เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
ธรรมเท่านั้นจะครองโลกได้
นี่ต้องได้ทำท่อระบายน้ำ ไม่งั้นกำแพงจะพังอีกเวลาฝนตกมาก ๆ นะ ท่านปัญญาท่านเป็นผู้ดูแลติดตามเอง เราก็ปล่อยเลยถ้าเป็นท่านปัญญาแล้ว ท่านฉลาด เราสู้ท่านไม่ได้ เรากำลังจะขับไล่คนงานอยู่ เขาเอาเหล็กคานมาใส่แล้วเอาสีมาทา เป็นสีชนิดหนึ่ง เราก็ไม่ว่าอะไร เราคิดด้นเดาแต่ว่าคงทากันสนิมบ้างอะไรบ้าง เดี๋ยวฟาดเอาสีหนึ่งมาทาเข้าอีกล่ะซี พอมาเห็นก็ไล่เบี้ยเลย ไล่คนงานแตกฮือหนีหมดเดี๋ยวนั้นเลย คนงานหนีไปหมดแตกไปอยู่แถวนั้น ยังไม่ได้หนีไปจริง ๆ
เราออกมานี้ว่า ใครให้มาทาสองชั้นสามชั้น หมายความว่ายังไง บอกว่าท่านปัญญา หือ อย่างนั้นหรือ ท่านปัญญาหรือ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์ท่านปัญญามานี่จะพูดสักหน่อย พอพูดท่านอ้างเหตุผลปั๊บ ๆ เลยไล่คนงานกลับมาเดี๋ยวนั้นเลย อย่างนั้นนะ นี่ฟังซิเหตุผล เป็นไฟเดี๋ยวนั้นเลย พอถามถึงเหตุผลที่มาทานี้เพราะอะไร ท่านปัญญามาชี้แจงให้ทราบถูกต้องทุกอย่าง เราโง่ต่างหาก จะต้องแก้โง่ด้วย ให้เรียกคนงานมาเดี๋ยวนี้ เอ้าทำต่อไปได้เลย คนงานแตกไปอยู่ตามแถวนั้นแหละ นี่พูดถึงเรื่องท่านปัญญา ถ้าเป็นท่านปัญญาเรายอมทันที ท่านฉลาดทุกอย่างเรื่องช่าง เราสู้ท่านไม่ได้ ยิ่งเรื่องเหล่านี้ โอ๋ย เก่งมาก
วิศวปรมาณูนะท่านปัญญา ของเล่นเมื่อไร ถามอะไรไม่เคยติดเลยเรื่องเครื่องจักรเครื่องยนต์ นาฬิกาอะไรเหล่านี้ ทำได้จนกระทั่งจรวดดาวเทียม ทำเป็น แต่ท่านก็มีข้อแก้ตัว กลัวเราจะตามจับหางกระตุกล่ะซี ถามว่าทำนี้ได้ไหม รถไฟ เรือเหาะ เรือบิน ถึงจรวดดาวเทียม เราไล่ไปถามไป ท่านบอกทำได้ ๆ แต่โรงงานที่ทำนี้ต้องเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ คน ทำคนเดียวไม่สำเร็จ นี่แสดงว่าท่านมีทางออกแล้วกลัวเราจะตามจับหางกระตุก ท่านทำเป็นหมด แต่เหมือนไม่เป็นนะ เฉยเลย ถามอะไรนี่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถึงว่าถ้าเป็นเรื่องท่านปัญญาแล้วเรายอมทันทีเลย คือท่านมีเหตุผลทุกอย่าง เราสู้ท่านไม่ได้ ถ้าเป็นคนอื่นเราก็ไม่แน่ใจนัก ไปสอบไปถามไปดูอยู่เรื่อย ๆ ถ้าเป็นท่านปัญญาแล้วไม่เลย ปล่อยทันที เพราะทราบชัดแล้วว่าท่านรู้กว่าเราทุกอย่าง จะไปขวางหน้าขวางตาท่านทำไม ไม่ไปถามให้เสียเวลา ไม่เคยถาม ถ้าลงท่านปัญญาได้ทำอะไรแล้วไม่เลย ความฉลาดรอบคอบ ท่านสุขุมดี ทางภายในก็ดี
พระฝรั่งที่มาอยู่วัดเรานี้รู้สึกดีไปคนละทาง ๆ ดีทุกองค์ในแง่ต่าง ๆ แต่เรื่องหลักธรรมวินัยเหมือนกันหมด ดี ไม่ว่าพระไทยพระฝรั่งเหมือนกันหมด เรื่องความแยบคายในสิ่งต่าง ๆ มีความรู้คนละทิศละทางพระฝรั่งนะ องค์นี้เด่นทางนี้ ๆ มาอยู่นี้หลายองค์เป็นที่น่าชมเชยทุกองค์ ไม่ทำความเข็ดหลาบแก่ผู้รับไว้นะ คือเมื่อมาอยู่ไม่ดีไม่ว่าใครก็ตาม ถ้ามาอยู่ไม่ดี ๆ นี้มันทำให้เข็ดหลาบ เช่นอย่างเมืองนอกเขามานี้ มาแล้วมาทำยังไง ๆ เมืองนอกนี่เป็นประเทศไหนมันจะติดตามไป มาซ้ำซากเข้าไปนี้เข็ดแล้ว ไม่เอา เท่าที่ผ่านมานี้เห็นดีกัน เรียกว่าแทบทุกองค์ว่างั้นเถอะ จะมีบกพร่องบ้างก็เป็นราย ๆ ไปเท่านั้น ไม่ถึงกับมาทำส่วนใหญ่ของชาตินั้น ๆ ให้เสีย
อย่างท่านปัญญานี้ท่านเริ่มฉลาดกว่าเรามาตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่แรก ท่านมาอยู่กับเรานี้ท่านมาด้วยความชนะนะถ้าพูดแบบโลก เรารับไว้ด้วยความแพ้ เวลาท่านมาขออยู่วัดนี้ทีแรกเราก็ยังไม่รับ เพราะตอนนั้นเข้มงวดกวดขันพระทั้งหลายในการปฏิบัติจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ ตั้งแต่ ๒,๕๐๐ กว่ามาเล็กน้อย แล้วพวกนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง เรายังไม่รับ ๆ เฉพาะท่านปัญญานี้มาขอครั้งที่หนึ่งก็ไม่รับ ครั้งที่สองไม่รับ ถึงห้าครั้งนะเราไม่ลืม ครั้งที่ห้านี่เรียกว่าเราเสียท่าท่าน เพราะยังไง ๆ เราก็ไม่รับ ก็อ้างเหตุผลไปตลอด เหตุผลที่ไม่ควรรับ สุดท้ายไม่ให้รอ ถ้าอย่างอนุโลมมากก็ให้รอ พิจารณาไปเสียก่อน
