สถานที่ส่งเสริมธรรม
วันที่ 3 เมษายน 2549 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

สถานที่ส่งเสริมธรรม

         (วัดอโศการาม อาราธนาหลวงตาไปแสดงธรรมวันที่ ๒๖ เมษายน ๔๙ พร้อมเป็นประธานเททองรูปเหมือนครูบาอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานรวม ๙ องค์ เพื่อประดิษฐานรอบพระธุตังคเจดีย์ให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชา หลวงตารับนิมนต์แล้ว).ออกสนามนี้ออกเพื่อผลประโยชน์จริงๆ ออกเลยเราไม่มีถอย ว่าอะไรเข้าถึงเลยๆ ที่จะเกี่ยวกับเรื่องชื่อเรื่องเสียงอะไรนั้นไม่เอา ถ้าว่าเอาก็เอาเลย ลงแล้วเป็นทุ่มเลยๆ สำหรับประโยชน์แก่โลกโดยเหตุโดยผลๆ แต่สำหรับเราไม่ค่อยเข้ามาเกี่ยวข้องนะ เป็นนิสัยอาภัพอันหนึ่งเหมือนกัน ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย

อย่างที่เขาทำรูปอะไรของเราที่ไปเชียงใหม่ ขนาบใหญ่เลยเห็นไหมล่ะ มาขอโทษ ไม่ขอไม่ได้ เราไม่ได้มีคุณค่ายิ่งกว่าธรรม เราเทิดทูนธรรม เราไม่เห็นดีด้วยนี้ก็เป็นความชอบธรรมแล้วสำหรับเราเทิดทูนธรรม ไม่ขออนุญาตเลยนะ หล่อได้ยังไง เราว่าอย่างนั้น ทำสุ่มสี่สุ่มห้า เอะอะก็มาขอโทษแล้วทำใหม่อีกๆ ทำยังไงทำอย่างนั้น ตีนเขียนตีนลบ มือเขียนตีนลบยังไง เราว่าอย่างนั้นแหละ ทำทุกอย่างเราเอาธรรมออกหน้าตลอด ไม่ให้อะไรออกหน้าเลย เราเทิดทูนธรรมที่สุด

จึงได้พูดผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในวัดนี้ ถ้ามาเพื่อเป็นศีลเป็นธรรมมาเถิดเราไม่ว่า แต่มาระเกะระกะมาเบ่งมาอวดก้ามนั้นอย่ามา ว่างั้นเลย ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี่เลิศเลอสุดยอด นี่พวกมูตรพวกคูถอย่าเอามาอวดธรรมว่างั้นเลย ในวัดนี้ไม่ต้องการอะไร ไม่เทิดทูนอะไรยิ่งกว่าธรรม อย่าเอาสิ่งใดมาอวดไม่ได้สำหรับวัดนี้ ไม่ได้เด็ดขาดสำหรับเรานะ ยิ่งออกมาเปิดเผยแล้วใส่ผางหงายหมาเลย เข้าใจเหรอ เอาจริงๆ เราเทิดทูนสุดหัวใจ เราช่วยชาติบ้านเมืองเอาจนเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงจะเป็นจะตาย ก็เพื่อเทิดทูนธรรมทั้งนั้น

เพราะเหตุนี้จึงได้เตือนเสมอบอกเสมอ พอค่ำสี่ห้าโมงเย็นให้หยุดเงียบ อย่าเพ่นพ่านๆ เราอนุโลมมานานจนจะเน่าเฟะแล้ว นี่มันจะเน่าเอาเสียจริงๆ เลยเตือน เดี๋ยวนี้เตือนไม่ให้คนมาเพ่นพ่าน ตั้งแต่สี่โมงครึ่งล่วงไปแล้วถึงห้าโมงหยุด ใครอย่ามาเพ่นพ่านนะ เสียหมดแล้ววัดนี้ มันไม่ชินนะกับสิ่งเพ่นพ่านเหล่านี้ มันสะเทือนหัวใจอยู่ตลอดแต่ก็เก็บเอาไว้ๆ นานเข้าๆ มันก็ออกละซิ ธรรมจะจมจริงๆ เพราะเหตุเหล่านี้เอง ถ้าไม่รั้งเอาไว้ไม่ได้ธรรมจมจริงๆ

มันเอี่ยมอยู่ตลอดเวลาหัวใจนี่ คุ้นกับอะไรเมื่อไร พูดให้มันชัดเจนเลย ไม่ได้คุ้นกับอะไรในสามโลกธาตุนี้ เทิดทูนตลอดเวลา อะไรจะมาทำอันนี้ให้กระเทือนไม่ได้ เรารักษาขนาดนั้นละ พูดอย่างตรงไปตรงมาเลย จะว่าขวานผ่าซากผ่าแซกก็ตามเถอะ อย่าผ่าธรรมก็แล้วกัน ถ้าผ่าธรรมแล้วแหลกนะ ขวานนี้จะผ่าซากอะไร ก็ซากผีซากเปรตซากเพ่นๆ พ่านๆ เอ้า ผ่าไปเลย แต่อย่ามาผ่าธรรมเราก็แล้วกัน เราเทิดทูนตลอดเวลา ไม่คุ้น ทำประโยชน์ให้โลก ทำไปๆ แต่เรื่องธรรมนี่สงวนตลอด รักสงวนตลอดเวลาแตะไม่ได้ เราเทิดทูนอยู่ในหัวใจนี่ สดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจ ไม่ได้ชินกับอะไรนี่นะ

ไอ้เพ่นๆ พ่านๆ ตอนเย็นนั่นไม่ได้นะ เตือนมานานพอสมควรแล้ว ติดประกาศเอาไว้นั้นด้วยสามแผ่น “ที่นี่เป็นวัดเป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ” เป็นสำนวนของเราเองสั่งให้เขียนอย่างนั้น “ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน” บอกไว้เลย นั่นละธรรมประกาศ เป็นอย่างนั้นธรรม ธรรมเป็นธรรม ธรรมชาติของธรรมเลิศอยู่ตลอดเวลา อย่ามาเหยียบย่ำทำลายธรรม สถานที่นี่เป็นสถานที่ส่งเสริมธรรม ไม่ได้เหยียบย่ำทำลายธรรม เพราะฉะนั้นใครเข้ามาให้ระมัดระวัง อย่ามาเหยียบย่ำทำลายทั้งๆ ที่ผู้หนึ่งรักษาแทบเป็นแทบตาย คนหนึ่งเข้ามาเหยียบย่ำทำลายต่อหน้าต่อตา ก็เอากันบ้างละ

เราเคยไล่ ถ้าเราออกมาเจอเอง จะว่าเจอดีเจอร้ายอะไรก็แล้วแต่ มาเราถาม “มาอะไรนี่” ผิดเวลาแล้วนะนั่น ค่ำๆ ส่วนมากเราจะออก เวลาวันๆ ไม่ออกมันยั้วเยี้ยๆ ปล่อยตามเรื่องไป พอตกค่ำถึงเวลาที่คนเลิกหมดแล้ว นั่นเราออกมา ตามที่เราสั่งไว้เรีบบร้อยแล้วยังมาเพ่นพ่าน เอาละที่นี่ “นี่มาธุระอะไร” ถาม ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ ไม่มีกับธรรมว่างั้นเลย ถ้าหากว่าสงวนศักดิ์ศรีของธรรมอยู่ในนั้นก็ต้องระมัดระวังภาษา มาเพ่นพ่านไม่ใช่ความระวัง นั่นละเอากันตรงนั้น ถามไม่ได้เหตุได้ผล “ออกไปเดี๋ยวนี้ อย่ามาเที่ยวเพ่นพ่าน สถานที่นี่เป็นสถานที่บำเพ็ญธรรม ไม่ใช่สถานที่เพ่นพ่านนะ” แล้วไล่ด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา “ออกไปเดี๋ยวนี้เลย”

ใครจะว่าอะไร ตำหนิติเตียนอะไรเราไม่เคยสนใจ เทิดทูนธรรมตลอดเวลา เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง เราไม่สนใจกับมัน ใครจะติฉินนินทาว่าอะไรไม่สนใจ ขอให้ได้เทิดทูนธรรมด้วยความจุใจเราเป็นที่พอใจ มันเลอะเทอะไปหมดแล้วนี่ วัดวาอาวาสกับชาวบ้านมันก็เป็นอันเดียวกัน แหลกเหลวไปหมด วัดนี้ก็แหลกไปแบบเดียวกัน ก็กระตุกเอาบ้างซิ รั้งเอาบ้าง ไม่เช่นนั้นจะแหลกเหลวหมดเลยนะ กลางค่ำกลางคืนเวลาไหนเราไปตลอด สอดแทรกไปหมดในวัด ไปเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ ไปแบบขโมย ซอกแซกไปนู้นๆ ใครรู้เมื่อไรว่าเราไป ได้เหตุได้ผลมาก็มาเตือน ไปได้เหตุได้ผลอะไรมาก็มาเตือนๆ

การปฏิบัติธรรมถ้าลงธรรมได้เข้าสู่ใจเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยกยอปอปั้นกัน เป็นบ้ากันอยู่นั้น มันจะยุบลงทันที พอธรรมได้ปรากฏเข้าสู่ใจแล้วธรรมจะสง่างามผิดทั้งหลายหมดเลย นี่ละเป็นที่ยืนยันรับรองกันที่ธรรมกับใจ อะไรก็ตามถ้าไม่มีธรรมแล้วก็อย่างเราเห็นนั่นแหละ เลอะเทอะไปหมดเลย ไม่ฟังเหตุฟังผลฟังดีฟังชั่ว ผิดถูกอะไรนี้ไม่ฟัง จะเอาตามใจชอบๆ ให้ได้อย่างใจๆ นั้นคือเรื่องของมูตรของคูถของกิเลสตัณหา เรื่องของธรรมต้องยอมรับความผิดถูกชั่วดีคนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าหวังเอาธรรมเป็นที่พึ่งแล้วควรฟังเสียงธรรม ฟังแต่เสียงกิเลสตัณหามันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว โลกจะพินาศฉิบหายนี้เพราะกิเลสตัณหาจะเป็นเพราะอะไร ธรรมไม่มีที่จะสร้างขวากสร้างหนามสร้างฟืนสร้างไฟเผาโลก ไม่มีในธรรมทั้งหลาย แต่กิเลสมีเต็มหมดเลย มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นเพราะคนไม่สนใจในธรรม กิเลสตัณหาก็พองตัว

ขอให้มีธรรมในใจพวกเรา เราดูใจของเราซิ ถ้าวันไหนใจไม่สงบ วันนั้นละก่อฟืนก่อไฟเผาหัวอกตัวเอง วันไหนใจสงบได้ด้วยการภาวนา วันนั้นสงบเย็นสบาย รู้สึกว่ามีคุณค่า วันเช่นนั้นมีคุณค่า ถ้าวันไหนจิตใจมันดีดมันดิ้นมากๆ มันไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลย วันนั้นเป็นไฟเผาหัวอกทั้งวันเลย ดูหัวใจเจ้าของอย่าไปดูที่ไหน ไฟมันขึ้นที่หัวใจ น้ำดับไฟก็เกิดขึ้นที่หัวใจ ให้นำมาใช้ในตัวเอง น้ำดับไฟคือธรรม ระงับสิ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมทั้งหลายที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวอกตัวเอง แล้วกระจายไปเผาคนอื่น นั่นละคือไฟ

ให้ต่างคนต่างดูหัวใจตนเองบ้าง หัวใจเป็นตัวก่อฟืนก่อไฟ แต่โลกไม่เคยสนใจ วิ่งตามไฟที่มันกระเด็นออกไป วิ่งไปที่ไหนก็ไหม้ที่นั่น ไหม้ไปเรื่อยๆ ถ้าทวนกระแสเข้ามา ว่าไฟเกิดจากอะไรมาจากไหน ความร้อนมาจากไหน มาจากกองไฟ กองไฟอยู่ที่ไหน ที่หัวใจ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ไฟคือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา อยู่ที่ใจ ดับลงที่นั่นมันก็เย็นขึ้นมาเท่านั้น พอใจเย็นเท่านั้นเราจะปรากฏมีคุณค่าขึ้นมาทันที

ทุกวันนี้อยู่มีคุณค่าอะไรบ้างหัวใจคน มนุษย์ทั้งโลกมีคุณค่าที่ไหนไม่มี บอกตรงๆ เลย ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกไม่มี โอ่อ่าไปอย่างนั้นละ เป็นบ้าไปกับกิเลส ถ้ามีธรรมมากน้อยจะเห็นความแปลกประหลาดขึ้นที่ใจ เป็นคู่แข่งสิ่งทั้งหลายที่เคยเป็นภัยในหัวใจมาแต่ก่อนได้ดี อบรมอันนี้ให้สง่างามขึ้นมา ทางนี้สงบเย็นเท่าไร เรื่องวุ่นวายทั้งหลายมันออกจากนี้ก็ถูกน้ำดับไฟแล้วมันไม่แสดงออกมา ค่อยเย็นไปๆ คนเรา

จิตใจเฉพาะอย่างยิ่งนักภาวนา ให้ตั้งใจภาวนาดูหัวใจที่มันดีดดิ้นอยู่นั้น พอใจสงบลงอะไรมันสงบลงหมดนั่นแหละ ฟาดเสียจนกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีเหลือ ใจเลยเป็น สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ไปเลยเทียว ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ดูโลกเป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิที่เป็นภูเขาภูเราขวางกั้นอยู่นี้ ลำคอเราให้กลืนไม่ได้คายไม่ออกนี้ออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่เช่นนี้ นี่ท่านสอนพระโมฆราช

จิตให้มันเป็นอย่างนั้นซิ เป็นพระโมฆราชขึ้นมาทันทีๆ ทุกองค์ ท่านยกตัวอย่างเฉพาะพระโมฆราชเท่านั้น แต่จิตของใครให้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนซิ เป็นโมฆราช ขึ้นมาเหมือนกันหมดเลย โลกว่างเปล่าหมด ไม่มีอะไรเข้ามาขวาง คำว่าขวางก็คือโลก โลกคือสมมุติ กิเลสเป็นยอดแห่งสมมุติทั้งหลาย กิเลสขาดสะบั้นแล้วไม่มีอะไรเข้ามากวนใจ หมด หมดโดยประการทั้งปวง ความทุกข์ไม่มีในพระอรหันต์ ภายในจิตใจท่านไม่มีเลยตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป จึงชี้ได้เลยว่ากิเลสเท่านั้นเป็นก้างขวางคอเป็นฟืนเป็นไฟมากน้อย พอกิเลสขาดลงไปแล้วไม่มีอะไรขวางใจ ว่างไปหมดเลย สมมุติมีอยู่นั้นก็ไปว่าเอาเฉยๆ ตัวปรุงนี้ไม่ปรุงเท่านั้นเหล่านั้นมันก็ว่างไปหมด

เมื่อจิตราบเรียบหมดแล้วโลกนี้ก็ว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไรเป็นภัย เจ้าของต่างหากเป็นภัยต่อตัวเอง ดับภัยในเจ้าของนี้หมดแล้ว สุญฺญโต โลกํ ขึ้นมาเองทีเดียวว่างเปล่าไปหมด หาค่าหาราคาที่ไหน เต็มอยู่ในนี้มีแต่ค่ามีราคาแล้ว ไปหาดิ้นหาดีดที่ไหนกัน พากันจำเอานะ เท่านั้นละ วันนี้เทศน์เท่านี้พอ

เอ้า เร่งนะภาวนาน่ะ ฟาดมัน วัฏจักร เอาธรรมจักรหมุนให้มันขาดสะบั้นลงไป สุญฺญโต โลกํ ไม่ต้องไปถาม ถามที่ไหนจ้าขึ้นมานี้แล้วไม่ถาม คือจิตนี้ถึงจะเป็นอัตโนมัติเป็นความเป็นไปเองก็ตาม ถ้าเร่งมันก็เร็ว ถ้าไม่เร่งมันก็เชื่องช้าเป็นธรรมดา ถ้าเร่งเท่าไรก็ยิ่งเร็วๆ ดังที่พระอนาคามีท่านดับขันธ์ลงไปแล้ว ยังไงท่านก็ไม่กลับมาเกิดแล้ว เลื่อนชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา นี้เป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ตั้งแต่ชั้นแรกไป อวิหา อตัปปา ไปเรื่อย ค่อยไปอย่างเชื่องช้า ตายแล้วไม่ได้เร่ง มันค่อยไปของมันเลื่อนไป ให้ถอยไม่มี หากไปอย่างเชื่องช้าธรรมดา ไปโดยอัตโนมัติ

ถ้าเจ้าของมีชีวิตอยู่นี้เร่งก็เร็ว อวิหา อตัปปา นี้ผึงๆๆ ไปเลย นี่คือมีชีวิตอยู่เร่งความเพียร เร่งมันก็เร็ว ถ้าไม่เร่งมันก็ช้าไปอัตโนมัติของมัน นี่ละที่ว่าสุทธาวาสเป็นที่อยู่ของท่านผู้บริสุทธิ์ ที่จะกลับมาเกิดอีกแล้วไม่มี บริสุทธิ์ล้วนๆ เพื่อความไม่เกิดอีกตลอดไป ถึงได้พระอนาคามีก็ตามก็มีช้ามีเร็วต่างกัน ถ้าท่านล่วงไปเสียท่านก็ไปของท่านนั่นละให้ถอยไม่มี ค่อยไปเรื่อยๆ ถ้ามีชีวิตอยู่นี้เร่ง ในห้าชั้นนี้เสร็จสิ้นในชาตินี้ก็ได้ ชาติที่เป็นมนุษย์ยังมีชีวิตอยู่นี้เร่งความเพียรพุ่งๆ แล้วผ่านได้เลย ถ้าหากว่าปล่อยให้เป็นไปตามนั้นก็เลื่อนไปเอง หากช้า มันต่างกัน อยู่ที่ความเพียร ทีนี้ให้พรนะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก