เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
โลกดูธรรมดูไม่ออก
ก่อนจังหัน
การประกอบความพากเพียรของพระอย่าหาเวล่ำเวลานะ กิเลสไม่มีเวลา กิเลสเป็น อกาลิโก เผาหัวใจอยู่ตลอดเวลา ธรรมะน้ำดับไฟก็ปราบลงไปที่นั่นเป็น อกาลิโก เหมือนกัน เป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนโลก ท่านสอนด้วยมรรคด้วยผล บรรดาสาวกทั้งหลายล้วนแล้วแต่ผู้ทรงมรรคทรงผลนับแต่พระพุทธเจ้าลงมา นี่เป็นเครื่องประกาศธรรมสอนโลกว่าเลิศเลอ คือธรรม เรามาปฏิบัติเป็นยังไง ให้เลิศไปตามแต่กิเลสอย่างเดียวใช้ไม่ได้นะ
ต้องประกอบความพากเพียรตลอดสม่ำเสมอ สติเป็นพื้นฐานในการเป็นอยู่ของพระเรา สติสำคัญมาก ถ้าขาดสติเมื่อไรนั่นแหละกิเลสออก ออกเอาไฟมาเผาเรา ถ้าสติมีอยู่มันจะหนาแน่นขนาดไหนสติบังคับได้ ได้ตลอดเลย พอเผลอสติกิเลสออก ออกแล้วก็เอาไฟมาเผาเรา มันไปกว้านเอาไฟเข้ามาซิ กิเลสตัวไหนที่สำคัญมากที่สุด คือตัวสังขารความคิดความปรุง สังขารนี่ออกมาจากพื้นฐานใหญ่แห่งกองไฟนรกใหญ่คือกิเลสอันใหญ่หลวง ได้แก่ อวิชชา นั่นละกองไฟอันใหญ่หลวงอยู่ที่หัวใจ มันดันออกมาเป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ได้พบเห็นอะไรๆ นี้เป็นกิเลสๆ ตลอดไปเลย เกิดมาจากสังขารนี่ตัวสำคัญมาก ถ้าสติดีสังขารจะไม่เกิด ถ้าสติเผลอเมื่อไรสังขารจะเกิดเป็นกิเลสตลอด
ท่านสอนพระโมฆราช โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิน่ะ พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าเราว่าเขาอันเป็นก้างขวางคอออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชไปได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้มีสติ พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่า นี่เป็นธรรมท่านสอนพระโมฆราช เราก็เป็นอันเดียวกัน จิตอันเดียวกัน ขอให้จิตเป็นอย่างนี้เถิด โมฆราชจะเกิดขึ้นทันทีในใจของเรา พระองค์สอนเป็นเอกเทศ เรานำมาปฏิบัติจะได้ผลเหมือนกันหมดเลย
ให้ตั้งใจปฏิบัติ วัดนี้ผมให้โอกาสทุกอย่างสำหรับการประกอบความพากเพียร ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งไปเกี่ยวข้องเลย คิดดูซิบริวารอยู่ศาลานี่ จะอยู่ในบริเวณนี้ทั้งนั้น นอกนั้นให้ออกไม่ให้เข้าไปข้างในอันเป็นสถานที่ทำงานของพระ ไม่ให้ไปกวนพระ เราให้โอกาสที่สุดแล้วในการประกอบความพากเพียร งานการใดก็ตามไม่มาแตะต้องทำลายงานประกอบความเพียรชำระกิเลสนี้ได้เลย ผมให้โอกาสตลอด เพราะผมเห็นคุณค่าแห่งความเพียรชำระกิเลสมาตลอดทีเดียว นำมาสอนหมู่เพื่อนก็นำมาสอนด้วยความเห็นคุณค่าแห่งการชำระกิเลส ไม่ได้สอนให้อยู่ด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน ถืองานนั้นงานนี้มาเป็นงานเป็นการของพระ กรรมฐานเราเร็วนะ งานนั้นแล้วงานนี้ ฟังซิน่ะ งานอะไร ดูหัวใจที่มันแสดงเป็นไฟออกมาหาการหางาน คือไฟมาเผามันอีก ดูตรงนั้นซิ
งานการอะไร พระไม่มีงานอะไรแหละ ดูตั้งแต่ไฟที่มันเกิดอยู่ภายในจิตใจ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เกิดขึ้นที่ใจไม่เกิดขึ้นที่อื่น ทีนี้ดับลงที่นั่นด้วยความพากเพียร ท่านทั้งหลายจะเห็นความสง่างามในใจของท่านเอง ที่ว่าหาความเลิศเลอ หาความศักดิ์สิทธิ์วิเศษที่ไหน มันหาลมๆ แล้งๆ กัน ไม่ได้หาถูกต้องตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสอนไว้นี้เลย จึงไม่ได้ปรากฏความสุขความเจริญ
เอาดูให้ดีดูไม่ต้องลำเอียง เอาธรรมดูอย่าเอากิเลสดูกิเลสจะเป็นไฟไปด้วยกัน ถ้าธรรมดูกิเลสจะเห็นหมด โลกนี้ที่จุดไหนจะมีความสุขความสบายพอซุกหัวนอนได้บ้างไม่มี มีตั้งแต่กิเลสทั้งนั้น ร่ำลือก็ร่ำลือลมๆ แล้งๆ กันไปด้วยตาบอดหูหนวกด้วยกัน ผู้สว่างกระจ่างแจ้งคือโลกวิทู ได้แก่ท่านผู้สิ้นกิเลส ดูกระจ่างแจ้งไปหมด นั่นผู้ทรงบรมสุข ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วผู้ทรงบรมสุข ธรรมทั้งแท่งภายในหัวใจท่านดูอะไรชัดเจนหมดเลย นี่เป็นที่ยุติแห่งทุกข์ทั้งหลาย ไม่มีได้เลย มีแต่บรมสุขตลอดเวลา
กำจัดกิเลสตัวเป็นไฟเผาที่หัวใจลงที่หัวใจนะ เอาให้ดีการประกอบความพากเพียร ไม่มีใครละในประเทศไทยเดี๋ยวนี้น่ะ ที่จะมาพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมชำระกิเลส เราอยากจะพูดว่าอย่างนั้น เพราะมันเป็นมาอย่างนั้นอยู่แล้ว ที่จะสอนให้ชำระกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไม่มีนะเดี๋ยวนี้ มีแต่สอนเสริมกันขึ้นๆ แล้วเสริมเท่าไรก็เท่ากับเสริมไฟไปด้วยกันนั่นแหละ เพราะไฟเกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีธรรมติดแนบไปด้วยแล้วเกิดตลอดๆ ถ้ามีธรรมติดไปด้วยแล้วไม่เกิด ธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา อะไรไม่ดีปัดออก อะไรดีนำเข้ามา ธรรมท่านเป็นอย่างนั้น
พากันประกอบความพากเพียร อย่าไปสนใจกับใคร ใครดีใครชั่วอะไรไม่เลยเราไปได้แหละ ตัวชั่วส่วนมากอยู่กับเรา ตัวดียังไม่มี ตัวชั่วละมันอยู่กับเรา คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยกโทษยกกรณ์คนนั้นคนนี้ มองเห็นเขาพับยกโทษเขาแล้ว ได้ยินเสียงอะไรยกโทษแล้วๆ นี่ตัวโทษอยู่ในหัวใจเรา มันไม่มีทางออกมันก็แสดงตัวออกมาทางตาทางหู มองเห็นได้ยินอะไรก็ยกโทษคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ตำหนิคนนั้นตำหนิคนนี้ ไม่สนใจตำหนิตัวเองซึ่งเป็นตัวไฟ มันก่ออยู่ตลอดเวลา ดูตัวนี้ซิ ถ้าดูตัวนี้แล้วคนอื่นไม่สำคัญ จะเห็นตัวนี้เป็นมหาภัยอยู่กับตัว ต่างคนต่างเห็นตัวเองเป็นมหาภัยอยู่ที่ใจแล้ว ต่างคนต่างจะมาระงับดับที่ตรงนี้ ความเพ่งโทษเพ่งกรณ์ซึ่งกันและกันจะเบาลงๆ แล้วไม่มี เป็นอย่างนั้นนะ
กิเลสมันไม่ยอมว่ามันชั่วแหละ มันจะว่ามันดีตลอดๆ คนอื่นดีขนาดไหนมันก็เหมาว่าชั่ว มันดีกว่าเขาทุกคนๆ ในโลกอันนี้ นั่นคือกิเลส ทั้งๆ ที่เจ้าของเลวมันก็ไม่ได้ว่ามันเลว ให้ธรรมดูกิเลสจะได้เห็นจุดนี้ที่หัวใจของแต่ละคนๆ ผู้ภาวนา ผู้ภาวนานั่นละจะได้เห็นโทษของตัวเองที่เกิดอยู่กับจิตตลอดเวลา ถ้าไม่ภาวนาตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีใครเห็นโทษของกิเลส จะเสริมตั้งแต่ฟืนแต่ไฟ ตายแล้วหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ รวนเรไขว่คว้า ไม่มีที่ยึดที่เกาะ
เราจะเห็นได้ชัดพูดให้มันชัดเจน วัดป่าบ้านตาดเป็นสถานที่ชุมนุมชน ทั่วประเทศไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดนี้ ดูทุกอย่าง ใครเข้ามาๆ จะดู เขาก็เข้ามาตามประสาของเขานั่นแหละเขาไม่ได้คิดอะไร ตามนิสัยที่เคยคิดมาเขาจะต้องคิดแบบนั้นละมาเรื่อย วัดนั้นเป็นยังไง วัดนี้เป็นยังไง พระเณรเป็นยังไง ดูเถ่อๆ เถ่อด้วยเซ่อๆ ซ่าๆ ไม่ได้ดูด้วยอรรถด้วยธรรมเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจตนเองเลย มานี่ผู้ที่มีธรรมท่านดูอยู่นี่ เซ่อๆ ซ่าๆ มาแบบไหนท่านดูหัวตับมันโน่นน่ะของเล่นเมื่อไร หัวตับของกิเลสมันอยู่ที่หัวใจคน ท่านดูหมดนั่นแหละ เพราะท่านรู้ของท่านอยู่แล้ว ท่านบำเพ็ญบำรุงรักษาจนสง่างามขึ้นภายในใจ ใจของท่านเป็นใจที่อัศจรรย์ มองดูของเลวร้ายทำไมจะไม่เห็นชัดเจนล่ะ นี่ละท่านดู
วัดป่าบ้านตาดเป็นสถานที่รวมแห่งประชาชนทั้งหลาย เราอยากจะพูดว่าทั่วประเทศไทยทุกภาคเข้ามาเกี่ยวนี้ทั้งนั้น จึงได้พบได้เห็นที่มาสัมผัสสัมพันธ์กันมากน้อย แล้วพิจารณาโดยธรรมๆ เราพิจารณาเต็มหัวใจเรา เราพูดจริงๆ เราสอนโลกด้วยการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว การปฏิบัติตนเองแจ่มแจ้งทุกอย่างในหัวใจ หาที่สงสัยไม่ได้แล้วจึงนำนี้มาสอนโลก ผิดถูกดีชั่วจะเห็นทันทีรู้ทันทีๆ เป็นแต่เพียงว่าไม่แสดงออก รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ไปสถานที่ควรหูหนวกตาบอดก็หนวกไปเสียบอดไปเสีย ไปสถานที่ควรจะตาดีหูดี ดีเร็วที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาตีเอาเรื่อยๆ ถ้ากับคนอื่นเฉย
จึงได้สนุกดู ธรรมดูโลกนี้ดูถนัดชัดเจนทีเดียว โลกดูธรรมดูไม่ออก เพราะเขาไม่มีเขาไม่สนใจจะดู ถ้าโลกดูธรรมก็ดูหัวใจเจ้าของนั่นซี มันเต็มไปด้วยโลกอยู่นั้น ธรรมก็มีอยู่ที่นั่น จำให้ดีนะทุกคนๆ เราไม่อยากให้เสียประโยชน์ผู้ที่มาวัดมาวามาเก้ๆ กังๆ เก้อๆ เขินๆ มาดูตามนิสัยเจ้าของ มันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วนี่ ผู้ที่จะดูเป็นอรรถเป็นธรรมมีน้อยมาก แม้ที่สุดเข้าไปในวัดก็ไม่ได้เป็นธรรม เป็นแบบโลกนั่นละเข้าไป ผู้ท่านเป็นธรรมท่านดูนี่ พากันจำ เอาละให้พร
เออ ขนุนอยู่ตามริมสระข้างในครัวนั่นน่ะ มันสุกมันแก่ที่ไหนให้ตัดกันลงไปเลี้ยงกันๆ ทางโน้น ไม่จำเป็นต้องส่งมานี้ อยู่ทางนี้เราก็แจกกระรอก กระแต พระมันจะตายแล้วล้นปาก อยู่ทางนี้ให้กระรอกกระแต ทางโน้นให้ทางโน้น มันสุกที่ไหนๆ ตัดออกมาๆ เอาไปเลี้ยงกัน วัดนี้เหลือเฟือ ผลไม้ขนุนมีอยู่ทั่วไปสำหรับกระรอก
หลังจังหัน
วัดพระงาม อู๋ย ใหญ่โต เราเคยไปหนหนึ่ง ดูได้ไปหนเดียวละมั้งที่วัดพระงามนี่ เรียกว่าวัดมณีชลขัณฑ์ ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณเป็นน้องชายท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเป็นเพื่อนๆ กันกับสมเด็จมหาวีรวงศ์ คุ้นกันอยู่กับเรา คุ้นกันธรรมดาๆ รู้จักคุ้นกัน แต่วันนั้นเผอิญอะไรก็ไม่รู้ เราเข้าไปกราบท่าน ท่านนั่งอยู่ด้วยกันกับสมเด็จ เราเข้าไปกราบ ท่านเอาใหญ่เลยจะเอาเรากลับไปกรุงเทพ มีแต่จะเอาท่าเดียวไม่ให้มีข้อแม้เลย แล้วท่านเจ้าคุณนี่ละท่านช่วย ท่านคงจะรำคาญก็เลยว่าเอาเสียบ้าง เราก็พ้นตัวไปได้ พอท่านว่าอย่างนั้นทางนั้นก็นิ่ง ไม่มัดเราอีก เราก็ผ่านได้
เผาศพหลวงปู่มั่นนั่นละ พรรษาเรา ๑๖ พอดี จะให้ไปเป็นลูกเขยใหม่อะไรอีก คนเราเมื่ออายุพอสมควรก็เป็นผู้ใหญ่ไป เช่นเป็นเหย้าเป็นเรือนมีครอบครัวเหย้าเรือนอะไรไปอย่างนั้น จะให้มาเป็นเด็กได้ยังไง จะให้มาเป็นลูกเขยใหม่ได้ยังไง ท่านเลยถามเรา เราอยากให้ท่านถามตั้งแต่ท่านยังไม่ถาม แล้วท่านมหาพรรษาเท่าไร เราก็บอก ๑๖ พรรษา โน่น ขึ้นทันทีเลย เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้วนี่ จะไปเป็นลูกเขยใหม่อะไรอีก เป็นลูกวัดลูกวาอยู่ในวัดพระศรีมหาธาตุอีก ก็เราอยู่กับท่านมานานนี่นะ ท่านก็หยั่งรู้นิสัยใจคอของเรา เพราะฉะนั้นท่านถึงติดพันตลอดจะเอาเราไปกรุงเทพ ติดพันมาตลอดเลย
ตอนที่เราหนีนั่นท่านไม่อยู่ ตอนนั้นท่านไม่อยู่ ท่านไปต่างจังหวัด ก็ลาสมเด็จอ้วนซิ ท่านอนุญาตก็เปิดเลย ท่านมาทราบว่าเราหนีไปแล้ว โอ๋ย เขียนจดหมายติดตามเลยเชียว จนกระทั่งมาจำพรรษาที่จักราช วัดป่าจักราช ขึ้นมาจากกรุงเทพก็มาจำพรรษาที่นั่น ภาวนาที่นั่น พอออกพรรษาแล้วท่านมา ท่านเขียนจดหมายบอกมาว่าท่านจะไปอุบลวันที่เท่านั้นตอนเช้า แต่ก่อนมีแต่รถไฟ รถยนต์ไม่มี ให้ไปรอท่านอยู่ที่สถานีจักราช เราก็ไปรอ อันนี้ก็รถไฟช่วยได้
ที่วัดสุทธาวาสก็ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณช่วยได้ ที่จักราชก็รถไฟช่วยได้ พอไปปั๊บท่านโผล่หน้าออกมาที่หน้าต่าง เรามองไปเห็น พอรถจอดปั๊บเราก็โดดขึ้นปุ๊บไปหาท่าน ไม่มีอะไรละท่านก็ดี มีแต่จะเอาไปกรุงเทพถ่ายเดียว มหาบัวต้องกลับกรุงเทพๆ อยู่คำเดียว ก็รถไฟมันจอดนาทีเดียว มีแต่ให้กลับกรุงเทพๆ พอดีรถไฟเคลื่อนเราก็โดดลงเลย พ้นตัวไปได้ มีแต่จะให้กลับกรุงเทพเลยไม่ได้ตอบกันว่าไง ออกจากนั้นก็เปิดมาอุดร ท่านจะเอากลับกรุงเทพท่าเดียว นี่ละองค์หนึ่งที่อยู่บนหัวใจเรา ทางฝ่ายปริยัติก็คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ ทางฝ่ายปฏิบัติก็พ่อแม่ครูจารย์มั่น อยู่บนหัวใจเรา
พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกได้ถึงอาจารย์เจี๊ยะ ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่อยู่บนหัวใจผมนั้นมีอยู่สององค์ ท่านอาจารย์มั่นหนึ่งกับท่านอาจารย์ นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านว่างั้น อันนี้เราก็แบบเดียวกัน คือสมเด็จมหาวีรวงศ์หนึ่ง พ่อแม่ครูจารย์มั่นหนึ่ง อยู่บนหัวใจเรา เรื่องเสียสละนี้เรียกว่าถึงไหนถึงกันหมดไม่มีเหลือ.สมเด็จมหาวีรวงศ์
พระที่ไปบวชก็ไปจากฆราวาส มันไม่ทิ้งนิสัยเดิมนะ คือออกไปจากฆราวาสก็ต้องมีนิสัยใจคอต่างๆ กันไป ไปบวชเป็นพระ คำว่าเป็นพระนี้เป็นคำรวม แต่นิสัยใจคอของผู้ไปบวชเป็นพระนั้นมันเป็นของมันเองอยู่ในพระองค์นั้นๆ เคยตระหนี่ถี่เหนียวไปบวชแล้วก็เป็น ไม่ละทิฐิมานะ ไม่ละความรู้ความเห็นที่เป็นของไม่ดีนั้นเลย ก็เอานั้นไปฝังในเพศของพระ จากนั้นก็กระเทือนถึงหมู่ถึงเพื่อน ที่จะไปแก้นิสัยนี้รู้สึกว่าแก้ได้ยากอยู่ นิสัยเห็นแก่ตัว นิสัยตระหนี่ถี่เหนี่ยว เวลาไปบวชแล้วก็เป็นนิสัยอย่างนั้น เข้ากับหมู่เพื่อนได้ยาก หมู่เพื่อนไม่ค่อยติด
พระท่านท่านก็เป็นคนเหมือนกันนี่ องค์ไหนที่ควรเข้าใกล้ชิดสนิทกันท่านก็เข้า องค์ไหนไม่ควรเข้าท่านก็เหมือนเราเราเหมือนท่าน ท่านก็ไม่เข้า องค์ไหนตระหนี่ถี่เหนี่ยวไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงมากนะ เป็นอย่างนั้นนะพระ เป็นพระก็เป็นเงียบๆ ละ คือไม่มีการแสดงออก ตำหนิติเตียนอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี หากเป็นอยู่ภายในจิต เข้าไม่สนิทท่านก็ไม่เข้า องค์ไหนตระหนี่ถี่เหนียวก็รู้กันอยู่ แล้วองค์นั้นไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงมากมันก็รู้กันอีกแหละ แน่ะ องค์ไหนที่มีอัธยาศัยใจคอดีงามธรรมดาหรือกว้างขวางนี้เพื่อนฝูงมีมากๆ นะ เป็นอย่างนั้นนะ พระก็ยังต้องมีหมู่มีเพื่อนเหมือนกัน
เรานี้เข้าทั้งสองฝ่าย ทางด้านปริยัติเราก็เข้านอกออกในได้หมดเลย ไม่ว่าวัดไหนๆ วัดราษฎร์วัดหลวงวัดใหญ่ขนาดไหนสุดประเทศไทยเราก็เข้าหมด ทางด้านปริยัติ ทีนี้ทางด้านปฏิบัติก็เหมือนกัน วงกรรมฐานเราเข้าหมด สุดยอดกรรมฐานก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น แน่ะ เราเข้าหมด ทีนี้ก็พูดได้หมดละซิ เข้านอกออกในได้ พูดได้สบายๆ การศึกษาเล่าเรียนทางด้านปริยัติเขาปกครองกันยังไงๆ ทางภาคปฏิบัติปกครองกันยังไงๆ มันก็รู้หมด จึงเรียกว่าเข้านอกออกในได้
เราเรียนหนังสืออยู่ก็เรียน พอโรงเรียนปิดเข้าป่า แน่ะ เข้าป่าตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่นะ ไม่ใช่ออกจากเรียนแล้วจึงเข้าป่าทีเดียว เราเข้าอยู่ตลอด เรียนหนังสือพอโรงเรียนหยุดเข้าป่าแล้ว โรงเรียนเปิดมา อย่างนั้นเป็นนิสัย ทีนี้เข้าป่า เข้าป่าไปวัดไหนๆ มันก็ไปได้หมด เรียนหนังก็เรียน เวลาออกจริงๆ ก็บึ่ง มาจำพรรษาที่จักราช จากนั้นก็บึ่งมาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่ทันท่าน มีโยมคนหนึ่ง เราขบขันจะตายไป เรามักจะแพ้แต่ผู้หญิงนะเรา อยู่โคราชก็มาแพ้ผู้หญิง มาจักราชนี่
คือออกพรรษาแล้วจะรีบมาให้ทันพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอยู่วัดโนนนิเวศน์ เราจะมาให้ทันท่าน เขาก็นิมนต์ให้รับกฐินเสียก่อนค่อยไป เราบอกไม่รอ เราจะรีบไปให้ทัน โอ๋ย มาต่อว่ากัน นี่ก็ผู้หญิง เราไม่ลืมนะ คือสนิทกันมาก ลูกของแกลูกสุดท้องชื่อเจริญอายุ ๖ ปี พอตอนเย็นนี้แกจะให้ลูกแกมาส่งพวกโกโก้กาแฟถวายพระแล้วก็มาถวายเรา เด็กคนนั้นมันก็ติดเรา ลูกของแกนั้นแหละ แล้วแกก็เป็นโยมอุปัฏฐากอยู่นั้น มีบ้านหลังเดียวอยู่ฟากสำนักแม่ชีไป สถานีจักราชตั้งกิโลกว่านู่น ไม่มีบ้านคนเลยนะแต่ก่อน เป็นดงเป็นป่าทั้งนั้น
มานิมนต์เรา ให้รอเสียก่อนรับกฐินแล้วค่อยไป เราก็ว่าถ้ารับกฐินจะไม่ทันท่านอาจารย์มั่น แกก็นิมนต์ให้รอ เราบอกไม่รอ มาพูดต่อหน้านี่ แกร้องไห้อยู่ต่อหน้า ทีนี้เรามาเผลอละซิที่นี่ นี่ล่ะเห็นไหมเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงของเล่นเมื่อไร เราก็ขบขันนะ เราโง่กว่าผู้หญิงเราก็ยอมรับ ซัดกันนี้แกร้องไห้ต่อหน้าเราก็ยังไม่อยู่ เพราะคิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นจะไปให้ทันท่าน มาร้องไห้เราก็เฉย ทีนี้ผ้าสังฆาฏิเราเอาวางไว้ข้างต้นเสา เราไม่นึกว่าแกจะใส่หมัดข้างหลัง แกด้อมๆ มาข้างๆ ร้องไห้อยู่นั้นน่ะ เราก็เฉยก็เราจะไม่อยู่นี่จะไป แกฉวยได้สังฆาฏิเราแกก็เปิดไปเลย
พอลงไปบันได ทั้งๆ ที่ร้องไห้อยู่นะ ลงไปบันไดแล้วหันหน้าขึ้นมา นี่ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ ว่างั้นนะ โอ๋ย ไม่ต้องบอกละเรานึกนะ ไม่ต้องบอก แล้วยิ้มด้วยนะ เรายังไม่รู้ตัว เขาแทงข้างหลังเราไม่รู้ตัวเลย ลงไปบันได้หันหน้าขึ้นมา ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ ยิ้มๆ สักพักเขาลงไปแล้วนี้ พระก็ดูอยู่นี่มองเห็น ทำไมเขายิ้มๆ ล่ะ ร้องไห้อยู่เมื่อกี้นี้น่ะ ทำไมลงไปนั้นเขายิ้มๆ ล่ะ ไม่ใช่เสียท่าเขาแล้วหรือว่างั้นนะ พระท่านเห็นแกมาด้อมเอาสังฆาฏิเราไป เราไม่เห็นนะซิพระท่านเห็นนี่ แกได้ผ้าสังฆาฏิแกก็ไป ลงไปบันไดแล้วหันหน้ากลับมา ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ คนร้องไห้อยู่นี่ ลงไปนั้นมายิ้มๆ
เพื่อนก็นั่งอยู่ด้วยกัน นี่ทำไมเขาก็ร้องไห้อยู่นี้ ออกจากนี้ไปเขาด้อมแด้มมาข้างๆ สังฆาฏิเราอยู่ข้างเสา เขามาฉวยเอานั้นไปเลย เราไม่เห็น เขาทำไมจึงยิ้ม ไม่ใช่เสียท่าเขาแล้วหรือ เสียท่าอะไรเราว่างั้น ไม่ใช่เขาเอาผ้าสังฆาฏิไปหรือ พระท่านเห็นอยู่ท่านก็ไม่ว่าอะไร มองดู โอ๋ย ตายเสียท่า เลยต้องไปยอมแก ตกลงเลยต้องรับ ทีนี้เวลาแกเอาผ้าสังฆาฏิไปแล้วแกก็มาถามพระ เอาผ้าสังฆาฏิไปไว้ที่บ้านจะขัดข้องธรรมวินัยท่านยังไงบ้าง มาปรึกษาหารือท่าน พระท่านก็บอกตามหลักธรรมวินัย ออกพรรษาแล้วหรือได้รับกฐินไปแล้วนี้ จะปราศจากไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ เขาเอาไปก็ได้ซิปราศจากได้ใช่ไหมล่ะ ไม่เป็นอาบัติเขาก็บอก
แกก็ยิ่งมั่นใจถึงเอานั้นละมาขู่เรา ท่านจะไปก็ไปซิมาขู่เรา ทีนี้เราก็หมดท่ายอมแก ยอมแกแล้ว แกมาปรึกษาหารือพระเรื่องผ้าสังฆาฏิไม่ขัดกับธรรมวินัยแล้วแกจึงมาขู่เราซิ พอสุดท้ายก็ยอมแก รับกฐินแล้วมา พอดีพ่อแม่ครูจารย์ไปได้สามวันเราก็มา แน่ะก็ยังไม่ทันอย่างนั้นแหละ ถ้ามาก่อนหน้าทัน นี่ละไปที่ไหนมันแพ้แต่ผู้หญิงแปลกอยู่ นี่เราพูดเรื่องอะไรมาจักราช มาที่นี่ (ที่หลวงตาบอกว่าหลวงตามีอยู่ในใจสององค์ หลวงปู่มั่นกับสมเด็จมหาวีรวงศ์) เอ้อ สมเด็จมหาวีรวงศ์อันนี้เก่ง เรื่องเสียสละยกให้เลยไม่มีเหลือ ก็เราเป็นคนดูแลสิ่งของของท่านอยู่กุฏิกับท่าน เราเป็นคนดูแลทุกอย่าง ท่านมอบความไว้วางใจไว้หมดกับเรา
คณะของเราเราเป็นหัวหน้าคณะ ท่านเป็นหัวหน้าใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเวลาเราหนีไปท่านไม่อยู่ท่านจึงตามละซิ จนกระทั่งพรรษา ๑๖ ท่านยังจะเอาไปกรุงเทพฯ อยู่ เพราะท่านเมตตามาก ท่านรู้นิสัยเรา ก็เราทำทุกอย่างกับครูบาอาจารย์ไม่มีที่ต้องติว่างั้นเถอะ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดท่านเมตตาทั้งนั้นแหละ แม้ที่สุดมาถึงหลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน สุดท้ายก็ลงนี้หมดเลย ความไว้วางใจทุกอย่างหมดเลย เอะอะท่านมหาว่าไง แน่ะ เอะอะปั๊บ มีข้อข้องใจตรงไหน ท่านมหาว่าไง แน่ะ พอท่านว่าอย่างนั้นๆ ท่านนิ่งเลยนะ ท่านไม่เคยค้าน เป็นอย่างนั้น
เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งเห็นได้ชัด พอลืมตาปั๊บถ้าไม่เห็นเราอยู่นั้น ท่านมหาไปไหน คือธรรมดาเราจะอยู่กับท่านตลอดเวลา ผู้ใดท่านก็ไม่กล้ามาทะลึ่ง เพราะเห็นเราพัวพันอยู่กับท่านตลอดเวลา ตลอดกิริยาอาการทุกอย่างการปฏิบัติต่อท่านเป็นยังไงพระท่านก็รู้ดีนี่ ท่านไม่เคยตำหนิเรา จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ยิ่งเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ นี้ เรากับท่านจะพัวพันกันอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เคยถูกตำหนิยังไงเลย วาระสุดท้ายเรามอบทุกอย่างกับท่านเลย
เราไปอยู่กับครูบาอาจารย์ หากจะเป็นนิสัยวาสนาอันหนึ่งอยู่ ไปอยู่ครูบาอาจารย์องค์ใดท่านเมตตาทั้งนั้นละ อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์ติดตามจะเอากลับกรุงเทพฯ ก็อย่างนั้นละ อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์นี้ท่านก็เมตตาอีกแบบหนึ่ง ถ้าสมมุติว่าเราหาอุบายวิธีการที่จะลาท่านไปเที่ยวนี้ดูอาการท่านไม่อยากให้ไปเราก็รู้ ไม่อยากให้ไปเพราะเหตุไร เกี่ยวกับพระเณรในวัด นั่น สำหรับประโยชน์ส่วนใหญ่ที่เราจะไปภาวนาท่านก็รู้ คือเวลาเราอยู่ในวัดนี้พระเณรเรียบร้อยทุกอย่าง เราเรียกว่าเป็นทุกข์มากเกี่ยวข้องกับพระกับเณร คอยสอดคอยส่องดูแลองค์ไหนไม่ดียังไง คอยเตือนๆ พอดุดุเอา ทีนี้พระเณรก็เรียบร้อยตลอดเวลาเราอยู่ ทีนี้ตอนจะทราบได้ชัดก็คือเวลาเราหนีไป พระเณรเป็นยังไงท่านจะทราบตรงนี้นะ
เพราะฉะนั้นเวลาเราจะลาท่านไปไหนท่านจึงไม่อยากให้ไป เพราะเราไม่อยู่พระก็ขวางหูขวางตาท่าน แต่ท่านก็เห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราท่านก็ให้ไป ประโยชน์ส่วนใหญ่คือจิตตภาวนา เพราะท่านรู้แล้วนิสัยนี้เอาจริงเอาจังมาก เป็นนิสัยผาดโผนด้วย ถึงขนาดที่รั้งเอาไว้ ส่วนมากทีแต่ท่านรั้งไว้ ถ้าว่านั่งตลอดรุ่งก็ฟาดตลอดๆ จนกระทั่งท่านรั้งเอาไว้ ความเพียรประเภทไหนท่านต้องได้รั้งเอาไว้ มันจริงจังมากทีเดียว กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ด้วยกันมา ๘ ปี เราไม่เคยมีข้อได้ตำหนิท่านสักนิดหนึ่งไม่มีเลย จึงว่าปรมาจารย์ อาจารย์จอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบัน รอบคอบขอบชิดหมดทุกอย่างเลย เอาละวันนี้ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |