เอาจริงเอาจังซิ
วันที่ 29 มีนาคม 2549 เวลา 8:15 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

เอาจริงเอาจังซิ

ก่อนจังหัน

เช้าวันนี้พระมาฉัน ๓๙ องค์ สำหรับวัดนี้ที่ไม่มาฉันมีเยอะนะ วัดป่าบ้านตาดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันจังหันครบองค์เลย มีขาดทุกวันๆ วันละ ๗ องค์ ๘ องค์ วันละ ๙ องค์ ๑๐ องค์ ขาดตลอด ท่านไม่มาฉันเรียกว่าท่านภาวนา การภาวนากับเรื่องการขบการฉันสำหรับพระปฏิบัติของเราที่ม่งหน้าต่ออรรถต่อธรรมอย่างยิ่งแล้ว ต้องได้สังเกตการฉันกับการภาวนา เรื่องกิเลสชอบอาหารดีๆ ฉันได้มากๆ กินแล้วนอนก็ดีไม่รู้จักตื่น พลิกนั้นพลิกนี้อยู่งั้นละ อาหารมันกล่อมให้หลับ ตั้งสติไม่ได้ ล้มผล็อยๆ ตั้งสติ ธาตุขันธ์มีกำลังมากทับจิต แล้วภาวนาไม่ดี ถ้าทับมากภาวนาไม่ดีเลย

ด้วยเหตุนี้นักปฏิบัติ ท่านที่เป็นนักสังเกตท่านจึงต้องผ่อน เช่นอย่างอาหาร ตามแต่จริตนิสัย ส่วนมากถูก การผ่อนอาหารสำหรับธาตุขันธ์ ผู้ที่ภาวนาถูก อย่างอื่นก็ให้พิจารณาไปตามจริตนิสัยของตน ถ้าไม่พิจารณาเลยไม่ได้นะ สักแต่ว่าทำๆ ทำไปอย่างนั้นไม่ได้เรื่องได้ราวไม่ได้หลักได้เกณฑ์ ยิ่งพระเป็นนักภาวนาเพื่อมรรคเพื่อผลโดยแท้แล้ว ต้องได้เป็นผู้สังเกต สำคัญมาก เฉพาะอาหารนี้สำคัญมากทีเดียว ฉันอาหารน้อยตั้งสติได้ดี ความเพียรดี สตินั่นสำคัญ ที่ว่าความเพียรๆ ขึ้นอยู่กับสตินะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไร ถ้าสติดีก็เรียกว่าความเพียรดี สติพลาดๆ ความเพียรไม่ดี

เรื่องสติเป็นพื้นฐานตลอดในธรรมทุกขั้นไปเลย จนกระทั่งมหาสติมหาปัญญา ปราศจากสตินี้ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนไว้ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มียกเว้นเลย นี่เรื่องสติ ผู้ภาวนาให้สังเกตตนเอง สติพลาดไม่ดี สติจับติดๆ ไม่ว่าธรรมขั้นใดจะตั้งได้ไม่สงสัย จิตฟุ้งซ่านรำคาญก็ตามถ้าสติดีแล้วครอบได้ๆ ตั้งได้ แต่สติจะดีขึ้นอยู่กับอะไรที่เป็นข้าศึกหรือเป็นคุณต่อสติ ต้องพิจารณา เฉพาะอาหารเป็นข้าศึก ถ้าฉันมากฉันไม่สังเกตสังกาเป็นข้าศึก ภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

ผู้ภาวนาต้องเป็นนักสังเกต ไม่สังเกตไม่ได้ ทำไปๆ เหลวไหลๆ ไปที่ไหนมีแต่กรรมฐาน หากมีแต่กรรมฐานเหลวไหล สักแต่ว่าทำๆ ไม่พินิจพิจารณาตามทางของศาสดา พระพุทธเจ้าพรวดพราดเมื่อไร ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าชุ่ยๆ พรวดพราดนะ ละเอียดลออทุกอย่าง จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสสิ่งใดออกมานี้ถูกต้องๆ แม่นยำๆ เราผู้ไปศึกษาอบรมต้องได้พินิจพิจารณาตามธรรม แล้วก้าวเดินได้ด้วยความราบรื่นดีงาม อย่างไรก็ตามถ้าสติดี พื้นฐานของจิตนี้ต้องมี เช่นผู้ที่ภาวนายังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ จึงยังไม่เคยสงบเลย เอาตั้งสติให้ดี เอากันตรงนี้ละ สมมุติสติกับอาหาร ผ่อนอาหารลง ตั้งสติให้ดีมันจะเป็นยังไง กำหนดดูเวล่ำเวลา วันนี้เราตั้งสติตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มันจะเผลอกี่ครั้ง ดูให้ดี ถ้าผู้ได้ตั้งขนาดนั้นแล้วจะไม่เผลอ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่เผลอ สตินี้จ่อตลอดเวลา กิเลสเกิดไม่ได้นะ

มันจะเก่งขนาดไหนก็ตามเถอะเรื่องกิเลสนี่ เหมือนน้ำจะเก่งขนาดไหนมันเหนือทำนบไปไม่ได้ กั้นอยู่ๆ แม่น้ำมหาสมุทรเห็นไหมมันก็มีฝั่ง ฝั่งนั่นละเป็นเครื่องกั้นน้ำมหาสมุทร สติเป็นเครื่องกั้นกิเลสทั้งปวง ถ้าสติดีแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มันจะดันขนาดไหนก็เกิดไม่ได้ ปิดช่อง เช่นอย่างสังขาร เรียกว่าช่องเกิดของกิเลส สังขารสมุทัยดันออกมา คือกิเลส อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดันออกมาๆ สติบังคับเอาไว้ไม่ให้ออก เอาธรรมแทน ปิดประตู เช่น พุทโธๆ เป็นต้นนะ ผู้ตั้งรากฐานใหม่ให้มีแต่คำว่าพุทโธๆ คิดปรุงคำว่าพุทโธกับคิดปรุงเรื่องราคะตัณหาต่างๆ นี้ผิดกันมาก นั้นเป็นทางเดินของกิเลสจะเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ถ้าคิดปรุงเรื่องอรรถเรื่องธรรมใจจะสงบลงโดยลำดับลำดา จนกระทั่งตั้งสติได้

ท่านทั้งหลายมาภาวนาให้พากันสังเกตนะ อย่ามาพรวดๆ พราดๆ มาดูนั้นดูนี้ดูไม่ได้หน้าได้หลังอะไร ขอให้ใช้ความพินิจพิจารณาถ้าอยากเห็นธรรมวิเศษของพระพุทธเจ้าประจักษ์ใจแล้ว เราจะทราบความวิเศษขององค์ศาสดาเอง ขอให้ธรรมเข้ามาสัมผัสใจมากน้อยเถอะ จิตใจจะลงต่อพระพุทธเจ้าโดยลำดับ จนกระทั่งจิตหมอบราบเลยเพราะรู้อย่างเดียวกัน ความบริสุทธิ์อย่างเดียวกัน ถามพระพุทธเจ้าทำไม เท่านั้นพอ กราบพระพุทธเจ้าอย่างหมอบราบเลย นั่นละผู้ยอมศาสดากิเลสขาดสะบั้น ผู้เก่งกว่าศาสดานั้นกิเลสเหยียบหัวเอาๆ พากันจำให้ดี

บรรดาประชาชนพี่น้องทั้งหลายก็วันนี้เป็นวันพระ เป็นวันสั่งสมความดีงามเข้าสู่ใจ การขวนขวายภายนอกเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ เราขวนขวายมาทุกวันๆ ทางพุทธศาสนาท่านให้ผ่อนคลายในวันเสาร์วันอาทิตย์ วันพระวันโกน  ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ วันเช่นนี้ให้ขวนขวายสมบัติภายในคือบุญคือกุศลเข้าสู่ใจ อันนี้ละจะฝากเป็นฝากตายได้กับบุญกุศล สิ่งเหล่านั้นพอลมหายใจเราขาด อันนั้นเขาเป็นของเขาอยู่แล้ว เขาไม่ไปสวรรค์ ไปนิพพาน ไปนรกอะไร

ตัวใจนี่ตัวจะไปได้ทั้งนรกไปได้ทั้งสวรรค์ อะไรจะพาให้ไป บาปพาให้ไปนรก บุญพาให้ไปสวรรค์ จะติดอยู่ที่ใจ สิ่งเหล่านั้นไม่ติด สมบัติเงินทองข้าวของมีเท่าไรไม่ติด แต่บาปกับบุญนี้ติดแน่ ให้ระมัดระวังอันนี้ให้ดี ให้สั่งสมความดี เมื่อความดีงามมีแล้ว จิตนี้ไม่ต้องหาใครบอกทาง บุญกุศลบอกเอง พุ่งถึงเลย จำให้ดีนะ เอาละให้พร

ที่พูดว่าตั้งสติตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ใครมาพูดอย่างนี้ และใครทำอย่างนี้ ไม่ค่อยมีนะ ทำลอยๆ ไปสักแต่ว่าทำๆ มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เอาจริงเอาจังซิธรรมพระพุทธเจ้าเหลาะแหละเมื่อไร สำคัญตรงนี้ ที่พูดมานี้เราทำมาแล้วนะ จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ หาเหตุหาผลไม่มี มันทำไมจึงเจริญแล้วเสื่อม ความเพียรแทบเป็นแทบตายทำไมมันถึงเสื่อมได้ต่อหน้าต่อตา เพราะเหตุไร จึงมาจับได้ที่จิตไม่ได้มีคำบริกรรม สติไม่ติดนั้นมันเผลอได้ เอาตรงนี้ละ พอว่าเอาลงตรงนี้ลั่นลงไป เหมือนว่าระฆังดังเป๋งนักมวยต่อยกัน เอาตรงนี้ละทีนี้เผลอไม่ได้เลย จึงได้คำพูดมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ตั้งได้เจริญแล้วไม่เสื่อม ขึ้นเรื่อยเลย จึงว่า อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง จึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย

หลังจังหัน

(ลูกศิษย์เป็นโรคมะเร็งฝากปัจจัยมาทำบุญ) เวลานี้มะเร็งมันแก้ไม่ตกไม่ใช่เหรอ สมัยที่พ่อแม่ครูจารย์ป่วยนั้น อันนั้นเป็นวัณโรค ใครเป็นวัณโรคแล้วเรียกว่าเขียนใบตายเลย ไม่มียาใดแก้ตก สมัยนั้นระยะนั้นวัณโรคเป็นโรคที่ร้ายแรงมากที่สุด พอว่าเป็นวัณโรคเหมือนว่าจะสลบทั้งเป็นเลยเพราะไม่มีหาย ตายเลยๆ เดี๋ยวนี้มะเร็งนะ มะเร็งก็แบบเดียวกัน

...พอพูดถึงโรงพยาบาลก็อย่างนี้แหละ ไปจุดไหนๆ ช่วยอย่างนี้ละ บางแห่งซื้อให้หมดเลย ยกไปตั้งใหม่เลย เป็นอำเภอฝาง ขอนแก่น ไปดูเหมือนว่าอยู่ในครัวไฟเขาโรงพยาบาล พอเข้าไปเห็นผ้าคลุมอันหนึ่งโผล่ขึ้นมา เอ๊ะ นั่นอะไร ถ้าเป็นศพก็ศพตายแล้วรอแต่จะเผา เขาว่าเอกซเรย์ มันเป็นอะไร มันเสียใช้ไม่ได้มาได้ ๓ ปีแล้ว เปิดออกดูซิน่ะ เขาเปิดออกให้ เราก็ให้เลย อย่างนั้นละ เรียกว่าให้ ให้ทันทีเลย ก็มันใช้ไม่ได้มา ๓ ปีแล้วว่าไง จากนั้นก็ถามถึงเรื่องโรงพยาบาล เหมือนว่าอยู่ในครัวเรือนเขา ที่ ๙ ไร่ อยู่กลางตลาด โอ๋ย ยังไงกัน ที่จะขยายใหม่ไม่มีเหรอ ถ้ามีจะซื้อให้ เขาบอกว่ามี เราก็ให้ติดต่อเขาดู เราก็ไปดูเองอีกด้วยนะ

ที่ดูเหมือน ๒๕ ไร่พอดีเลย มันเป็นเนินพอดี กว้างกว่านั้นก็ไม่ได้มันต่ำทั้งหมด เหมาะสมเนินนั้นเนินเดียว เป็นเนินสูงๆ ตกลงเอาหมดเลย กี่ล้านไม่รู้ เอาหมดเลยไม่ต่อกันละ แต่เราบอกเครื่องอุปกรณ์ที่จะมาสร้างโรงพยาบาลนี้เราไม่มีนะ เรามีแต่ซื้อที่ให้เท่านั้น ถ้ารับรองก็เอากัน เขารับรองเขาจะขอทางรัฐบาลมาให้ ด้วยความจำเป็นดังที่ท่านอาจารย์ให้อย่างนี้ๆ จะได้ เราก็ว่าเอาเลย เขาก็ได้จริงๆ เขาขอมาสร้างตึกใหม่หมดเลยเป็นเงินงบประมาณ ที่ดินเป็นงบของเรา ก็อย่างนั้นแหละไปที่ไหน ซื้อบางทีก็ตัดครึ่งกันเลย วาริชภูมิครึ่งหนึ่งเลย ไปที่ไหนจำเป็นก็อย่างนั้นแหละ แต่ไม่ได้ก็คือภูหลวง เขาไม่ขายก็หมดปัญญาเรา ที่ต่อกันไป ถ้าเขาขายเราจะซื้อให้เลย เขาไม่ขายเสียอย่างเดียวเราก็หมดปัญญา ตกลงก็เลยคับแคบอยู่อย่างนั้นละภูหลวง

ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นละโรงพยาบาล มันคำนวณไม่ได้นะเครื่องมือแพทย์  รถยนต์ อะไรต่ออะไรอยู่ในนั้นๆ หมด มิหนำซ้ำที่ด้วย ซื้อให้ๆ หลายแห่งนะ พรรณนาไปก็ไม่จบแหละมันมากต่อมาก ช่วยอย่างนั้นละเราช่วยโลก เราพูดชัดเจน ถอดออกจากหัวใจมาพูดเลย จึงไม่มีคำว่าโกหกแม้เม็ดหินเม็ดทราย พูดคำไหนออกไปจริง เว้นแต่พูดเล่น ฟังแต่ว่าเล่น เช่นอย่างเล่นกับหมานี้ซัดกันเลย ไม่มีของจริงละกับหมา ซัดกันเลยกับหมา ถ้าเล่นกับคนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าจริงแล้วจริงอย่างเดียว ถ้าเล่นแล้วเล่นใครมาจริงมายุ่งด้วยไม่ได้ ซัดอย่างนั้นแหละเรา หันไปทางไหนเป็นอย่างนั้น

เรียกว่าเราช่วยเต็มกำลังความสามารถ เราไม่เอาอะไรเราบอกแล้ว ทุกอย่างเราทำด้วยความเมตตาทั้งนั้น จตุปัจจัยพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยนี้กระจายทั่วประเทศไทยเหมือนกัน ให้เข้ากับเราไม่มีเลย ออกล้วนๆ ด้วยความเมตตา เราบอกว่าพอแล้ว พอแล้วจะไปหาเอาอะไรมาอีกล่ะ ถ้าอย่างนั้นมันจะพออะไร ถ้าพอแล้วต้องพอ ไม่เอาทั้งนั้น อะไรมาออกหมดเลย ทางเข้าทางออกเปิดโล่งไว้หมดเลย บางทีติดหนี้เขา ติดอยู่เรื่อยนะ มันจำเป็นจริงๆ ไม่ทันใจ เอาเลย ติดหนี้ไปเรื่อย ติดหนี้ก็ใช้ได้เร็วอยู่ เรื่องติดหนี้ติดเรื่อยมันจำเป็น คว้าไม่ทัน ไม่ทันก็เอาก่อน ติดหนี้ เป็นอย่างนั้นละ

ติดหนี้เพราะอะไร เพราะความเมตตา ไม่ใช่อะไรนะ เรื่องความเมตตา ความเมตตานี่ไม่มีเหลือ แบตลอด มีเท่าไรตกออกหมดเลย ความเมตตากวาดออกๆ ความตระหนี่กว้านเข้ามาๆ  ความเมตตานี้ปัดออกทั้งนั้น มีเท่าไรหมดๆ อยู่อย่างนี้แหละเรา เราช่วยจริงๆ เราพูดอะไรเราจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คือเราเอาของจริงออกพูดทั้งนั้น เราไม่ได้พูดเหลาะๆ แหละๆ เวลาจริงจริงมากทีเดียว เวลาเล่นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เวลาจริงนี้จริงมาก ถึงไหนถึงกันเลย อย่างที่ว่าที่นี่แหละ จะให้ไร่ละล้านๆ เลย เขามาเขาจะไม่เอาซิที่นี่ ไม่ได้ ตกลงแล้ว ใครๆ เราจะให้แบบเดียวกัน สตางค์หนึ่งก็ไม่ให้ลด ให้เลย นางน้อยนี่ละที่มัน ๔ ไร่ ให้ ๔ ล้านเลย แล้วก็ถมดินอีก โถ ไม่ใช่เล่นๆ แล้วปลูกตึกขึ้นอีกหลังหนึ่ง จวนจะเสร็จแล้วละ ช่วยอย่างนั้นช่วยโลกช่วยไม่หยุดไม่ถอย

เมื่อวานนี้ยังได้พูดอยู่ เราเข้าไปโกดังเพื่อจะไปดูรายชื่อโรงพยาบาลต่างๆ ในวันหนึ่งๆ มารับของจากโกดังนี้เท่าไรกี่โรง พระท่านจะเขียนไว้หมดเพราะตอนค่ำเราจะเข้าไปดู พอดีก็ไปเจอเอาโรงพยาบาลภูหลวง พอว่าโรงพยาบาลภูหลวง อ้าว ภูหลวงนี่ดูเราเอาไปให้เมื่อเร็วๆ นี้ทำไมถึงมาเอาอีกมันเป็นยังไง เอาบัญชีมาค้นดู โรงไหนๆ มีหมด โรงไหนให้วันที่เท่าไรๆ ลงไว้นั้นหมด นี่เราไปให้เมื่อเร็วๆ นี้ทำไมวันนี้มาอีกแล้ว เป็นอะไรโรงนี้น่ะ ค้นดูก่อนมันสะดุดใจ เป็นเดือนนี้ละเราเอาไปให้วันที่ ๑๕ วันที่ ๒๘ เมื่อวานเขามาเอาอีก มันตรงเป๋งเลย นี่แสดงว่าไม่คิดช่วยตัวเองเลย มันลืมตัวนะโรงพยาบาลโรงนี้ นั่น เอาละนะ จะมีอะไรกันนะถ้าลงได้จับปั๊บแล้ว

ไปแต่ละโรงเราไปโรงไหนเราจะดูบัญชีเสียก่อน เดือนหนึ่งแล้วเราไปๆ คือจะให้กระชั้นชิดกว่านั้นไม่ได้เพราะมากต่อมากที่เราจะให้ เมื่อวานนี้ ๑๓ วันมาขออีก มาเอาอีกเมื่อวานนี้ จึงไล่เบี้ยกันจนได้หลักฐานมา เราเอาไปให้วันที่ ๑๕ เดือนนี้ แล้ววันที่ ๒๘ มาก็เพียง ๑๓ วัน แสดงว่าของเอาไปให้นี้ได้ ๑๓ วันหมด แล้วมาขออีก นี่ไม่คิดช่วยตัวเองเลยโรงพยาบาลโรงนี้ นั่นเอาละนะ แต่ละโรงๆ เราไปประมาณหนึ่งเดือนเราไปทีหนึ่ง ไประยะสั้นกว่านั้นไม่ได้ เพราะมากต่อมากที่ไปช่วยโลก

เมื่อวานมาติดใจอยู่โรงนี้แหละ ยังจะเอาโรงพยาบาลอีกนะนั่นน่ะ ของเล่นเมื่อไร ไปถึงจะจี้เลย เป็นอย่างนั้นนะไม่เหมือนใคร แล้วก็มีหลักฐานพยานยืนยันด้วย เอาหลักฐานมาดูจริงอย่างที่เราว่า เราสะดุดใจกึ๊กๆ ก็เอาไปให้เมื่อเร็วๆ นี้ทำไมถึงมาเอาอีกแล้ว โรงอื่นเขาก็มีหัวใจเหมือนกัน ทำไมโรงนี้จึงแปลกกว่าเพื่อนล่ะ เพียง ๑๓ วันหมดแล้วกลับมาเอาอีก นี่มันจะลืมตัวแล้วนะไม่คิดช่วยตัวเอง แน่ะ เรามีหลักมีเกณฑ์ไว้ทุกอย่าง จับตรงไหนติดเลยๆ ไม่พลาดแหละ อย่างโรงไหนๆ มาลงบัญชีไว้หมดเลย โรงไหนมาวันที่เท่าไรๆ มาห่างหรือมากระชั้นชิดอะไรอย่างนี้จะรู้ๆ อย่างที่ว่าเมื่อวานนี้

เมื่อวานนี้ก็ไปคำตากล้า ถ้าเราไปโรงไหนก็ให้โรงละสองหมื่นๆ เดี๋ยวนี้ให้โรงละสองหมื่น แต่ก่อนให้แต่ของ เงินไม่ให้ ครั้นไปเราก็ถามเขาดู รายจ่ายสำหรับคนไข้เดือนหนึ่งหมดเท่าไร บางโรงบอกว่าหมดเท่านั้นบ้างหมดเท่านี้บ้าง เราเลยคิดเฉลี่ยเอา คือเดือนละหมื่นก็มี หมื่นกว่าก็มี สองหมื่นสามหมื่นก็มี เราเลยให้เฉลี่ยเอา คือให้โรงละสองหมื่น โรงนี้สองหมื่น โรงนั้นสองหมื่น เดี๋ยวนี้ให้อย่างนั้นทั้งนั้น ไปโรงไหนให้โรงละสองหมื่นๆ ทุกโรง เมื่อวานไปก็ให้สองหมื่น

นี่เราก็สงสาร คนไข้ชีวิตจิตใจทุกอย่างมามอบไว้กับหมอกับโรงพยาบาล ตลอดญาติคนไข้ด้วยมามอบด้วยกันหมดเลย เราก็ต้องได้ดู หมอถ้าไม่มีเครื่องมือก็ก้าวไม่ออก แน่ะ คนไข้มาอยู่นั้นไม่ได้อยู่ได้กินก็ไม่ได้ ต้องได้ช่วยทุกอย่างๆ นั้นแหละ ถ้าพูดเรื่องเงินเราไม่มี เพราะมีไม่ได้ว่างั้นเลยเรา มีเท่าไรออกหมด ออกด้วยความเมตตาไม่ใช่ออกเพราะอะไร ออกด้วยความเมตตาล้วนๆ ออกตลอดเวลา ทีนี้คนที่เขาไปถอนเงินเขาก็ยังมาพูดให้เราฟัง เลยทำให้เราคิดเหมือนกันนะ คือเงินสดมันไม่ทัน เมื่อเงินสดจะหมดแล้วไปถอนออกจากบัญชีมาเพื่อจ่ายๆ ทีนี้มันถอนแล้วมันไม่พออีก ไปถอนมาอีก อย่างนั้นเรื่อยๆ นะเรา

เพราะเราถอนด้วยความบริสุทธิ์ทุกอย่าง เงินเหล่านี้เงินเพื่อโลกทั้งหมด ไม่ได้มีคำว่ามัวหมองติดในบัญชีเลย ทีนี้ทางคนที่เขาไปถอน ทางธนาคารเขาก็ไม่ว่าอะไรละ ไม่มีเขาก็ไม่ว่าอะไร แต่ทางนี้ก็ได้คิดว่างั้น ถ้าถอนบ่อยนักกลัวทางธนาคารเขาจะคิดอะไรต่างๆ กับทางวัดว่างั้น เขามาคิดอะไรกับเรา เราว่างี้นะ พวกนักโทษพวกโจรผู้ร้ายเต็มบ้านเต็มเมืองเขาทำไมไม่คิด ทำไมมาคิดกับหลวงตาบัวที่สุดแสนบริสุทธิ์แล้วนี่นะถ้าไปถอนบ่อยๆ กลัวเขาจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เขาคิดไปบอกเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้านะ ที่เขียนใบถอนให้แล้วเขายังไม่เอา เขาเอาเงินของเขามาใช้ก่อนก็มี นั่นอย่างนั้นมีนะ เขาคิดหน้าคิดหลังเพื่อเราเหมือนกัน

เราไม่ต้องคิด เอ้า.มาเมื่อไรให้ว่ามาหาเรา เงินนี้เป็นเงินของวัด เป็นเงินของความบริสุทธิ์แล้ว เราจะจ่ายด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาก็ไม่กล้าละ.ทางธนาคารเขาก็ไม่ว่าอะไร แต่นี้เขาก็คิดของเขา เห็นว่าเราไปถอนบ่อย คือเงินไม่พอใช้เข้าใจไหม มันจ่ายระๆ อยู่รอบตัว นี่ที่ว่าเราไปถอนบ่อย ก็เลยเกรงใจทางธนาคารเขา กลัวเขาจะคิดอย่างนั้นอย่างนี้กับทางวัดว่างั้น ให้เขาคิดมาก็บอกตรงๆ เลย ถ้าเป็นผู้ต้องหาเราจะเป็นเองเราบอก เราทำประโยชน์ให้โลกนี่ เขาก็ยังเกรงอยู่นั้นละ เรื่องโลกมันเป็นอย่างนั้น เรานี้เป็นธรรมล้วนๆ เวลาไม่พอก็ต้องไปถอนออกมาๆ มีไว้ฝากไว้เพื่ออะไร ฝากไว้เพื่อถอนเพื่อทำประโยชน์ ก็มีเท่านั้น

คือเราไม่มีอะไรเหมือนโลกเขานะ เราบริสุทธิ์จริงๆ ว่าอะไรตรงเป๋งๆ ไปเลย โลกเขามีเล่ห์เหลี่ยมร้อยสันพันคม ทางธรรมะเราไม่มี ตรงไปตรงมา นี่ก็ได้บอกกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายไว้ เวลาหลวงตาบัวตายนี้ เงินในบัญชีฝากธนาคารยังมีอยู่มากน้อยเพียงไร ให้ทราบเอานะว่า เงินเหลืออยู่มากน้อยเพียงไรนั้นเพื่อโลกทั้งนั้นไม่ได้เพื่อเรา มันจะเหลืออยู่เป็นสักพันล้านหมื่นล้านก็เพื่อโลกทั้งนั้น ไม่ได้เพื่อเรา ให้เข้าใจตามนี้ ที่จะมาเพื่อเราไม่มี เหลือก็เหลือไว้เพื่อจะช่วยหรือเพื่อจะใช้เวลาจำเป็น ควรจะออกมากออกน้อยเราพิจารณาหมดภายใน ถ้าอันไหนที่ควรออกข้างนอกก็เอาไปเสียก่อน เงินสดมีเท่าไรเอา บางทีเงินสดไม่ทันเขาเอาเงินของเขามาช่วยก็มี แต่เขาไม่บอกเรานะ เขาเอาเงินของเขามาช่วยก็มี

แต่เรานี้สั่งอย่างเดียวว่า ถ้าเราสั่งเท่าไรให้ได้มาเท่านั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ เราสั่งอย่างนั้นเลย มีเท่าไรไปหามาให้ได้ คือเราสั่งจะเอาเท่านั้น ให้เอาออกมาทันที เราจ่ายทันทีเลย ทั่วไปหมด เพราะเราจ่ายเพื่อโลก เราไม่ได้จ่ายเพื่อเรา สำหรับเพื่อเราไม่มี เพื่อโลกสงสารที่มีความจำเป็น

สรุปทองคำน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๒๘ มีนา ทองคำที่หลอมแล้ว ๒๓๗ กิโลครึ่ง เป็น ๑๙ แท่ง ทองคำที่ยังไม่หลอม ๑๒ กิโล ๓๖ บาท ๒๒ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม เป็นทองคำ ๒๕๐ กิโล ๓ บาท ๓๓ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบแล้วนั้นเข้าไปด้วยก็เป็น ๒๘๗ กิโล ๓๖ บาท ๒๒ สตางค์ นี่ก็จวนจะถึง ๓๐๐ แล้ว คือเรามอบ ๑๑ ตัน กับ ๓๗ กิโลครึ่ง ๓๗ กิโลครึ่งหักออกมารวมอันนี้เข้าไป ได้ทองคำกับจำนวนใหม่นี้ ๒๘๗ กิโล ๓๖ บาท ๒๒ สตางค์ ให้มันได้ไปอย่างนี้ละ ค่อยไหลซึมเข้าไปเรื่อยๆ ไม่ไปไหนละ สมบัติเงินทองที่เข้ามาหาหลวงตานี้ไม่ไปไหนเลย ร้อยทั้งร้อยบริสุทธิ์สุดส่วนตลอดมา อันนี้ทองคำก็เหมือนกัน มันก็ได้เข้าไปเรื่อยๆ นี่ ๒๘๗ เกือบจะ ๓๐๐ กิโลแล้ว ๒๘๗ กิโล ที่มอบแล้วนั้นเป็นเรียกว่า ๑๑ ตันแล้ว ทีนี้เศษมานี้เป็น ๒๘๗ กิโล จวนจะถึง ๓๐๐ แล้ว

วันนี้ทองคำได้เท่าไร (ได้ ๓ บาทเจ้าค่ะ) เอ้อ ๓ บาท แน่ะก็ได้ทุกวันๆ เมื่อวานได้เยอะนะ (เมื่อวานนี้ได้ ๑๔ บาทครับ) นู่นน่ะเมื่อวานได้ถึง ๑๔ บาท ออสเตรเลีย ฝรั่งเอามาให้เป็นแท่ง รวมแล้วเป็น ๑๔ บาทพอดีเมื่อวานทองคำ วันนี้ได้ ๓ บาท เพิ่มเข้าไปทุกวันๆ หานั้นหาเพื่อแผ่นดินไทยเรา เราเป็นคนหาเข้ามาๆ เพื่อแผ่นดิน เพราะฉะนั้นใครมายุ่มย่ามจึงไม่ได้ เช่นเขาจะมารวมบัญชีก็ฟัดกันกับหลวงตานั่นเห็นไหม เงินเรากำลังขนเข้าบัญชีๆ ทางนั้นปุบปับจะมาล้วงเอาหมด เอารวมบัญชี เห็นไหมล่ะรัฐบาลก่อนนะ จะมารวมบัญชี ก็คือหมายความว่า จะมาเอาบัญชีที่แตะไม่ได้นั้นน่ะออกหมดเลย พอว่ารวมบัญชีเรารู้ทันทีเลย จึงบอก ทางนี้ก็ขึ้นทันที อย่ามาแตะขึ้นเลยนะ ถ้ามีปัญญาไปหามาใหม่ ทางนี้หามาแทบเป็นแทบตายมาล้วงไปได้เหรอ

บอกว่าอย่ามาแตะทันทีเลย หงายไปเลย แตะก็เอาจริงๆ ละเรา ถ้าลงได้สู้ไม่ถอยยังบอกแล้ว เหตุผลกลไกมีอยู่นี่ ธรรมดาเราไม่เข้าไปเกี่ยวข้องเงิน แต่นี่เรากำลังขนเงินเข้าทองคำเข้า ทางนั้นก็จะมาลากออกไป มันก็ซัดกันเข้าใจไหม มันมีเหตุผลอยู่นั่นน่ะ จึงบอกว่าอย่ามาแตะ บอกเลย ถ้ามีปัญญาให้ไปหามาใหม่มาเพิ่ม เขาก็ไม่กล้า เขาไม่มีปัญญา เขาไม่ไปหามาใหม่ แต่เขาก็ไม่เอาของเราไป เรื่องก็เลิกแล้วกันไป ถ้ามาทะลึ่งไม่ได้นะนั่นเอาจริงๆ เหตุผลหลักเกณฑ์มีอยู่มาทำลายทำไม เอาเท่านั้นละ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก