ มันล้มด้วยวิธีใด หนักหรือเบาก็ฟัดกันลงไปเลย เป็นก็เป็น ตายก็ตายซัดกันเลย ขาดสะบั้นเลย ได้
นี่เราหมายถึงเรื่องทุกขเวทนาในร่างกาย ถ้าจิตลงไปแล้วมันไม่มีปัญหาอะไรละ ไม่มีเรื่องทุกข์ไม่มี หมด เพราะฉะนั้นเวลาจิตลงผึงๆ แล้วถอนขึ้นมาพิจารณาแล้วก็ลงผึง วันนั้นไม่บอบช้ำ ร่างกายไม่บอบช้ำ ธรรมดา เหมือนเรานั่งเวลาธรรมดา ลุกขึ้นได้ธรรมดา นั่งตลอดรุ่งก็ตามมันขึ้นอยู่กับจิต มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา ขึ้นอยู่กับจิต แต่มันก็รู้เจ้าของ ถ้าวันไหนที่มันทรมานมากมันก็รู้ เวลาจะลุกต้องตั้งท่าตั้งทาง จับแข้งจับขาดึงออกเสียก่อน ถ้าวันไหนมันคล่องตัวมันก็รู้ ลุกไปเลย ไม่ได้ทดสอบอะไรละ รู้ในตัว ถ้าวันไหนมันทรมานมากวันนั้นจะต้องจับขาดึงออก มันตายหมดแล้วนะนี่ ตายหมดเลย ต้องได้จับออกวาง จับออกวาง ปล่อยไว้จนกระทั่งเลือดลมเดิน กระดุกกระดิกได้ คู้ได้เหยียดได้เรียบร้อยแล้วถึงจะลุกไปได้ ไม่เป็นอย่างนั้นล้ม ถ้าวันไหนเป็นธรรมดาๆ ซึ่งจิตทรมานง่ายลงได้ง่ายวันนั้นลุกไปเลย แน่ะมันก็เป็นอย่างนั้น มันขึ้นอยู่กับจิตนะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรนะ
นิสัยเรามันก็รู้สึกผาดโผนอยู่ พ่อแม่ครูอาจารย์รั้งนะ นั่งตลอดรุ่ง ท่านรั้งเอาไว้ มันผาดมันโผน มันเอาจริงเอาจังมาก แต่ท่านรู้ประมาณทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่สำคัญที่ว่าท่านสอนอะไรมันลงเลยนะ ไม่ฝืนท่าน ยอมเลย เช่นอย่างนั่งตลอดรุ่ง ขึ้นไปปั๊บ วันที่ท่านจะสอนเรา นอกนั้นทีแรกท่านก็ชมเชยสรรเสริญ ต่อไปความชมเชยอ่อนลงๆ ต่อไปท่านก็พูดธรรมดา เรายังไม่รู้ตัวนะ จนกระทั่งถึงวาระแล้ว เพราะท่านรู้วันไหนเราทรมานหนักมาก หนักน้อยท่านก็รู้ จิตนั้นลงได้ทุกวันนั่นแหละ ลงแดนอัศจรรย์ลงได้ทุกคืนไม่มีพลาด ท่านเห็นว่ามันพอสมควรที่จะฝึกดัดแปลงอย่างไรแล้ว ท่านก็รั้งละทีนี้นะ
พอขึ้นไปกราบท่าน นายสารถีฝึกม้า ท่านขึ้นเลยนะ ถ้าม้าตัวไหนมันคึกมันคะนองมาก มันไม่ฟังเสียงการฝึกทรมาน สารถีผู้ฝึกม้าเขาต้องเอาอย่างหนัก ทรมานอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกเอาอย่างหนัก พอม้ามันลดพยศลงๆ การฝึกเขาก็ลดลง จนกระทั่งว่าม้านี้ใช้การใช้งานได้ ไม่ทรยศ เขาก็ใช้ธรรมดา การฝึกเช่นนั้นเขาก็หยุดไป ท่านพูดเท่านั้นละ ท่านไม่พูดมาก แต่นี้ในคัมภีร์มันก็มีแล้วนี่ เราก็ผ่านมาแล้ว แต่เราไม่เอามาใช้ เรายังเสียดาย จึงได้พูดซ้ำๆซากๆ คือเสียดาย พอท่านพูดถึงเรื่องการฝึกทรมานม้าอย่างนั้นท่านหยุดไป เราอยากให้ท่านย้อนมา ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกแบบไหนมันจึงไม่รู้จักประมาณ อยากให้ท่านว่า มันยิ่งจะมีกำลังใจนะ คือมันผาดโผน ท่านรั้งเอาไว้
คือท่านรู้จักประมาณทุกอย่าง ก็เราไม่รู้ เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ท่านรู้ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งเลยนะ ก็จิตมันฝึกทรมานที่มันพยศอย่างนั้นมันก็ไม่มี เท่ากับม้ามันลดพยศแล้ว ก็ปฏิบัติต่อม้าธรรมดา นี่เราก็ปฏิบัติต่อจิตธรรมดาๆของการประกอบความเพียร ไม่ทรมานหนักอย่างนั้นๆ เราก็ลดเสีย การนั่งตลอดรุ่งเราก็ไม่เคยนั่งนะ ไม่เคยตั้งแต่ท่านว่าแล้ว นี่ละคำว่าครูบาอาจารย์ ท่านเหนือเราทุกอย่างนะ เช่นอย่างสมาธินี้แม่นยำ เข้าเป็นหินไปเลย จิตที่เป็นสมาธินี่เหมือนหินนะ แน่นหนามั่นคงมาก ลงดิ่วลงไปนั้นแน่วอยู่นั้น นั่งสักกี่ชั่วโมงมันก็ได้ ไม่มีอะไรกวน ความคิดความปรุงแต่ก่อนมันอยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น กวนใจตลอดเวลา ให้สงบบ้างนี้ไม่ได้ มันกวน
เราต้องเอาสมถธรรมคือการภาวนาบังคับ เช่นเอาคำบริกรรมบังคับไม่ให้มันคิด ให้มันคิดแต่คำบริกรรม ต้องบังคับอย่างนั้น ความคิดมันยุ่งๆตลอดเวลาก็ค่อยสงบลง เอาความคิดทางด้านธรรมะระงับดับมัน ครั้นดับไปๆ จิตมีความสงบร่มเย็นสง่างามขึ้นมา จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิแน่วๆ ทีนี้ความคิดปรุงเหล่านั้นมันกวนใจนะ ไม่อยากคิด คิดแย็บขึ้นมาก็กวนใจ แต่ก่อนมันอยากคิดจะเป็นจะตาย พอถึงขั้นสมาธิมีอำนาจแล้ว ความสงบมีอำนาจมาแล้วอยากจะสงบ ความคิดเป็นการกวนใจ ไม่อยากคิด เป็นอย่างนั้นละการฝึกจิต
อันนี้ท่านก็ถาม เราก็ไม่รู้นะ เป็นอย่างไรท่านมหาจิตสงบดีอยู่เหรอ เราก็บอกว่าสงบดี ท่านก็นิ่งไป เดี๋ยวก็มาถาม พอหลายๆ วันมาถาม เราก็ยังตอบแบบเดิม แบบเซ่อๆ สงบดีเหรอ สงบดีอยู่ เราก็ว่าอย่างนั้น พอหนักเข้าๆ บทเวลาท่านจะเอาเห็นไหมละ นี่ละเหนือกันอย่างนี้ละ ดูเอาซี พอมีวาะที่ท่านจะเอา เปลี่ยนหมดนะกิริยาท่าทางสีหน้าสีตา เหมือนจะกัดจะฉีกบทเวลาท่านจะเอา พอว่าเป็นอย่างไรจิตสงบดีเหรอ สงบดีอยู่ ท่านจะนอนตายอยู่ นั่นเห็นไหมละ นี่ละธรรมะนี้เด็ดนะ จะว่าหยาบว่าโลนไม่ได้ เป็นธรรมะที่เด็ด กำลังของธรรมของท่านทุกอย่างของท่านเด็ดขาด ท่านจะนอนตายอยู่นั่นเหรอ ท่านรู้ไหมว่าสมาธินี่เหมือนหมูขึ้นเขียง สุขในสมาธิเหมือนกับเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันนี้มันมีความสุขมากน้อยเพียงไรไอ้เนื้อติดฟันนี้น่ะ
จากนั้นก็สมาธิทั้งแท่งเป็นสมุทัยทั้งแท่ง ท่านรู้ไหม นั่น ท่านซัดเข้ามาๆ เราก็มีแง่อันนี้เถียงท่าน ถ้าว่าสมาธิเป็นสมุทัยแล้วสัมมาสมาธิจะให้เดินที่ไหน เราก็ขึ้นเลย สัมมาสมาธิของพระพุทเจ้ากับสมาธิหัวตอเป็นหมูขึ้นเขียงของท่านนี่ไม่ได้เหมือนกัน ซัดเอาตรงนี้หมอบนะ คือมันไม่อยากออก อยู่ไปกี่ชั่วโมงมันก็อยู่ได้ เพราะจิตแน่วไม่มีอะไรกวนใจ ความคิดความปรุงมันกวนใจ เมื่ออำนาจของสมาธิมีเต็มที่แล้วความคิดเหล่านี้กวนใจ ไม่อยากคิด อยู่เท่าไรๆ ก็ได้ สุดท้ายมันก็ดิ่งลงไปว่านี่ละจะเป็นนิพพาน เป็นแล้วนะในจิตเรา นี่ละเป็นนิพพน ดิ่งแน่ว มันเลยเอาสมาธิเป็นนิพาน มันจะเป็นได้อย่างไรละ
เวลาท่านไล่ออกจากนี้แล้ว ออกทางด้านปัญญา ปัญญามีทำไมท่านไม่ใช้ ท่านจะนอนอยู่เหมือนหมูขึ้นเขียงเหรอ สมาธิมันแก้กิเลสได้ตรงไหน ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิเป็นแต่เพียงว่าพักอารมณ์รวบรวมความวุ่นวายทั้งหลายเข้ามาสู่จุดสงบ เป็นความสงบร่มเย็นอยู่เท่านั้น เป็นสมาธิ มันไม่ได้แก้กิเลส ท่านว่าอย่างนั้น การแก้กิเลสเรื่องของปัญญาต่างหาก สมาธินี้ถึงวันตายมันก็ไม่ได้แก้กิเลสนะ สมาธิเป็นที่รวมกิเลส ความวุ่นวายเข้ามาสู่ความสงบเท่านั้น ไม่ใช่แก้กิเลส ปัญญาต่างหาก ทีนี้ท่านก็เอาเลยทีนี้ทางด้านปัญญา หมุนทางด้านปัญญา พอเกี่ยวกับเรื่องสัมมาสมาธิท่านตีเอาแหลก เรายอมแล้วนะ ทีนี้จะออกทางด้านปัญญา
พอออกทางด้านปัญญาจิตมันอิ่มอารมณ์หมดแล้ว..สมาธิ ไม่สนใจกับคิดเรื่องอะไรๆ มันอิ่มอารมณ์ คือถ้าจิตยังฟุ้งซ่านรำคาญจะพิจารณาทางด้านปัญญามันแฉลบออกไปเป็นสัญญาอารมณ์เสีย ทีนี้เมื่อจิตอิ่มอารมณ์แล้วให้พิจารณาอะไรมันก็ทำตามนั้นๆ นี่ละที่ว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่สมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมาก อานิสงส์มากนี้พูดถึงเรื่องปริยัติ ถ้าพูดถึงภาคปฏิบัติ ปัญญาที่สมาธิหนุนหลังย่อมเดินได้คล่องตัว แปลทางภาคปฏิบัติ มันก็ลงได้จุดนี้ ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญานี้อ้าวเอาอีกแล้วทีนี้ มันไม่พอดีอย่างว่าแหละ
พอออกมันก็รู้จริงๆนี่ เพราะมันอิ่มแล้ว จิตอิ่มอารมณ์ พาพิจารณาทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์มันแยกจริงๆ รู้จริงๆเห็นจริงๆ เกิดความเพลิดเพลินในการพิจารณา มันถอนกิเลสละทีนี้ เริ่มถอนกิเลส จิตก็ยิ่งเพลินในการฆ่ากิเลส นี่ฆ่ากิเลสฆ่าด้วยปัญญาสมาธิไม่ได้ฆ่า สงบเฉยๆ พอออกทางด้านปัญญานี่ฆ่ากิเลส ออกเรื่อยๆ กระจ่างไป ทีนี้เรื่องปัญญามันยิ่งเพลินนะทีนี้ เพลินจนกระทั่งไม่ได้หลับได้นอน มันไม่ยอมนอน หมุนติ้วๆ เลย กลางวันก็จะนอนไม่หลับ กลางคืนก็จะนอนไม่หลับ เหน็ดเหนื่อยในหัวอก จะตายแล้วทีนี้ อ้าวจะทำอย่างไรนี่ นอนก็ไม่ได้ ไม่ว่ากลางวันกลางคืนแล้วจะทำอย่างไรนี่น้า
จากนั้นก็ไปกราบเรียนท่าน ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกอย่างไร ท่านว่า ก็มันพิจารณามันไม่ได้นอน ทั้งวันทั้งคืนมันก็ไม่ยอมนอนมันหมุนติ้ว นั่นละมันหลงสังขาร ท่านเอาแล้วนะ ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละมันบ้าหลงสังขาร ใส่เข้าอีกนะ ทีนี้นิ่งนะ คือคำว่าสังขาร สังขารนี้เป็นมรรคจริง แต่เวลามันเลยความพอดีไปแล้วสังขารฝ่ายสมุทัยมันแทรกเข้าไป เราไม่รู้นะ ท่านรู้หมดแล้วนี่ มันก็ไปเต็มเหนี่ยว เวลาจะเป็นจะตายจริงๆมันก็เข้าพักสมาธิสงบอารมณ์ เรียกว่าเอากำลัง จากนั้นก็ออกพุ่งๆ
นี่ละที่ว่าสติ-ปัญญาอัตโนมัติขึ้นละนะทีนี้ หมุนละเรื่อยๆ ลงได้หมุนฆ่ากิเลสแล้วมันเป็นอัตโนมัติของมัน เว้นแต่หลับเท่านั้น ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน งานนี้มีแต่งานของปัญญาฆ่ากิเลสทั้งนั้นๆเลย มันก็รู้ชัดเจนว่านี่ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส มันก็ยิ่งเชื่อมัน มันก็ยิ่งหมุนใหญ่เลยละ จนไม่รู้จักความพอดี ไม่ได้หลับได้นอน ท่านก็รั้งเอาไว้ นั่นละบ้าหลงสังขาร พอออกมาพักเข้าสู่สมาธิ จิตมีกำลังวังชาแล้วออกทีนี้มันก็ผางๆ เวลาจะตายจริงๆมันถึงจะเข้านะเข้าสมาธิ ถ้ามันไม่ขนาดนั้นมันก็ไม่ยอมเข้า เพราะมันเพลินทางสติ-ปัญญาอัตโนมัติ มันออกของมันเอง
นี่เรียกว่าสติ-ปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยลำพัง ไม่มีละที่ว่าเพียร นอกจากว่าเพียรเพื่อพ้นทุกข์ยกให้ แต่เพียรในประโยคพยายามไม่มี ต้องรั้งเอาไว้ มันหมุนของมัน มันดูดมันดื่ม เพลินของมันตลอดเวลา อิริยาบถไหนไม่มีที่มันจะละการคุ้ยเขี่ยขุดค้นฆ่ากิเลส ด้วยสติด้วยปัญญาอัตโนมัติเป็นไปตลอดๆ พอถึงขั้นนี้แล้วจึงบอกได้ชัดเจนว่ากิเลสไม่เกิด เกิดไม่ได้ สติ-ปัญญาขั้นนี้แล้วมีแต่ฆ่าโดยถ่ายเดียว กิเลสตัวไหนจะมาเกิดจะมาเสริมกำลังเพิ่มกำลังขึ้นไม่มี มีแต่ตีลงๆๆ อ่อนลงไป อ่อนลงไป ทางนี้ยิ่งหนาแน่นขึ้น ปัญญายิ่งเฉลียวฉลาด รอบตัวๆ หมุนติ้วๆ ไปเลยละ ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส ทีนี้ยอม
ทีนี้มันก็ย้อนหลังไปพิจารณานะ มันย้อนหลัง คือเราไม่เคยคิด แต่เวลามันมาเป็นในจิตนี้แล้วมันก็คิดถึงเรื่องกิเลส กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกมันเป็นอัตโนมัติของมัน เป็นอยู่ทุกหัวใจ ไม่ต้องบอกต้องกล่าว ความคิดความปรุงเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น จะคิดเรื่องใดๆเป็นเรื่องของกิเลสทำงาน โดยที่เราไม่รู้สึกตัว แต่พอมาถึงปัญญาขั้นฆ่ากิเลสมันฆ่าโดยอัตโนมัติ มันถึงเอามาเทียบกัน อ๋อกิเลสเกิดบนหัวใจสัตว์ ทำงานบนหัวใจสัตว์ ขนกองทุกข์มาให้สัตว์ มันก็เป็นอัตโนมัติของมันอย่างนี้มานานแสนนาน รู้แล้วนะ ทีนี้คราวนี้จะฆ่ามัน มันก็เป็นอัตโนมัติ หมุนติ้วๆ เลย จนกระทั่งเอาไปถึงขีดมันเต็มที่
แต่เราไม่ได้สำคัญนะ คือเวลามันว่างนั่นน่ะ คือมันไม่กิเลสตัวใดจะโผล่ขึ้นมา มันว่างหมดเลย ในหัวใจนี้ว่างหมด แต่ก่อนมันมีอะไรเหมือนว่าเป็นเสี้ยนเป็นหนามโผล่ออกมาพอให้ตัดให้ฟัน อันนี้ไม่มี เสี้ยนหนามคือกิเลส โผล่ๆ มามันฟันขาดสะบั้นๆ เลย พอค้นไปมันว่าง ทีนี้ไม่มี หายเงียบเลย พิจารณาที่ไหนก็ไม่มี อันนี้มันก็ขึ้นอันหนึ่ง ขึ้นด้วยความเข้มข้นกับกิเลสนั่นละ เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ แล้วเหรอนี่ แต่มันไม่สำคัญเท่านั้นเอง มันทำไมกิเลสมันไปไหนหมดนี่ ไม่เห็นมี มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆขึ้นมาแล้วเหรอนี่ ว่าเฉยๆ นะ ยังไม่สำคัญ นั่นเป็นจังหวะที่มันว่างหมด กิเลสตัวไหมไม่ปรากฏ เอาคุ้ยเขี่ยขุดค้นไป สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมา ทีนี้ก็ซัดกันอีก อรหันต์น้อยๆ เลยไม่ว่า ซัดกันไป
จนกระทั่งถึงมันก้าวเข้าสู่มหาสติ-มหาปัญญา นี่เรียกว่าละเอียดมาก ซึมไปเลย พอถึงขั้นนี้แล้วหมุนเข้าๆ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นให้เห็นประจักษ์ในหัวใจ เหมือนว่าโลกธาตุนี่สะเทือนไปหมดเลย แต่ความจริงโลกธาตุธาตุขันธ์ของเรากับจิตร่างกายนี้ไหวจริงๆ พุ่งเลย กระเทือนหนัก ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ไม่มีอะไรเหลือเลย สะเทือนมากนะร่างกาย พออันนี้ผางขึ้นมาเท่านั้นหมดละทีนี้ ที่ว่าเป็นอรหันต์น้อยๆใหญ่ๆ ไม่มี รู้ประจักษ์เลย เหอขึ้นเลย นั่นเห็นไหมละ ตั้งแต่นั้นมามันก็หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรปรากฏ เพราะมันประจักษ์แล้วเป็นคนละฝั่งแล้ว วิมุตติกับสมมุติเป็นคนละฝั่งแล้ว แยกกันแล้ว เข้ากันไม่ได้ มันก็รู้ประจักษ์ ทีนี้เลยไม่ได้ถามว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ไม่มีเลย
นั่นละสนฺทิฏฺฐิโก รู้ประจักษ์ในผลงานของตัวเอง เริ่มมาตั้งแต่พื้นๆจนกระทั่งถึงที่สุด ผลงานแสดงเต็มเหนี่ยว วาระสุดท้ายกิเลสขาดสะบั้นลงไป เป็นสนฺทิฏฺฐิโก รู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลถามท่านหาอะไร ธรรมของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน หายสงสัยอย่างเดียวกัน อย่างที่พระอัญญตระภิกขุ ท่านจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าในธรรมขั้นสูง ถูกฝนตก พิจารณาดูน้ำฝนตกมาแต่บนหลังคา ตกมากระทบกับน้ำอยู่ข้างล่าง มันตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ กระทบกันปั๊บเกิดแล้วดับ ท่านก็ย้อนเข้ามาหานี้ เอ้อเรื่องสังขารความคิดความปรุงทั้งดีทั้งชั่วเกิดแล้วดับๆ นั่นเทียบเข้ามา เกิดขึ้นประจักษที่ไหน พื้นของน้ำก็คือใจ รู้ตรงนั้น บรรลุธรรมปึ๋งตรงนั้น พอฝนตกหยุดแทนที่จะขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้า ไม่ไป กลับเลย ตั้งแต่ตั้งหน้าตั้งตาจะไปทูลถามพระพุทธเจ้ายังไม่ไป เดินกลับเลย นี่สนฺทิฏฺฐิโก ก็คือองค์ศาสดาประกาศไว้เรียบร้อย จ้าขึ้นมานี้แล้วหายสงสัยเลย
พูดถึงเรื่องธรรมะฆ่ากิเลส เมื่อถึงกาลเวลาสติ-ปัญญา หรือว่าสติธรรม ปัญญาธรรมมีกำลังกล้าแล้วมันเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับบัญชา ดีไม่ดีเพลินจนกระทั่งนอนไม่ได้ นี่ละถึงขั้นมันเพลินมันฆ่ากิเลสมันฆ่าเอง แต่ก่อนกิเลสทำลายเรามันทำลายเองๆ บอบช้ำภายในจิตใจมากเพราะกิเลสทำงาน บางครั้งบางคราวนอนไม่หลับ เพราะความคิดความปรุง ความทุกข์ความเดือดร้อนภายในจิตใจ จิปาถะเข้ามารวมอยู่ที่หัวใจนั้น ทีนี้ใจผู้ที่จะระงับดับเหล่านี้มันดับไม่ลง บางทีนอนไม่หลับดับไม่ลง ถ้าพอหลับได้ก็แสดงว่าระงับดับทุกข์ได้เวลานอนหลับ โลกของเราจึงระงับดับทุกข์ได้ในเวลาหลับ ถ้ามันเลยนั้นแล้วมันก็นอนไม่หลับ ดีไม่ดีเป็นบ้าไปเลย นี่กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมัน
ทีนี้เวลาธรรมทำงานโดยอัตโนมัติมันก็แบบเดียวกัน ทีนี้เทียบกันได้ปึ๋งเลย ถึงขั้นธรรมฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติมันก็ฆ่าแบบเดียวกัน ทีนี้พอถึงขั้นขาดสะบั้นกิเลสขาดสะบั้น สติ-ปัญญาอัตโนมัติที่หมุนตัวเป็นเกลียวหยุดกึ๊กทันทีเลย เพราะสติ-ปัญญาก็เป็นเครื่องมือ เป็นมรรค พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วจะไปฟันอะไร ไปทำลายอะไรเครื่องมือนี้ มันก็ปลงวางลงได้โดยอัตโนมัติ หยุด จิตที่หมุนตัวเป็นธรรมจักรหยุดโดยลำพังตนเอง กิเลสขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรจะทำ รู้ประจักษ์ในหัวใจ ทีนี้โลกธาตุไหวในหัวใจ เป็นอย่างนั้นนะ
จากนั้นแล้วสมมุติทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุไม่มีเลย ในหัวใจของพระอรหันต์ไม่มี มีแต่ความว่างเปล่าประจำจิตที่บริสุทธิ์ ว่างเปล่ามันพูดยากนะ ว่างเปล่ากับจิตที่บริสุทธิ์ กับว่างเปล่าที่เราคาดมันผิดกันนะ ดินฟ้าอากาศว่างเปล่ามันก็ว่างเปล่าแต่ดินฟ้าอากาศ แต่หัวใจมันไม่ว่าง ทีนี้พอหัวใจท่านว่างมันก็ลักษณะพอเทียบกันได้อย่างนี้ มันว่างหมด ไม่มี เรื่องสมมุติอะไรที่จะเข้ามาแทรกในหัวใจให้เป็นเสี้ยนเป็นหนามกีดขวางไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง แล้วก็ชี้นิ้วเลยว่า อ๋อมีกิเลสเท่านั้นที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจ ไม่ว่ามากว่าน้อยเป็นข้าศึกมากน้อยตามส่วนของมัน ทีนี้พอกิเลสทุกส่วนได้ขาดสะบั้นลงไปหมดโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรกวนใจ ทีนี้บรมสุขขึ้นทันที รับกัน เพราะสิ่งเหล่านี้ปกคลุมเอาไว้ พออันนี้ขาดสะบั้นไปบรมสุขเกิดขึ้นไปพร้อมกันกับจิตที่บริสุทธิ์พุทโธ หรือเป็นธรรมธาตุล้วนๆแล้ว โดยอัตโนมัติ โดยหลักธรรมชาติของตนเอง
นั่นละจิต พอถึงขั้นนั้นแล้วหมดโดยสิ้นเชิง สมมุติไม่มี ไม่มีอะไร จิตนี้ว่างโดยหลักธรรมชาติของจิต เป็นอย่างนั้น ท่านว่านิพพานเที่ยง อะไรเที่ยง ดูหัวใจเจ้าของมันก็รู้ หัวใจนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง แล้วไม่สงสัยว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตอนใดเวลาใด ไม่มี ขาดสะบั้นลงไปหมด จึงว่ามันเลยสมมุติ อดีตก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี ปัจจุบันก็ไม่มี ในหัวใจที่บริสุทธิ์แล้ว เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล แล้วมันจะเสื่อมจะเจริญเป็นอดีตอนาคตไปได้อย่างไร มันก็หมดโดยสิ้นเชิง นั่นละขาด
นี่ละผลแห่งการปฏิบัติ พุทธศาสนาชี้แนวทางถึงแดนพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ตั้งแต่พื้นๆลงไป ถ้าใครตั้งใจปฏิบัติตามสดๆร้อนๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโก ขอให้ปฏิบัติเถอะ ไอ้เรื่องกิเลสมันหลอกมันลวง มันหลอกทุกหัวใจนั่นแหละ ทุกเรื่องทุกราวที่จะมาหลอกให้เราย่อหย่อนหรือท้อถอยในทางพากเพียรในทางที่ถูกที่ดีนะ มันจะกีดจะขวางทุกวิถีทาง จึงชื่อว่ากิเลสตัวมหาภัยต่อจิตใจต่อธรรม ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังกล้าแล้วสิ่งเหล่านี้ล้มระนาวไปเลยนะ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรมาเป็นภัยต่อใจ
นี่ละเรื่องการภาวนา หลักใหญ่ของบารมีทั้งหลายที่เราสร้างมามากน้อยไม่ไปไหนนะ รวมมาหาหัวใจ บารมีของเราที่สร้างมากน้อยมีอยู่ในหัวใจๆ แต่ที่เก็บจริงๆ ก็คือจิตตภาวนา ลงแล้วนี่เป็นทำนบใหญ่แล้ว พอจิตตภาวนาขึ้นแล้วกุศลผลบุญของเราที่สร้างมามากน้อยลงนี้หมดเลยทีนี้ มารวมนี้หมด แต่ก่อนเหมือนไม่ปรากฏ แต่พอสร้างเขื่อนได้แล้วเหมือนกับน้ำ แต่ก่อนน้ำไม่ปรากฏนะ พอสร้างเขื่อนได้แล้วน้ำไม่ทราบไหลมาจากไหน มันก็ไหลของมันลงเต็มสระ ความดีของเราก็เหมือนกัน มันอยู่กับจิตนั่นละ แต่ไม่มีที่รวมให้เห็นมันก็ไม่รู้ แต่พอจิตตภาวนาเหมือนกับว่าสร้างเขื่อนใหญ่ลงแล้ว บุญกุศลก็มารวมที่ตรงนั้น มันอยู่ที่นั่น แต่ไม่มีที่รวมมันก็ไม่เห็น พอลงที่รวมแล้วเห็นได้ชัดเลย จากนั้นก็ผึงเลย
นี่ละอำนาจแห่งการสร้างความดี ท่านทั้งหลายอย่าได้นอนใจ อย่าได้ประมาทนะการสร้างคุณงามความดี ว่าบาปมีบุญมี มีมาตลอด พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่มีผิดพลาดเลย ไม่ว่าพระองค์ใดสอนว่าบาปมีบุญมีมาตลอด ไม่มีพระองค์ใดที่ปฏิเสธว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรก-สวรรค์ไม่มี นำสิ่งที่มีแล้วทั้งนั้นน่ะมาสอนโลก แต่โลกมันไม่ยอมเชื่อ หลับหูหลับตามันก็โดนเอา ชนเอาๆ เป็นทุกข์กับโลกตาบอด ไม่ยอมฟังเสียงธรรม ไม่ฟังเสียงศาสดานั่นแหละ ถ้าฟังแล้วไปได้มนุษย์เรา ไปได้แท้ๆ มันจะยากลำบากก็ฝืนไปตามทางของศาสดา เอาคดก็ไป โค้งก็ไป มันรุกรังก็ไป ไปตามทิศทางท่านสอน ก็ทางพ้นมันอยู่ที่นี่ สุดท้ายมันก็ได้ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
เรานี้มันหมดปัญหาทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นการพูดนี้จึงไม่มีสงสัยเลย ที่นำมาสอนโลกไม่สงสัย ใครจะออกทางวิทยุแบบไหนออกเถอะ ว่าอย่างนั้นเลย เราถอดจากหัวใจของเรานี้ไปสอน พูดจริงๆไม่คุย ไม่ลูบไม่คลำ สอนตามหลักความจริงที่เป็นจากหัวใจมีอยู่ในหัวใจนี้ออก ถูกต้องแม่นยำ ถูกต้องแม่นยำไปหมด ไม่สงสัย ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ วาสนาบารมีให้ดูความดีของเจ้าของ สร้างความดีก็เรียกว่าสร้างวาสนาบารมี เพิ่มวาสนาบารมีให้หนาแน่น เมื่อหนาแน่นขึ้นแล้วก็ยกตัวเรานั้นแหละ ผู้สร้างนั่นแหละให้หลุดพ้นจากทุกข์ จำเอานะ เอาละพอ
วันนี้ก็ไปนู้นไปหัวหิน เอาไปเลี้ยงลิง เขาจัดอาหารไปหมด โอ๋ยกองพะเนินอาหารลิง ใส่เข่งเต็มหมด ให้หมดแล้วลิงมากินจนจะหมดแล้ว กองพะเนินเทินทึก มันก็มาเรื่อยๆ เอาอันนี้ละให้ลิงต่อไป มันจะอยู่หลายวันอยู่ เพราะอาหารมาก พวกกล้วย พวกข้าวโพด ข้าวโพดเขาก็ตัดเป็นชิ้นๆ โยนพอดีกับมันคาบวิ่งๆ กล้วยไม่ใช่ลูกใหญ่นะ ลูกพอดีกับคาบวิ่ง ถ้าลูกใหญ่คาบไปทั้งเครือมันก็เอาไปไม่ไหว เอาไปทั้งต้นมันก็เอาไปไม่ได้ เขาก็ตัดให้ คือเอากล้วยชนิดลูกเล็ก เหมือนกล้วยไข่ลูกเล็กๆ เอามาเต็มเมื่อวาน จับปั๊บวิ่งเลย กินอิ่มได้สักสองสามวัน สงสาร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|