ท่านมาครั้งที่ห้าก็ว่า ถ้าไม่รับจริง ๆ ท่านก็ไม่ว่าแต่ขอพักชั่วคราวเสียก่อน เข้ามาช่องนี้นะ ขอมาพักชั่วคราวมาศึกษาอบรมชั่วคราว เราก็รับ พอมาชั่วคราว ก็ตั้งแต่ปี ๐๖ จนกระทั่งป่านนี้ได้กี่ปีแล้ว ท่านมาพักชั่วคราว นี่ท่านก็จะยังพักชั่วคราวเรื่อย ๆ ไป เรียกว่าเราแพ้ท่าน อู๊ย เก่ง เมื่อท่านดีอยู่แล้วก็จะขับไลไสส่งไปไหน ก็เราหาของดีนี่ เหตุผลอยู่ตรงนั้น ปีหลังท่านเชอร์รี่ก็มา อันนี้ก็ไม่อะไรนัก ก็รับกันมาเรื่อย แล้วมา ๆ จนกระทั่งต้องให้รอไว้ก่อนมันมากเกินไป เราคิดเห็นว่าพระไทยเราก็มีหัวใจ ตั้งหน้าตั้งตามาศึกษาด้วยกัน พระไทยต้องมีจำนวนมากอยู่เสมอ นี่ก็รับเรื่อยมา ๆ
ที่ว่าไม่ค่อยมีเสียอะไรอย่างนี้ ก็คงจะมีบ้างจึงว่าไม่ค่อยมีเสีย มันมีแง่อยู่นั่น ก็มีองค์หนึ่ง แต่ไม่ได้เสียทางด้านธรรมด้านวินัยอย่างโจ่งแจ้งอะไร เสียด้วยความรู้ความเห็นธรรมดา เป็นพระชาติเดียวกับท่านปัญญามาอยู่ด้วยกันนี้ แต่ก่อนท่านถือคริสตศาสนามาแล้วก็มาบวช มาขออยู่วัดนี้ เห็นท่านปัญญาซึ่งเป็นชาติเดียวกันแล้วเราก็รับ รับไว้แล้วก็มาซัดกับท่านปัญญาเสียเองซิ มาอยู่ไม่นานนักมาซัดกับท่านปัญญา ท่านปัญญาสู้ไม่ได้วิ่งเข้ามาหาเรา บอกท่านปัญญาถือศาสนาอันเดียว ผมถือทั้งสองศาสนา ถ้าว่าตา ท่านปัญญาก็มีตาเดียว ผมมีสองตา ผมมีความสว่างกว่าท่านปัญญา ทางนั้นติดก็เลยเอานี้มาพูดให้เราฟัง ว่าเวลานี้ท่านองค์นั้นท่านถือคริสตศาสนาด้วยถือพุทธศาสนาด้วยทั้ง ๆ ที่บวชเป็นพระอยู่นี่ ท่านบอกท่านได้พระอาทิตย์สองดวง เท่ากับตาสองตา ท่านปัญญานี้มีตาเดียว สู้ท่านไม่ได้ว่างั้น ผมก็ไม่ทราบจะว่ายังไง
เราฟังแล้วก็เฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ พอได้จังหวะ ไหนมานี่ พระมาก ๆ อยู่นั่นเราอยู่ศาลาตอนเช้าด้วย มานี่ ไหนว่าไง ท่านว่าอย่างนั้น ๆ กับท่านปัญญาใช่ไหม บอกว่าใช่ เอ้า ตอบเดี๋ยวนี้นะ พระอาทิตย์จะมีร้อยดวงก็ตาม ตาจะมีร้อยตาก็ตาม แล้วเป็นตาบอดเสียทั้งหมดแล้ว พระอาทิตย์จะมีพันดวงก็ไม่มีความหมาย ท่านเป็นประเภทไหนเราว่างั้น ถ้าคนมีตาดีเพียงสองตานี้ใช้ได้ทั่วโลก เขาใช้กันมาทั่วดินแดน ท่านมีร้อยตาเป็นยังไง ตาบอดทั้งหมดทั้งร้อยตาเป็นยังไง พระอาทิตย์ร้อยดวงไม่มีความหมายสำหรับคนตาบอด ท่านเป็นพระประเภทไหน ท่านเตรียมออกจากวัดในวันสองวันนี้นะ ไล่ไปเลย
เห็นไหม พระอาทิตย์ร้อยดวงไปไหนไม่รู้นะ ทราบข่าวว่าไปสึกแล้วไปเอาพันดวงก็ไม่รู้แหละพระอาทิตย์ ใส่เปรี้ยงเลย อย่างนั้นแหละเรา ตอบเท่านั้นละ ค้านมาซิ ที่เราตอบไปนี้ค้านมาซิ ตาบอดมีตาร้อยดวงก็ตามตาบอดทั้งหมด พระอาทิตย์พันดวงก็ไม่มีความหมายสำหรับคนตาบอดใช่ไหมล่ะ นั่นค้านมาซิ ถ้าคนตาดีอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ไปหาพระอาทิตย์ที่ไหนมาร้อยดวง ดวงเดียวก็พอทั่วโลกดินแดนมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วใช่ไหม ก็ตอบรับกันอย่างนั้น ท่านยอมรับไหม ยอมรับ ยอมรับแล้วไป ไล่ทันที ไม่ยอมรับ เอ้า โต้มา ยังบอกเปิดข้อให้โต้มาอีกนะ ท่านบอกท่านไม่โต้ ท่านยอมรับ ยอมรับไป ขับหนีเลย นั่นอย่างนั้นละเรา ไม่ยากนะ ปั๊บเดียวเท่านั้น เอ้า ค้านมาซิที่พูดเหล่านี้ ค้านมาลองซิน่ะ ก็อย่างนั้นแหละเหตุผล เอาป่า ๆ เถื่อน ๆ มาพูดนี่
ศาสนามีอยู่ทั่วไป เราให้ชื่อว่าศาสนา ๆ เฉย ๆ ไอ้ปุ๊กกี้ไอ้หยองมันไม่ว่ามันถือศาสนา มันก็ถือของมันอยู่งั้นแหละ ลงมันเป็นเจ้าของพระที่ปฏิบัติทางศาสนา รักษาศาสนา มันก็เป็นเจ้าของวัดล่ะซี มันก็เป็นเจ้าของศาสนาเข้าใจไหมล่ะไอ้ปุ๊กกี้น่ะ ใครไม่เป็นท่าไอ้หยองไล่กัดก่อนนะ ตั้งแต่กับเรามันก็ไม่ถอย เราก็เป็นพ่อของศาสนามันยังจะฟาดพ่อมันอีก วันหนึ่งไล่ตีเอาหลงทิศไปเลย โห มึงมาเล่นกับพ่อมึงหรือ เอาไม้ไล่ตีเอาเลย ตั้งแต่นั้นมาพอเห็นเราเข้าไปหลบเลยเทียว โฮ้ มึงกลัวพ่อมึงแล้วเหรอ เราตีทั้งรักมันนะ ทำท่าคึกคักแล้วตีเลยอย่างว่า จิตเป็นอย่างหนึ่ง เหตุผลเป็นอย่างหนึ่ง ต่างกันอย่างนั้น ตีลงในเหตุผลเพื่อฝึกหัดก็เป็นอย่างนั้น
อย่างที่เคยพูดแล้วตีหมาไอ้หมีเราน่ะ เลยจะให้ไอ้หมีเป็นครูสอนพวกนี้ มันโง่เอานักหนา ไอ้หมีมันไปรังแกเขา เฮ่อ ๆ ใส่เขา เอาไม้ตีเลย พระก็เอาไม้มาตี พอถูกไม้ตีไอ้หมีหมอบเลย ตีแรงเท่าไรยิ่งหมอบลง ๆ นี่เขายอมแล้วทำไมไม่หยุดตี ทำไมเป็นอย่างนั้น ผู้ฝึกมันโง่จนจะตายนี่นะ ฟาดหลังผู้ตีสักหน่อยน่ะ สอนหมาให้ฉลาดมันยิ่งโง่กว่าหมายังไง ไปฟาดหลังพระให้หน่อย หรือเราที่สอนนี้ใครมาฟาดหลังเราฉลาดกว่าเรา เอ้า ฟาดเลย เราก็เปิดให้ด้วยนะ ไม่ใช่จะตีคนนั้นคนเดียว มาตีเราตีได้ถ้ามีเหตุผลตี อย่างนั้นซีการพูดมันต้องมีเหตุผลอย่างนั้นซีมันถึงฟังกันได้
ตีหมา-หมาเขายอมแล้วก็รู้ มองเห็นเขายอมแล้วก็ต้องหยุดซิ ก็ตีเพื่อให้เขาดีนี่ เมื่อเขาดีแล้วก็ต้องยอมรับซิ มีแต่ร่ำเปรี้ยง ๆ ทางนี้ต้องกระหนาบ ดีที่เราไม่ถือไม้ไปฟาดข้างหลังพระแล้วถึงสอนทีหลัง มันจึงสมเหตุสมผลว่าสอนหมาไม่เป็นท่า เราต้องเอาหนักยิ่งกว่า ฟาดพระให้หนักกว่าหมามันถึงถูก ใครจะฟาดเรา เอาฟาดมา ถ้าเหตุผลแล้วฟาดมาเลย ยอมรับเหตุผลอย่างที่ว่านี่แล้ว ทาสีนี่ พอท่านปัญญามาอธิบายให้ฟัง ทาสีนี้สำหรับกันนั้น ทานั้นสำหรับกันนั้น ท่านพูดมีเหตุผลเรายอมรับทันที คนงานเต็มอยู่นั้นเรียกคืนมาเดี๋ยวนั้นเลย ก็อย่างนั้นแล้วเหตุผล อย่างอื่นไม่ได้นะพูดจริง ๆ ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ
เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการ การแสดงออกทุกอย่างเราจึงไม่มีคำอะไรสะทกสะท้านว่าผิดไป เรื่องเป็นธรรมแล้วกวาดไปหมดเลย ธรรมเท่านั้นที่จะครองโลกได้ นอกนั้นครองไม่ได้ เรื่องกิเลสอย่าหวังเอามันมาครองโลกนะ มีแต่มันจะบีบหัวคนแหลกกระจัดกระจายไปทุกวันนี้มีแต่กิเลสทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกแล้วก็เหมือนโรคไม่มียาไม่มีหมอ มีแต่คอยตายอย่างเดียว ถ้ามียามีหมอบ้าง เจ้าของก็ระวังของแสลงไม่ฝ่าฝืนดื้อดึงแล้วก็ดี ก็อย่างนั้นซิ
ในการที่นำพี่น้องชาวไทยคราวนี้ก็รู้สึกว่าเรานำเต็มสัดเต็มส่วนในหัวใจของเรา ด้วยความเมตตา เราไม่ได้นำเล่น ๆ กิริยาท่าทางอะไรแสดงออกมีแต่เรื่องธรรมล้วน ๆ ทั้งนั้นที่เรานำออกมา ไม่มีกิเลสตัวใดแฝงกิริยาว่าเป็นกิเลสในนั้นไม่มี กิริยาออกจริงแต่ธรรมเป็นผู้ส่งออก พลังของธรรมส่งออก ๆ เป็นกิริยาท่าทางใดก็ตาม เป็นอำนาจของธรรม พลังของธรรมส่งออก ๆ ทั้งนั้น เหมือนกับน้ำที่สะอาด สาดไปตรงไหนก็เป็นน้ำสะอาด ๆ มันก็สะอาดไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ของสกปรก ซึ่งตกไปที่ไหนเลอะเทอะไปหมด นั่นมันต่างกัน กิเลสไปไหนเลอะเทอะไปหมด ถ้าธรรมไปไหนสะอาดไปเรื่อย ๆ ชะล้างไปเรื่อย คนนั้นสร้างความสกปรก สร้างความสะอาดด้วยธรรม สร้างความสกปรกด้วยกิเลส แล้วก็สร้างความสะอาดด้วยธรรมก็ชะล้างกันไปได้ แก้ไขดัดแปลงกันไปได้ ดีขึ้นได้นะ
เพราะฉะนั้นธรรมจึงเป็นของจำเป็นสำหรับโลกตลอดมา ใครจะมาลบล้างไม่ได้เลยเรื่องธรรมนี้ ถ้าไม่อยากจมกันทั้งโลกทั้งสงสารอย่ามาลบล้างธรรมว่างั้นเลย ธรรมเป็นของสำคัญมากทีเดียว อะไรจะเหนือธรรม ถ้ามีแต่กิเลส อวดเท่าไรยิ่งเลวไปตลอดนะ อวดเท่าไรอวดกิเลส อวดความผิดความพลาดอวดดีอวดเด่น ทั้ง ๆ ที่ชั่วช้าลามกที่สุด อวดเท่าไรยิ่งเลวลง เพิ่มความเลวลง ๆ คนประเภทนั้น พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงร้อยสันพันคม เป็นร้อยของมูตรของคูถของฟืนของไฟเผาโลกดินแดนตั้งแต่ตัวออกไปทั้งนั้น ไม่มีชิ้นใดดี เพราะฉะนั้นอย่าหาเล่ห์หาเหลี่ยมมาแก้ต่ออรรถต่อธรรม แก้เท่าไรยิ่งเพิ่มเข้า ๆ
เหมือนกับกองมูตรกองคูถ กลิ้งไปไหนสาดไปไหน ก็กองมูตรกองคูถกระจายไปทั่วนั้น มันเป็นทองคำขึ้นมาเมื่อไรจากการสาดกระจายมันออกไปนั้น มันก็เป็นมูตรเป็นคูถแตกกระจัดกระจายไปทั้งนั้นแหละ ของไม่ดีจะมีเล่ห์มีเหลี่ยมขนาดไหน ก็เล่ห์เหลี่ยมของกองมูตรกองคูถทั้งนั้น ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมของของดิบของดี ของดีวางไว้ที่ไหนดี เคลื่อนออกไปไหนก็ดี สมมุติว่าเก็บในตู้ในหีบก็ดี เอาไว้ที่ไหนดี แสดงออกก็ดี ของดีดีหมดนะ ถ้าของชั่วแสดงออกที่ไหนแสดงความชั่วตลอดเวลา ยิ่งออกลวดลายมากเท่าไรยิ่งความชั่วระบาดสาดกระจายออกจากตัวเองให้เหม็นคลุ้งไปหมดทั่วโลกดินแดน
ใครอย่าเอาความชั่วมาอวดความดีนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นอกจากเป็นความเสียหายแก่ตนและส่วนรวมให้กระทบกระเทือนไปเท่านั้น ไม่มีชิ้นดี ถ้าดีพระพุทธเจ้าจะไม่มีในโลกนี้มาสอนโลกให้เป็นคนดี ด้วยการชำระความชั่วคือกิเลสนี้ จะไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ได้เลยเพราะสู้กิเลสไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสก็ชะล้าง ๆ ตลอดเวลา ก็ดีมาตลอด พระพุทธเจ้าองค์ไหนบกพร่องไม่เคยเห็นมี แต่กิเลสบกพร่องมาตั้งแต่โคตรแต่แซ่ปู่ย่าตายายดึกดำบรรพ์ มันถ่ายทอดกี่โคตรกี่แซ่มา เป็นโคตรแซ่ที่หลอกลวงต้มตุ๋นทำลายโลกให้พินาศฉิบหายไปทั้งนั้น ๆ เลยนะ ไม่ได้เหมือนธรรม จึงขอให้พากันฟังเสียงอรรถเสียงธรรม
นี่ก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เราไม่สะทกสะท้านในการสอนของเราว่าผิดไป ในการสอนโลกคราวนี้ในชีวิตนี้ ในหัวใจดวงนี้ว่างั้นเลย ถอดออกมาจากหัวใจดวงนี้มาสอนด้วยความแม่นยำ ๆ ในหัวใจตนเองแล้วก็แม่นยำออกไปในการแสดงออก เราไม่เคยสะทกสะท้านนะ ใครจะว่าอะไรเราไม่เคยสนใจ ไม่มีอะไรเหนือธรรม เรื่องความดิบความดีความถูกต้องดีงามทุกอย่างแล้วไม่มีอะไรเหนือธรรม เรื่องเหล่านั้นอย่ามาอวด มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้นมาทำลายธรรม มาเห่าฟ่อ ๆ เท่านั้นเอง เห่าก็อยู่ในถังขยะเสียด้วยนะ เห่าขึ้นฟ้าด้วย เป็นหมาเห่าฟ้าจากถังขยะ นั่นละเห่าธรรมเป็นอย่างนั้น พวกเราพวกถังขยะ ฟ้าเทียบกับว่าธรรมธาตุ หมาเห่าฟ้าเห่าเท่าไรก็อยู่งั้น ไม่ทราบว่าฟ้าอยู่ไหน เห่าฟ่อ ๆ ไปเฉย ๆ เห่าแล้วก็ไปนอนอยู่ในถุงมูตรถุงคูถอันเก่าไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร เพราะฉะนั้นจึงอย่าเอามาอวดนะ
นี่เราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย การสอนทุกสิ่งทุกอย่างเราขวนขวายค้นคว้ามาแทบเป็นแทบตาย ถึงขั้นจะสลบไสลก็มี เฉียด ๆ ก็บอก ไม่ถึงขั้นสลบก็บอกไม่สลบ เฉียดมาตลอด ๆ เรื่องความเพียรนี่นะ ขวนขวายหาธรรมที่เจ้าของต้องการ ที่มุ่งหวังอย่างยิ่ง จากนั้นมาแล้วได้มาตามที่ขวนขวายตามหนทางพระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกอย่าง ปฏิบัติตามนั้นเดินตามนั้นไม่ให้คลาดให้เคลื่อน เข็มทิศทางเดินนี้ไปเพื่อความถูกต้อง ไปเพื่อมรรคผลนิพพาน เมื่อเราไม่ปลีกไม่แวะแล้วจะไปไหนถ้าไม่ไปมรรคผลนิพพาน นี่ละผู้ปฏิบัติตาม เช่น สาวกได้ยินได้ฟังแล้วตามนั้นไปเลย ท่านก็เจอเอา ๆ สำเร็จมรรคผลนิพพานสักเท่าไร เป็นสรณะของพวกเรา มีแต่พวกตามเสด็จพระพุทธเจ้าโดยสวากขาตธรรมเป็นผู้พาดำเนิน
ท่านสอน-สอนเพื่อมรรคเพื่อผล มรรคผลท่านครองไว้แล้วท่านทำกรุยหมายปลายทางให้เข้าตรงจุดนี้ ๆ จะเข้าเจอตรงนั้น ๆ เป็นโมฆะที่ไหน เมื่อปฏิบัติตามก็รู้ก็เห็นน่ะซี เมื่อรู้เห็นแล้วทำไมพูดไม่ได้ คนตาบอดลูบคลำอะไรมันไม่เห็น มันลูบคลำถูกมันก็พูดได้ คนตาดีทั้งลูบคลำได้ทั้งเห็นทั้งได้ยินทำไมจะพูดไม่ได้ พระพุทธเจ้าตาบอดที่ไหน สาวกอรหัตอรหันต์ท่านตาบอดที่ไหนพอที่จะมาลูบ ๆ คลำ ๆ สอนโลกสงสารล่ะ ท่านสอนด้วยหูแจ้งตาสว่าง โลกวิทู รู้แจ้งกระจ่างไปหมดตลอดเวลาด้วยนะ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนโลก
ใครจะยึดก็ยึดนะ อย่าอวดดี อย่าเอากิเลสมาอวดธรรมว่างั้นเลย การไม่ยอมรับ การถือทิฐิมานะ ล้วนแล้วตั้งแต่กิเลสทั้งนั้นละอวดธรรม ๆ อยู่ในหัวใจเรา แล้วจะสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่เราตลอดไป อันนี้ไม่เกิดผลอย่านำมาใช้ ธรรมพระพุทธเจ้าในข้อใดบทใดล้วนแล้วตั้งแต่เป็นน้ำดับไฟ ๆ ให้เอานั้นเข้ามายึดมาปฏิบัติ โง่แสนโง่ก็ตามขอให้ยอมรับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนโง่เท่านั้นพอแล้ว เอกไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ขอให้เชื่อฟัง เราเป็นลูกชาวพุทธด้วยแล้วควรจะเชื่อฟังกันนะ ไม่ได้มากแบบพระพุทธเจ้าก็ตาม ก็ให้ได้แบบลูกศิษย์ที่มีครูดำเนินตามครู ด้วยอำนาจแห่งสติกำลังของตนมากน้อยเท่าไร บึกบึนไปตาม ฝ่าฝืนความชั่วไปตาม นั้นถูกต้องนะ
เราอย่าเอาความชั่วมาอวดธรรม แล้วสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ใครจะเป็นคนรับความชั่วช้าลามก ก็เราเป็นผู้ทำใครจะมารับ ก็เราเป็นคลังของความชั่วช้า ความทุกข์มันอยู่กับเราด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ปฏิบัติตามแล้วจมนะ ชีวิตลมหายใจนี้เราสูบมาตั้งแต่วันเกิดไม่ใช่เหรอวิเศษวิโสอะไร ลมหายใจเท่านั้น ถ้าไม่เอาความดีเข้าไปบรรจุในนั้นให้เป็นสารประโยชน์ขึ้นมา คนนั้นหมดความหมาย สัตว์ตัวนั้นตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ อย่าเอามาอวดธรรมพระพุทธเจ้า เลิศเลอมาแต่กาลไหน ๆ ไม่มีอันใดที่จะชนะธรรมพระพุทธเจ้าได้เราไม่เคยได้ยิน มีแต่ธรรมชนะความชั่วตลอดเวลามา แล้วความชั่วจะไปชนะธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี ชนะพระพุทธเจ้าไม่มี แล้วธรรมนั้นละธรรมที่เลิศเลอมาสอนพวกเรา ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ
นี่สอนทุกแบบทุกฉบับแล้ว นับเป็นเวลาก็ตั้ง ๕๑ ปีนี้แล้ว ทีแรกก็สอนพระกรรมฐานเราอยู่ในป่าในเขา เพราะตอนนั้นเราอยู่ในป่าในเขา พระก็แอบเข้าไปอยู่นั้นด้วย ไปที่ไหนติดตามไปพระนั่นน่ะ ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่นั้นยังดี เพราะท่านกีดกันช่วยด้วย การดำเนินของเรานี้เราไปไหนสะดวกสบาย เมื่อท่านอนุญาตเรียบร้อยแล้ว ตกลงกันเรียบร้อยแล้วจะไป คิดว่าจะไปทางไหนท่านถาม คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้น ๆ เรื่องของเราแล้วเราจะไม่มีลี้ลับเปิดเลยเทียว เพราะท่านจะได้แนะ ตรงไหนควรไม่ควรท่านจะแนะอีกทีหนึ่ง คราวนี้ว่าจะไปทางนั้น ๆ ท่านก็บอก เออ ดี แถวนี้ดี เพราะท่านเคยไปแล้ว ท่านเคยไปหมดแล้ว พูดขึ้นที่ไหน ๆ ท่านรู้หมดแล้ว เอ้อ ที่นั่นดีนะ
จากนั้นมาปั๊บ ไปกี่องค์ นั่นขึ้นแล้วนะ ว่าไปองค์เดียว นี่ละผางทันที ทุกครั้งนะ พอว่าไปองค์เดียว เออ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่นเห็นไหมล่ะ ให้ท่านไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านพูดมือส่ายไปตามนี้ พระนั่งฟัง ใครจะไปยุ่ง ก็ร่มโพธิ์ร่มไทรก็คือท่านเอง เราก็ไปสบาย ๆ ตอนนั้นสบายก็ยอมรับว่าสบาย ไปจริง ๆ เอาจริง ๆ กลับมามีแต่หนังห่อกระดูกมาเท่านั้น เนื้อไปไหนหมดไม่รู้ มันผอมมันโซ ขึ้นเวทีไม่ถอย นี่ที่ท่านว่าให้ไปองค์เดียวอย่าให้ใครไปยุ่ง เพราะท่านรู้นิสัยนี่ เอาจริงเอาจัง
มาบางครั้งถึงขนาดท่านร้องโก้กเลย เราไม่ลืมนะ ลงมาจากภูเขามันจะเป็นอะไรก็ไม่รู้นะ การอดการอิ่มเราก็เคยทำมานานแล้ว แต่ไม่เหมือนคราวนี้ คราวนี้ไม่ทราบเป็นยังไง มันซูบมันผอม ผิวหนังเรานี้เหมือนทาขมิ้น เหลืองหมดตัวเลย ใครมองเห็นเขาก็ตื่นตกใจด้วยกัน เพราะฉะนั้นท่านถึงร้องโก้กเลย พอมาถึงท่านแล้วพอกราบท่าน เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ว่าอย่างนั้นนะ คึกคักขึ้นเลย เพราะมันเหลืองหมดตัว คงจะเป็นดีซ่านท่านะ เราไม่ได้เจ็บป่วยอะไรนะ เพราะการฝึกทรมานเราอย่างนั้นเอง เราก็คอยฟัง พ่อแม่ครูจารย์พูดอะไรนี้ของง่ายเมื่อไร จะไปตอบง่าย ๆ ได้เหรอ ท่านว่า เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ คือตัวเราเหลืองเหมือนทาขมิ้น ซูบผอมมากทีเดียวลงมาทีไร เป็นแต่เพียงว่าคราวนี้มันเหลืองหมดทั้งตัว นอกนั้นก็ธรรมดา ผอมแห้งลงมาทุกทีเพราะซัดเต็มเหนี่ยว ๆ
มาเวลาคุยธรรมะกันนี้ฟัดกันใหญ่เลย อย่างนั้นนะ มันกล้าหาญ ความรู้มันเป็นขึ้นในหัวใจนี่มันกล้าหาญตามความรู้ของตัวเอง เข้าใจว่าแม่นยำแล้ว เข้าไปหาท่านหน้าผากแตกออกมาทุกที ๆ แต่ขยันมากที่จะซัดกันกับท่าน บรรดาลูกศิษย์ของท่านเท่าที่เราสืบทราบมานี้ องค์ไหนพูดก็เป็นเสียงเดียวกัน ไม่มีองค์ไหนที่โต้ตอบหรือถกเถียงกันอย่างใหญ่โตเหมือนหลวงตานี้กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่เคยมีองค์ไหน มีท่านองค์เดียวนี้ มันจะหัวแข็งแต่โน้นมาละมั้ง ซัดกันกับครูนี้ โถ ของเล่นเมื่อไร พระแตกไปฟังนี้เต็มศาลาใต้ถุนกุฏิ เต็มวัดมาหมดเลย ซัดกันสองต่อสองข้างบนเสียงลั่น ข้างล่างพระเต็ม
นี่เราพูดถึงเรื่องมันจริงมันจังมาก ตอนนั้นไปองค์เดียวไม่ให้ใครไปด้วยเลย ท่านก็เป็นผู้ช่วยด้วย ให้ไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ จากนั้นแล้วไปที่ไหน โอ๊ย เหมือนหมาไล่เนื้อ เราเหมือนเนื้อ พระทั้งหลายเหมือนหมา ไล่กันอยู่นั่น ไปอยู่ภูเขาลูกนี้ไปอยู่ถ้ำนี้ไม่นานนะ ประมาณ ๒ อาทิตย์ต้องเปลี่ยนไม่เปลี่ยนไม่ได้พระติดตาม มันก็ลำบากเพราะบาตรลูกเดียวนี่ละ คือบาตรลูกนี้ไม่มีข้าวมันบาตรเปล่า ๆ
ครั้นไปที่ไหนก็ออกบิณฑบาตเขาละซี ชาวบ้านเขาก็เห็น ทีนี้พระซึ่งเป็นเหมือนหมาจมูกเก่งก็ตามไปสอดไปเรื่อยไป เดี๋ยวก็ทราบอาจารย์มหาบัวอยู่ที่ไหน แล้วตามไป เดี๋ยวองค์นี้มาเดี๋ยวองค์นั้นมา ไม่สบายมันขาดความเพียรจะว่าไง หลบขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อน กลางคืนก็ไป นี่เรื่องขโมย เพื่อตัวเองได้รับความสะดวกในการบำเพ็ญ ให้มีการสืบเนื่องตลอดเวลาระหว่างความเพียรกับกิเลสกับธรรมฟัดกัน ไปที่ไหนก็เป็นอย่างนั้น ๆ รุม ๆ ตลอด โห นั่นละตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้ว จนมาเกี่ยวโยงกับโยมแม่ เอาโยมแม่บวชแล้วก็เรียกว่าถูกมัดแล้วตั้งแต่นั้นมาจนป่านนี้ นี่พูดถึงเรื่องเรากระเสือกกระสนกระวนกระวายหาอรรถหาธรรมมาให้พี่น้องทั้งหลาย
ทีแรกเราก็ไม่ได้เคยคิดว่าจะได้เกี่ยวโยงกับพี่น้องชาวไทยเราถึงขนาดนี้นะ เรามุ่งต่อเราอย่างเดียว มุ่งอรหัตตผลคือจะให้เป็นพระอรหันต์เท่านั้นเองในชาตินี้ ไม่เป็นให้ตาย เราได้ฟังธรรมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นสมเจตนาที่มุ่งหมายแบกหน้ามาหาท่าน เพราะความสงสัยของเราเรื่องมรรคผลนิพพาน ความต้องการมรรคผลนิพพานก็มาก แต่มีความสงสัยมาตัดทอน นี้ละเห็นไหมเรียนมากเรียนน้อยเป็นยังไง แบกมหาไปหาท่าน ท่านเป็นมหาอะไรท่านทำไมสอนเราได้ ลงใจอย่างสนิทเลย เราแบกมหาไม่เห็นได้อะไรมีแต่ความสงสัย นี่ละมีแต่ความจำเห็นไหมล่ะ จำมาเท่าไรก็มีแต่ความสงสัยแทรกเข้าไป ๆ ถึงนิพพานก็สงสัยนิพพาน พอไปหาท่านนี่ใส่เปรี้ยง ๆ ลงใจผึงหมดเลย เอาละที่นี่ นั่นลงใจแล้วนะนั่น
ทีนี้เอาละที่นี่หมดปัญหาแล้ว ย้อนมาถามเจ้าของทีนี้จะจริงไหม ไปถามท่านทุกอย่างในบรรดาข้อสงสัยหายห่วงหมดแล้ว ทีนี้เราจะจริงไหม ทางนี้รับขึ้นทันทีเลยรับกัน ต้องจริง ไม่จริงต้องตายเท่านั้น นู่นเห็นไหมล่ะ จากนั้นมาก็พุ่งเลย นั่นละเราถึงได้ลำบากลำบนมากจริง ๆ แต่ไม่ได้ถึงขั้นสลบเหมือนพระพุทธเจ้า แม้จะไม่ถึงก็ตาม พูดนี้ไม่ได้วัดรอยนะ ไม่ถึงก็ตาม เมื่อถึงคราวจะถึงตายแล้วก็ปล่อยเลยทันที อย่าว่าแต่เพียงสลบเลย นี้มันเฉียดสลบ ๆ ยังไม่ถึงขั้นสลบก็ตาม เมื่อถึงกาลที่มันจะข้ามหัวสลบไปถึงตาย มันจะไปทันทีเลย
เรื่องความเพียร ยกตัวอย่างเช่น นั่งตลอดรุ่ง วันนี้จะนั่งตลอดรุ่ง กระเบียดหนึ่งเคลื่อนไม่ได้เลยนะ นั่งแบบไหนต้องแบบนั้นเคลื่อนไม่ได้เลย ต้องให้ถึงเวลา ถ้ายังไม่ถึงเวลานั้นมันจะตายก็ยอมเลย เข้าใจไหม ไม่สลบแหละ แต่มันจะถึงขั้นตายในระยะนั้นต้องตายเลย สละทันที นี่เรียกว่าเด็ดไหมพี่น้องทั้งหลายพิจารณาซิ พูดด้วยอำนาจแห่งความเมตตาสงสารที่เราบึกบึนมาได้ผลเป็นที่พอใจ เพราะการเข้มข้นกวดขันไม่อ่อนแอท้อแท้ เอาจริงเอาจัง ผลก็ได้เป็นที่พอใจอย่างนี้มา จนกระทั่งถึงคิดย้อนหลังไป ความพากเพียรของเราตั้งแต่วันก้าวขึ้นสู่เวที มีจุดใดดอนใดระยะใดที่มีความอ่อนแอท้อแท้ มองหน้ามองหลังอะไร อยากเตลิดเปิดเปิงลงเหวลงบ่อไปที่ไหน ไม่มี มีแต่พุ่ง ๆ ๆ เลย คิดย้อนหลังจนน่ากลัว กลัวความเพียร มันพิลึกพิลั่น
คือระยะที่เราพิจารณาย้อนหลังเป็นระยะที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว แล้วธาตุขันธ์ก็เป็นอย่างนี้ ความสำคัญมั่นหมายหรือความมุ่งมั่นต่อแดนมรรคผลนิพพาน ก็สงบของมันลงไปเงียบลงไป หายลงไปหมดแล้ว แล้วย้อนพิจารณาตามหลังที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นั้น โอ๊ย ขยะ ๆ นะ กลัว หือ อย่างนั้นมันก็ทำได้ ๆ อย่างนั้นมันก็ทำได้ ถ้าทำเวลานี้เรียกว่าตายเลยว่างั้นเถอะพูดง่าย ๆ ตอนนั้นมันเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นทุกอย่าง อะไรจะหนักขนาดไหน แดนแห่งมรรคผลนิพพานขวางหน้าอยู่ตลอดเวลา เหมือนหนึ่งว่าเอื้อมจะถึง ๆ มันก็พุ่งกันใหญ่ซิ ครั้นเวลามันเต็มที่แล้วถึงพิจารณาย้อนหลังไปนี่ โหย น่ากลัวความเพียร เราไม่ได้เคยตำหนิความเพียรของเราว่าอ่อนข้อที่ตรงไหน มีตั้งแต่น่ากลัว ๆ
เอาจนกระทั่งถึงเหตุถึงผลเต็มเหนี่ยวกันเลย ฟาดจนขาดสะบั้นลงไปในบรรดาข้าศึกศัตรูทั้งหลายที่บีบหัวเราลงจมอยู่ในวัฏวนนี้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ได้ขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ จ้าขึ้นมาแล้วเป็นยังไง นี่ละเอาอันนี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ยังว่ามาหาโกหกอยู่เหรอ เราสอนแทบล้มแทบตาย ตั้งแต่เริ่ม ๕๑ ปีได้แล้ว ตั้งแต่พระติดสอยห้อยตามตลอดมา ต่อจากนั้นก็กว้างออก ๆ ก็ไปใหญ่เลยอย่างทุกวันนี้ นี่เทศน์มาได้ ๕๑ ปี ธรรมะทุกประเภท ๆ
แต่ก่อนก็มีแต่ธรรมะหม้อเล็กหม้อจิ๋ว ๆ อยู่ในป่า เทศน์สอนพระมีแต่เด่น ๆ ทั้งนั้นละฟาดนิวเคลียร์นิวตรอน ๆ ออกตลอดเลย ทีนี้เวลามาเกี่ยวกับผู้คนญาติโยมมากเข้า ๆ หลายลิ้นหลายปากหลายนิสัยใจคอ ก็ต้องเป็นแกงหม้อใหญ่ขึ้นมา การจะตบจะตีจะสั่งจะสอนต้องมองไปเสียก่อน หัวคนนี้เป็นหัวอะไร นี่หัวคนเฒ่า นั่นหัวเด็ก อันนี้หัวอันธพาลมาอยู่ข้างหลัง เวลาตีมันตีไม่ถนัดละซี หยิบนู้นมาตีหยิบนี้มาตี ไม่ถนัด ตามความมุ่งหมายที่จะสอนเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ เพราะความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ไม่ว่าจริตนิสัยตลอดวัยของคน มันก็ต้องได้แกงหม้อใหญ่เทศน์สะเปะสะปะ ถึงอย่างนั้นก็ตามเราก็เทศน์เต็มเหนี่ยวมาแล้วได้ ๓ ปีเต็มแล้ว เทศน์ออกทั่วประเทศไทยเราแหละ แต่ก่อนก็ออกอยู่แล้วพี่น้องทั้งหลายก็ทราบ คราวนี้เป็นคราวที่เปิดทั้งแกงหม้อใหญ่หม้อเล็กหม้อจิ๋วไปตาม ๆ กัน มีแต่สอนเพื่ออรรถเพื่อธรรม
ธรรมศาสนาของพระพุทธเจ้านี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดมานะ อย่าให้กิเลสมาเหยียบย่ำทำลายได้ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ๆ มีแต่กิเลสตีตลาดแล้วสร้างฟืนสร้างไฟเผาโลกดินแดน มีใครพากันเข็ดกันหลาบบ้างไหม กิเลสมันหลอกโลกแล้วมันสร้างฟืนสร้างไฟเผาหัวใจตลอดมา ด้วยความโลภด้วยความโกรธราคะตัณหา สร้างไม่หยุดไม่ถอย เผาทุกหัวใจ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดเผาได้ทั้งนั้น กิเลสมันอยู่เหนือทั้งนั้น แล้วใครเป็นคนดิบคนดีพอจะเอาผลของกิเลสมาอวดธรรมของพระพุทธเจ้ามีไหม มันไม่มี ไปที่ไหนเดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ การแต่งเนื้อแต่งตัวประดับประดาที่อยู่ที่กินที่อาศัยหลับนอน มีแต่ตกแต่งด้วยอำนาจของกิเลสมันหลอกลวง ๆ ข้างในที่เป็นไฟอยู่นั้นมันไม่ให้ดู มันให้เห็นตั้งแต่ภายนอกให้เป็นบ้ากับมัน ธรรมจ้อเข้าไปภายในเห็นหมด เอามาพูดได้ล่ะซี พระพุทธเจ้าท่านเห็นอย่างนั้นนี่นะ ต่างคนต่างปฏิบัตินะ
นี่เราพูดจริง ๆ เวลาเราตายแล้วก็ยากครูบาอาจารย์องค์ไหนท่านจะมาพูดนะ เพราะท่านเกรงอกเกรงใจโยมอะไร ๆ ไอ้เราฟัดดะไปเลยว่างั้นเถอะ เข้าใจไหมฟัดดะ มันมวยวัดนี่ กิเลสอยู่ไหนพุ่งเข้าเลย ๆ แพ้ชนะไม่สนใจ กิเลสหงายหมาแล้วพอเข้าใจไหม ไอ้เรื่องแพ้เรื่องชนะอย่ามายุ่ง ขอให้กิเลสหงายหมาอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ให้มันหงายแมว ถ้าหงายแมวมันจะตะปบเราได้ ฟาดมันหงายหมาเลยเข้าใจเหรอ เอาละวันนี้เทศน์เท่านี้
(ผ.อ.ร.ร.อุดรธรรมานุสรณ์ย้ายมาใหม่มากราบนมัสการ) ตั้งใจสอนดี ๆ นะ สอนเด็กเล็กเด็กน้อยให้ดี ครูต้องเป็นแบบพิมพ์ที่ดี ถ้าครูเป็นแบบพิมพ์ที่ดีสอนเด็กก็ดี มีเท่านั้นละ ทีนี้ก็จะให้ศีลให้พร
พูดถึงเรื่องขโมยหนีจากพระนี้ โอ๊ย น่าสงสารท่านเหมือนกัน แต่เราก็สงสารเราหนักมากถึงขนาดขโมยถึงขโมยนะ ถ้าไม่ถึงขั้นนั้นเราก็ไม่ขโมย เพื่อนฝูงไปนี่เหมือนสะพายหนักหมดตัว เพื่อนฝูงติดตามไปด้วยมันไม่สะดวกในการขึ้นเวที มันเหมือนมีอะไรพะรุงพะรัง จะต่อยอะไรมันก็ไม่ถนัด เพื่อนฝูงรุม ความเพียรมีระยะขาดวรรคขาดตอนจนได้ เวลาไปคนเดียวมันพุ่ง ๆ เลย ทีนี้หมู่เพื่อนก็รุม โอ๊ย ทำไง บางทีกลางวันนี้ทำทุกแบบนะ เวลากลางวันพัก พระกรรมฐานท่านไม่ได้พักติดกันนะ องค์นี้พักอยู่นี่ องค์หนึ่งพักอยู่โน้น ไม่ให้เห็นกัน เวลาเราจะขโมยหนี ถ้าเป็นเวลากลางวันก็เตรียมของไว้เรียบร้อยแล้วทุกอย่าง แล้วก็เดินฉากไปดูลาดเลาเดินฉากไป ๆ ดูไป องค์นั้นเดินจงกรมบ้าง องค์นี้นั่งสมาธิอยู่บ้าง เดินฉากไป พอไม่เห็นมีใครแล้วมาเตรียมของปุ๊บปั๊บ ๆ สะพายบาตรออกทางนี้ ทางพระอยู่ไม่ไป หายเงียบ ไม่ทราบตอนไหนถึงจะมาที่พักมันไม่มีกุฏิแหละ แคร่เฉย ๆ แล้วหายเงียบเลย
โหย ทีนี้ยุ่งกันใหญ่เลยไม่ทราบไปที่ไหน บุกเข้าป่าไปเลยนะไม่มีนะทาง เราก็เป็นขโมยใหญ่นี่ ไม่มีทางละ บุกนี้ออกโผล่ออกไหนออกไปเงียบเลย เวลากลางวันก็ทำแบบนั้น กลางคืนก็อีกเหมือนกันไปเงียบ ๆ แบบเดียวกันนั่นละ พอเงียบ ๆ ปั๊บออกเลย พุ่งเหมือนกันเข้าป่า ไปนอนอยู่ในป่าก็มี นอนอยู่ในป่า กลางคืนออกไปแล้วก็ไปนอนอยู่ในป่า ตอนเช้าจึงค่อยออกไป บ้านอยู่ไหนก็ไปบิณฑบาตหมู่บ้านเขา ออกไปอีกเรื่อย ๆ ขโมยอยู่อย่างนั้นเป็นประจำ ขโมยจริง ๆ นะ ถ้าเป็นบาปด้วยการขโมยหนีพระนี้เราจะเป็นบาปหนักเหมือนกันนะ ถ้าเราจะบาปหนักเราก็ต้องแบ่งให้พระบ้างซี เราจะมาแบกคนเดียวยังไง พวกนี้พวกวิ่งตามรุมตามเรา พวกนี้พวกบาปหนักที่สุดนี่ เราก็จะเอาพวกนี้ทำให้เราลำบากมาก เราก็จะแบ่งไปทางนี้เสีย ให้ต่างคนต่างแบกไปเท่านั้นแหละ
นี่เราพูดถึงเรื่องการดำเนินของเรา มันเอาจริงเอาจังขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นเวลามองเห็นที่ไหน ๆ กับพระกับเณรเราพูดจริง ๆ นะ สั่งสอนเราก็รู้อยู่นิสัยวาสนาภูมิจิตใจมีความหยาบละเอียดแค่ไหน ตลอดความโง่ความฉลาดก็รู้ แต่ก็ทนที่มันโดนเอา ๆ เพราะความผิดพลาดของพระของเณรมาทางสายตาทางหูทางความคิดความอ่านจนได้นั่นแหละ มันก็หนักจนได้ นี่ซิมันลำบากนะ หนัก ผู้ปฏิบัติต้องเป็นผู้ใช้สติปัญญา อืด ๆ อาด ๆ ไม่ได้นะ กิเลสคล่องตัวที่สุด เวลาสติปัญญาก้าวเดินมันถึงได้รู้กัน กิเลสมันชำนาญมันคล่องตัวมาแต่เมื่อไร ทางนี้ฝึกซ้อม ๆ จับกันได้ ๆ มันค่อยรู้เรื่องของกิเลสไปเรื่อย ๆ ทีนี้เหนือกันแล้วก็ซัดกันเลย ทีนี้ออกทางไหนรู้หมดนั่นเห็นไหมล่ะ ทางฝึกอยู่เสมอคล่องตัวไปเรื่อย ๆ แหละ
พวกที่อยู่ในครัวก็เหมือนกันนะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา มาแล้วอย่าให้มีเรื่องมีราวอะไรเกิดขึ้นในวัดนะ มาชำระกิเลสมาเกิดเรื่องเกิดราวทะเลาะเบาะแว้งกันนี้ใช้ไม่ได้เลย เราไม่เหมือนใครนะไล่หนีทันที ไม่ยุ่งนะ พระก็เหมือนกันไล่หนีทันทีเลย เพราะมันหยาบโลนที่สุดเอามาอวดทำไม เท่านั้นพอ ข้างในก็เหมือนกัน ให้ดูหัวใจเจ้าของ ผิดพลาดใครไปให้ความหมาย ถ้าจะแก้ตัวเองต้องดูตัวเองก่อน คนนั้นไม่ดีอย่างนั้น ใครไปคิดว่าคนนั้นไม่ดีมันปั๊บจับนี้ทันที อันนั้นไม่ดีก็ให้รู้ ตัวนี้ไม่ดี ๆ ก็ให้รู้ ถึงเรียกว่าชำระตัวเอง จะไปดู เช่นอย่างว่าคนนั้นไม่ดี ตัวเลวไม่รู้ ถ้าใช้สติปัญญา อันนั้นไม่ดีแล้วอันนี้เป็นยังไง ย้อนกันพิจารณาทบทวนให้ได้เหตุได้ผลทั้งสองฝ่าย ไปได้สบาย ๆ ด้วยความคล่องตัว ด้วยอำนาจแห่งความฉลาด ต้องอย่างนั้นซิ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |