เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
มีแต่ไฟเผาหัวอกรู้ไหม
ก่อนจังหัน
พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาเพื่อความสุขดับทุกข์มา เฉพาะองค์ปัจจุบัน ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว พวกเราทั้งหลายลูกชาวพุทธรับได้บ้างหรือเปล่าวิธีกำจัดทุกข์ แล้วก็สุขเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งศาสนาคือคำสอนวิธีการชำระ นี่สำคัญมาก โลกมอบให้กิเลสชำระหมด ให้กิเลสเป็นเจ้าอำนาจมันก็ไสลงไปทางต่ำๆ หัวใจดวงหนึ่งๆ ดีดดิ้นไปด้วยฟืนด้วยไฟเต็มไปทุกหัวใจ เพราะไม่มีน้ำดับไฟคือธรรม ธรรมต้องหมายถึงศาสนธรรมเป็นน้ำดับไฟ
ท่านผู้นำธรรมมาเป็นน้ำดับไฟก็คือศาสดาองค์เอก เป็นบรมสุข ความสุขเต็มพระทัยเรียบร้อยแล้วจึงนำมาสอนโลก อันดับต่อมาก็พระสาวกทั้งหลายได้ยินได้ฟังแล้วนำอุบายวิธีการนั้น เข้ามาชำระความทุกข์ความร้อนฟืนไฟภายในจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรม ปรากฏผลขึ้นมา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระโสดา องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันตบุคคล เป็นสรณะของโลกเรื่อยมา นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนสัตว์โลก ด้วยวิธีการเอาน้ำดับไฟ คือเอาธรรมนั่นละมาดับกิเลส กิเลสเป็นความรุ่มร้อน ธรรมเป็นน้ำเป็นของเย็น นำมาดับ
โลกนี้ไม่มีใครเอาน้ำมาดับไฟ มีตั้งแต่เรื่องขวนขวายหาเชื้อไฟเข้ามาเผาให้เป็นไฟเผาหัวอกตัวเองๆ ทั่วดินแดน มองไปที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาหัวอกสัตว์โลก พากันเห็นหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านเห็นร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเม็ดเต็มหน่วย พระสาวกทั้งหลายเห็นลดหลั่นกันลงมา เอาหัวใจท่านที่บริสุทธิ์มองดูโลกที่เป็นฟืนเป็นไฟเต็มไปด้วยกิเลสนั้นอย่างถนัดชัดเจน ใครที่จะพอระงับดับได้จากธรรมของท่าน ท่านแนะนำลงไปก็นำไปประพฤติปฏิบัติ ความทุกข์ทั้งหลายก็ค่อยระงับดับลง เพราะได้น้ำไปดับไฟ น้ำได้แก่อรรถธรรมนั่นแหละ
โลกไม่มีนะ เราอยากจะพูดว่าโลกไม่มีน้ำดับไฟ วิธีการน้ำดับไฟ เห็นแต่ไสเชื้อเข้าหาไฟให้มันเผาทั่วโลกดินแดนเวลานี้ นี่ละกิเลสนำโลกนำด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้ ไม่ตายแต่ให้ทรมานอยู่ตลอดเวลา แม้ที่สุดไปตกนรก ความทุกข์ลำบากอะไรจะเกินนรกอเวจีล่ะ ทุกข์แสนสาหัส แต่จิตใจของสัตว์โลกไม่ยอมฉิบหาย ไม่ยอมสูญ ยอมรับความทุกข์ทรมานมากน้อยอยู่ในนรกนั้นกี่กัปกี่กัลป์ก็ยอมรับ แต่ไม่ยอมฉิบหายคือใจดวงนี้ พ้นจากนั้นขึ้นมาแล้ว ความดีงามมี สั่งสมขึ้นมาก็ค่อยเบาขึ้นมาๆ สูงขึ้นมาๆ บำเพ็ญตนให้ถึงจุดสุดท้าย เรียกว่าน้ำดับไฟๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงพระนิพพานก็เป็นธรรมธาตุ จิตดวงนี้ไม่เคยสูญ ถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มส่วนเป็นบรมสุขเต็มหัวใจแล้วก็กลายเป็นธรรมธาตุไปเลย นี่คือหลักความจริงแห่งพุทธศาสนา สอนโลกไม่มีผิด ศาสนาอื่นๆ เราไม่พูดถึง เราพูดถึงพวกเราถือพุทธศาสนาให้เป็นที่แน่ใจ
คำสอนพระพุทธเจ้าสอนออกมาคำใดแน่ใจทั้งฝ่ายชั่วและฝ่ายดี บาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ นำมาสอนโลก ให้พากันฟัง แล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามนี้อย่าฝ่าฝืน การฝ่าฝืนธรรมก็คือการทำลายตัวเองนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านไม่มาแบ่งสันปันส่วนอะไรจากเรา ท่านสอนเราด้วยความเมตตาสงสารล้วนๆ ใครจะเอาก็เป็นความดีของคนนั้น ใครไม่ยอมรับไม่เอาก็เป็นกรรมของสัตว์
ท่านว่ากรรมของสัตว์ คือเป็นไปจากใจของตัวเองที่ยอมรับหรือไม่ยอมรับ ถ้ายอมรับก็เป็นกรรมดีของสัตว์ ถ้าไม่ยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้า ดีดดิ้นไปตามกิเลสตัณหาแล้ว นั่นก็เป็นกรรมชั่วของสัตว์ กรรมนี้จะอยู่ในหัวใจสัตว์ เพราะเหตุไร เพราะใจไม่เคยสูญ ตายลงไปนี้มีแต่ร่างกายแตกสลายลงไป เช่นพวกเราเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นที่รวมแห่งธาตุทั้งหลาย ธาตุสี่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ผสมกันเข้าแล้วมีใจเข้าไปสถิตหรือไปสิงอยู่ในนั้น ไปปฏิสนธิวิญญาณอยู่ในนั้น ก็เรียกว่าคนเกิดคนตาย
พอสภาพนั้นหมดกำลังแล้ว ธาตุขันธ์ก็แตกกระจัดกระจายออกไป จิตดีดออกจากนั้นไปตั้งภพใหม่ชาติใหม่ตามแต่กรรมดีกรรมชั่วของตน ถ้าใครมีกรรมชั่ว ตั้งภพใหม่ก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นกรรมชั่วนั้น ถ้าผู้มีกรรมดีก็กรรมดีนี้หนุนขึ้นไปๆ เรื่อยๆ จนถึงนิพพาน พากันจำให้ดี
คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีผิดมีพลาดเลย ท่านเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เราสวดทุกวัน พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือพระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้วดีแล้ว ไม่มีที่บกพร่อง ไม่มีส่วนเกิน มีพอดีตลอดไป แนะนำสั่งสอนสัตว์โลกให้ปฏิบัติตามนี้ ยากง่ายให้บืนไปตามพระพุทธเจ้านี้พ้นภัยๆ ถ้าใครไม่บืนตามพระพุทธเจ้า เห็นว่าเป็นความสะดวกตามกิเลสฉุดลากไป คนนี้จมไปเรื่อยๆ จมจนจมดิ่งเลย พากันจดจำเอา
คำสอนนี้แม่นยำมากที่สุด เราเกิดในแดนพุทธศาสนา เป็นลาภอันประเสริฐของพวกเรา คำสอนๆ ส่วนมากเป็นคำสอนของกิเลสไม่ได้เป็นคำสอนของธรรม คำว่าเป็นคำสอนของธรรมนั้นคือท่านผู้ที่นำธรรมมาสอนโลกได้แก่พระพุทธเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์ หัวใจเป็นคลังแห่งธรรมล้วนๆ มาสอนโลกจึงไม่มีผิดพลาด ถ้าคลังกิเลสนำกิเลสไปสอนโลกก็เป็นคลังกิเลส วิ่งตามโครงการของกิเลสก็จมลงไปๆ
คำสอนๆ มีอยู่สองอย่าง คำสอนของกิเลสก็มี คำสอนของธรรมก็มี คำสอนของผู้สิ้นกิเลสก็มี คำสอนของผู้เป็นคลังกิเลสก็มี ตามแต่ใครจะเป็นผู้นำศาสนานั้นๆ ถ้าเป็นผู้นำของศาสนาด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ดังพระพุทธเจ้า นอกนั้นก็เป็นธรรมดาของคนมีกิเลส ก็สอนงูๆ ปลาๆ ไปธรรมดาไม่ว่าท่านว่าเรา ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ เราเห็นพี่น้องทั้งหลายสนใจข้ออรรถข้อธรรม ยังเสาะแสวงหาน้ำมาดับไฟ ไม่ใช่มือใดๆ ก็คว้าตั้งแต่เชื้อไฟๆ เข้ามาไสเข้าไฟเผาหัวอกเจ้าของโดยถ่ายเดียว เวลานี้มีตั้งแต่คว้าฟืนคว้าไฟเข้ามาเผาหัวอกนะ ว่าโลกเจริญๆ มันเจริญที่ไหน โลกก็คือโลกฟืนโลกไฟมันเอาอะไรมาเจริญ ธรรมเจริญเจริญที่หัวใจ โลกเจริญคือกิเลสเจริญเผาหัวอกของสัตว์โลก พากันจดจำ
ใครเกิดมาในโลกนี้ไม่ยอมรับเชื่อพระพุทธเจ้าแล้ว เรียกว่าหมดค่าหมดราคา ถ้าใครเชื่อแล้วเสริมค่าราคาของตัวเองขึ้นไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงมีคุณค่าอันสูงส่ง พากันจำเอา เอาละทีนี้ให้พร
หลังจังหัน
การปฏิบัติศีลธรรม ย่นเข้ามาสู่จิตตภาวนา เป็นธรรมชาติที่เห็นได้ชัดๆ เข้าสู่จิตใจ จ้าอยู่ในใจ กองบุญกุศลมากน้อยที่เราได้สร้างมานี้มารวมอยู่ที่หัวใจหมด หัวใจนี้จึงเป็นเหมือนทำนบใหญ่ที่รวมแห่งน้ำทั้งหลายที่ไหลมาจากสายต่างๆ มารวมอยู่ที่ทำนบใหญ่ ก็เหมือนอย่างแม่น้ำทั้งหลายไหลรวมลงมหาสมุทรทะเลหลวงนั้นแหละ จิตใจของเราเท่ากับทะเลใหญ่หรือทำนบใหญ่ หรือมหาสมุทร เป็นที่รวมของแม่น้ำทั้งหลาย ได้แก่กองการกุศลที่เราสร้างมามากน้อย ไหลเข้ามาๆ
ไหลมาจากสายไหนก็ลงไปสู่มหาสมุทรทะเลลึก เข้าไปสู่ทำนบใหญ่ แม่น้ำเหล่านั้นไหลเข้ามาเข้าสู่ที่นั่นก็ค่อยเต็มตื้นขึ้นมาๆ ทีนี้ที่รวมทำนบใหญ่ได้แก่จิตตภาวนา บุญกุศลทั้งหลายที่เราสร้างมามากน้อยนั้นค่อยไหลเข้ามาๆ มาอยู่จิตตภาวนา คือมาอยู่ที่ใจ ถ้าใจไม่มีภาวนามันก็ป้วนเปี้ยนอยู่นั้นละ อยู่กับใจ..กองการกุศลทั้งหลาย พอจิตใจมีการภาวนาก็รวมบุญกุศลทั้งหลายเข้าไปๆ แล้วเด่นขึ้นที่ใจ ทีนี้รวมทั้งหมดที่ได้ทำมามากน้อย เลยไม่ได้สงสัย เหมือนกับน้ำมากน้อยไปดูทำนบก็แล้วกัน อันนี้กองกุศลมากน้อยดูหัวใจเจ้าของรู้ไปหมดเลย ใครจึงลบล้างไม่ได้
สร้างบาปสร้างบุญก็ทำนองเดียวกัน สร้างบาปก็ไหลเข้ามาแบบบาป สร้างบุญไหลเข้ามาแบบบุญ เข้ามาสู่จิตใจ เพราะฉะนั้นคนเราจึงมีความสุขความทุกข์ มีสูงมีต่ำ เพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตนที่สร้างไว้แล้วมันติดอยู่ที่หัวใจ ไปเป็นภพเป็นชาติมันก็ไปตามภพตามชาติสูงต่ำ ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วพาให้ไป ถึงขั้นประจักษ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วก็ไม่ถามใคร พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ ท่านไม่ถามใครเลย คือบารมีของท่านเต็มที่แล้วบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมา
นั่นละบารมีที่สร้างมามากน้อย มาตัดสินกันเวลาบารมีเต็มแล้วบรรลุธรรมปึ๋ง ขาดสะบั้นไปหมด เรื่องกองทุกข์ทั้งหลายไม่มีเลยภายในจิตใจของท่าน จะยอมรับกันแต่ระหว่างที่มีขันธ์อยู่นี้เท่านั้น ขันธ์นี้คือสมมุติ การเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนมีเหมือนประชาชนทั่วๆ ไปไม่ได้ผิดแปลกจากกัน ต่างกันแต่ที่ว่าจะเจ็บปวดแสบร้อนอะไรก็ตามในธาตุในขันธ์ ไม่สามารถซึมซาบเข้าสู่จิตใจที่เป็นบรมสุขนั้นได้เลย อันนั้นเต็มเปี่ยม รวมบุญกุศลทั้งหลายมาอยู่ที่หัวใจ
การพูดนี้ไม่ได้พูดธรรมดา พูดถอดออกมาจากหัวใจ ลงมาจากเวทีมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง พระพุทธเจ้าลงจากเวที สาวกทั้งหลายท่านลงจากเวที สอนโลกไม่ผิด อยู่ในนี้หมดทุกอย่าง ออกแน่วแน่ๆ ไปเลย เราตัวเท่าหนูเราก็สอนได้อย่างองอาจกล้าหาญ ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านว่าจะผิดไปในธรรมที่สอนโลกทุกขั้นแห่งธรรม ดังที่เขาโจมตีมาว่าเขาจะมาฟ้องหลวงตาบัวว่าเป็นอาบัติปาราชิก เพราะอวดอุตริมนุสธรรม เขาว่าอย่างนั้น เขาพูดแหยมๆ มาเราก็อดขบขันไม่ได้ การตอบรับกันก็บอกว่า ให้ยกมาทั้งโคตรเลยมาฟ้องหลวงตาบัว เอา ยกมาหลวงตาบัวเทศน์นี้ผิดข้อไหน เอ้าฟ้องขึ้นมา จะได้สู้ความกัน เราก็ว่าอย่างนั้น เลยไม่เห็นมาฟ้องจนกระทั่งป่านนี้
เขาจะฟ้องว่าเราเป็นอาบัติปาราชิก ว่าเราอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมที่เลิศเลอนั้นไม่รู้ไม่เห็นไม่มีในตน แต่ไปอวดว่าตัวรู้ตัวเห็น ถ้าเป็นความจริงแล้วก็ไม่เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม เป็นประกาศธรรมสอนโลกไปเลย นี่แยกออกให้พี่น้องทั้งหลายทราบที่เขาว่าอวดอุตริมนุสธรรม คือธรรมอันสูงสุดของมนุษย์ ไม่มีในใจของตนแล้วไปอวดอ้างว่าตนมีตนรู้ นำออกประกาศโลก นี่เรียกว่าอวดอุตริมนุสธรรม ถ้าเป็นพระก็ปรับอาบัติปาราชิกเลย
เขาเห็นเราสอนโลกมากน้อยเขาคงจะหมั่นไส้ เขาก็เลยฟ้องมาทางลมปากนั่นแหละ เราก็ตอบทางลมปากเหมือนกัน มาทางไหนเราตอบทางนั้น มาทางลมปากเราก็ตอบทางลมปาก เขาว่าจะมาฟ้องเราเป็นอาบัติปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรม เราก็ตอบรับไปทางลมปาก บอกให้ยกโคตรมาฟ้องเลย ที่หลวงตาบัวเทศน์ไปทั้งหมดนี้ผิดข้อไหน เอ้าค้านขึ้นมา คำนี้จะเป็นคำอุตริมนุสธรรมของหลวงตาบัว เอ้า ฟ้องมา เงียบจนกระทั่งป่านนี้เขาก็ไม่ฟ้อง เข้าใจไหม ไม่ฟ้องก็ไม่เกิดความกันไม่เกิดเรื่องกัน เกิดเรื่องตั้งแต่ลมปากเท่านั้นละ เขาฟ้องมาเราก็รับ บอกให้ยกโคตรมาเราบอก ก็เลยเงียบไปทั้งสองฝ่าย พูดสนุกตลกเข้าใจไหมล่ะ
นี่ละเวลาธรรมเข้ารวมที่หัวใจแล้วมันจ้าไปหมดมันรู้ไปหมด ใครจะไปลบล้างบาปบุญอะไรๆ ไม่ได้นะ อย่านะ พระพุทธเจ้าเลิศเลอสุดยอดแล้ว สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่มีผิดมีเพี้ยน ไม่มีที่จะเพิ่มเติม ไม่มีที่จะนำออกว่าเกินไปๆ ไม่มี สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ถ้าฝืนจากนี้แล้วก็เรียกว่าฝืนพระพุทธเจ้าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป หรือเหยียบหัวตัวเองไปในขณะนั้น ถ้าทำตามธรรมพระพุทธเจ้านี้เหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอด แล้วก็ถึงที่สุดเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้านั่นละ ให้พากันจดจำเอา
ธรรมพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว ถอดออกมาจากหัวใจ ออกมาจากเวทีออกมาพูด กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลย ไม่ต้องถามหาพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ จ้าขึ้นมานี้มันถึงกันหมด เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรไหลลงมาจากที่ต่างๆ คลองใดๆ ก็ตาม พอเข้าไปถึงมหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด ไม่มีคำว่ามาจากคลองนั้นคลองนี้ ห้วยนั้นคลองนี้ไม่มี เรียกได้แต่แม่น้ำมหาสมุทรอย่างเดียว นี่บารมีของเราที่สร้างมามากน้อยนี้ไหลเข้ามาๆ พอมาถึงจุดใหญ่ทำนบใหญ่ แม่น้ำมหาสมุทรคือจิตใจเป็นที่รวมแห่งบุญกุศล จ้าขึ้นมานี้แล้ว เรื่องแม่น้ำสายต่างๆ ไม่ต้องนับไม่ต้องพูดกันมันจ้าอยูในนี้หมดแล้ว การบุญการกุศลมารวมที่หัวใจหมด
เพราะฉะนั้นใครอย่าไปลบล้างคำสอนพระพุทธเจ้านะถ้าไม่อยากฉิบหาย พูดให้ชัดๆ เลย ถ้าอยากฉิบหาย เอ้า ให้ลบล้าง พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นปีนอย่างนี้ สอนอย่างนี้ปีนอย่างนี้ ปีนเพื่อลงนรก พระพุทธเจ้าสอนนี้ฉุดลากขึ้นทั้งนั้นๆ ฝืนพระพุทธเจ้าลงนรกทั้งเป็นนั่นละใครฝืนพระพุทธเจ้า ให้พากันฟังให้ดีคำนี้ เราจะเป็นผู้รับผิดชอบในการทำดีชั่วของเราทั้งหมด พระพุทธเจ้าไม่มารับนะ สอนบอกให้รู้ว่าผิดว่าถูกทุกอย่าง แก้ไขดัดแปลงให้แก้ไข พอหลบ หลบ พอหลีก หลีก อันใดที่ควรบำเพ็ญให้บำเพ็ญ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
เราอย่าฝ่าฝืนพระพุทธเจ้า พระองค์พ้นจากทุกข์ไปแล้วเพราะการดำเนินด้วยความถูกต้อง แล้วนำความถูกต้องมาสอนโลก ให้โลกดำเนินตามนี้จะไม่เป็นอื่น จะไปถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานเช่นเดียวกันหมด ท่านสอนไว้อย่างนี้ เป็นคำสอนที่ชอบธรรม จึงเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ
เวลานี้โลกหนาแน่นไปด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน หาที่สงบสุขซุกหัวนอนไม่ได้นะเวลานี้ ใครจะเอาอะไรมาอวดมันมีแต่ลมปากนะ ใจนี้ไขว่คว้าหาที่พึ่งตลอดเวลา เอาตรงนี้เลย ใจของโลกไม่มีที่ยึดที่เกาะนะเวลานี้ อาศัยสิ่งนั้นอาศัยสิ่งนี้ มีแต่สิ่งที่จะพังๆ เขาไม่พังเราก็พัง ส่วนความดีงามที่เป็นอรรถเป็นธรรมไม่พัง เกาะติดปั๊บติดปุ๊บพึ่งเป็นพึ่งตายไปได้เลย นี่โลกไม่ค่อยสนใจเกาะ ให้พากันรีบเกาะนะอรรถธรรมตั้งแต่บัดนี้ยังไม่ตาย
ตายแล้วนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา หาประโยชน์อะไร พระเองที่มา กุสลา ธมฺมา เช่นอย่างหลวงตาบัวก็ไม่ทราบว่าคนนี้ตายแล้วจะไปไหน เราก็มองเห็นตั้งแต่กล้วยหอมเขามาวางไว้เป็นกัณฑ์เทศน์ กุสลา นั้นแหละ มองเห็นแต่กล้วยหอมกล้วยไข่ไปอย่างนั้น คนนั้นตายแล้วไปเกิดที่ไหนก็ไม่ทราบ มันไม่ได้แน่นะนิมนต์พระมา กุสลา ให้เจ้าของ กุสลา เจ้าของด้วยความฉลาดแหลมคม สร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้เรียกว่า กุสลา เจ้าของด้วยความถูกต้องโดยธรรม นี่ละเป็นไปแห่งความสุขความเจริญ ท่านว่า สุคโต อยู่ก็ดีไปก็ดี เกิดภพใดชาติใดดีทั้งนั้นคนมีความดีงาม ถ้าคนมีความชั่วที่ไหนเป็น ทุคโต ทุกข์ทั้งนั้น จะไปภพใดชาติใดเป็นบาปเป็นกรรมพาให้ไปเกิด ไปอยู่ไปเสวยเป็นแต่ความทุกข์ทั้งหมด ถ้าเป็นความดีงามแล้วไปที่ไหนมีแต่ความดีๆ เกิดในภพใดชาติใดก็เป็น สุคโตๆ ไปดีอยู่ดีกินดีไปด้วยกันทั้งนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
เราจวนจะตายเราบอกชัดๆ แล้ว นี้อายุ ๙๓ ปี กำลังจะเต็ม วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๙๓ ปี เทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลา ๕๖ ปีนี้มัง ตั้งแต่ ๒๔๙๓ มา สอนเรื่อยมา ตอนต้นสอนพระล้วนๆ มีแต่ธรรมะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ สอนส่งเข้านิพพาน ส่งนิพพานเข้าเลยเชียว ต่อจากนั้นมาก็กว้างขวางออกไป เลยกลายเป็นแกงหม้อใหญ่สอนบรรดาพี่น้องทั่วประเทศไทย เฉพาะที่เรานำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมืองนี้ เป็นการกระจายธรรมทั้งหลายออกทั่วประเทศ เวลานี้ก็ออกทางวิทยุ ๖๘ แห่งแล้ว จากธรรมของหลวงตาที่เทศน์ แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านก็มาช่วยบ้างเล็กน้อย เอาเทปท่านมาเปิดบ้างๆ ส่วนมากก็เป็นเรื่องของหลวงตาบัวนี่ละออกหน้าตลอดเวลา
เทศน์เหล่านี้เป็นเทศน์ที่แน่หัวใจแล้วทุกอย่างเราไม่สงสัย ให้ปฏิบัติตามเถอะ เทปหรือเทศน์เหล่านี้จะพาพี่น้องทั้งหลายลงนรกไม่มีแม้แต่กัณฑ์เดียว คำเดียวไม่มี มีแต่จะฉุดลากขึ้นๆ ระวังแต่กิเลสที่มันแฝงอยู่ข้างในมันจะลากลงๆ ให้ระวังให้ดี พอเราคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมกิเลสจะเข้ามาแทรกแล้ว มากีดมาขวางแล้ว จะไปทำบุญให้ทานมันก็หาว่าไม่มีเวล่ำเวลา เจ็บปวดหรือเมื่อยล้าตามข้อตามแขนทุกอย่าง มันหาอุปสรรคมากีดขวางไม่ให้ไปทำความดีงาม แต่ถ้งลงไปตามมันแล้วอยากได้สิบขา สองขาวิ่งไม่พอ อยากได้สิบขา มากต่อมากอยากให้ได้ขาเท่าขาบุ้งกือ วิ่งตามกิเลสจะได้ทัน
อย่างนั้นละเรื่องของกิเลส ไม่มีอุปสรรค ถ้าลงกิเลสได้บงการแล้วไม่มีอุปสรรค จำให้ดีคำนี้ ถ้าเรื่องธรรมแล้วมีอุปสรรคทั้งนั้น ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังกล้าเอาอีกนะ ผิดกันเป็นคนละโลกไปอีก เวลาธรรมมีกำลังกล้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค กิเลสเป็นอุปสรรคไม่ได้ขาดสะบั้นเลยๆ.มีแต่จะพุ่งๆ โดยถ่ายเดียว นี่คือธรรม บารมีแก่กล้าแล้วกิเลสมาแฝงไม่ได้เลย ขาดสะบั้น แต่เวลากิเลสมีกำลังแก่กล้าธรรมแทรกขึ้นมาไม่ได้ มันตบเอาหลงทิศไปเลย ต่างกันนะ
เวลาสร้างความดีขึ้นมามากเข้าๆ มันก็มีกำลังแรงๆ เช่นเดียวกัน เวลาถึงขั้นมีกำลังแรงแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ละที่นี่ มีแต่จะพังๆ ท่าเดียว สุดท้ายพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย นี่ละการสร้างความดีจึงได้ต่อสู้กัน คำว่าต่อสู้ก็กิเลสเป็นข้าศึก ธรรมเป็นธรรม เป็นสมบัติอันล้นค่า กิเลสมาทำลายธรรมอันนี้จึงต้องได้ต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกัน รบกัน มันขี้เกียจเราสร้างความขยันขึ้นมา มันอดไม่ทนท้อแท้อ่อนแอ เอา สร้างความแน่นหนามั่นขึ้นภายในจิตใจ วิริยะ คือความพากเพียรอย่าถอย เพียรเพื่อความดีงาม พระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ด้วยความเพียร สาวกทั้งหลายพ้นทุกข์ด้วยความเพียร สรณะของพวกเราพ้นทุกข์ด้วยความเพียรทั้งนั้น เราอย่าเอาความพ้นทุกข์ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านมาขวางธรรมของพระพุทธเจ้าขวางสรณะนะ ผิด ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ
ศาสนายิ่งจะหมดไปทุกวันๆ จะไม่มีอะไรเหลือแล้วในหัวใจมนุษย์มีตั้งแต่กิเลส มองไปที่ไหนมองเห็นคนทั้งคนมันไม่ใช่คน มีแต่ภูเขาทั้งลูกเต็มอยู่ในหัวคนคือกิเลสเต็มไปหมด มันไม่ธรรมแทรกนะเวลานี้ แล้วยังภูมิใจลมๆ แล้งๆ ไปอีก ตายแล้วจะไปไหนไม่มีใครแน่ใจนะ เอ้าๆ ดูซิชี้ได้เลยไม่มีใครแน่ใจ เด้นๆ ด้านๆ ผ่านนู้นเผ่นนี้ไปเรื่อยทั่วโลกดินแดน เฉพาะอย่างยิ่งทั่วเมืองไทยเรา ไปอยากดูนั้นอยากเห็นนี้ ไปด้วยความเรรวน ไปด้วยความไขว่คว้า ไม่ได้ไปด้วยความแน่ใจนะ
จิตที่มีธรรมในใจอยู่ที่ไหนแน่ใจไปแน่ใจทุกอย่างแน่ใจหมด ท่านอยู่ที่ไหนท่านแน่ใจของท่าน นั้นล่ะที่พึ่งของใจแน่ใจตลอด ถ้าเอาความลมๆ แล้งๆ เรื่องโลกเรื่องกิเลสตัณหามาเป็นที่พึ่งของใจไขว่คว้าตลอดจนกระทั่งตาย ตายไขว่คว้าสุดท้ายตายจมนรกลงไปเลย ท่านทั้งหลายว่านรกไม่มีเหรอ พิจารณาซิ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ องค์ไหนปฏิเสธนรกว่าไม่มี ไม่มีเลย ยอมรับด้วยกันหมดพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ตรัสรู้มา เห็นอย่างเดียวรู้อย่างเดียวกัน ต้องพูดอย่างเดียวกันพูดอย่างอื่นไม่ได้ ยอมรับกันหมด จะเก่งแต่เราคนเดียวนี้หรือไปลบล้างนรก พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีความหมายอะไรเลยเหรอ ว่านรกมีๆ เรานี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้าเหรอ ไปลบบาปลบบุญลบนรกสวรรค์ทุกอย่างไม่ให้มี
มันมีแต่ไฟเผาหัวอกเรารู้ไหมเวลานี้ ให้รีบแก้นะ ดับไฟ นี้ละตัวมันทะนงพาให้เจ้าของจมคือตัวนี้เอง อย่าลืมเนื้อลืมตัวนะ ไม่มีใครเลิศยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า อย่าเอากองมูตรกองคูถทิฐิมานะกิเลสตัณหานี้ไปอวดทองคำทั้งแท่ง คือธรรมของศาสดาองค์เอกนะ จมทั้งนั้นละๆ พากันจดจำให้ดี เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |