เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ปล่อยความกังวลเข้ามาสู่จิต
สันติ ทุกวันนี้ภาวนากำหนดสติกับจิตอะไรๆ ก็รู้ แต่สุดท้ายกลับไม่รู้อะไรเลย อีกอันหนึ่งรู้อย่างเดียวว่าไม่ดับ แต่อย่างอื่นไม่รู้เรื่องไม่ว่าเห็นหรือได้ยิน อย่างอื่นนึกไม่ออก อธิบายไม่ได้ รู้อย่างเดียวว่าจิตไม่ดับ
หลวงตา พิจารณาอยู่ในนั้นเสียก่อนนะ ให้อยู่ในปัจจุบันที่เป็นอยู่เวลานี้ สติกับจิตรู้กันอยู่ จะมีอะไรเคลื่อนไหวขึ้นมาก็จะได้รู้กันต่อไป ไม่ต้องคาด จิตขั้นนี้ไม่คาด เข้าใจไหม อยู่ปัจจุบัน
สันติ รู้สึกสติมีอยู่ปัจจุบัน แต่อะไรที่ผ่านมาหายหมด
หลวงตา อะไรหายช่างหัวมัน อะไรเป็นมาหายทั้งนั้นแหละ อะไรไม่ใช่เงาไม่หาย มันอาการของจิต จะเกิดจะดับตามความหยาบละเอียดของมัน คือจิตมีฐานละเอียดแล้วอาการต่างๆ ก็เกิดขึ้นของมัน ให้รู้อยู่นั้นก่อนนะ
สันติ มันเป็นอยู่เกือบทุกวัน
หลวงตา ก็อยู่อย่างทุกวัน จนกระทั่งวันตายก็ตายไปเลย
สันติ รู้สึกมีอะไรอยู่กลางอกเล็กๆ หมุนอยู่ตรงกลางอก หมุนแรงแบบจะออกเจ้าค่ะ
หลวงตา พูดยากอยู่เราก็เห็นใจเขา ธรรมะขั้นนี้พูดยาก เรื่องเข้าใจเราเข้าใจ แย็บออกมารู้ทันทีเลย สิ่งที่พูดยากเราก็รู้อยู่แล้ว อันใดพูดยากพูดง่ายรู้อยู่
สันติ มันเป็นอยู่หลายวัน ลูกหมดแรง เหนื่อย
หลวงตา หมดแรง เหนื่อย เอาขันธ์มาพูดกับเราอีก เรื่องขันธ์มันก็เป็นอย่างนั้นซิ หมดแรง เหนื่อย เหนื่อยก็นอนเสีย ถ้านอนไม่ตื่นก็ตายไปเลยจะให้ว่าไง เอาเท่านั้นละ อยู่กับปัจจุบันนะ อยู่ในนั้นละไม่สงสัยอะไร ตัวรู้มันจะเป็นนักรู้ตลอดเวลา มีอะไรขึ้นมามันจะรู้ๆ รู้ติดก็มี รู้พับดับพร้อมๆ ก็มี มันหลายขั้นนะจิต พิจารณาอยู่ในปัจจุบันนั่นละ ไม่ได้มีอะไรกว้าง มีเท่านั้น พอแย็บออกมานี่มันรู้ทันทีๆ เลย อันไหนที่ควรพูดไม่ควรพูดก็รู้ทันทีเลย
เวลามันรู้เสียจริงๆ แล้ว ก็ดังที่เคยพูดให้ฟัง ขาดสะบั้นไปหมดเลยแล้วจะให้ว่าอะไร สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดมันก็รู้ นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดอย่างนั้นเอง คือ สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองเป็นลำดับลำดาในผลงานของตัวเองเรื่อยๆ ไป พอถึงขั้นมันตัดบทของมันขาดสะบั้นไปเลยก็ สนฺทิฏฺฐิโก สุดท้าย ก็เท่านั้นเอง นั่นละองค์ศาสดาคือ สนฺทิฏฺฐิโก จะให้พระองค์มารับรองอะไรอีก ดูนั้นก็รู้เอง
เรื่องภาวนาเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร เกิดจากภาวนาทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่เกิดมาเราก็ไม่เคยพบเคยเห็น ความรู้อะไรเหมือนโลกทั่วๆ ไปรู้ไปอย่างนั้น แต่เวลาทางด้านจิตตภาวนาไม่ได้เป็นอย่างนั้น รู้แบบพูดไม่ได้ บางอย่างพูดไม่ถูกเลย ก็มีเท่านั้น ให้ตั้งใจภาวนาผู้ที่ได้ฟังทั้งหลาย ก็ให้ไปเป็นคติเครื่องเตือนใจเจ้าของแล้วภาวนา ธรรมพระพุทธเจ้าคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน เราบอกไว้แล้ว อยู่กับหัวใจเราเลยไม่อยู่ที่ไหน อย่าไปคาด คาดมรรคผลนิพพานที่นั่นที่นี่อย่าคาด ตัวนี้ตัวสำคัญ ตัวคาดตัวนี้ ตัวไม่คาดก็ตัวนี้ พอรู้หมดแล้วก็ไม่คาดอะไรทั้งนั้น
พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็นึกถึงเรื่องอยู่หนองผือกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น อันนั้นจิตมันลงเอาจริงๆ ลงจนขาดสะบั้นไปหมด จ้าไปหมดเลย จิตเราก็เคยลงเคยรวมมากี่ครั้งกี่หนจนนับไม่ได้ มันก็ไม่เหมือนคืนวันนั้น คืนวันนั้นเวลามันลงเต็มเหนี่ยวแล้วหมดทุกอย่างเลยไม่มีอะไรเหลือ ถ้าว่าเหลือก็เหลือแต่ธรรมชาติที่จ้าอยู่นั้น โอ้โห เป็นชั่วโมงๆ ไม่ถอน ทีนี้เวลาถอนขึ้นมาแล้วตั้งสองสามวันอะไรๆ ยังดับอยู่หมดเลย พอวันหลังมาก็ไปกราบเรียนหลวงปู่มั่นท่าน ท่านก็ขึ้นปึ๊งทันทีเลย เออ เอาละที่นี่ เข้ากันได้แล้วกับผมอยู่ถ้ำสาริกา
ถ้ำสาริกาที่ท่านว่าผีใหญ่มาจะมาฆ่าท่าน นั่นท่านว่าจิตลงใหญ่ เออ เอาละที่นี่ เข้ากันได้แล้วกับผมที่เคยเป็นอยู่ถ้ำสาริกา วันนี้ท่านมหาเป็นพยานแล้ว ขึ้นอย่างนั้นละเวลามันขึ้น ไม่เคยคาดเคยคิด เวลามันลงมันลงจริงๆ ขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ทีนี้วันหลังพิจารณาอีก เอาบ้าไปขายท่านท่านก็ขนาบเอาเสีย วันหลังทำอยากจะให้เป็นอย่างนั้นอีกแต่มันไม่เป็นซิ ก็กราบเรียนท่าน จิตเป็นอย่างนั้นแล้วมาพิจารณาอีกจะให้มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นบ้าหรือ ขึ้นทันทีเลย ก็มันเป็นไปแล้วจะให้มันเป็นอะไรอีก มันเป็นบ้าหรือ ขึ้นเลย คือเราอยากจะให้มันเป็นอย่างนั้นอีก มันเป็นแล้วก็แล้วไปแล้วนี่ท่านว่างั้น พ่อแม่ครูจารย์มั่นปึ๋งทันทีเลยนะพอเราพูดเรื่องนี้ อย่างนั้นละพอมันเข้ากันได้แล้วรับกันทันทีๆ เลย
ให้พากันตั้งใจภาวนานะ เรื่องภาวนาเป็นเรื่องสำคัญมาก หัวใจของชาวพุทธเราไม่ต้องพูดที่อื่น ที่รวมแห่งความเลวร้ายทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งหลาย อยู่ที่หัวใจ จำให้ดี และที่รวมแห่งความแปลกประหลาดอัศจรรย์หรือความสุข ตั้งแต่ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ทั้งหลายนี้อยู่ที่จิต เอาอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ เอาจิตตภาวนาพิสูจน์กัน อย่างอื่นมาพิสูจน์ไม่ได้ พิสูจน์เรื่องความสุขความทุกข์อย่างแท้จริงนี้ มีจิตตภาวนาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์กัน อย่างอื่นพิสูจน์ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจึงคาดจึงด้นจึงเดาเกาหมัด ไขว่คว้าทั่วโลกทั่วสงสาร ถือเอาสิ่งนั้นๆ มาเป็นสรณะ มาเป็นที่พึ่งที่ยึดของตน มันก็หมุนติ้วของมันอยู่อย่างนั้นละจิต เกาะนั้นติดเกาะนี้หลุด เกาะนั้นถูกเกาะนี้ผิดไปอยู่เรื่อยๆ นี่จิตไม่มีหลัก จะเอาสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขามามันก็เป็นกองของสิ่งนั้นๆ ไปเสีย ไม่ใช่เป็นกองแห่งความสุขความทุกข์ให้เห็นประจักษ์เหมือนจิตตภาวนาที่ปรากฏอยู่ในหัวใจ เห็นอันนี้แล้วมันปล่อยหมดทุกอย่างนั่นแหละ ไม่มีอะไร
นี่ละที่ว่าได้หลัก คือจับนั้นผิดจับนี้พลาด จับไปจับมาพอจับถูกปั๊บติดกึ๊บเลย มีหลัก จิตตภาวนาทำให้หัวใจของโลกมีหลัก ถ้าจิตตภาวนามีภายในใจ จิตใจมีความสงบร่มเย็นแล้วหลักอยู่ที่นั่นละ อะไรจะขาดจะเหลือจะมีจะทุกข์จะจนแปรปรวนอะไร ก็โลกอนิจจัง ตัวนี้มันตามรู้ตามเห็นไปหมด ปล่อย ไม่กังวล ได้มาก็ไม่กังวล เสียไปก็ไม่กังวล เพราะตัวนี้รู้แล้ว ถ้าตัวนี้ไม่รู้มันจะยุ่งของมันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคนมีคนจนจึงไม่มีอะไรแปลกต่างกันเรื่องความสุขความทุกข์ คนมีเท่าไรยิ่งสร้างอารมณ์มากขึ้นๆ ให้เป็นกังวล ดีดดิ้นมากขึ้นๆ หาความสุขไม่ได้ สุดท้ายหาความสุขไม่ได้ สู้ตาสีตาสาตามท้องนาไม่ได้นะเศรษฐี
เราอย่าเอาความเป็นเศรษฐีมาอวดผู้ที่มีจิตตภาวนา ผู้ที่มีจิตตภาวนาแล้วผู้นั้นอยู่ที่ไหนสบาย ผิดกันมากนะ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งอาศัยชั่วคราว ที่ได้อาศัยพึ่งเป็นพึ่งตายแท้ๆ แล้วคือความดีงามภายในใจของตัวเอง สงบร่มเย็น จ้าอยู่ในนี้ นี้เป็นสมบัติติดตัว อยู่กับตัว ไปไหนไม่เคลื่อน อยู่นี้สบายเลย นี่ละจิตตภาวนาเป็นสิ่งที่ปล่อยวางความกังวลทั้งหลายเข้ามาสู่จิตแล้วหายกังวล สบายเท่านั้นเอง
พากันภาวนาให้ดี ให้ตั้งใจภาวนา เราจะได้เห็นที่ปลงวางแห่งกองทุกข์ทั้งหลายลงที่หัวใจ เพราะใจแบกกองทุกข์มาตลอดไม่มีความปล่อยวางเลย ยึดตลอดเวลา และหนักหน่วงถ่วงจิตใจอยู่ตลอด พอจิตตภาวนาชำระลงปล่อยลงๆ แล้วดีดขึ้นๆ ที่นี่ร่มเย็น เอาเท่านั้นละวันนี้ ไม่พูดอะไรมาก พอสมควร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |