เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
สอนโลกให้เต็มความเป็นศาสดา
(หลวงตาพูดก่อนที่จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เมื่อเวลา ๑๗.๐๐ น. ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ)
พระเก่าที่อยู่วัดบวรฯเดี๋ยวนี้หลง จำไม่ได้แล้วละ หมดแล้วละ พระเก่าพระแก่ที่ล่วงลับไปก็มี ที่ยังอยู่เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาก็จำไม่ได้แล้ว เพราะออกจากวัดบวรฯ ไปอยู่ที่สวนแสงธรรมเหมือนกันได้เข้า ๒๐ ปีแล้วมัง ตั้งแต่พ.ศ.เท่าไร (ที่สวนแสงธรรมถ้าเริ่มแรกๆ ก็ปี ๒๕๒๖ ก่อน แต่ว่าไม่ได้ประจำ แวะไปเมืองชลไปไหนต่อไหน ตอนนั้นยังไม่ค่อยสบายอยู่ พอ ๒๕๒๘ เริ่มมาประจำ) ประจำ ๒๕๒๘ ถึงวันนี้ เป็นเข้าถึง ๒๐ ปีแล้วมัง (๒๑ ปีแล้วครับ) ตั้งแต่ไปพักสวนแสงธรรมก็ไม่ได้เข้าวัดบวรฯ ก็พอดีแหละเข้าไปก็ไม่มีที่จอดรถ แล้วเดี๋ยวนี้มันแน่นหมดวัดบวรฯ แต่ก่อนที่ว่างๆ ก็ปลูกสร้างอะไรขึ้นแน่นหมด พอดีที่เราพักสวนแสงธรรมก็มีที่พักว่าง สะดวกสบายดี
ท่านดูเหมือนอ่อนกว่าผมสักสามเดือน ท่านเกิดเดือนอะไร (ตุลาครับผม อ่อนกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์สองเดือนครับผม) ผมสิงหา กันยา ตุลา สองเดือน เวลาบวชท่านก็แก่กว่าผมดูเหมือนคล้ายคลึงกันนี่แหละ แก่กว่าผมสักสองเดือนหรือสามเดือนเท่านั้น อายุพรรษาก็ไล่เลี่ยกัน เวลาการเกิดอะไรก็ไล่เลี่ยกัน พอๆ กันทุกอย่างเลย เดี๋ยวนี้คงจำพระวัดบวรฯไม่ได้ละ
(สามีคุณเพาพงามากราบนมัสการหลวงตาตอนค่ำ) เป็นอย่างไรยังพอสบายดีอยู่เหรอ พอไปมาได้อยู่นะ เอ๊ะ คุณเพาเสียไปได้กี่ปี (จำไม่ได้แล้วครับ) ดูเหมือนราวสัก ๒๕๒๐ ที่ ๒๕๒๐-๒๕๒๑ ที่เราเทศน์สอนเพาพงาได้หนังสือศาสนาอยู่ที่ไหน กับชุดเตรียมพร้อม เทศน์ทุกคืนๆ ดูเหมือนสามเดือนกว่า ไปพักอยู่นั่นไปเทศน์ให้ฟังทุกคน เป็นเล่มนั้นขึ้นมา เกือบ ๓๐ ปี นานขนาดนั้นเกือบ ๓๐ ปีแล้ว นานๆ มาพบกันทีหนึ่ง ก็ดีอยู่แล้วแหละ ที่สอนคุณเพานั้นสอนทุกคืนเลยนะ เขียนจดหมายไปบอกเราว่าหมอเขาว่าเป็นโรคมะเร็งที่ตะโพก กระดูกอะไร เขาว่าอยู่ได้อย่างมากหกเดือนตาย และอยากมาปฏิบัติอรรถธรรมกับที่วัดนี้ ถ้าไปธรรมดามันก็ธรรมดานั้นแหละ ถ้าตั้งใจไปจริงๆ เอาถึงไหนถึงกัน เราก็ว่าอย่างนั้น พอแกรับจดหมายตอนค่ำ ตอนเช้าถึงแล้ว รับจดหมายอ่านจดหมายจบเตรียมของออกเลย
พอออกมาก็บอกว่ามีกุฏิสองหลัง หลังสิงคโปร์นอกสิงคโปร์ใน คือหญิงก้อยกับอุไร ห้วยธาร อยู่เดี๋ยวนี้ จะอยู่หลังไหนให้เลือกเอา แกก็อยู่หลังคุณหญิงก้อย ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไปเทศน์ให้ฟังทุกคืน นั่นเห็นไหมล่ะ เมื่อถึงกันต้องถึงอย่างนั้นนะเรา เพราะพูดมาว่าถ้าไปธรรมดามันก็ธรรมดานั่นแหละ ถ้าตั้งใจไปจริงๆ ให้เห็นโทษของความเจ็บไข้ได้ป่วยความตายจริงๆ แล้วไปเมื่อไรก็ได้ ไปได้เราว่าอย่างนั้น ได้รับจดหมายตอนเย็น เตรียมของในตอนเย็น รถยนต์มาตอนเช้าถึงนู้นเลย เราจึงจัดหลังนั้นให้ ตั้งแต่นั้นมาไปเทศน์ให้ฟังทุกคืน นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่มีเว้นเลย ถ้าวันไหนมีความจำเป็น เช่นเราประชุมพระนี่ เราก็บอกวันพรุ่งนี้จะไม่ได้มาจะประชุมพระ หรือเราจะมีธุระอะไรตอนค่ำไม่ได้มา ก็บอก นอกจากนั้นเทศน์ทุกคืนๆ สามเดือนแกไปอยู่นั้น เทศน์ให้ฟังทุกคืนเลย
เหตุที่ได้หนังสือศาสนาอยู่ที่ไหน ๑ ธรรมชุดเตรียมพร้อม ๑ เทศน์ของเราที่เทศน์สอนเพาพงา จนกระทั่งทุกวันนี้ เล่มหนาขนาดไหน เวลามาแล้วอยู่ตั้งปีกว่านะ เขาบอกว่าอย่างนานไม่เลยหกเดือน หมอเขาทำนายว่าอย่างนั้น แต่แกไปอบรมจิตใจกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา เวลากลับมาอยู่กรุงเทพฯนี้ตั้งปีกว่านะแกถึงล่วงไป เป็นอย่างนั้นละกำลังใจเป็นสำคัญมากนะ ถ้าใจอ่อนเสียอย่างเดียวอ่อนหมด ถ้าใจแข็งเสียอย่างเดียวแข็งปึ๋งเลย อยู่ได้เรียกว่าทบครึ่งไปเลย หมอบอกว่าอย่างนานหกเดือน นี่แกอยู่ตั้งปีกว่าถึงได้สิ้นไป กำลังใจนี่สำคัญมากทีเดียว
เมื่อเช้านี้เราก็ไปเลี้ยงอาหารช้าง ขากลับมาก็ไปโรงพยาบาลจุฬา เข้าเฝ้าสมเด็จท่าน ท่านก็รู้สึกว่าแจ่มใสกว่าแต่ก่อน ไปคราวที่แล้วนั้นกับคราวนี้ คราวนี้รู้สึกแจ่มใส ผิวพรรณวรรณะอะไรๆ ดูรู้สึกแจ่มใส เราถามพระที่ดูแลอยู่ก็บอกว่าคราวนี้ดีกว่าคราวที่แล้ว ถูกต้อง เรายอมรับ พระอยู่กับท่านตอนกลางวันสี่องค์ ตอนกลางคืนห้าองค์เป็นประจำไม่เคยขาดเลยว่างั้น เรียกว่าไม่มีขาดกลางวันสี่องค์เป็นประจำ กลางคืนห้าองค์ คราวนี้รู้สึกว่าตาท่านจับเราจริงๆ คราวนี้นะ แต่ก่อนเป็นลักษณะเหม่อมองไม่ค่อยอะไร แต่คราวนี้ท่านจ้องเราจริงๆ ต่างคนต่างจ้องกันเลย เรียกว่าท่านเข้าใจได้ดีกว่าคราวที่แล้ว
เขาให้ท่านอ่านหนังสืออวยพรเราหรือไงใช่ไหม แต่เราก็ไม่ได้ยิน เราเอาคำมาอ่านแล้วก็พอ ท่านก็อ่านเบาๆ เราก็นั่ง ท่านอ่านอวยพรให้เรา พระเอาหนังสือมาให้ท่านอ่านอวยพรให้เราที่ไปกราบเยี่ยมท่าน ท่านก็อ่านเบาๆ ไปตามท่านนั้นแหละ ไอ้เราก็ฟังเบาๆ แบบเดียวกัน ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เราก็ไม่สนใจ เอาจุดที่ท่านอ่านนั้นแหละ เราก็เอาจุดที่เราฟังเท่านั้นเอง ได้ความไม่ได้ความ ไม่ได้สักคำเดียว ไม่ได้ยินชัด ท่านก็อ่านพุมพำๆ ไอ้เราก็ฟังพุมพำๆ แบบเดียวกันกับที่ว่าอืออาๆ ขำนั่นละ แบบเดียวกัน ท่านจ้องเรามากคราวนี้นะ คราวที่แล้วลักษณะท่านเหม่อๆ คราวนี้จ้อง เข้าไปปั๊บท่านก็จ้องเลย รู้สึกว่าท่านสดใสกว่าคราวที่แล้ว เกี่ยวกับเรานี่รู้สึกท่านจดจ้อง ไม่เหมือนคราวที่แล้วซึ่งเหม่อมองอะไรไม่ค่อยเจาะจงอะไร แต่คราวนี้ท่านเจาะจงจ้องเรา
ไปเลี้ยงช้างวันนี้ก็ไปดูพวกอยุธยาเล่นน้ำกัน แหม เราผ่านมานี้ก็หลายเมืองนะ ได้เห็นอยุธยาวันนี้ ทั้งเมืองถนนไม่มีเลย คนแน่นถนนเลยเล่นน้ำ จนรถจะไปไม่ได้ เอาจริงเอาจังมาก อาหารที่ไปเลี้ยงช้างก็เหลือเยอะ เหลือเป็นคันรถๆ เพราะเอาไปหกคัน หกล้อคันหนึ่ง กล้วยเต็มรถๆ พวกสับปะรด พวกแตง ข้าวโพด กล้วยมาก สองคันรถปิ๊กอัพเต็มเลย นั่นละช้างพอ จากนั้นเราก็มอบให้เจ้าหน้าที่เขานำไปเก็บรักษาไว้ที่โรงช้าง เหลือมากคราวนี้ คราวก่อนก็เหลือมาก เพราะเราเผื่อไว้ตลอด คือเผื่อให้เหลือไว้เลย ไม่เพียงว่าพอ เผื่อให้เหลือ เหลือจากนี้แล้วก็เอาเข้าไปโรงช้าง เพื่อช้างทั้งหลายจะได้กินกัน จากนั้นมาประมาณชั่วโมงก็ไปจุฬา
วันพรุ่งนี้อาจจะได้ไปปากช่อง ขึ้นเขาใหญ่ ด่านปากช่อง ทางนู้นเขาก็ได้ ทางนี้เขาก็มีหวัง เราก็เลยไปสนองความหวังเขา ครั้งที่หนึ่งแล้ว ครั้งที่สองเขาก็ต้องคิด ทางนู้นเขาก็ทราบทางนี้เหมือนกัน ที่ว่าเราว่างเมื่อไรเราก็จะไปให้เหมือนกัน เสมอกัน แต่ผลไม้จะได้มากน้อยเพียงไรไม่แน่นะ คือไปทางปางช่องไม่แน่นะผลไม้ แต่ทางนู้นมันมีตลาดหนองชะอม มีหลายประเภทผลไม้ เลือกเอาตามต้องการ ยิ่งไปคราวที่แล้วนี้ได้ทุเรียนเต็มสัดเต็มส่วน เพราะทุเรียนกำลังสุก ลูกใหญ่ ครอบครัวละห้าลูกๆ แต่ทางปากช่องจะมีหรือไม่มี เรายังสงสัยอยู่ ถ้ามีก็แบบเดียวกันเลย ส่วนใหญ่ให้ชายปั๋มจัด ส่วนผลไม้นี่วันไปเราจัดไปทีเดียว ไม่อย่างนั้นมันเสียง่าย นี่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลไม้มากน้อยเพียงไร เพราะทางนี้เราไม่เคย ทางนู้นเคยแล้ว ที่ตลาดหนองชะอม ยาวเหยียด เลือกได้ตามต้องการ แต่ทางปากช่องนี้ไม่ทราบจะมีทางไหนบ้าง เราไม่ค่อยแน่ใจนัก
สมเด็จท่านกับเราไล่เลี่ยกัน อายุก็ไล่เลี่ย ดูท่านหลังเราสองเดือนเท่านั้นมั้ง เราเกิดสิงหา ท่านเกิดตุลาวันที่ ๓ เราเกิดสิงหาวันที่ ๑๒ บวชท่านก็ก่อนเราดูเหมือนสองสามเดือน ท่านแก่กว่าเราสองสามเดือน เวลาท่านอยู่ธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปนี้ คนทั้งหลายก็ว่าท่านพูดน้อยมาก ท่านไม่ค่อยพูดนะ เวลาไปคุยธรรมะกันกับเราเฉพาะสองต่อสอง โอ๋ย ธรรมดาเลย ท่านชอบซักนั้นซักนี้เรื่องจิตตภาวนา เราเป็นผู้เล่าถวายท่าน หรือจะว่าแนะก็ไม่ผิด เพราะท่านตั้งใจศึกษากับเราจริงๆ ทางด้านจิตตภาวนา เราก็ถวายอุบายต่างๆ ให้ท่านฟังตลอด
ท่านพูดธรรมดาเรานี่เลย ไม่ได้เหมือนอยู่ทั่วๆ ไปนะ เวลาคุยกับเราเฉพาะนี้สองต่อสอง สนทนาอรรถธรรมกันนี้ท่านพูดธรรมดาเลย สงสัยข้อไหนท่านถามมาเลยๆ เราก็ตอบเรื่อยๆ เป็นอย่างนั้น สำหรับภายนอกใครๆ ก็เห็นว่าท่านพูดน้อยมาก ท่านไม่ค่อยพูด แต่เวลาไปสนทนาธรรมะกันกับเราเฉพาะสองต่อสอง โอ๋ย ธรรมดาเลย ท่านธรรมดาเลยคุยธรรมะ ท่านสนใจภาวนา ท่านไปอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด โอ๋ย หลายครั้งนะ ไปแต่ละทีนี้เป็นอาทิตย์ๆ กว่าท่านไป ท่านไปภาวนาจริงๆ ท่านไปอยู่ทางกุฏิท่านสุดใจ แต่ก่อนหลังเล็กกว่านั้น ท่านไปพัก อยู่คนเดียวตลอด เอาจริงเอาจังนะเวลาภาวนา เราก็ไม่ไปกวน จะคุยกันเวลาที่ควรคุยเท่านั้น นอกนั้นก็เปิดโอกาสให้ท่านภาวนาของท่าน ท่านคุยธรรมดา ไม่ได้ว่าพูดน้อย ท่านพูดธรรมดา สงสัยข้อไหนๆ ซักถามๆ หรือมีข้อเคล็ดลับอะไรที่สงสัยอะไร ออกจากนี้ไปภายนอกท่านก็ถามเฉพาะๆ ไม่มีใครทราบแหละ มีท่านกับเราถามกันเฉพาะ ท่านพูดธรรมดาๆ ท่านไม่ได้พูดน้อยนะ เรียกว่าธรรมดาเลย หนังสือจากโรงพยาบาลจุฬาฯ นิมนต์มาก็ไปให้เรียบร้อยแล้ววันนี้
การฟังเทศน์ธรรมะปฏิบัติด้วยจิตตภาวนามันฟังสะดวก ได้เหตุได้ผล ได้อรรถได้ธรรมไปในขณะที่ฟังตลอด คือท่านผู้เทศน์ท่านก็เทศน์ด้วยความไม่สงสัย เช่นอย่างหลวงปู่มั่นเทศน์นี่ไม่มีผิดพลาดแม้น้อยหนึ่ง ท่านถอดออกจากหัวใจ ทีนี้ผู้ฟังนี้คล้อยตามเลย พูดออกตรงไหนๆ นี่ติดปั๊บๆ เพราะเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ออกจากหัวใจท่าน เราผู้ฟังก็มุ่งฟังอย่างมีจิตใจมุ่งหวังอย่างแรงกล้าต่อการฟังธรรมท่าน เวลาท่านเทศน์เพียงท่านเริ่มเพียงเท่านั้นละ จิตใจที่ไม่เคยสงบมันสงบได้ ถ้ายิ่งเคยสงบแล้วพอท่านเริ่มธรรมะนี้จิตจ่อ สติจ่อเข้าหาจิตอยู่นั้น
ไม่ต้องไปสนใจกับท่านผู้เทศน์ อยู่ใกล้อยู่ไกล ไม่ต้องไปสนใจ สติจับลงที่จิต ตั้งความรู้ไว้นั้น สติอยู่นั้นธรรมะจะไหลเข้ามาเอง เหมือนกับเรารองน้ำ ไม่ต้องโยกย้ายไปรับทางนู้นทางนี้ ตั้งลงจุดเดียวที่น้ำจะไหลลง ไหลลงตรงนั้นทั้งนั้นแหละ ทีนี้จิตเมื่อตั้งดีแล้ว ตั้งอยู่ที่จิต สติติดแนบอยู่นั้น ธรรมะยิ่งได้ฟังชัดเจนมากกว่าที่เราส่งไปฟังท่าน ตามเสียงของท่านเป็นไหนๆ พอจ่อจิตลงตรงนั้นแล้วธรรมะท่านจะเริ่มไหลเข้าๆ ธรรมะไหลเข้าสู่ใจนี้ มันเป็นโอสถๆ ไหลเข้าไปเท่าไรยิ่งเป็นเครื่องกล่อมใจๆ จิตที่ยังไม่สงบเมื่อธรรมะกล่อมเข้าไปติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับลำดา จิตสงบได้เลย ไม่ต้องมีใครมาบอก เพราะธรรมะนั้นกล่อมลงไปๆ จิตใจเพลินฟังอยู่เฉพาะๆๆ ธรรมะนั้นก็เหมือนแม่กล่อมลูกด้วยบทเพลงนั่นแหละ เด็กหลับได้ อันนี้ก็จิตใจสงบได้
ผู้ที่เริ่มมีฐานของจิตมีความสงบบ้างแล้วยิ่งเร็ว พอท่านเริ่มเทศน์จิตเริ่มจ่อปั๊บนี้ ไม่มีละเรื่องที่จะระวังว่าจิตจะส่งไปข้างนอกข้างนา บังคับบัญชาไม่ให้มันออกอย่างนั้นไม่มี จ่ออยู่จุดเดียวนี้ ความรู้เด่นอยู่นั้น ธรรมะก็เสริมเข้าไปๆ กล่อมลงไปๆ แน่วเลย เวลามันลงเต็มที่แล้วเรียกว่าพึ่งตัวเองได้แล้วก็ไม่ผิด เสียงธรรมะท่านจะอยู่เพียงสูงๆ เผินๆ ผิวๆ เผินๆ อยู่ข้างบน นี่คือจิตได้ที่พึ่งแล้ว เป็นตัวของตัวได้แล้วในขณะฟัง จิตลงแน่วแล้ว เสียงธรรมนี่จะแว้วๆ อยู่สูงๆ จิตลงแล้ว ช่วยตัวเองได้แล้ว จิตที่ยังไม่ได้อย่างนั้นมันจะจ่ออยู่นี้ก็ค่อยกล่อมลงๆ สงบๆ นี่การฟังเทศน์ทางภาคปฏิบัติ
พอพูดอย่างนี้เราก็ย้อนถึงโยมแม่เรา โยมมารดาเรา ไม่รู้ภาษีภาษาอะไร ตั้งแต่หนังสือก็ไม่ได้นะโยมแม่เรา ไม่ได้หนังสือสักตัว คนเฒ่าคนแก่มีหนังสือที่ไหนไปเรียนพอจะรู้ เวลาเอามาบวชแล้วเราเทศน์ก็เทศน์ภาคปฏิบัติ โยมแม่ก็เคยฟังทางภาคปริยัติมาแล้วมากต่อมาก เพราะโยมแม่ชอบอรรถธรรมมาแต่ไหนแต่ไร ฟังธรรมนี่ฟังมาก ทีนี้เวลาเราเอามาบวชแล้วเราก็เทศน์ธรรมะภาคปฏิบัติ โยมแม่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ครั้นฟังไปๆ จิตสงบได้ สงบได้ๆ ต่อไปสงบได้อย่างรวดเร็ว เวลาภาวนาธรรมดานี้บังคับบัญชาจิตให้สงบ บางทีนั่งจนหลังจะหักมันก็ไม่ลง มันฟัดมันเหวี่ยงกันอยู่ระหว่างอารมณ์กับใจมันไม่ยอมลงให้ พอมาฟังเทศน์แล้วมันค่อยกล่อมกันลง จิตรู้อยู่นั้น ธรรมะสัมผัสสัมพันธ์ตลอดเวลาๆ จิตก็คล้อยตามๆ แล้วลง นี่โยมแม่พูดเอง
เรียกว่าแม่ลงลูกก็คือโยมแม่ของเรา ลงจริงๆ ลงโดยหลักธรรมชาติ ไม่ทราบว่าเราเรียนมามากน้อยเพียงไร ทราบแต่เพียงว่าเป็นมหา เวลาออกปฏิบัติความลึกตื้นหนาบางแห่งจิตใจของเรานี้เราไม่เคยเล่าให้โยมแม่ฟัง ตั้งแต่การบวชไปจนกระทั่งถึงออกปฏิบัติ กลับมาเป็นอาจารย์สอนโยมแม่ เราไม่เคยเล่าเรื่องความเป็นมาของเราให้โยมแม่ฟังเลย ไม่มี เป็นเหมือนคนทั่วๆ ไป ที่จะเล่าในฐานะแม่กับลูกนี้ไม่เคยมี ถ้าเข้าไปก็พูด มีแขกมีคนที่จะเข้าไปเทศนาว่าการแล้วเข้าไปก็เทศน์ จบแล้วก็ออกมา ก็มีท่านปัญญาเป็นผู้ตามอัดเทปไว้
โยมแม่ครั้นฟังไปฟังมาจิตรวมละซี รวมเข้าๆ ต่อไปเลยฟังเทศน์พอเริ่มเทศน์นี้จิตจ่อเท่านั้นลงเลยๆ ไม่ต้องได้บังคับ ไม่เหมือนนั่งภาวนาลำพัง บังคับแทบเป็นแทบตายก็ไม่ได้เรื่อง บางทีมันต่อสู้เราเสียจนนั่งหลังจะหักก็ไม่ได้ผลอะไรเลย แต่ฟังเทศน์นี้พอหนักเข้าๆ ไม่เว้นแต่ละครั้งเลยที่จิตจะลงไม่ได้ ไม่มี ทุกครั้งเทศน์ พอเริ่มเทศน์จิตเริ่มจ่อนี้ ธรรมะก็กล่อมลงไปๆ ก็แน่วเลยๆ นี่โยมแม่พูดเอง เราไปเทศน์แต่ก่อนคนไม่ค่อยมาก ถ้ามีแขกคนมา ถ้ามีฝ่ายผู้หญิงมาก เราก็ยกผลประโยชน์ให้ฝ่ายผู้หญิงเสีย ผู้ชายมาด้วยกันก็ให้ผู้ชายตามเราเข้าไป ไปฟังเทศน์ที่ครัว ซึ่งมีผู้หญิงอยู่นั้น ทั้งฝ่ายโยมแม่ก็เป็นนักบวชอยู่นั้นด้วย แขกคนที่มาเขาไปพักที่ครัวก็ไปเทศน์ที่นั่นๆ เอาโยมแม่ฟังเทศน์มาตลอด
ที่ได้ฟังประจำเลยก็คือเทศน์ให้เพาพงาฟัง อันนี้เทศน์ฟังเป็นประจำจนติด ว่าอย่างนั้นนะ ถ้าวันไหนเราไม่ได้เข้าไปเทศน์วันนั้นเสียดายตลอดเลย ว่าอย่างนั้น มันเป็นอยู่ในจิต ทั้งๆ ที่ทราบแล้วว่าเราจะไม่เข้ามา เช่นจะประชุมพระบ้าง หรือมีธุระจำเป็นไม่ได้มาในระยะนั้นบ้างเราก็บอกล่วงหน้าเอาไว้ แม้ทราบแล้วก็ยังเสียดายอยากให้มาตลอดเวลา คือถ้าไม่ได้มาจิตมันดิ้นมันดีด ภาวนาไม่ค่อยดี ถ้าไปแล้วฟังเทศน์นี้ลงทุกครั้ง ตอนที่หนักมากเข้าไปในผลประโยชน์ที่ได้มากก็คือเทศน์สอนเพาพงา อันนี้เราไปเทศน์ทุกคืนๆ จนได้หนังสือมาสองเล่มหนาเสียด้วย ศาสนาอยู่ที่ไหน และธรรมะชุดเตรียมพร้อม นี่สองเล่ม
เทศน์ทุกคืนๆ โยมแม่ไปฟังทุกคืน ได้ผลทุกคืน ทีนี้เวลาทางนี้จะกลับไปนี้ก็บอกขอไว้เลย นี่หากว่าไม่มีแขกมีคนมาก็ขอนิมนต์อาจารย์ วันว่างขอนิมนต์มาเทศน์อบรมแม่บ้าง เพราะการฟังเทศน์นี้สะดวกมากต่อจิตใจที่ฟังแล้วรวมสงบลงๆ ทุกครั้ง ไม่มีพลาดเลย ไม่ได้เหมือนที่เราภาวนาอยู่โดยลำพังตนเอง แล้วดีดดิ้นมันไม่ค่อยลง แต่พอฟังเทศน์นี้ไม่ต้องบังคับ พอจิตจ่อลงไปสติตั้งลงนั้น เทศน์นี่จะกล่อมลงๆ ลงเองๆ สุดท้ายเรียกว่าไม่มีพลาดเลย กัณฑ์ไหนก็กัณฑ์นั้นรวมได้ทุกกัณฑ์
เพราะฉะนั้นเวลาไม่มีแขกมีคน อาจารย์ว่างเมื่อไรก็ขอนิมนต์อาจารย์เข้ามาเทศน์ให้แม่ฟังบ้าง พอเป็นเครื่องบำรุงจิตใจ แม่ได้ผลทุกวันๆ นี่ลงอย่างนี้ จากนั้นมาแล้วก็พูดเองนะ โดยที่โยมแม่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่ากรรมฐานเป็นอย่างไร ธรรมะปฏิบัติเป็นอย่างไร แต่โยมแม่เคยฟังทางด้านปริยัติมามากต่อมากแล้ว พระท่านเทศน์ให้ฟัง ที่นี่มาฟังภาคปฏิบัติก็คือเราเองเป็นคนไปเทศน์ โยมแม่เข้าใจได้เองนะ เวลาไม่มีแขกมีคนนี้ขอนิมนต์อาจารย์มาเทศน์สอนแม่ คือตอนแก่มานี้เรียกอาจารย์นะ แต่ก่อนเรียกมหา เพราะทิฐิมันถือด้วยกัน ทางนั้นก็ถือสิทธิ์ศิษย์เป็นแม่ ทางนี้ก็ถือสิทธิ์เป็นลูก ลูกกับแม่ก็ไม่ลงกัน เรียกมหาเท่านั้น ครั้นต่อมาก็เรียกอาจารย์ เดี๋ยวนี้ขึ้นอาจารย์เต็มปากแล้ว
อาจารย์ว่างเมื่อไรแล้วขอนิมนต์มาเทศน์สอนแม่บ้าง แม่ได้ผลทุกคืนนะ จากนั้นก็บอก เทศน์อาจารย์พูดตรงๆ เลยนะ เทศน์อาจารย์ไม่ได้เหมือนใครเทศน์ แม่ฟังมาทางด้านปริยัติ ฟังเท่าไรแม่ก็ไม่ได้เห็นผลประจักษ์ในจิตใจเหมือนอาจารย์เทศน์นี้เลย ไม่ได้ว่าเทศน์ภาคปฏิบัติปฏิแบ็ดอะไรละ ไม่ว่า แต่ไม่เหมือนอาจารย์เทศน์นี้เลย อาจารย์เทศน์นี้ลงได้ทุกคืนๆ แน่วแน่ๆ ทุกคืนเลย ต่างกันอย่างนี้ เทศน์อาจารย์จึงต่างใครอยู่มาก ว่าอย่างนั้น พูดเองนะ
เทศน์ไปๆ ไปจิตมันก็ลงของมันเอง เราก็ยอมรับแล้ว โยมแม่จึงลงเกี่ยวกับเรื่องการเทศนาว่าการ เทศน์บางทีมีธรรมะที่ควรจะสูงมันก็ไปของมันเอง พุ่งๆๆ ไปเลย โยมแม่ติด ติดเทศน์ของลูก ออกปากพูดเลยว่ายอมรับว่าเทศน์อาจารย์ไม่เหมือนใคร เทศน์จี้เข้าไปในจิต เทศน์อะไรตีเข้ามาในนั้นๆ จนกระทั่งจิตรวมได้ๆ ทุกครั้ง เทศน์ผู้อื่นท่านเทศน์ ท่านไม่ได้เทศน์อย่างนี้ ท่านเทศน์ไปนู้นๆ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ นิทานนั้นนิทานนี้ เราก็ฟังเพลินไปข้างนอกเสีย ไม่ได้เข้ามาข้างใน แต่อาจารย์เทศน์นี้เทศน์ตีเข้ามาๆ ข้างใน จิตมันก็ลง โยมแม่พูดเอง
จึงบอกชัดๆ เลยที่นี่ เทศน์อาจารย์นี้แม่ยอมรับทุกอย่างเลย ลง จิตลงจริงๆ เวลานานเข้าก็บอกว่าแม่นี้หูสูงแล้วนะ คือถ้าไม่ใช่เทศน์อาจารย์มันไม่ลงนะจิต ถ้าเทศน์อาจารย์มันลงได้ง่าย หูสูงแล้วนะ ทางนี้แม่กับลูกก็แหย่กันไป ระวังนะหูสูงเดี๋ยวเป็นหูหมานะ เราว่า ทางนั้นก็แว้ดขึ้นมาเลยมันจะเป็นหูหมาอย่างไร หูคน มันก็เป็นตรงที่สูงๆ นั้นแหละ ยอมรับ นี่ลง โยมแม่ลงจริงๆ บางทีเราพูดถึงธรรมะขั้นสูงๆ เอาจนเต็มเหนี่ยวตามทางของสายธรรมที่เทศน์ไป บางทีมันก็มาเกี่ยวข้องกับตัวเอง ถึงกาลเวลาที่จะดับจะเป็นจะไป หรือจะเป็นจะตายอะไรมันก็ว่าของมันไปตามเรื่อง ด้วยหลักความเป็นจริงของธรรม
โยมแม่ร้องไห้เลยเชียว โอ๊ย แม่ไม่อยากได้ยินเลยอย่างนั้น ไม่อยากได้ยินมันจะต้องได้ยิน ผู้ฟังอยู่เวลานี้ไม่อยากได้ยินก็ผู้จะเป็นจะตายด้วยกันทุกคน อย่าไปหวั่นไหวภายนอกซิ เรื่องความเป็นความตายเป็นหินลับปัญญา ให้พินิจพิจารณาให้มันคล่องแคล่วในเรื่องความตายแล้วจะไม่กลัวตาย เราก็บอก อย่างที่พูดนี้เราไม่ได้พูดด้วยความกล้าความกลัวตายอะไรเลย เราพูดตามหลักความจริง ก็ต้องพูดอย่างนี้ แม่จะมาเสียใจทำไม เราก็พูดอย่างนั้น โอ๋ย แม่ไม่อยากได้ยินเลย คือมันเหมือนเป็นรูปเป็นภาพ เราเข้าที่ปั๊บแล้วเหมือนว่าดีดผึงไปเลย หายเงียบไปเลย ทีนี้มันหมดหวัง เสียอกเสียใจ ไม่อยากให้ตายความหมาย เวลาพูดมีนี่นะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นความตาย ถึงกาลมันจะไป มันเป็นอย่างไรๆในจิตนี้บอกตรงๆ บอกเลย พุ่งไปเลย
นี่ละโยมแม่ร้องไห้ แม่ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากได้ยินก็ให้ได้ยินเสียนะ โยมแม่เองก็เป็นอย่างนี้ละเรื่องความเป็นความตาย สำคัญที่จิตมันคล่องตัวหรือไม่คล่องตัว อบรมดีหรือไม่ดีเท่านั้น ถ้าอบรมดีแล้วก็เป็นอย่างที่ว่านี่ ไม่มีอารมณ์อะไร ความเป็นกับความตายไม่มีน้ำหนักยิ่งหย่อนกว่ากัน มีเท่ากัน เพราะเป็นความจริงด้วยกัน เป็นสมมุติด้วยกัน ปล่อยสมมุติด้วยกัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ จิต เวลามันได้พอทุกอย่างแล้วมันปล่อยหมดจริงๆ ไม่ได้มีอะไรเหลือ ขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นมันถึงจี้เข้าไปหากิเลส กิเลสนั้นแลเป็นตัวสมมุติอันใหญ่หลวง แก้กิเลสก็คือแก้สมมุติอยู่ภายในจิตใจของเรา พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วอะไรที่จะมาเป็นภัยต่อจิตใจ ให้ได้พินิจพิจารณาแก้ไขดัดแปลงกันอีก ไม่มีเลย นั่น คำว่าไม่มีก็คือกิเลสไม่มีก็สมมุติไม่มี ไม่มีอะไรเข้าถึงใจได้เลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีทุกข์ ไม่มีอะไรกวนใจ ว่างอยู่ตลอดเวลาโดยหลักธรรมชาติ ยืนอยู่ก็ว่างภายในใจของท่าน เดินอยู่ก็ว่างภายในจิตใจของท่าน ว่างไม่ใช่ว่างธรรมดา ว่างแปลกประหลาดอัศจรรย์ ว่างนอกสมมุติไปเลย เป็นอย่างนั้น
จะอยู่หลับนอนอะไรจ้าอยู่อย่างนั้นตลอด จิตเมื่อได้เข้าคงเส้นคงวาแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คำว่านิพพานเที่ยงก็คือจิตนี้เที่ยงแล้ว หมดสมมุติก็เที่ยงเท่านั้นเอง ที่เอนไปเอนมาก็อยู่ในกฎอนิจฺจํ กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ก็คือสมมุติ เมื่อปล่อยนี้หมดโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีสมมุติ จิตก็เป็นวิมุตติไปเลย จึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตนั้นหมดสมมุติเข้าไปก่อกวนแล้ว ก็เป็นนิพพานเที่ยง จิตก็เที่ยงขึ้นมา หรือเป็นธรรมธาตุขึ้นมาทันทีทันใด นี่ละการอบรมจิตใจตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติ หายสงสัย ปล่อยวางโดยประการทั้งปวง ในบรรดาสมมุติในสามแดนโลกธาตุนี้หมดโดยสิ้นเชิงภายในจิตใจ
เมื่อหมดสมมุตินี้แล้วก็หมดทุกข์ไปโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกันในหัวใจท่าน เรายอมรับอยู่เพียงธาตุขันธ์เท่านั้น คือธาตุขันธ์นี้เป็นสมมุติเหมือนกันกับโลกทั่วๆ ไป เขาเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอย่างไรฉันใด ท่านก็เป็นแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าไม่ซึมซาบเข้าไปถึงใจท่าน เป็นอยู่เพียงขันธ์ของมันเท่านั้น ไม่เหมือนจิตที่มีกิเลสอยู่ พอเจ็บปวดแสบร้อนร่างกาย จิตเดือดร้อนกว่าเพื่อนแล้ว คืออารมณ์นี้เข้าสู่ใจ ใจเกิดความทุกข์มากยิ่งกว่าร่างกายเสียอีก ทีนี้เมื่อจิตหมดสมมุติแล้วร่างกายจะหนักมากขนาดไหนมันก็รู้ชัดๆ อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะเข้าถึงใจได้ บังคับก็ไม่ได้ เป็นอฐานะ เป็นหลักธรรมชาติแล้ว
ท่านก็ยอมรับ ทุกข์อย่างนี้ท่านก็ยอมรับ เป็นแต่เพียงว่าต่างกันที่ไม่ซึมซาบถึงจิตท่าน จิตท่านไม่ไหวไปตาม มีเหมือนกัน เจ็บท้องปวดหัวตัวร้อน หิวกระหาย อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี นี่วงสมมุติเขามีเรื่องธาตุขันธ์ก็มี เอ้อ อันนั้นดีนะ อันนี้ดีนะ มีอยู่วงขันธ์เท่านั้น ว่าดีก็ดีในวงขันธ์ อันนี้เราชอบอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ว่าในวงขันธ์ ไม่ได้เข้าไปถึงจิต ต่างกันที่ตรงนั้น มันเป็นหลักธรรมชาติ นั้นเรียกว่าเป็นอฐานะแล้ว ให้เป็นอย่างอื่นใดไม่ได้ สมมุติจะเข้าไปถึงไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าวิมุตติได้อย่างไร พ้นจากสมมุติแล้ว
เวลาได้ปฏิบัติให้เต็มเม็ดหน่วยแล้วหมด คือหมดเรื่องความห่วงอดีต อนาคต ปัจจุบัน หมดโดยสิ้นเชิง เพราะนี้เป็นสมมุติทั้งหมด ธรรมชาตินั้นเลยสมมุตินี้แล้ว จะเอาอะไรมาเป็นอารมณ์ของใจ ไม่มี อยู่ไปกินไปก็เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เท่านั้นเอง ถึงกาลเวลาที่จะไปมันก็รู้เอง เพราะธรรมชาตินั้นรู้อยู่แล้ว ถึงกาลเวลาที่จะแก้ไขดัดแปลงไม่ได้แล้วก็ปล่อยเท่านั้น พอปล่อยพับเรียกว่านิพพาน ท่านนิพพาน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์นิพพาน ก็คือปล่อย ดับสนิทเลยที่นี่ ธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติไม่มี แล้วเป็นนิพพานล้วนๆ
นั่นผลแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นพื้นฐานแห่งความจริงล้วนๆ และเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย กาลนี้เป็นอย่างนั้น กาลนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่มี ไม่ว่าผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชั่ว ปฏิบัติชั่วก็เป็น อกาลิโก ให้ผลชั่วได้ตลอดเวลา ปฏิบัติดีทำตัวดีก็เป็นผลดีได้ตลอดเวลา ตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วอย่างนั้น เราอย่าไปปีนเกลียวนะ พระพุทธเจ้านิพพานแล้วเท่านั้นปีเท่านี้ปี อันนั้นเป็นเรื่องมืดกับแจ้ง เป็นเรื่องธาตุขันธ์สลายลงไป จิตท่านผ่านเข้าถึงนิพพาน ถ้าผู้ยังมีกิเลสอยู่ปฏิบัติตามก็เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลานั้นแหละ การปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นั้นเรียกว่าเราเดินตามเสด็จพระพุทธเจ้า
เราอย่าไปคิดว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลา ศาสนาล่วงเท่านั้นเท่านี้ อย่าไปคิดไกล ล่วงไปเท่านั้นปีเท่านี้ปี มรรคผลนิพพานจะลดลงไป หรือมรรคผลนิพพานไม่มีๆ ไปคิดอะไร มันไกลอยู่ที่ไหน ลมๆ แล้งๆ คิดมาเป็นอุปสรรคกีดขวางทางเดินของตัวเองเพื่อความดีงามทำไม นั่นเอาตรงนี้ซิ ปัจจุบันนี้เรายังไม่ตาย จะปีใดเดือนใดก็รู้กันอยู่เวลานี้ เราทำเสียเวลายังมีชีวิตอยู่นี้ ทำเมื่อไรก็เป็นเมื่อนั้นๆ แล้วบรรลุได้ถึงนิพพานได้ ยังไม่ถึงปีนั้นปีนี้ที่ว่ามรรคผลนิพพานจะหมด คือระยะนี้ยังไม่หมด แต่ถึงนั้นๆ จะหมด เอาเสียเวลายังมีชีวิตอยู่นี้ ถ้าหากว่าตายแล้วถึงนิพพานจะอยู่ข้างหน้ามันก็ไม่ได้ ก็คนตายแล้วไปบรรลุมรรคผลนิพพานได้อย่างไร คนเป็นนั่นเองปฏิบัติธรรมบรรลุมรรคผลนิพพาน
ท่านไม่ได้เอามรรคผลนิพพานไปไว้กับมืดกับแจ้ง กับปีนั้นปีนี้นะ ท่านเอาไว้กับคนผู้ปฏิบัติธรรม ใครปฏิบัติธรรมก็ผู้นั้นละเป็นผู้เทิดทูน เป็นผู้จะทรงสมบัติอันล้นค่า เข้าสู่ใจของตัวเอง อยู่ที่ตรงนี้นะ ไม่อยู่ที่มืดกับแจ้ง ไม่อยู่ที่ปีนั้นปีนี้ พระพุทธเจ้านิพพานล่วงไปเท่านั้นปีเท่านี้เดือน มันมืดกับแจ้งอยู่นู่นฟากที่ไหน ลมๆ แล้งๆ ไปยุ่งหามันทำไม มาเป็นการกีดขวางจิตใจ เอาตอนนี้ซิ ตอนมีชีวิตอยู่นี้ โล่งอยู่นี้น่ะ ธรรมก็อยู่ คนมีชีวิต คนตายแล้วไม่มีธรรม จะเอาอะไรมาปฏิบัติ เอาตรงที่มีชีวิตอยู่นี้ ตายแล้วไม่สงสัยละความดีมีอยู่กับตัวเองตายเมื่อไรก็ได้ มีชีวิตอยู่ก็ได้ ไม่มีอะไรหนักอกหนักใจ ขอให้มีความดีงาม
เช่นอย่างความตายนี้ ผู้ที่ทำบาปกล้ามากเท่าไรผู้นั้นร้อนมากนะ คิดถึงเรื่องความเป็นความตายไม่อยากคิด คือกลัวก็กลัวมาก วิตกวิจารณ์กับความชั่วของตัวเองที่ทำมาแล้ว ตายแล้วมันจะไปจมอย่างนั้นๆ ไม่อยากคิด แต่การทำชั่วไม่ถอย คนนี้คนจะจม ผู้ที่รู้ว่าเรายังมีความดีน้อย กลัวความตายๆ ให้สร้างความดีให้มาก ความตายนั้นเลยเป็นหินลับปัญญา ระลึกถึงความตายเท่าไร เช่น มรณัสสติๆ ยิ่งเป็นการลับสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราให้แก่กล้าสามารถขึ้นไป สุดท้ายความตายกับเราเป็นเพื่อนกันเลย ไม่ได้กลัวตาย
เมื่อมันมีอยู่ภายในจิตใจตายเมื่อไรก็ตายซี หัวใจยังมีเต็มอยู่ด้วยความดีงามทั้งหลาย อยู่สบายนะ แต่ก่อนมันกลัวตาย ครั้นบำเพ็ญความดีเข้าๆ ความกลัวตายเบาลงๆ สุดท้าย ไม่กลัวตาย ยิ่งพิจารณาความตายแล้วเป็นการกระตุ้นเตือนใจไม่ให้ประมาทเข้าโดยลำดับได้เป็นอย่างดี ให้คิดอย่างนั้นนะ เรื่องความตายมันตายด้วยกันนั่นแหละ ให้เหนือคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มี ใครอย่าเก่งกล้าสามารถอวดรู้อวดฉลาดยิ่งกว่าศาสดานะ ไม่ว่าบาปว่าบุญว่านรกสวรรค์ทรงแสดงไว้โดยถูกต้องทุกกระเบียดเลย ไม่มีผิดมีพลาด ใครฝืนก็ฝืนตัวเอง ทำลายตัวเอง
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำทุกอย่าง เหมือนกันทุกพระองค์ ว่าบาปมีบุญมี นรกมี สวรรค์มี มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ใช่มีมาเดี๋ยวนี้ เป็นแต่เพียงว่าไม่มีผู้ที่คุ้ยเขี่ยขุดค้นพอจะเห็นบาปเห็นบุญเห็นนรกสวรรค์เท่านั้น มันจึงงมเงาเกาหมัดไปว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ทั้งๆ ที่มันสร้างบาปหาบกรรมความชั่วช้าลามกอยู่เต็มตัว ผู้สร้างบุญก็สร้าง ความสงสัยในนรก เอา สงสัย แต่มีความเชื่อในบุญในกรรมของตัวเอง ทำความดีไปก็เป็นความดีตลอดไป สุดท้ายก็ลบความสงสัยบาปบุญนรกสวรรค์ได้หมด แน่ใจในหัวใจตนเอง ภาคภูมิใจ พากันตั้งใจปฏิบัติ
กิเลสมันหนาเท่าไรมันยิ่งอยากให้พาทำตั้งแต่ความชั่วนะ เพราะกิเลสเป็นตัวชั่ว ติดอยู่ในหัวใจใครก็อยากทำแต่ชั่ว ความดีไม่อยากทำ ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญธรรมเข้าไปธรรมติดเข้าไปในหัวใจ นี่เป็นสาเหตุให้อยากทำความดีเข้าไป ทำความดีมากเท่าไรความดียิ่งมีกำลังยิ่งอยากทำตั้งแต่ความดีๆ ทีนี้บาปสุดท้ายไม่ทำ เป็นตายก็ไม่ทำ นั่น เวลาธรรมมีหนักเข้าภายในจิตใจแล้วไม่ทำบาป ตายก็ตายบอกไม่ทำ นั่น นี่อำนาจของธรรมเป็นอย่างนั้น แล้วคำว่ากลัวตายๆ ไม่กลัว ตายนั้นเป็นหินลับปัญญาแล้ว เจริญความตายทั้งวันยิ่งเป็นความเฉลียวฉลาด ยิ่งเพิ่มพูนความรู้เนื้อรู้ตัวเป็นลำดับ สร้างแต่ความดีงามก่อนตาย นี่ละคนที่มีความดี
ใครอย่าฝืนนะฝืนธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมที่สอนไว้นี้เรียกว่าถูกต้องเรียบร้อยแล้ว สมบูรณ์แบบ ถ้าเราเทียบก็เหมือนแปลนบ้านแปลนเรือนเขา เขานำมาปลูกบ้านปลูกเรือนกี่หลังแล้ว เรียบร้อยแล้ว นี่โลกเขาทำเขาก็เป็นที่แน่นอนตามสมมุติของเขา แปลนเขากะทำเรียบร้อยแล้ว จะเอากี่ห้องกี่หับผู้สร้างสร้างตามแปลนมันก็ถูกตามนั้น เป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา อันนี้ยิ่งเป็นความรู้ของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วด้วย จะหาความผิดพลาดมาจากไหน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าจะธรรมขั้นใดก็ตามเป็นความชอบธรรมสมบูรณ์แบบด้วยกันหมดเลย เหมือนแบบแปลนบ้านนั่นแหละ ผู้ปฏิบัติก็จะเป็นไปตามนั้นๆ
ไม่มีใครเกินศาสดา จึงว่าโลกวิทูรู้แจ้งโลกตลอดทั่วถึงไปหมด ไม่มีใครเกินศาสดา สมควรเป็นครูเอกสอนโลก ท่านจึงมาสอนโลกทั้งเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สามแดนโลกธาตุนี้ ศาสดาองค์เอกเป็นผู้สอนได้ทั้งนั้น ไม่มีใครสอนศาสดาได้ แต่ศาสดาสอนโลกทั้งสามได้ กามโลก รูปโลก อรูปโลก สอนได้ทั้งนั้น นี่ความแม่นยำ ความเฉลียวฉลาด ความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตใจท่านผู้สิ้นกิเลส สมควรเป็นศาสดาแล้ว สอนโลกให้เต็มความเป็นศาสดา ไม่มีอะไรผิดพลาด ขอให้เป็นที่ตายใจ เราอย่าไปงมเงาเกาหมัด
ท่านบอกว่าบาปมีก็จะไปสงสัยบาป มันจะไปคว้าเอาบาปนะนั่น บุญมีมันก็จะไม่สนใจทำบุญ มันจะไม่เชื่อบุญ บาปมี นรกสวรรค์มี มันจะเหมาเอาตั้งแต่เรื่องบาปเรื่องกรรมเข้ามาเผาตัวเองนะ ไม่เชื่ออย่างพระพุทธเจ้าแล้วไปเชื่อใคร เชื่อคนพาลสันดานหยาบเห็นไหม มันพาใครไปสวรรค์ นิพพาน มันพาตั้งแต่ลงนรกหมกไหม้ทั้งนั้นละ ทั้งเป็นทั้งตายเดือดร้อนกันทั้งบ้านทั้งเมือง มีแต่พวกกิเลสตัณหาอันเดียวกัน เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันมาตลอด พระพุทธเจ้าไปเผาไหม้ใคร ศาสดาองค์เอกเคยไปเผาใครให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนมีที่ไหน ไม่มี สาวกทั้งหลายท่านไปทำความเสียหายแก่ผู้ใด
นี่เป็นผู้ควรอย่างยิ่งแล้วฝากเป็นฝากตาย ควรเป็นสรณะของพวกเราแล้วว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ได้เต็มหัวใจแล้ว พากันทุ่มลงไปจุดนี้นะ จุดนี้เป็นจุดที่ตายใจได้แล้ว จุดเหล่านั้นเป็นจุดที่ไม่แน่ใจ เผลอไปตามมันเมื่อไรจมได้ๆ กิเลสหลอกเร็วที่สุดนะ เรื่องของกิเลสอยู่ที่หัวใจ เวลาธรรมแก่กล้าเข้ากิเลสก็มุดมอดลงไปๆ ธรรมเต็มที่แล้วกิเลสไม่มี ไม่มีอะไรมาให้สงสัย บาปบุญนรกสวรรค์จ้าอยู่ในหัวใจ พอหมดแล้ว ทีนี้ก็ย้อนไปเห็น อ๋อ นี่มีกิเลสเท่านั้นมาทำการกีดขวางทางเดิน ให้ลำบากลำบน ให้สงสัยสนเท่ห์ว่ามีหรือไม่มี เช่นบาปมีหรือไม่มี บุญมีหรือไม่มี มีแต่กิเลสหลอกทั้งนั้น
พอเปิดทางหมดแล้วกิเลสตายไปหมดแล้วเอาอะไรมาหลอก มันจ้าอยู่ที่หัวใจ สงสัยอะไร มันรู้กันอยู่นี่สงสัยหาอะไร นั่นให้มันชัดเจนอย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ การสร้างความดีให้สร้าง อย่ากลัวหมดกลัวยัง อย่าตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินเหตุเกินผล กิเลสจะเอาไปกินหมด เวลาตายแล้วจะเหลือแต่ร่างกระดูก อย่างมากก็ กุสลา ธมฺมา เอาพระมา กุสลา เจ้าของตายอยู่ท่ามกลางกองเงินกองทองเท่าภูเขา ไปด้วยความล่มจม สมบัติทั้งหลายกองพะเนินเทินทึก เวลายังมีชีวิตอยู่หึงหวง ไม่อยากจะเสียสละเพื่อเป็นบุญเป็นกุศลแก่จิตใจ ฝากเป็นฝากตายกับธรรมนี้เลย แต่ไปบืนอยู่กับสมบัติเงินทองข้าวของ ตายแล้วอย่างน้อยมาเป็นเปรตเฝ้าสมบัติถ้าบาปยังไม่มาก ถ้าบาปมากจมเลย มันไม่ได้สนใจกับเงินทองข้าวของอะไรนะ เพราะฉะนั้นให้ทำ
ไม่มีใครเกินศาสดาเรื่องความแม่นยำทุกอย่าง สมควรเป็นศาสดาสอนโลกแล้วจึงมาสอนนี่นะ ไม่สมควรเป็นศาสดาได้อย่างไร ทำความปรารถนาเฉพาะพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานี้ ๔ อสงไขย แสนมหากัป เป็นศาสดาเต็มองค์ มาสอนโลกไม่มีผิดพลาดเลย มีอยู่ ๓ ขั้น องค์หนึ่ง ๑๖ อสงไขย แสนมหากัป ๘ อสงไขย แสนมหากัป ๔ อสงไขย แสนมหากัป เป็นศาสดาสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกัน เป็นแต่การที่จะนำสัตว์โลกมีกำลังวังชา มีอำนาจวาสนาต่างกัน ผู้ที่ ๑๖ อสงไขยนำบริษัทบริวารสัตว์โลกนี้ได้มาก ให้พ้นจากทุกข์ได้มาก รองกันมาเป็นลำดับ แต่ความบริสุทธิ์ของใจที่พูดถูกต้องสอนถูกต้องแม่นยำนี้เหมือนกันหมด ให้พากันจำเอานะ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|