เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
เอาธรรมความจริงมาดูโลก
เข่าเราก็ไม่ได้กำหนดดูว่ามันเป็นมาสักกี่เดือนแล้ว เป็นมานานแล้ว น่าจะเป็นปีแล้ว ปวด ถ้านั่งคู้เข้าไปหรือนั่งพับเพียบมันจะปวด พอเราเหยียดออกไปก็ค่อยเบาลง เป็นมานานแล้ว ยาแก้เข่านี่ โอ๊ย มีแต่ยาดีๆ นะยาแก้เข่า ใครมาก็ยาแก้เขา อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี มีแต่ยาดีๆ ขนมาให้ เราก็ไม่ทราบจะว่าอย่างไร จะตอบรับความดีงามของท่านเหล่านั้นไม่ทราบจะตอบว่าอย่างไร ไม่มีอะไรจะตอบ อะไรจะดีงามยิ่งกว่านี้น้า เอาคำนี้ละเหมาะกันแล้วละกับความดีงามของผู้เอายามาให้ คนนั้นขนมาคนนี้ขนมา ยาอันนี้ดี ดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ โอ้ ยานี้ดีมากนะ เอาปาเข้าป่าให้หมด บอกอย่างนั้นเลย บอกเอาปาเข้าป่าให้หมด เราว่าอย่างนั้นนะ
เข่าเรานี้มันเหมือนเป็นเครื่องทดลองยาเขา ใครมีแต่ยาดีๆ ทั้งนั้นละมา เลยเป็นเครื่องทดลอง หมอเส้นก็เหมือนกันมีแต่หมอดีๆ ทั้งนั้นละมา นวดเส้นให้หมอดีๆ ยาก็มีแต่ยาดีๆ เราก็ไม่ทราบจะตอบรับว่าอย่างไร พอเสร็จแล้วก็บอกว่าเอาปาเข้าป่าให้หมด ขี้เกียจยุ่ง มายุ่งหาอะไร เราไม่เห็นยุ่งกับอะไร อะไรจะเจ็บปวดแสบร้อนตรงไหนก็รักษากันไปเพียงเท่านั้น ไม่เห็นจะเป็นกังวลกับมัน สมมุติว่ามันคู้ไม่ได้ เอา เหยียดออกเสีย แน่ะเท่านั้น รักษากันไปอย่างนั้น ไม่เห็นเป็นกังวลกับมัน
ก็คนแก่แล้วจะให้มันเป็นอย่างไร จะให้มันดีอะไร ก็มีแต่มันจะไปท่าเดียวๆ เรื่องของมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้ความรักความสงวน อุปาทานคือความยึดมันเลยสร้างโรคหัวใจกังวลขึ้นมา สร้างความกังวลขึ้นในหัวใจ มันก็หึงก็หวง อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ ยุ่งไปเลย ถ้ามีแต่นี้มันก็ไม่เห็นรุนแรงอะไร ก็ธรรมดาๆ ถ้าเรื่องความยึดมั่นถือมั่น อุปาทานความหึงความหวงเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว อันนี้ละหนักกว่าโรค หนัก นี่พูดจริงๆ มันไม่มีจะว่าไง ไม่ได้ไปหนักกับมัน มีเจ็บปวดมากน้อยก็รู้มันอยู่ มันเป็นสภาพอันหนึ่ง ทุกฺขํ อริยสจฺจํ มันก็เป็นไตรลักษณ์เกิดดับเหมือนกัน จะไปตื่นมันหาอะไร
เมื่อใจไม่เป็นทุกข์แล้วสิ่งเหล่านั้นมันเป็นก็ดูมันอยู่ธรรมดาๆ มันก็ไม่ได้สร้างความกังวลให้เป็นทุกข์ภายในใจขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ทุกข์อันนี้เป็นทุกข์ขั้นหนึ่ง อันนี้เป็นทุกข์อีกขั้นหนึ่ง ทุกข์ความกังวลวุ่นวายทุกข์มากกว่าอันนี้นะ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์เสียอย่างเดียว เป็นมากน้อยเห็นอยู่รู้อยู่อย่างนั้น พอพูดอย่างนี้ทำให้เราระลึกได้ที่เราไม่กลัวตาย ในการบำเพ็ญตนนี้ไม่มีคำว่ากลัวตาย บทเวลามันจะมีมันก็มีขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องมรรคเรื่องผลนั่นแหละ นี่เคยเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ฟังมาหลายครั้งแล้วมัง ที่พักอยู่บ้านกะโหม มี ๙ หลังคาเรือน บ้านใหญ่เขาอยู่ทางนู้น เรียกโพนทอง กะโหมโพนทอง ป่าช้าเขามาใช้ร่วมกันกับบ้านกะโหมนี้
อันนั้นเขาเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้นะ ถ้าธรรมดาเขาจะต้องเป็นเหมือนโรคอหิวาต์หรือโรคระบาด สองวันตายสามวันตาย ขนเข้ามา ไอ้เราก็อยู่ในป่า เขานิมนต์มากุสลา ตั้งแต่เที่ยงไปแล้ว ส่วนมากเขานิยมเผาศพตอนบ่าย ตอนเช้านี้เขาไม่นิยมกัน ทางภาคอีสานเป็นอย่างนั้น ตอนบ่ายเผาศพ นั้นละตั้งแต่เที่ยงไปแล้วเขามานิมนต์เราไป พระก็ไม่ค่อยมีแถวนั้น เขานิมนต์ไปสวดกุสลามาติกาให้เขา เราก็ตั้งใจไปหาภาวนา ทีนี้เมื่อโรคอันนี้เกิดขึ้นในหมู่บ้านนั้นมันก็ไปกวนพระจนได้นั่นแหละ ไปนิมนต์มากุสลา เราก็มา ทีนี้มาพอกุสลานี้ยังไม่เสร็จ อ้าว เอามาอีกแล้วๆ อยู่อย่างนั้น
เขาบอกว่าเป็นโรคขัดหัวอก เขาว่าอย่างนั้น มันเป็นโรคอะไรมันถึงตายเร็ว สองวันตายสามวันตาย ถ้าเลยสามวันไปแล้วรอด ส่วนมากจะอยู่ในสองวันกับสามวัน วันมาก ๘ ศพ วันน้อยนี้ไม่ต่ำกว่า ๓ ศพ ๔ ศพ เราไปอยู่ที่นั่น ก็เลยสร้างความกังวลขึ้นมา เอ๊ นี่เรามาหาที่ภาวนา เลยมากังวลกับสิ่งเหล่านี้ สวดให้เขาไม่นานนะ มันก็มาเป็นขึ้นกับเราโรคที่ว่านี่ นั่งสวดกุสลามาติกาอยู่นั้น เขามาเผาศพที่ป่าช้า ป่าช้าของคนบ้านนอกเขาอยู่ในป่า ไม่ได้อยู่ตามเมรุอย่างนี้นะ อยู่ในป่า เป็นบริเวณป่าช้าสงวนไว้สำหรับป่าช้า ที่แถวนั้นบริเวณนั้นเขาสงวนไว้สำหรับเผาศพ เราก็ไปกุสลาอยู่นั่น จนค่ำถึงได้กลับ ทุกวันๆ
นี้ก็เป็นเรื่องไม่สะดวกใจการภาวนา ตอนนั้นเป็นเวลาที่จิตหมุนติ้วเป็นธรรมจักรเสียด้วย ไม่มีวันว่างเลย เวลาว่างไม่มี ตื่นนอนระหว่างกิเลสกับธรรมอยู่บนหัวใจอันเดียวกัน ฟัดกันเลยๆ เป็นเองๆ เราก็หมุนของเราเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ เหมือนหนึ่งว่าอย่างรีบอย่างด่วน นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ ธรรมะขั้นนี้ขั้นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม นิพพานมีหรือไม่มีมันไม่สนใจนะ ความพ้นทุกข์กับนิพพานติดกันอยู่นี้ นิพพานก็อยู่ชั่วเอื้อมซี กับความพ้นจากกิเลสซึ่งสร้างกองทุกข์ให้สัตว์นี้มันก็อยู่กับจิต ธรรมที่จะแก้กันก็อยู่กับจิต ทีนี้มันก็หมุนกัน
ทีนี้เขามานิมนต์ไปกุสลาก็เลยสร้างความไม่สะดวกให้เรา จากนั้นมามันก็มาเป็นในเราเลย นั่งอยู่ในป่าช้านะเป็นขึ้นเวลานั้น แล้วสองวันตายสามวันตาย พอมันเป็นขึ้นมาเริ่มรู้ตั้งแต่มันเริ่มเป็น พอมันยิบแย็บๆ ขึ้นมา เอ๊ะ ชอบกล เพราะจิตไม่ได้ห่างจากนี้นี่นะ สติอยู่กับนี้ตลอด อะไรผิดปรกตินิดหนึ่งมันจะทราบทันทีๆ ในจิตขั้นนี้นะ จิตขั้นนี้ธรรมขั้นนี้ อ้าว แปลกๆ อย่างไรนะ แล้วเป็นอย่างรวดเร็วด้วย เพราะฉะนั้นเขาตาย สองวันตายสามวันตายจึงเชื่อได้เลย คือมันเป็นเหมือนว่าหมุนเข้าทันทีๆ เลย ยิบแย็บๆ ขึ้นมาหนักเข้าๆ จนชัดเจน อ๋อ เป็นอย่างนี้เองที่เขาตายแล้วมาเผากัน เป็นอย่างที่เราเริ่มเป็นเวลานี้แล้ว ไม่นานนะ มันหนักขึ้นๆ อย่างรวดเร็วเสียด้วย
เรานี่ถ้าแก้ไม่ตกจะต้องคนหนึ่งละตายอยู่ในป่าช้านี้แหละ เพราะมันรวดเร็ว มันเหมือนหอกเหมือนหลาว มันแทงประสานกันอยู่ในหัวอก หายใจแรงก็ไม่ได้ แปล๊บๆ เลย หายใจแรง ยิ่งจามนี้สลบไปเลย พอรู้ชัดเจนแล้วก็เลยบอกญาติโยมตรงๆ เลย นี่อาตมาเป็นอย่างที่ทั้งหลายตายมาเผากันอยู่เวลานี้แล้วนะ เวลานี้เจ็บขัดหัวอก ขึ้นอย่างรวดเร็ว ให้อาตมาไปที่พักเสียเถอะ อย่าให้อยู่เลยเดี๋ยวจะตายด้วยกันอีก เป็นแล้วนะเวลานี้ เขาก็ร้อนใจ ไม่รั้งไม่อะไรเราไว้แหละ โอ๋ ถ้าอย่างนั้นให้ท่านรีบไป ปล่อยท่านไปเสีย เราก็ออกจากที่นี่ไป
ทีนี้เขาวิตกกังวลกับเรา กลัวเราจะตายแบบเดียวกัน เพราะเป็นโรคอย่างเดียวกัน เขาก็ไม่สบายใจ เราไปถึงตอนค่ำเขาก็หลั่งไหลไปอีกละที่นี่ โอ๋ย คนเป็นร้อย ไม่ใช่ธรรมดาไปหาเรา เราอยู่ในป่าลึกๆ มาอะไรละนี่ ก็ทราบว่าท่านไม่สบาย เป็นโรคอย่างเดียวกันนี้ ทุกข์ร้อนภายในจิตใจเลยวิ่งมาหาท่าน เราก็บอกทันทีเลย ไม่เป็นไรละ เป็นเฉพาะอาตมา ให้พากันรีบกลับเสีย บอกให้เขารีบกลับ เขาเอาหยูกเอายาเอาน้ำท่าอะไร น้ำยานั่นละมา ไม่เอาทั้งนั้น บอกไม่เอาหมดเลย ไล่ให้เขากลับในขณะนั้น คนมามากๆ ไม่ให้เขาอยู่นานเลย เพราะเราก็เร่งของเราแล้ว ไล่เขากลับไป
โรคอันนี้แก้ไม่ตกต้องตายแน่นอน เพราะเป็นโรคที่เสียดแทงรุนแรงมากทีเดียว เป็นลักษณะรีบด่วนๆ นี่ละที่ว่ามันกล้าต่อความตาย จิตตอนนั้นมันไม่กล้านะ มันสร้างความกังวลขึ้นมา อ้าว แล้วทำอย่างไรนี่ เราก็ตั้งใจจะทำความพากเพียร ชำระกิเลสให้เสร็จสิ้นลงไปถึงความพ้นทุกข์ แล้วโรคอันนี้มันก็มาเป็นอุปสรรค เวลานี้จิตของเรากิเลสยังมี แม้จะละเอียดขนาดไหนก็ยอมรับว่ายังมีกิเลส ยังไม่พ้น ตายไปแล้วจะไปค้างภพใดๆ ไม่อยากค้าง ถ้าหากว่าสิ้นสุดในเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้เราก็ไม่ห่วง ไปได้เลย แต่นี้ยังไม่สิ้นสุดในจิตใจ เรายังไม่อยากตาย
นี่ละที่นี่ความไม่อยากตายสร้างความกังวลขึ้นนะ โรคก็หนักเข้าๆ จิตก็ยังไม่อยากตาย เพราะตายเดี๋ยวนี้มันจะค้าง ค้างชั้นใดก็ตามอย่าให้บอก แต่ไม่สงสัยที่มันจะไปค้าง พูดให้ชัดเจนเลย ในจิตดวงนี้มันทราบชัดเจนว่าถ้าตายเวลานี้จะไปชั้นไหนๆ มันรู้เลย ชั้นไหนก็เป็นชั้นสุทธาวาส พระอนาคามีพอได้ขั้นอนาคามีแล้ว ตายแล้วจะไปเกิดชั้นสุทธาวาสห้าชั้นคือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา นี่เป็นสุทธาวาสห้าชั้นสำหรับผู้บรรลุอนาคามี ถ้ายังอ่อนก็ไปชั้นอวิหา แก่ไปกว่านั้นก็อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี แก่กว่านั้นก็อกนิษฐา พ้นจากนั้นก็นิพพานเลย
แต่นี้เรายังไม่พ้น จะต้องไปอยู่ในชั้นใดชั้นหนึ่ง ค้างวันหนึ่งคืนหนึ่งเราไม่อยากค้าง เพราะไม่ถึงที่สุดที่เรามุ่งหวัง อันนี้ที่มันไม่อยากตาย คือมันยังจะค้าง ตายนี้ปั๊บมันจะค้าง มันไม่อยากตาย ก็เป็นการสร้างความกังวลขึ้นมาเหมือนกัน ไม่ได้หมายถึงว่ากลัวตายเหมือนโลกเขากลัว กลัวแต่ว่าอันนี้ยังไม่หลุดพ้น เรียกว่าให้รอเสียก่อน ให้หลุดพ้นก่อนแล้วค่อยตายเมื่อไรได้ เลยสร้างความกังวล จะพิจารณาธรรมที่ได้เคยพิจารณามาแล้วมันก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ระหว่างความกังวลเรื่องความตายกับความเพียรมันต่อสู้กัน ความเพียรก็ไม่หนักแน่น เพราะความกลัวตายว่ามันจะไม่หลุดพ้นจะตายเสียก่อน จะไปตกค้างอันนี้ มันสู้กัน
อันนี้ก็เป็นธรรมภายในอีกเหมือนกัน กำลังต่อสู้กันอยู่ ระหว่างความกลัวตายกับความสิ้นกิเลส เวลานี้ยังไม่สิ้น มันรู้ชัดๆ อยู่ในตัวเองว่ายังไม่สิ้น จะให้หลุดพ้นหลุดไม่ได้ ตายนี้ต้องค้าง ชั้นใดๆ ไม่สงสัยแหละ ไม่อยากค้างทั้งนั้น เช่นอนาคามี ห้าชั้นนี้แน่นอนว่าจะไปจุดนั้น เพราะมันเป็นขั้นแน่นอนแล้ว ไม่นานนะ มันสร้างความกังวลอยู่ระหว่างความตายกับมรรคผลนิพพาน สักเดี๋ยวก็ผางขึ้นมาเลย อ้าว ไอ้เรื่องความเป็นความตายท่านก็เคยพิจารณาผ่านเวทีมาอยู่แล้วอย่างช่ำชอง แล้วท่านมากลัวตายอะไรเวลานี้ ขึ้นทันทีนะ
ความเป็นความตายก็เป็นอริยสัจ อยู่กับตัวของท่าน ท่านทำไมไม่พิจารณา เจ็บปวดเวลานี้ก็อริยสัจ ท่านพิจารณาอริยสัจให้รู้แจ้งอริยสัจเท่านั้นท่านก็หายสงสัย ท่านไปกังวลอะไรเรื่องความเป็นอยู่และตายไป ท่านเคยต่อสู้กับความเป็นความตายเหล่านี้มามากแล้ว ท่านมากังวลอะไร ว่าอย่างนั้นนะ จิตมันกลับปุ๊บเลย เอาธรรมที่โผล่ขึ้นมาเตือน เกิดเองนะ เตือนขึ้นมา พอว่าอย่างนั้นไอ้เรื่องความห่วงใยไม่อยากเป็นอยากตายปล่อยเลย ทีนี้ก็หมุนเข้าทุกข์ ทุกข์นี่มันจะพาให้ตาย ทุกฺขํ อริยสจฺจํ มันจะพาให้ตาย นี่ก็เป็นอริยสัจ จิตก็หมุนติ้วเข้ามานี่เลย
ทีนี้เลยไม่คำนึงถึงว่าเป็นว่าตาย หมุนเข้าไปหากองทุกข์ ตรงไหนมันทุกข์ ทุกข์ที่ตรงไหน เราเคยพิจารณาแล้ว ไล่เบี้ยกันเข้าไปเลย ซัดกันใหญ่เลยเทียว ไม่กังวลกับเรื่องความเป็นความตายจ่อ อยู่กับทุกขเวทนาที่เป็นอยู่ในร่างกาย ซึ่งเราเคยพิจารณาเข้าใจมาแล้วๆ ทั้งนั้น ทีนี้ก็หมุนติ้วเข้าไปๆ พิจารณาเข้าไป ธรรมะกับกิเลสต่อสู้กัน ฟัดกันเลย ธรรมะเมื่อลงใจอย่างนั้นแล้วก็มีกำลังมาก ก็มีแต่หมุนใส่กัน เอาตั้งแต่สองทุ่มนู่นละมั้งถึงหกทุ่มนะ หมุนกันอย่างหนักทีเดียว เรียกว่าไม่มีใครรอใคร ถ้าเป็นนักมวยก็ไม่มีกรรมการแยก ใครเก่งให้อยู่บนเวที ใครไม่เก่งให้ตกเวทีไป ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันบนเวทีคือหัวใจของเรา ซัดกันใหญ่เลยเชียว
มันก็หมุนติ้วๆ ตามต้อนเวทนา มันเกิดขึ้นจากไหนๆ อะไรจุดไหนที่เป็นทุกข์มากกว่าเพื่อน จิตจ่อเข้าไป สติปัญญาจ่อเข้าไปๆ ไล่เข้าไปเผาเข้าไป ถือเอาจุดเด่น ทุกข์จุดไหนเด่นกว่าเพื่อนสติปัญญาจะจ่อเข้าไปจุดนั้น พังอันนั้นๆ เรื่อยๆ ไป ตั้งแต่หัวค่ำว่าอย่างนั้นเลย จนกระทั่งถึงหกทุ่ม มันไล่กัน เห็นประจักษ์ในจิตของเราอำนาจแห่งธรรม เพราะเวลานั้นธรรมเราก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ สติปัญญาแก่กล้าสามารถอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงมาเป็นอุปสรรคเกี่ยวกับเรื่องความตายนี้เพียงเท่านั้น สติปัญญานี้ก็เหมือนว่าเบากำลังลงไป พอธรรมผุดขึ้นมาเรื่องทุกข์ก็เป็นอริยสัจ ท่านไปกังวลอะไรกับความเป็นความตาย
พอจับนี่ปุ๊บมันก็หมุนติ้วๆ เลย เอา เสียหกทุ่ม มันไล่กันพูดไม่ถูกแหละ แต่ผู้เป็นมันรู้ตัวเอง ทุกขเวทนากับสติปัญญาที่ตามต้อนกันๆ ในสกลกายของเรานี้มันตามต้อนกันอยู่ภายในนี้ ทุกข์มากทุกข์น้อยเพียงไรไม่ถือเป็นข้าศึก ถือเป็นของจริงทั้งนั้นๆ ธรรมก็เป็นของจริง ทุกข์ก็เป็นของจริงแต่ละอย่างๆ พิจารณาให้มันจริงด้วยกัน เมื่อต่างอันต่างจริงด้วยกันแล้วจะไม่มีความยึดถือกัน ทุกข์ทั้งหลายมันจะตกไปเอง มันก็หมุน จนกระทั่งถึงหกทุ่ม มันไล่กันจนแหลกนะ เอาเสียโรคที่หนักๆ มันค่อยจางไปๆ เพราะโรคหนักๆ ก็หนักเพราะทุกข์
ทีนี้ไล่ตามต้อนทุกข์ละซิ ตามต้อนทุกข์ก็ขาดไปๆ เรื่อยๆ เอาจนกระทั่งจิตสว่างจ้าขึ้นมาเลย ทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นดับๆ จนกระทั่งดับหมดเลย ไม่มีเหลือ มีแต่ความสว่างจ้าของจิตด้วยอำนาจของสติปัญญา ตามต้อนทุกขเวทนาให้เห็นความจริงของมัน จิตก็สว่างจ้า ทางนี้มันก็ขึ้นภายใน เอาละที่นี่ไม่ตาย มันตัดสินเจ้าของแล้วไม่ตาย พิจารณาจนกระทั่งโล่งหมด ความทุกข์ทั้งหลายที่เสียดแทงอย่างหนักอย่างหนาจะเอาให้ตายในเวลานั้นขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่เรียกว่าธรรมโอสถ แก้ทุกขสัจได้เป็นอย่างดี ดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้
สกฺกตฺวา พุทฺธรตนํ ธมฺมรตนํ สงฺฆรตนํ โอสถํ อุตฺตมํ วรํ ธรรมะนี้เป็นโอสถแก้ทุกข์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี มันก็แก้กันสดๆ ร้อนๆ ในวันนั้นแหละเห็นได้ชัดประจักษ์ใจ บอกว่าทีนี้ไม่ตาย ก็คือทุกข์เหล่านี้ดับหมด ร่างกายเรากลายเป็นปรกติแล้ว ที่กำลังได้รับความทุกขเวทนาที่มันเสียดแทงอยู่นั้นมันดับไปหมดเลย ด้วยอำนาจของสติปัญญาตามต้อนกัน จนกระทั่งอันนั้นขาดหมด จิตสว่างจ้าขึ้นมาเลย แน่ใจไม่ตาย กำหนดที่ไหนไม่มีเลยเรื่องทุกข์ที่เคยเกิดขึ้นมา มันจะเอาให้เป็นให้ตายอยู่เวลานั้นดับหมดเลย เที่ยงคืนผ่านไปแล้วหายหมด ลงเดินจงกรมเลย จนกระทั่งตอนเช้ามาจ้าอยู่อย่างนั้น หายเลย
นั่นละคำว่าเป็นห่วงยังไม่อยากตายก็มาเป็นตอนนั้น แต่ก่อนไม่ได้กลัวตายๆ แต่เวลานั้นมันกลับกลัวตาย คือยังไม่อยากตายเพราะมันยังไม่พ้น พอเวลามันเข้าถึงพริกถึงขิงแล้วความกลัวตายนั้นมันก็หมดไป มีแต่อริยสัจฟัดกันกับมรรคสัจคือสติปัญญา เอาจนโรคภายในร่างกายขาดสะบั้นไปให้รู้ชัดเจนในปัจจุบันด้วยธรรมโอสถ คือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ซัดกันขาดสะบั้นลงไป นี่พูดถึงเรื่องทุกข์ เวลามันไม่อยากตายมันก็ไปเจอเอาตอนนั้น แต่ก่อนก็ไม่มีอะไรปรากฏ ก็ไม่คิดว่ากลัวนี้กลัวตายอยู่ พอถึงขั้นนั้นแล้วกลัวตาย เหมือนว่ากลัวตาย คือยังไม่อยากตายตอนนี้ ตายแล้วอย่างไรมันก็ไม่พ้น จิต จะไปค้างอยู่นี้ละ
พูดให้ชัดๆ อนาคามีห้าชั้นนี้ชั้นใดชั้นหนึ่ง ค้างแน่ จากนี้มันก็ก้าวเข้าสู่นิพพาน ไม่อยากค้าง จะก้าวทีเดียว จิตมันพุ่งใส่นู้น จะให้ถึงนิพพาน ตายเมื่อไรได้ทั้งนั้นละถ้าลงถึงนิพพานแล้ว โรคหายไปแล้วทีนี้มันก็ค่อยก้าวของมันไปเอง ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค นี่แก้โรคด้วยธรรมโอสถ แก้เห็นประจักษ์บนเวทีแห่งจิตตภาวนา เราเองเป็นผู้เป็น เราจึงไม่สงสัยในการที่จะนำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จึงได้บอกชัดๆ เลยว่าในระยะนั้นตายแล้วจะให้เป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องไปสุทธาวาสห้าชั้น ชั้นใดชั้นหนึ่งแน่แล้วในจิต ตายแล้วมันจะไปชั้นนั้นๆ มันแน่แล้ว แต่ชั้นใดก็ยังไม่เอา ในสุทธาวาสห้าชั้นนี้ไม่ใช่นิพพาน เราจะให้ถึงนิพพานเท่านั้น ตายเมื่อไรได้ทั้งนั้น มันก็แก้กันตก
ก็บำเพ็ญไปเรื่อย นี่ดูระหว่างมีนา-เมษาละมั้งปีพ.ศ. ๒๔๙๓ พอปัญหานั้นตกไปหายสงสัยแล้วจิตนี้มันก็ทำงานอัตโนมัติของมันอยู่แล้ว มันหากเพียงลังเลเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายที่จะยังไม่ถึงที่สุดเดี๋ยวมันจะตายก่อน มันมากังวลเพียงเท่านั้น พอธรรมกระตุกขึ้นมาเท่านั้นมันก็ปล่อยปึ๋งซัดกันเลยเชียว หลังจากนั้นก็กลับมาอุดร ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ท่านก็ให้ไปบวชหมอเจริญ วัฒนสุชาติ เอ้า มามัดเราอีกแล้ว บวชนั่นแล้วก็ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ เดือนพฤษภา เมษาจะสิ้นเดือนถึงพฤษภา ที่ว่าวันที่ ๑๕ นั่นละย่านนั้นละไปอยู่พักหนึ่ง จึงไปม้วนเสื่อกัน เรื่องความเป็นความตายชั้นไหนๆ ขั้นแห่งธรรมทั้งหลายนี่มันไปม้วนเสื่อกันที่ตรงนั้น ไม่มีอะไรเหลือภายในใจโดยสิ้นเชิง
นี่ละที่ออกมาจากกะโหมโพนทองแล้วไปองค์เดียวๆ ตอนนั้นอยู่กับใครไม่ได้แล้ว เพราะธรรมนี้หมุนเป็นธรรมจักรตลอดเวลา ถึงขั้นธรรมฆ่ากิเลสแล้วฆ่าตลอดเวลา เช่นเดียวกับกิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกทำลายตลอดเวลา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจสัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นกิเลสทั้งนั้นๆ เรียกว่ากิเลสทำงานโดยอัตโนมัติของมันบนหัวใจสัตว์ ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังจากการบำเพ็ญของเราหนักเข้าๆ ธรรมก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ สังหารกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับ คำว่าความเพียรไม่มี นอกจากรั้งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นมันผาดโผนถึงขั้นไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน มันจะตายทิ้งเปล่าๆ ต้องได้รั้งเอาไว้ ให้พักสมาธิให้พักนอน นี่ถึงขั้นมันผาดโผน
นี่สติปัญญาอัตโนมัติฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน ให้มันเห็นประจักษ์ในหัวใจซีผู้ปฏิบัติ นี่ไม่ได้เอามาจากไหน ถอดออกมาจากหัวใจมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เป็นคำโกหกแล้วเหรอพิจารณาซี เวลากิเลสทำงานบนหัวใจเราเป็นอัตโนมัติเราก็ไม่เคยคิดแต่ก่อนนะ มันหากทำงานของมันอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เคยสะดุดใจว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกนี้เป็นอัตโนมัติ แต่เวลามันเป็นขึ้นกับเราจากการบำเพ็ญธรรมนี้ สติปัญญามีอำนาจแล้วมันฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัตินี่ซิ อยู่ที่ไหนฆ่าตลอด ทำลายตลอด แม้ที่สุดขบฉันจังหันอยู่นี้มันไม่ได้มาอยู่กับอาหารการบริโภคนะ ไม่อยู่ มันอยู่ลึกๆ ของมัน สติปัญญากับกิเลสมันฟัดกันอยู่ในนั้น อันนี้ก็สักแต่ว่าเคี้ยวไปกินไปอย่างนั้น มันไม่ได้มาเป็นอารมณ์ มันจ่ออยู่นู้นซัดกันอยู่นู้น นั่นละเรียกว่าอัตโนมัติ ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน เว้นแต่หลับ เป็นเวลาที่ธรรมสังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติตลอดไปเลย
จึงได้ทราบว่า อย่าว่าแต่กิเลสมันทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมันเลย แม้ธรรมก็สามารถทำงานฆ่ากิเลสบนหัวใจผู้บำเพ็ญได้เช่นเดียวกัน ความรู้นี้มันก็เกิดขึ้นจากการปฏิบัติที่ตนเองได้เป็นเอง ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติมันก็เป็นขึ้นที่หัวใจ มันจึงระลึกได้ว่ากิเลสทำลายสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ เป็นมาอย่างนี้ทั่วหน้ากัน แต่ผู้ไม่บำเพ็ญไม่มีธรรมที่จะไปสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติเท่านั้นจึงทราบไม่ได้ ทีนี้พอมันเป็นขึ้นที่หัวใจนี้มันสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติมันก็ทราบได้ชัดเจนซิ พอสติปัญญาเข้าขั้นอัตโนมัติ สังหารกิเลสโดยอัตโนมัติแล้วกิเลสจะเกิดไม่ได้เลย มันก็รู้ ตั้งแต่ขั้นนี้ไปแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มีเท่าไรก็มีแต่จะมุดมอดลงๆ เพราะการสังหารของสติปัญญาอัตโนมัตินั้นแล หมุนเชื่อมเข้าไปถึงมหาสติมหาปัญญา เชื่อมโยงกัน ซึมกันไปเลย เป็นอยู่ในหัวใจ
กิเลสเกิดไม่ได้ เวลาเกิดก็ฟัดกันๆ เต็มเหนี่ยวๆ ขาดสะบั้นๆ ทีนี้เวลามันระงับเงียบเหมือนไม่มีกิเลสก็มี โล่งไปหมด หากิเลสตัวไหนที่จะมาเสียดมาแทงเป็นข้าศึกต่อธรรมไม่มี บางทีมันยังเกิดความคิดเฉยๆ แต่ไม่สำคัญว่าสำเร็จนะ มันว่างไปหมด ค้นหากิเลสตัวใดก็ไม่เจอ ไม่มี ทีนี้มันก็ขึ้นแล้ว มันขึ้นไม่ได้ขึ้นด้วยความสำคัญว่าตนเป็นพระอรหันต์นะ ขึ้นเวลามันว่างเฉยๆ ว่างกิเลสหมอบ เหอ นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ถ้าว่าไม่เป็นอรหันต์น้อย กิเลสอยู่ไหนออกมาซิน่ะ นี่ไม่เห็นมีกิเลสตัวไหนเลย มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขั้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ แต่รอจังหวะกิเลสจะขึ้นเท่านั้นละ จะฟัดกัน ส่วนที่สำคัญว่าสิ้นแล้วไม่มี เดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาซัดอีกๆ
นี่ละธรรมะฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย อยู่ในธรรมของพระพุทธเจ้านี้ทั้งนั้น แต่ไม่มีใครมาพูดอย่างนี้ เรามีเราเป็นเราก็พูดอย่างอาจหาญชาญชัย ไม่สะดุ้งกลัวต่อใครจะตำหนิว่าอย่างไร เพราะเป็นความถูกต้องอย่างนั้น ในการดำเนินของเรา เราไม่สงสัย ถึงขั้นมันฆ่ากิเลสแล้วฆ่าตลอด นี่ละที่ว่าอยู่กับใครไม่ได้ ต้องอยู่องค์เดียว อยู่กับใครไม่ได้ มีหนึ่งเป็นหนึ่ง มีสองเป็นสอง เป็นความรับผิดชอบกันอย่างลึกลับอยู่ในจิตวิญญาณของคน สัญชาติญาณนั้นแหละ เป็นน้ำไหลบ่า หากมีความรับผิดชอบกันอยู่อย่างลึกลับ ถ้าไปคนเดียวเท่านี้ป่าช้าอยู่กับเราคนเดียว เป็นก็เป็นตายก็ตาย หายห่วงทุกอย่างเลย นี่เป็นความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย ประกอบความพากเพียรฆ่ากิเลสฆ่าได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยที่นี่
นั่นละถึงอยู่กับใครไม่ได้ คือมันไม่ว่างงาน แย็บไปมองคนนั้น แย็บไปฟังเสียงคนนี้ นี่เป็นน้ำไหลบ่าแล้ว นี่ไม่ต้องฟังเสียงใคร ไม่ต้องดูใคร ดูตั้งแต่กิเลสกับจิตฟัดกันๆ เท่านั้น จึงอยู่คนเดียวๆ ตื่นนอนตลอดหลับไม่มีคำว่าเผลอไปไหน นี่ถึงขั้นสติปัญญาทำงานอัตโนมัติจากจิตตภาวนา ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ เราเอามาเป็นสักขีพยานเอง คำนี้ไม่มีละ ตามคัมภงคัมภีร์ท่านก็ไม่แสดง แต่คัมภีร์นี้พระพุทธเจ้าเป็นมาก่อนแล้ว พระสาวกทั้งหลายท่านเป็นจากคัมภีร์นี้ ธรรมเกิดขึ้นจากคัมภีร์นี้แหละ ฆ่ากิเลสด้วยคัมภีร์นี้เอง มันเป็นขึ้นในใจมันก็ยอมรับกัน
ทีนี้เวลาหมุนเต็มที่แล้วนี้กิเลสเกิดไม่ได้เลย ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติเกิดขึ้นแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มีแต่คอยมุดมอดลงไปๆ ที่จะเกิดใหม่ไม่มี จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีกิเลสตัวใดตกค้างอยู่ภายในจิตใจด้วย สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด คือรู้ผลงานของตนถึงขั้นสุดยอดว่าสิ้นแล้ว กิเลสทั้งปวงไม่มีเหลืออยู่แล้ว นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด พอถึงขั้นนั้นแล้วสติปัญญาที่ว่าหมุนตัวเป็นธรรมจักรนี้ระงับลงเอง ไม่ต้องไปบีบไปบังคับว่าให้หยุดได้ ความพากเพียรประเภทอัตโนมัติเป็นธรรมจักรนี้ให้หยุดได้ ไม่ต้องบอก ก็ความเพียรอันนี้ที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติมันก็เป็นมรรค เครื่องฆ่ากิเลส เมื่อฆ่ากิเลสสิ้นซากลงไป ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะไปฆ่าอะไร มันก็ปล่อยเอง
ก็เหมือนนักมวยต่อยกัน คนหนึ่งไปนอนตายอยู่ต่อหน้าแล้วจะไปหาต่อยอะไรอีก หรือว่ายิงสัตว์ สัตว์ตายแล้วจะไปหายิงมันอะไรอีก ปืนนี้ก็เพื่อยิงสัตว์ แน่ะ สติปัญญานี้เพื่อฆ่ากิเลส เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วจะไปฆ่าอะไรอีก นั่นเป็นอัตโนมัติ หยุดเอง สติปัญญาที่เป็นธรรมจักรหมุนติ้วๆ ตลอดเวลา หยุดเอง เพราะไม่มีอะไรจะต่อสู้กันอีกแล้ว นี่ละธรรมอันนี้เอาออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย สดๆ ร้อนๆ ธรรมพระพุทธเจ้า อย่าพากันงมเงาเกาหมัดเกาหมา มรรคผลนิพพานไม่มีอะไร กิเลสมันมาอวดเก่งนะนั่น
พระพุทธเจ้านิพพานเท่านั้นปีเท่านี้ปี นิพพานนานมาแล้วตั้งสองพันสามพันปีนี้แล้ว จะหานิพพานมาจากไหน อยู่ไปกินไปวันหนึ่งให้สบายๆ แล้วก็พอกันแหละ มันก็ไปอย่างนั้น กิเลสกล่อมหัวใจสัตว์โลกรู้ไหม กิเลสมันอยู่บนหัวใจมากี่กัปกี่กัลป์ ไม่เห็นว่ามันอยู่นานแสนนานควรจะครึจะล้าสมัยไปแล้ว ให้ธรรมครองหัวใจแทนบ้างไม่เห็นว่าวะ มันครองของมันไปตลอด บทเวลาพระพุทธเจ้านิพพานเพียงสองสามวันเท่านั้นมันว่ามรรคผลนิพพานสิ้นสุดแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้กอบโกยเอามรรคผลนิพพานจากผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปเลย
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยังคงเส้นคงวาหนาแน่น ที่จะตักตวงเอามรรคผลนิพพานเต็มหัวใจตน เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ให้มันเห็นชัดๆ อย่างนั้นซิการปฏิบัติธรรม ไม่ได้ปฏิบัติพูดออกมาก็ปากอมขี้ ไม่ใช่ปากอมอรรถอมธรรม ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงนั่นละ มันออกมาจากขี้สามกอง พูดออกมาเป็นปากอมขี้ ธรรมพระพุทธเจ้าปากอมธรรม ธรรมไม่มีโลภมีโกรธมีหลง ปากอมธรรม สอนโลกกระจายไปทั่วเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สอนได้หมด พระสาวกทั้งหลายท่านก็สอนได้ทั่วๆ ไปเหมือนกัน นั่นปากอมธรรม หัวใจอมธรรมออกมาทางปาก ปากก็อมธรรม เสียงก็เป็นเสียงธรรมไปหมด นั่น
ท่านสอนท่านสอนอย่างนั้น สดๆ ร้อนๆ นะมรรคผลนิพพาน ท่านทั้งหลายอย่าไปหลงกลกิเลส นี้ธรรมเป็นความจริงออกมาแก้กิเลสตัวจอมปลอม ให้พากันปฏิบัติ กิเลสอยู่กับหัวใจเรา แก้ลงไปแล้วไม่มีอะไรมาโกหก นี่ไม่เคยเห็นกิเลสมาโกหกว่ามรรคผลนิพพานสิ้นสุดลงไปแล้ว ตัวมันโกหกก็คือมันตายไปแล้วมันก็ไม่มีอะไรโกหกละซิ สิ้นสุดลงไปแล้วมีอะไร นี่การปฏิบัติเริ่มต้นมาตั้งแต่ที่ว่ากลัวตายนั่นแหละ กลัวตายยังไม่ถึงที่สุด วิมุตติพระนิพพานยังไม่อยากตาย แต่พอธรรมกระตุกขึ้นมาเท่านั้น เป็นกับตายมันอยู่กับตัวของเรา ความเพียรเพื่อแก้กิเลสก็แก้ที่ใจของเรา ยุ่งอะไรกับเรื่องความเป็นความตาย หมุนกันเข้าไปตามหลักความจริงซี ทุกฺขํ อริยสจฺจํเป็นความจริง นั่นใส่เข้าไปนั้น หมุนเข้าไปนั้น ก็จ้าขึ้นมาเลย
จากนั้นก็กลับไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ไปถึงวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลาห้าทุ่ม เวทีระหว่างกิเลสกับธรรมได้ขาดสะบั้นลงไป ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มบนหลังเขาลูกนั้น มันถล่มที่หัวใจนี้นะ กายนี้ไหวปึ๋งเลยทันที นี่ถล่มที่ตรงนี้ ฟ้าดินถล่ม ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันนี้กระเทือน จะว่าสามแดนโลกธาตุก็ไม่ผิด มันรุนแรงมาก จากนั้นมาแล้วมีกิเลสตัวใดมาหลอก ไม่เคยเห็นมี แล้วก็ไม่สงสัยด้วยว่าจะมีอะไรมาอีก
นี่ละการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมคงเส้นคงวาหนาแน่นด้วยมรรคด้วยผล ขอให้นำมาปฏิบัติ ไม่ได้หนาแน่นด้วยกิเลสตัณหา หนาแน่นด้วยธรรม ทรงมรรคทรงผลด้วยการปฏิบัติธรรม ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตัวให้ดี นี่เรายิ่งแก่มาแล้วเท่าไรเป็นห่วงลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลายที่กำดำกำขาว คว้านู้นคว้านี้ ไม่ได้หลักได้เกณฑ์อยู่มากทีเดียวนะเวลานี้ เราเป็นห่วงมากตอนนี้แหละ
จวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงเรา เราบอกตรงๆ เราไม่มี มีชีวิตอยู่เพียงไรที่ทำประโยชน์ให้โลกเราก็ทำเต็มกำลังของเรา ดังที่ทำอยู่เวลานี้ด้วยการสั่งสอนนั้นแหละ เมื่อหมดสภาพของมัน สิ้นลมหายใจปุ๊บนี้ไม่ต้องบอก ใครก็ตายได้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีอยู่ค้ำฟ้าด้วยกัน ชีวิตนี้ไม่มี มันตายได้ด้วยกัน เวลามีชีวิตอยู่นี้สังขารร่างกายควรจะเป็นประโยชน์แก่โลกก็นำมาแนะนำสั่งสอน ชี้อุบายต่างๆ ให้ทราบทั่วหน้ากันอย่างนี้แหละ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่าไปหลงกลของกิเลส หลงกลของกิเลสแล้วจม จมแน่ๆ ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าเป็นไปตามนโยบายของธรรมที่เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ผิด เอาเลย ไม่ว่ามากว่าน้อยผลจะเกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติดีโดยชอบๆ โดยลำดับลำดาไปนั้นแหละ ให้พากันจดกันจำเอา เดี๋ยวนี้พูดจริงๆ เราไม่ได้ดูถูกโลก เราเอาธรรมความจริงมาดูโลก ธรรมความจริงอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจ โลกเป็นบ้ากันทั้งสามแดนโลกธาตุ ใครรู้ว่าใครเป็นบ้าล่ะ มันมีตั้งแต่ว่าคนนี้ก็ดี คนนั้นก็ดี ชิงดีชิงเด่น มันได้ความดีอะไรมาชิงกัน มีแต่ความชั่ว ชิงชั่วชิงเด่น แย่งกันทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งกว่าหมากัดกัน แย่งอาหารกันเสียอีกมนุษย์เรา มันเลวขนาดนั้นนะเวลานี้
อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี อยากให้เขายกยอสรรเสริญให้ปรากฏชื่อลือนามว่าเป็นคนมั่งมีศรีสุข มียศถาบรรดาศักดิ์สูงลมๆ แล้งๆ หาความจริงไม่ได้ จิตยึดไม่ได้นะนั่น ว่ายศก็มีแต่ลมปาก ตายแล้วไปเกาะยศได้เหรอ ใครเกาะยศไปสวรรค์นิพพานได้ไม่มี แล้วใครเกาะสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยนี้ไปสวรรค์นิพพานได้ไม่มี นั่น ฟังซิ ถ้าว่ามันเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายแล้วเกาะต้องติดไปได้เลย พ้นทุกข์ได้เลย แต่นี่เป็นสิ่งที่อาศัยตามหลักธรรมชาติของธาตุของขันธ์ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็อาศัยเขาไป ก็ให้รู้ว่าอาศัยเขา ไม่ใช่เป็นตัวของเราแท้ เหมือนบุญเหมือนกุศลที่เราสร้างขึ้นมา
บาปก็เป็นตัวแท้อันหนึ่ง เป็นมหาภัยต่อจิตใจ ให้พากันละแล้วสร้างความดีงามขึ้นมาสู่ตนเอง ให้เป็นที่แน่ใจๆ ใจมีหลักแล้วมองไปไหนเป็นหลักตลอดนะ ถ้าใจไม่มีหลัก ไปที่ไหนท้องฟ้ามหาสมุทรดูกว้างขนาดไหนมันก็ดูด้วยความลังเลสงสัย หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้จิตไม่มีหลัก เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมีธรรมเป็นหลักใจ อย่าปล่อยวาง อย่างน้อยพุทโธให้ติดหัวใจ นี่แหละคือที่พึ่งของเรา ธัมโม หรือสังโฆ บทธรรมใดก็ตามให้เป็นอารมณ์ของจิต จิตจะได้เกาะนั้น ตายแล้วดีดผึงเลย ให้ลงนรกไม่มี ได้แค่ไหนก็นั่นน่ะส่งเราไปแค่นั้นๆ จะให้ส่งลงข้างล่างนรกอเวจีไม่มี มีแต่ส่งสูงขึ้นโดยลำดับ ให้เอานี้เป็นอารมณ์
เราอาศัยภายนอกอย่างสมบัติเงินทองข้าวของ เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็อาศัยเขาไป ธาตุขันธ์นี้มีความบกพร่องต้องการอยู่กินอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ก็หามาเยียวยามัน ส่วนจิตใจที่เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ เพราะขาดบุญขาดกุศล จิตใจแห้งผาก ก็ให้รีบเร่งขวนขวายสร้างคุณงามความดี เพื่อเป็นอาหารอันโอชา อาหารอันเลิศเลอเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจ จิตใจก็จะมีความสงบร่มเย็น มีหลักมีฐาน มีที่พึ่งที่เกาะที่ยึด ตายแล้วทิ้งสมบัติอันนั้น สมบัติคือบุญคือกุศลของเรานี้ไม่ทิ้ง เกาะติดไปเลย
ให้แยกกันซิ มีอะไรก็ให้แยก อย่าเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นตนเป็นตัว เป็นเราเป็นของเรา ตายแล้วจมด้วยกันทั้งนั้นแหละ เศรษฐีก็เศรษฐีอย่ามาอวดความจริงธรรมของพระพุทธเจ้าจมทั้งนั้นแหละ มีแต่คำว่าเศรษฐีที่เสกสรรปั้นยอตัวเองว่าเรามีสมบัตเงินทองเท่านั้นๆ แล้วคนอื่นบ้าด้วยกันก็มายกยอกันว่า โอ้ มั่งมีศรีสุขนะ ตายแล้วจมด้วยกันเกิดประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้า-พระสาวกทั้งหลายผู้เป็นธรรมสมบัติเต็มหัวใจแล้วท่านไม่ดีดไม่ดิ้น ท่านสบาย ท่านพอหมด พอในหัวใจนี้พอ เราก็ให้สร้างความดีงาม มีมากมีน้อยจะเป็นที่เกาะที่ยึด เป็นไปด้วยสุคโต อยู่ดี กินดี ไปดี ภพชาติต่างๆ นี้เกิดไปสถานที่ดีงามทั้งนั้น ให้พากันจดจำเอา วันนี้พูดไปพูดมาก็เหนื่อย เอาแค่นี้เสียก่อน
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|