ความหลุดพ้นอยู่กับสติปัญญาแก้กิเลส
วันที่ 11 เมษายน 2549 เวลา 13:00 น. ความยาว 76.31 นาที
สถานที่ : วัดสันติธรรมาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส
ณ วัดสันติธรรมาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

เมื่อบ่ายวันที่ ๑๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ความหลุดพ้นอยู่กับสติปัญญาแก้กิเลส

 

          วัดนี้ต่อไปก็จะเป็นหลักเกณฑ์ได้ดี หลักเกณฑ์ก็คือหลักธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมมีความเข้มงวดกวดขัน และธรรมก็มีขึ้นภายในพระในเณร มีขึ้นภายในวัด ที่นี่สงบงบเงียบดี ไม่ค่อยมีอะไร สงบงบเงียบดี คือวัดที่เป็นหลักขึ้นอยู่กับเจ้าของวัด ขึ้นอยู่กับพระเจ้าพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตัวดี สุปฏิปนฺโน ปฏิบัติดีตามหลักธรรมหลักวินัย อุชุ ตรงไปตรงมาตามแถวแนวของธรรมของวินัย ญาย ปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งมรรคผลนิพพานจริงๆ ไม่มีอามิสสินจ้างรางวัลอะไรเข้ามาก่อกวน สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติเรียบอยู่สม่ำเสมอ น่ากราบไหว้บูชา ตัวเองก็อบอุ่นในตัวเอง ถ้ายังไม่มีอะไรก่อนก็ตาม ขอให้มีศีลบริสุทธิ์ ความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์นี้เย็น อาศัยเพียงศีลเท่านี้จิตใจก็กล้าหาญชาญชัย

เราจะเห็นได้ในเวลาไปปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าในเขา ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ด้วยเนื้อ เสือต่างๆที่เป็นภัยเป็นอันตราย มีศีลเท่านั้นกล้าหาญชาญชัย คือมีความอบอุ่นในตัวเอง สัตว์เหล่านั้นเขาไม่บริสุทธิ์ เช่นอย่างเสือเขาไม่บริสุทธิ์ เขาไม่มีธรรม เราเป็นผู้มีธรรม ธรรมนี้เป็นความสว่างไสว เป็นความร่มเย็นแก่โลก ธรรมมีอยู่ในเรา เรามีความร่มเย็นเป็นสุข สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเขาไม่มีธรรมจึงไม่มีความสะทกสะท้านต่อสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีธรรม แม้จะเป็นอันตรายก็ตาม อยู่ด้วยความอบอุ่น ด้วยศีลเป็นภาคพื้น นี้หมายถึงท่านผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อรู้แจ้งแทงทะลุตามทางของศาสดาจริงๆ ท่านปฏิบัติอย่างนั้น

ศีลเป็นธรรมที่พึ่งเป็นพึ่งตายได้ ในระยะที่ยังไม่มีธรรมเป็นพื้นฐานแน่นหนามั่นคง ต้องอาศัยศีลเป็นพื้นฐาน ฝากชีวิตจิตใจกับศีลของตน ว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้ว ถึงจะเป็นจะตายเวลาใดคนบุญคนมีธรรมในใจ ต้องไปตามสายบุญของตน สายธรรมของตน สายบุญสายธรรมนี้ย่อมพาไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ไม่ไปทางต่ำ แม้จะตายด้วยเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม ธรรมนี้ไม่ตายอยู่ภายในหัวใจ ประคับประคองเจ้าของให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าธรรม เรียกว่าศีล

ส่วนหยาบท่านเรียกว่าศีล ความจริงก็คือธรรมส่วนหยาบนั้นแหละ อยู่ที่นั่นสบาย ศีลบริสุทธิ์แล้วอยู่ไหนสบายๆ ถ้ามีศีลด่างพร้อยจิตใจเดือดร้อน ระส่ำระสายนะ ถ้าศีลบริสุทธิ์แล้วอบอุ่นภายในจิตใจ จะเป็นจะตายก็ฝากไว้กับศีลกับธรรม ชีวิตจิตใจอยู่กับศีลกับธรรมอย่างเดียว มีความอบอุ่น สุดท้ายก็ไม่กลัวสิ่งภายนอกที่ว่าเป็นภัย มีเสือเป็นต้น อยู่ด้วยความอบอุ่น เกาะศีลเกาะธรรมมีความร่มเย็นเป็นสุข อยู่ในป่าในเขาอย่างนั้นท่านมีจิตตภาวนา สติธรรม ปัญญาธรรม ประคับประคองจิตใจ ไม่ให้พรากจากกัน อันตรายใดๆ ที่จิตมันมักจะแย็บออกไปหลอกเจ้าของ ว่าเสืออยู่ที่นั่น อันตรายอยู่ที่นี่จะระงับดับไป เพราะอารมณ์ของธรรมมีภายในใจครอบไว้หมด จิตใจก็ได้รับความสงบร่มเย็น

เมื่อเรามีธรรมภายในใจ เฉพาะผู้ที่ยังตั้งรากฐานไม่ได้ก็ถือคำบริกรรมเป็นสำคัญ เราจะบริกรรมคำใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยชอบ เพราะธรรมมีหลายประเภทที่ควรแก่จริตจิตใจของใครก็นำเข้ามากำกับใจเป็นคำบริกรรม เช่นพุทโธๆ เป็นต้น หรือธัมโม หรือสังโฆ หรือมรณัสสติ เราจะระลึกธรรมบทใดก็ตาม นั้นคือธรรมด้วยกัน มีคุณค่าเท่ากัน เมื่อจริตนิสัยชอบธรรมบทใดย่อมนำธรรมบทนั้นเข้ามากำกับรักษาใจ ใจเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาอยู่แล้วจะมีความสงบร่มเย็น อาจหาญชาญชัยอยู่ภายในจิตใจ ในท่ามกลางแห่งอันตรายทั้งหลายที่เบื้องต้นจิตมักวาดภาพหลอกตัวเอง ว่ามีอันตรายอยู่ที่นั่นที่นี่ มีเสือเป็นต้น แล้วภาพเหล่านั้นจะหายไปๆ มีตั้งแต่คำบริกรรมเด่นอยู่ภายในจิตใจ นี่รักษาจิตใจ

ใจเมื่อได้รักษาด้วยอรรถด้วยธรรม มีคำบริกรรมเป็นต้น โดยมีสติเป็นเครื่องกำกับอยู่แล้วจะค่อยสงบเย็นๆ เย็นไปเรื่อยๆ ต่อจากนั้นก็มีความกล้าหาญชาญชัยอยู่ในท่ามกลางแห่งภัยทั้งหลายที่เราเคยคิดไว้แต่ก่อนนั้นแหละ แต่ทีนี้เมื่อจิตคิดแต่คุณคือธรรมประจำใจแล้ว จิตก็เป็นคุณขึ้นมา เป็นธรรมขึ้นมา ความกลัวความหวาดเสียวทั้งหลายซึ่งเป็นกาฝากแฝงธรรมนั้นมันก็ค่อยกระจายลงไป กระจายลงไป ใจสง่างามขึ้นมา สง่างามขึ้นมา ความกลัวหายหมด คิดถึงเรื่องอะไรที่น่ากลัวมาแต่ก่อน ปัจจุบันที่จิตได้รับการบำรุงรักษาอยู่ด้วยธรรม โดยมีคำบริกรรมและสติเป็นพื้นฐานอยู่แล้วย่อมมีความสงบเย็น เย็นลงไปจนกระทั่งแน่นหนามั่นคง เกิดความกล้าหาญชาญชัยภายในใจดวงนั้นแหละ

เราเร่งเข้าไปเท่าไรจิตนี้ยิ่งสง่างามขึ้นไปโดยลำดับลำดา อยู่ในป่าในเขา แต่จิตมันสว่างไสวอยู่ในป่า สงบร่มเย็นอยู่ในป่า เพราะฉะนั้นท่านผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ท่านจึงชอบอยู่ในป่าในเขาอันเป็นที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญภาวนาได้ดี อยู่ในป่า ธรรมดาป่าทั้งหลายไม่ได้เหมือนป่ามนุษย์เรา ป่ามนุษย์นี้คือป่าวุ่นวาย เรื่องจิปาถะที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผากันนั้นเป็นอยู่กับป่ามนุษย์ทั้งนั้น ป่าไม้ภูเขาไม่มีเรื่องมีราว ท่านไปอาศัยอยู่ในป่าไม้ภูเขา ตามถ้ำเงื้อมผา เป็นที่สงัดบำเพ็ญธรรมได้ด้วยความสะดวกสบาย ไม่มีสิ่งกวนใจเหมือนป่ามนุษย์

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนพระทุกองค์ที่บวชมาในพุทธศาสนานี้ เว้นแต่องค์เดียวไม่ได้เลย รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถโว ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส เรียกว่าที่แจ้ง ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญภาวนาเพื่อละความชั่วได้เป็นอย่างดี ให้ท่านทั้งหลายอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่เป็นพระโอวาทที่สำคัญมากที่สุด ซึ่งพระพุทธเจ้าประทานให้พระทุกองค์ ไม่มีเว้น แม้อุปัชฌาย์จะไม่ชอบป่าชอบเขา ไม่ชอบภาวนา แต่การสอนสัทธิงวิหาริกผู้ไปบวชต้องสอนธรรมบทนี้ ไม่สอนไม่ได้ผิดหลักของอุปัชฌาย์ที่บวชกุลบุตร ต้องได้สอนธรรมนี้อยู่โดยดี

เพราะฉะนั้นธรรมนี้จึงเป็นธรรมจำเป็นตลอดมาถึงทุกวันนี้ ถึงใครจะนิยมชมชอบ ไม่นิยมก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของโลกของกิเลสของกาฝากแฝงธรรม แล้วคอยทำลายธรรม กำจัดมันเรื่อยๆ ด้วยการอยู่ในสถานที่ดังกล่าวนี้โดยความสงบงบเงียบ บำเพ็ญจิตใจของเราให้สง่างามอยู่ตลอดเวลา พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านอุบัติขึ้นในท่ามกลางแห่งป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี ท่านทรงบำเพ็ญได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในท่ามกลางป่า แล้วบรรดากุลบุตรทั้งหลายที่เข้าไปศึกษาอบรมกับท่าน ท่านก็ประทานพระโอวาทให้บำเพ็ญตนอยู่ในป่าในเขาเช่นเดียวกัน

องค์นั้นสำเร็จเป็นพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นี้เป็นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ รวมแล้วเป็น พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของโลกได้อย่างแน่นหนามั่นคงตลอดมา เพราะการอยู่ในป่าเป็นพื้นฐานของท่านนั่นแหละ เพราะฉะนั้นป่าจึงเป็นของสำคัญของผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อละกิเลส ป่าไม้ภูเขาไม่ได้เหมือนป่ามนุษย์มนา เป็นป่าที่วุ่นวาย มนุษย์มากเท่าไรยิ่งวุ่นวายส่ายแส่ ส่วนมากก็เอาไฟเผากัน ชิงดีชิงเด่น ไม่มีความดี แต่หามาพูดเฉยๆ ว่าชิงดีชิงเด่น มันชิงชั่วชิงความลามกจกเปรตกันนั้นแหละ จึงเอาไฟเผากัน

ถ้าชิงดีก็คือท่านผู้ไปปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในหลักธรรมหลักวินัย มีความขยันหมั่นเพียรในจิตตภาวนา ชำระกิเลสไปโดยลำดับ องค์ไหนมีความขยันหมั่นเพียรเท่าไรนี่เรียกว่าเป็นผู้ดีผู้เด่น ชิงดีชิงเด่นกันท่านชิงกันอย่างนั้น ทางธรรมชิง กิเลสชิงชิงชั่ว ชิงความลามก ชิงฟืนชิงไฟเผาไหม้กัน นี่กิเลสเป็นการชิงไปทางนี้ ชิงธรรมนี้ชิงดีชิงเด่น ชิงด้วยอรรถด้วยธรรม การประพฤติตัว ออกมาสนทนาธรรมกันแต่ละองค์ๆ เพลิน ลืมวันลืมคืนไป พอออกมาจากสถานที่ต่างๆ เช่นในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ออกมาสนทนาธรรมกัน มีความรื่นเริงบันเทิงต่ออรรถต่อธรรมที่ตนปฏิบัติมาแล้วมาสนทนาต่อกัน ต่างองค์ต่างได้คติธรรมจากกันและกันไปโดยลำดับ เรียกว่า ธมมฺสากจฺฉา สนทนาธรรมตามกาลเวลา

นั่นท่านสนทนาธรรม อยู่ด้วยกันมีกี่องค์ก็ตามท่านไม่เคยนำโลกนำสงสาร การได้การเสีย การซื้อการขาย การขาดทุนสูญดอกหรือได้กำไรอะไรจากโลกนี้ ไม่มาสนทนาต่อกันเลย นอกจากสนทนาในเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องสวรรค์-นิพพาน สมาธิ-ปัญญาขึ้นไปเป็นขั้นๆ จนทะลุถึงมรรคผลนิพพาน นี่เป็นคำที่ท่านนำมาสนทนากัน เวลาสนทนากันแล้วต่างองค์ก็ต่างได้คติจากกันไป เรียกว่า ธมมฺสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ  นั่นละถือว่าเป็นมงคลอันสูงสุดสำหรับพระท่านบำเพ็ญ

ที่นี้ท่านก็ตักตวงเอามรรคผลนิพพานขึ้นมาจากสถานที่อย่างว่านี้แหละ จากป่าจากเขา จากรุกขมูลร่มไม้ ธรรมสง่างามอย่ในป่าในเขากับท่านผู้บำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม บำเพ็ญภาวนา สง่างามอยู่ในป่าในเขา เทวบุตรเทวดาเข้ามาห้อมล้อมสาธุการ ฟังอรรถฟังธรรมจากท่านอย่างเงียบๆ โลกทั้งหลายไม่เห็นเลย แต่เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สะเทือนสะท้านกันหมด อยู่ในสถานที่ใดเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรม ทรงมรรคทรงผล เป็นผู้มีนิสัยวาสนาเกี่ยวข้องกับเทวบุตรเทวดา พวกเทวบุตรเทวดาจะมาสนทนาปราศรัยฟังอรรถฟังธรรมกับท่านเหล่านั้นอยู่ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้นะ

เราอย่าเข้าใจว่าเทวบุตรเทวดาไม่มี ไม่มีสำหรับพวกตาบอดอย่างเรา ท่านผู้ตาดีรับแขก เทวบุตรเทวดามากมายก่ายกองนั้นยังมีอยู่มาก ในพุทธศาสนาของเรา เฉพาะอย่างยิ่งก็คือพระปฏิบัติ ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน แต่ท่านเกี่ยวข้องกับเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มีอยู่เยอะ มีตลอดมาทุกวันนี้ แต่เวลามาพูดกับมนุษย์ท่านจะเอาเรื่องเทวดามาพูดได้อย่างไร ตั้งแต่ภาษาของมนุษย์พูดกันอยู่ มันก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว มันยังดื้อดันไป ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม อย่าเอาเทวบุตรเทวดามาพูดเดี๋ยวจะเกิดเรื่องขึ้นมาด้วยการต่อสู้ระหว่างพวกกิเลสมารกับธรรม มันไม่ยอมเชื่อ ดูถูกเหยียดหยามผู้ที่ท่านแสดงให้ฟังด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่พูด เวลาเกี่ยวข้องกับเทวบุตรเทวดาจะไม่มีอะไรเข้าไปยุ่งเหยิงเลย จะมีตั้งแต่พวกกายทิพๆ ฟังเงียบกันหมดเลย เป็นหมื่นๆแสนๆ เหมือนไม่มีคน ภาษาธรรมเป็นภาษาเดียวกัน ซึมซาบถึงกันๆ ๆ มีปัญหาข้อใดๆ หัวหน้าเทวบุตรเทวดาแต่ละขั้นๆ จะนำปัญหานั้นออกมาถามท่าน ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ทูลถามพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นสาวกครูอาจารย์องค์ใดก็ถามสาวกหรือครูบาอาจารย์องค์นั้น ท่านก็ชี้แจงแสดงบอกเรื่องอรรถเรื่องธรรม พอจบลงไปแล้วเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลายสาธุการลั่นโลกธาตุ เราได้ยินเสียงลั่นโลกธาตุตั้งแต่เสื่อแต่หมอน กับเสียงกรนมันดังครอกๆ อันนี้ลั่นโลกธาตุ เสียงสาธุการในธรรมะลั่นโลกธาตุไม่ค่อยมี จะปรากฏแต่พวกเทวบุตรเทวดาทั้งหลาย

นี่ให้ท่านทั้งหลายจำ ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆร้อนๆ เป็นแต่เพียงว่าไม่ควรนำมาแสดงท่านไม่แสดง ท่านจะปฏิบัติต่อกันอย่างเงียบๆ อย่างเปิดเผยก็มี ตามแต่กาลเวลา สถานที่ที่ควรจะเปิดเผย หรือเงียบๆ ลี้ลับ เช่นเทวบุตรเทวดาเป็นเรื่องลี้ลับสำหรับมนุษย์เรา แต่เป็นการเปิดเผยกับพวกเทวบุตรเทวดาให้ได้ทราบอรรถทราบธรรม อนุโมทนาสาธุการทั่วถึงกัน เป็นอย่างนั้น มีมาจนกระทั่งทุกวันนี้นะ จะไม่มีได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้แต่น้อยเลย มันผิดมันเพี้ยนก็แต่ลูกศิษย์ตถาคตมันมักชอบแหวกแนว ครูอาจารย์สอนอย่างนี้มันปีนเกลียวไปอย่างนั้น ปีนเกลียวอย่างนี้ แฉลบตรงนู้นแฉลบตรงนี้ ส่วนมากแฉลบลงเหวลงบ่อจมไปเลยนั้นแหละ มันไม่ได้ไปตามอรรถตามธรรมที่ทรงสั่งสอนเลย

เราทั้งหลายจงพากันพินิจพิจารณา เราไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเทวบุตรเทวดา ให้ยกตัวของเรานี้เป็นมนุษย์ขึ้นมาคนหนึ่งที่มีศีลมีธรรมเต็มหัวใจ แล้วยกมนุษย์ขึ้นนี้เป็นสมมุติเทพ เทวดาโดยสมมุติขึ้นมาในตัวของเราด้วยความมีอรรถมีธรรมภายในจิตใจ จนกระทั่งกลายเป็นวิสุทธิเทพ วิสุทธิเทพนั้นหมายถึงว่าเทวดาที่บริสุทธิ์ ได้แก่พระอรหันต์ท่าน สมมุติเทพได้แก่ผู้ใหญ่ที่เราชมเชยสรรเสริญ เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ก็เรียกว่าสมมุติเทพ เทวดาโดยสมมุติ

เราก็ยกตัวของเราให้เป็นมนุษย์ที่ดีมีศีลมีธรรม แล้วยกตัวของเราให้เป็นเทวดา ด้วยความมีศีลมีธรรมสูงขึ้นเป็นลำดับลำดา จนก้าวเข้าสู่วิสุทธิเทพ เทวดาด้วยความบริสุทธิ์ได้แก่พระอรหันต์ท่าน เป็นไปได้จากบุคคลแต่ละคนที่บำเพ็ญธรรม ไม่นอกเหนือจากเรานี้ไปได้เลย ให้พากันยกตรงนี้นะยกตัวเอง เทวบุตรเทวดาภายนอกให้เป็นเรื่องของท่านเสีย เทวดาในตัวของเราที่จะเสกสรรปั้นยอตัวของเราเองให้ดีขึ้นเป็นลำดับจนเป็นที่ภาคภูมิใจก็ให้ปรากฏขึ้นจากการปฏิบัติธรรมของตน สนฺทิฏฺฐิโก จะประจักษ์ภายในใจด้วยกันทุกคน

นี่ละการปฏิบัติธรรม ธรรมไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายธรรม ยกตนเป็นผู้ล้ำยุคล้ำสมัย ล้ำสมัยแล้วก็เหยียบหัวสัตว์โลกให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ไปที่ไหนหาความสงบร่มเย็นไม่ได้ เพราะกิเลสพาไป กิเลสพาไปต้องนำเรื่องไปด้วย เกิดเรื่องกันตลอดเวลา หาความสงบเย็นใจไม่ได้ แม้ที่สุดอยู่ลำพังคนเดียวมันก็สร้างอารมณ์ต่างๆขึ้นมาภายในจิตใจ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้สุดท้ายก็มาคิดเรื่องฟืนเรื่องไฟเผาไหม้ตัวเองซึ่งอยู่ในลำพังคนเดียวนั้นแหละ ให้เกิดเรื่องเกิดราวกับตัวของตัวเองมีเยอะนะ โลกเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้

ให้มีธรรมภายในใจ อยู่ที่ไหนให้มีความสงบร่มเย็นสง่างามภายในตัวเอง ภาคภูมิใจ นี่ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมมีความภาคภูมิใจอย่างนี้ เรื่องมรรคเรื่องผลสมัยพระพุทธเจ้ากับสมัยนี้เอาสวากขาตธรรมเป็นแบบฉบับเลย คือตรัสไว้ชอบแล้ว ใครปฏิบัติตามสวากขาตธรรมนี้ผู้นั้นจะเป็นผู้จะทรงมรรคทรงผล เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลตลอดมา ถ้าผู้ใดห่างเหินจากอรรถจากธรรม แม้จะเกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่มีหวังที่จะประสบพบเห็นความสุขความเจริญ ก็จะประสบพบเห็นตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตัวเอง เพราะความดื้อด้านหาญทำในสิ่งที่ไม่ควรทำนั้นแหละ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

เราเกิดมาในชาตินี้พบพระพุทธศาสนา เฉพาะที่นี่เป็นสถานที่สงบร่มเย็นพอแล้ว ท่านหยีท่านสงบนี่แต่ก่อนก็เป็นพระวัดป่าบ้านตาด เป็นชาวโพธารามราชบุรีแล้วไปอบรมจากครูบาอาจารย์มาแล้วก็มาตั้งสถานที่นี่เป็นสถานที่สงบร่มเย็น เราก็เคยมาดูๆจนสถานที่นี่กลายเป็นวัดเป็นวาให้ความร่มเย็นแก่ผู้มาบำเพ็ญทั่วๆไป กว้างขวางออกไป ประชาชนเคารพนับถือกว้างขวางออกไป ความสง่างามเกิดจากผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ทรงมรรคทรงผลนั้นแล ที่นี่ก็กลายเป็นวัดเป็นวาขึ้นมา

วัดวานี่เป็นสถานที่อยู่ของผู้ทรงศีลทรงธรรม ท่านผู้ใดเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมหนาแน่นมั่นคงภายในจิตใจ สถานที่นั่นจะกลายเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติของตัวเองนะ ขอให้ปฏิบัติตนให้เป็นคนดีเถอะ ศีลธรรมประจำใจสำหรับพระเราให้ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา อย่าไปสนใจกับสิ่งอื่นใด โลกามิสสินจ้างรางวัลใด นั้นเป็นเรื่องของโลก นั้นเป็นเรื่องกาฝากมหาภัยจะมากัดมากินเรา ธรรมของเราให้สึกหรอไปโดยลำดับ จนกระทั่งไม่มีธรรมในใจ เพราะเห็นแก่โลกเห็นแก่สงสาร ผิด ให้เห็นแก่ธรรมอย่างเดียว เอาอยู่ไป ทุกข์ยากลำบาก อยู่ไปกินไป นอนไป แต่ความเพียรไม่ถอย นี่เรียกว่าอยู่ด้วยธรรม ทุกข์ยากลำบากทุกข์อันนี้เพื่อความสุขแล้วจนกระทั่งถึงบรมสุข ให้ทุกข์ไปเถอะทุกข์เพื่อความพากเพียร

สติตั้งให้ดี นักภาวนาอย่าได้เผลอสติ ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำสตินี้ไปกำกับการภาวนาของท่านทั้งหลายเองนะ นี่เคยตั้งมาแล้วนำมาสอนอย่างไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวอะไรเลย เพราะได้หลักได้เกณฑ์มาจากการตั้งสติไม่ให้เผลอในองค์ภาวนาของตน จนตั้งหลักตั้งฐานได้เป็นความสงบเย็นใจและแน่นหนามั่นคง สติตามต้อนให้เข้าไป จากความสงบแล้วก็เป็นสมาธิ จากสมาธิคือจิตอิ่มตัว อิ่มอารมณ์ ไม่อยากคิดวุ่นวายส่ายแส่ไปไหนแล้ว เพราะอารมณ์แห่งความสงบมันหนาแน่นมั่นคง อยู่กับความสงบเป็นความสุขตลอดทั้งวันทั้งคืน จึงไม่คิดอยากจะคิดเรื่องอะไร ความคิดความปรุงเกิดขึ้นมาแต่ละเล็กละน้อยเท่านี้เป็นการกวนใจ กวนความสงบ นี่เรียกว่าจิตอิ่มตัว อิ่มความคิดความปรุง อยากคิดนั้นคิดนี้หายหมด สมาธิครอบเอาไว้

นี่ละจิตเมื่อมีความสงบแล้วให้แยกออกทางด้านปัญญา ปัญญาไม่หนีจากเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ  เข้าอยู่ในวงอาการ ๓๒ แยกดูเขาดูเรา ดูหญิงดูชาย ดูสัตว์ดูบุคคลทั่วโลกดินแดนนี้มันเป็นภูเขาภูเรา ไม่มีใครทำลาย ภูเขาทั้งลูกเขายังทำลายมาเป็นถนนหนทางได้ แต่ภูเขาภูเราไม่มีใครที่จะทำลาย มีแต่พูดยกย่องส่งเสริมขึ้นไป ให้ดิบให้ดี อยากดีอย่างนั้นอยากดีอย่างนี้ ไม่มีใครทำลาย นี้ทำลายด้วยเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แยกสัตว์แยกบุคคล แยกเขาแยกเรา แยกหญิงแยกชายออกไปจากเกสา โลมานี้ มันเป็นอะไร ดูให้ดี

เมื่อรู้ตามเป็นจริงแล้ว เรื่องของเกสา-โลมานี่เบื้องต้นเราจะนำมาเป็นคำบริกรรมเพื่อความสงบใจก็ได้ แต่เมื่อจิตใจมีความสงบเพราะอารมณ์เหล่านี้แล้วแยกอารมณ์เหล่านี้เป็นหินลับปัญญา กลายเป็นวิปัสสนาขึ้นมาด้วยเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นอาการ ๓๒ ขึ้นมา แยกกระจายไปหมด แตกกระจายเรื่องภูเขาภูเรา ไม่มี เรื่องหญิงเรื่องชายไม่มี แตกกระจัดกระจายหมด เห็นแต่หลักธรรมชาติตามความจริงของมัน เมื่อตามความจริงของมันแล้วมันก็ไม่ยึดไม่ถือกัน ความไม่ยึดไม่ถือก็เป็นความเบาบางลงไป  อุปาทานคือแบกหามภูเขาภูเรานี้ละหนักมากที่สุด ทนกัน แบกกัน หาม เมื่อแยกแยะออกไปแล้วภูเขาภูเราแตกกระจัดกระจายออกไปแล้วไม่แบก กระจายลงไป

นี่เรื่องปัญญา ให้นำออกใช้ในกาลเวลาที่ควรใช้ การใช้ปัญญานี้มีหลายขั้นหลายตอน เวลาจิตสงบจะนำออกไปใช้ทางด้านปัญญาขี้เกียจขี้คร้าน หาว่ารบกวนความสงบ นี่คือขั้นหนึ่ง เป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาทางด้านปัญญา เราจึงแยก ถึงไม่อยากออกก็ให้ออก สงบก็สงบมาแล้ว ไม่ใช่เป็นความถอดถอนกิเลส คามสงบทางด้านสมาธิเป็นการระงับกิเลสให้รวมตัวลงมาเท่านั้นเอง ปัญญาต่างหากเป็นเครื่องกิเลสโดยลำดับ นั่นละทีนี้แยกแยะออก จากเกสา-โลมาที่เป็นอารมณ์กล่อมใจให้เกิดความสงบ นั้นกลายเป็นหินลับปัญญา กระจ่างแจ้งขึ้นจากเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดอาการ ๓๒ แยกแยะดูให้ถนัดชัดเจน

เหมือนเขาคราดนา หลายตลบทบทวน คราดไปคราดมาเอาจนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียด ควรแก่การปักดำแล้วก็ปักดำ สติปัญญาพิจารณาธาตุขันธ์ให้มีความละเอียดลออก็พิจารณากลับไปกลับมาเหมือนเขาคราดนา นี่เรียกว่าสติปัญญาคล่องตัว เวลาสติปัญญาคล่องตัวแล้วเพลินได้นะ นี่อันหนึ่ง จะต้องเป็นเครื่องกระตุ้นไว้ ไม่อย่างนั้นเพลิน พิจารณาทางด้านปัญญาเมื่อเห็นผลทางการพิจารณาทางด้านปัญญา เพื่อการถอดถอนกิเลส ถอดถอนกิเลสไปได้โดยลำดับจริงๆ แต่ไม่รู้จักประมาณก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เอาเข้าพักสมาธิ ให้อยู่ในความสงบ หยุดงานที่พิจารณาทางสติปัญญาอันเป็นการถอดถอนกิเลสนั้นไว้ชั่วคราว แล้วเข้าสู่สมาธิคือความสงบใจ พักอารมณ์ของใจให้ดี สงบเย็นใจแล้วพอถอนจากสมาธิแล้วไม่ต้องห่วงสมาธิ พิจารณาทางด้านปัญญาต่อไปหลายตลบทบทวน เอาร่างกายของเราของเขานี้แหละเป็นสถานที่คราดไถไปมาอยู่นั้น ให้มันละเอียดลออ

จำให้ดีนะนักปฏิบัติทั้งหลาย ที่แสดงไว้นี้เป็นที่แน่นอนไม่ผิด ให้พิจารณาหลายตลบทบทวน เอาจนกระทั่งร่างกายของเรานี้มันคล่องตัว หากรู้เองในสติปัญญาของตัวเอง ตั้งปั๊บแตกทะลุๆ ๆ ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านปัญญา มันก็เพลิน เพลินจนกระทั่งมันยอมรับ พักสมาธิภาวนา เห็นว่าไม่ได้การได้งาน ไม่ใช่การแก้กิเลส การแก้กิเลสด้วยปัญญาต่างหาก ทีนี้สมาธิเป็นเครื่องหนุนให้ปัญญามีความแกล้วกล้าสามารถ นี้มันไม่คิดละซิ มันเลยเห็นโทษของกิเลสเห็นโทษของสมาธิเสีย เห็นคุณแต่ปัญญาอย่างเดียวก็ไม่ถูก จึงต้องมีการพิจารณาทางด้านปัญญา แล้วพักทางสมาธิไปเรื่อยๆ เอาอย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายจำให้ดี

การภาวนานี้เป็นสำคัญมาก ท่านจะเบิกกว้างมรรคผลนิพพานซึ่งกระจ่างแจ้งภายในจิตใจด้วยกันทุกคน ถ้าปฏิบัติอย่างนี้นิพพานจะอยู่ชั่วเอื้อมๆด้วยกัน สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อมรรคผลนิพพานทั้งนั้น ไม่ได้ตรัสไว้เพื่อนรกอเวจีทั้งหลายนะ ตรัสไว้เพื่อมรรคผลนิพพาน ขอให้ยึดหลักธรรมนี้ไว้ให้ดี นักปฏิบัติสติให้ดี อย่าเผลอสตินะ จะเป็นคำบริกรรมก็ให้มีสติ จะเป็นสมาธิให้มีสติ จนกระทั่งถึงด้านปัญญา สตินี้ติดแนบตลอด เผลอไม่ได้นะ สติเป็นสำคัญมาก ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติอันนั้นเป็นไปเองละ สติปัญญาอัตโนมัติอันนั้นเป็นไปเองละ สติปัญญาอัตโนมัติ หมุนตัวเป็นธรรมจักรฆ่ากิเลสโดยลำดับลำดา ขั้นนี้เป็นขั้นตอนท้าย ขั้นจากร่างกายนี้ไปแล้ว ร่างกายนี้เอาจนแหลกแตกกระจาย ถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นในร่างกายกิเลสตัณหานี้ออกโดยสิ้นเชิง

ส่วนนามธรรมคือส่วนละเอียด นี้มันจะมาตามหลัง นี้ละออกจากนี้ไปสติปัญญาจะเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้หมุนตัวเป็นธรรมจักรไปเลย หมุนไปเรื่อยๆ แล้วอย่างไรก็ต้องไม่พ้นจากการพักสมาธิจนได้นั้นแหละ ให้พัก เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพราะสติปัญญาทำงาน มันก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พักสมาธิเรียกว่าพักงาน เช่นอย่างเขารับประทานบ้าง นอนพักผ่อนร่างกายบ้าง นี่เรียกว่าเขาพักงาน ออกจากพักแล้วก็ไปทำงาน อันนี้ออกจากสมาธิแล้วก็ให้ไปทำงานด้วยสติปัญญาหมุนเป็นธรรมจักรไปเลย

สติปัญญาถ้าออกจากร่างกาย ความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสตัณหาอันนี้ได้แล้วมันจะเป็นสติปัญญาอัตโนมัติละทีนี้นะ สติปัญญาอัตโนมัติหมุนด้วยความเพลิดเพลิน นี่ละที่เห็นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นั่นละตรงนี้ แล้วก็เชื่อมโยงไปเข้าไปถึงมหาสติ-มหาปัญญาเป็นอันเดียวกันเลย  ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่ง เว้นแต่หลับเท่านั้น เรื่องความเพียรในความแก่กล้าโดยทางสติปัญญาอัตโนมัตินี้จะหมุนเป็นธรรมจักรตลอด ฆ่าฟันรันแทงกับกิเลสไม่มีหยุดยั้งเลย นั่น

นี่ละทีนี้เห็นโทษแล้ว เห็นโทษกิเลสตัณหาก็เห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ ทีนี้หมุนตัวเป็นธรรมจักรไปเลย เหมือนนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆๆ ลืมหลับลืมนอน ลืมไปเสียทุกอย่าง มีแต่ความหมุนติ้วๆ ด้วยความเพียรเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว นี่ท่านเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสไปเองๆ ตั้งแต่ก่อนมีแต่กิเลสอยู่บนหัวใจสัตว์โลก ทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของกิเลสทำงาน ทีนี้ธรรมมีกำลังกล้าขึ้นแล้วสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไปจากจิตใจหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว สติปัญญาอัตโนมัตินี้ก็ยุติเอง เพราะสติปัญญาเหล่านี้เป็นมรรค เป็นเครื่องปราบปรามกิเลส เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วจะไปปราบปรามอะไร ยุติเอง

ท่านทั้งหลายเป็นนักปฏิบัติจำให้ดีนะ ให้เดินตามนี้ สติเป็นพื้นฐานอย่าได้เผลอนะ ไปที่ไหนอย่าเผลอสติ ใครไม่เผลอสติคนนั้นจะตั้งตัวได้ ผู้ที่ตั้งตัวยังไม่ได้ถ้าสติมีอยู่กับคำบริกรรมติดแนบกันแล้วจะตั้งได้ ผู้มีความสงบสติติดแนบลงไปก็จะแน่นหนามั่นคง จากนั้นออกทางด้านปัญญาสติปัญญาสติปัญญาติดตาม แล้วเบิกกว้างออกไป ความพ้นทุกข์อยู่กับหัวใจที่คล่องแคล่วด้วยสติปัญญานะ ความหลุดพ้นก็อยู่กับสติปัญญาแก้กิเลสขาดสะบั้นลงไป เผากิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วนิพพานไม่ต้องถามหากัน  ถามหาอะไร จ้าขึ้นเท่านั้นละพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เป็นอันเดียวกันหมด สาวกทั้งหลายเป็นอันเดียวกันหมดด้วยความบริสุทธิ์ นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย  ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน เสมอกันหมด เหมือนน้ำในมหาสมุทรจ่อลงตรงไหนก็เป็นน้ำมหาสมุทร จ่อตรงไหนเป็นน้ำมหาสมุทร จิตดวงใดถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด พากันจดจำเอา

วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ พูดไปพูดมาก็อยากให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ประชาชนก็เป็นกองหลังกองสนับสนุนก็ให้พากันสร้างคุณงามความดี อย่าลอยลมนะ โลกนี้โลกลอยลมมากต่อมาก ถ้าไม่มีธรรมเป็นโรคลอยลมทั้งนั้น ใครจะมีเงินมีทองข้าวของกองเท่าภูเขา ตัวเองเป็นคนลอยลม สมบัติเหล่านั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ ขอให้ใจอย่าลอยลม ให้มีธรรมภายในใจ มีมากมีน้อยเป็นประโยชน์ทั้งนั้นสมบัติภายนอกนะ ขอให้ธรรมสมบัติเข้าเป็นสมบัติของใจเถอะ เราจะมีคุณค่ามีราคา มีหลักมีเกณฑ์

เอาละการเทศนาว่าการก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก