เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
สิ่งสกปรกเต็มหัวใจสัตว์โลก
ก่อนจังหัน
สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้อาหารท่วมปากพระ พระองค์ไหนไม่มีสติปัญญาเอาตัวไม่รอด ตายจมกับกองอาหารนะ เราเที่ยวทั่วประเทศไทยไม่ว่าทางด้านปริยัติด้านปฏิบัติ เข้านอกออกในได้ทั่วถึงหมด ด้านปฏิบัตินี้ก็เหมือนกัน ที่อดอยากขาดแคลนมากที่สุดโดยความสมัครใจของท่านเองได้แก่ภาคปฏิบัติ พวกพระที่อยู่ในป่าในเขาท่านไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ บิณฑบาตได้ข้าวปั้นสองปั้นมาเท่านี้ มีแต่ข้าวเปล่าๆ ท่านฉันพอยังอัตภาพเท่านั้น จิตใจพุ่งๆ อยู่กับอรรถกับธรรม ท่านเหล่านี้ถ้าพูดถึงเรื่องสภาพความเป็นทุกข์ ทุกข์มาก แต่พูดถึงเรื่องความเป็นสุข สุขมาก แน่ะมันต่างกัน คือทุกข์อันนี้ทุกข์เพื่อสุข จะอดอยากขาดแคลนอะไรๆ เพื่อความสมบูรณ์ในธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นความสุขอันล้นพ้น เป็นอย่างนั้นนะ
เราได้ไปเที่ยวเห็นเสียทุกอย่าง ทีนี้เวลามาสมบูรณ์ก็มาเห็นวัดป่าบ้านตาดมันท่วมปากพระ พระองค์ไหนไม่ฉลาดมันตายละ ตายเฝ้าอาหารนั่นแหละ เพราะมันท่วมๆ เวลาศรัทธาญาติโยมใครนำมาถวาย ถวายมากต่อมากก็ท่วมละซิ พระไม่รู้จักประมาณตาย ตายเพราะกิน ไม่ใช่ตายเพราะหิว ให้พิจารณา แต่เราก็เชื่อสำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้ดูจะไม่มีอย่างนั้น หากขู่เอาไว้ ไม่ขู่ไม่ได้ ต้องขู่เอาไว้เสมอ เพราะเรื่องเหล่านี้มันเร็ว กิเลสปั๊บเดียวทันปุ๊บๆ เลย เรื่องธรรมนี้ไม่ทัน ถ้าเป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติธรรมและมีภูมิอรรถภูมิธรรมล้วนๆ แล้วอันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง เหล่านี้เข้ามายุ่งไม่ได้เลย พุ่งๆ เลย นี่ละท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านผู้ทรงมรรคทรงผล เดินตามทางศาสดา
ใครจะอดอยากขาดแคลนยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าเวลาทรงบำเพ็ญ เฉพาะอย่างยิ่งเวลาเสด็จออกทรงผนวช ๖ พระพรรษา นั่นแหละทุกข์แสนสาหัส เสด็จออกจากหอปราสาทราชมณเทียรด้วยความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จเข้าไปอยู่ในป่าในเขาอาศัยพวกชาวบ้านเขาธรรมดาๆ ที่เขาแจกทานก็ไปบิณฑบาตกับเขา บิณฑบาตจะได้อาหารประเภทไหนไม่รู้แหละ ไปบิณฑบาตก็คือขอทานเขาละพูดง่ายๆ ได้มาเสวย ลำบากลำบนขนาดไหนองค์กษัตริย์ ยากเย็นเข็ญใจขนาดไหนเอานั้นมาเป็นข้อเทียบเคียงกับเราเป็นลูกศิษย์ตถาคต ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องอาหารการกินเหลือเฟือล้นพ้นเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป
พระองค์ทรงลำบากลำบนทุกสิ่งทุกอย่างกว่าจะได้ตรัสรู้ ฟังซิน่ะ ทางดำเนินและการดำเนินของศาสดาที่เป็นครูสอนโลก ท่านดำเนินยังไง ท่านอยู่ด้วยความเหลือเฟือหรือ ท่านไม่ได้เหลือเฟือ ตั้งแต่เสด็จออกจากพระราชวังเท่านั้นทุกข์มหันตทุกข์ เหมือนกับเทวดาจากสวรรค์ลงในแดนนรกนั้นเองจะเป็นอะไรไป จากความเป็นกษัตริย์เข้าสู่แดนแร้นแค้นกันดาร ท่านไปท่านบำเพ็ญ ธรรมเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ
จึงได้เตือนพระเราอยู่เสมอ การขบการฉันอย่าถือเป็นอารมณ์ จิตใจจะก้าวไม่รอดนะ ต้องถือเรื่องธรรมเป็นสำคัญ ถือธรรมเป็นสำคัญ ให้จิตพุ่งๆ ต่ออรรถต่อธรรม จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ให้ติดแนบๆ นั่นพ้นได้ไม่สงสัย ถ้าจะเป็นจะตายจะไปหรือไม่ไปนะ จม ประเภทนี้จม ประเภทว่าต้องไปโดยถ่ายเดียวนี้ไปได้ นี่ที่เรียกว่าประเภทเนยยะ ถ้าอ่อนจมได้ ถ้าแข็งขึ้นได้ ต้องแข็งเพื่อขึ้น ใครจะเพื่อจมล่ะบวชมา
ตั้งใจปฏิบัติให้ดี สตินี่พูดแล้วพูดเล่าอย่าให้ห่างไกลจากจิต สติเป็นพื้นฐานแห่งความพ้นทุกข์ ตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ สติปราศจากไปไม่ได้การภาวนา นอกจากนั้นกิริยาอาการใดให้มีสติติดแนบๆ ปัญญาแนบเข้าไปอีก คนมีสติในตัวมักจะมีปัญญาแทรกอยู่เสมอ เพราะสติความรู้สึกตัว ปัญญาจะกระจายออกไป เวลารู้สึกตัวแล้วนั้นแหละ ถ้าไม่มีสตินี้เร่อๆ ร่าๆ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไร การภาวนาสำคัญมากนะ
พระพุทธเจ้าโกหกโลกเหรอ แดนนิพพานเป็นยังไง บอกไว้ในคำสอนพระพุทธเจ้าองค์ศาสดา คือพระธรรมพระวินัย นี้คือทางเดินเพื่อพระนิพพาน ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่จุดนี้เองไม่อยู่ที่ไหน อย่าไปหาทางโน้นทางนี้ บ้านนั้นเมืองนี้ ว่าเป็นนรก สวรรค์ แดนนิพพานไม่มี มีอยู่ในหัวใจคน ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ดี แดนนิพพานอยู่กับผู้ที่อุตส่าห์พยายามตามทางของศาสดาไม่เป็นอื่น ท่านสอนไว้สดๆ ร้อนๆ
ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายจนจะไม่มีแล้วนะศาสนา จะมีแต่ตำรับตำราตามคัมภีร์ กิเลสตีตลาดๆ อะไรสดๆ ร้อนๆ ทั้งนั้นถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว นี่คือเรื่องจะพาสัตว์ให้จม เพราะฉะนั้นสัตว์จึงจมเรื่อยๆ ที่จะขึ้นไม่ค่อยมี ก็เพราะไม่บึกบึนตามธรรม บืนตามกิเลส อะไรถ้าเป็นกิเลสเชื่อทันทีๆ คว้ามับๆ นี่จม ขอให้เดินตามทางของศาสดาเถิด มรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ จะจ้าขึ้นที่หัวใจผู้บึกบึน อย่าไปหาที่ไหน เอาทางเดินคือธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นทางเดิน ก้าวตามนั้นๆ จะจ้าขึ้นภายในจิตใจ
นักภาวนาอย่าเป็นนักเผลอสตินะ มันเป็นนักเผลอสติแล้วนะเวลานี้ ตั้งจิตตั้งใจให้ดี ไปที่ไหนมีสติติดแนบกับตัว จะแย็บออกทางด้านปัญญาได้ง่ายๆ คนมีสติ คนไม่มีสติ ปัญญาก็ไม่มี เซ่อๆ ซ่าๆ ให้กิเลสเข้าไปถลุงทั้งวันทั้งคืน บวชมาเท่านั้นพรรษา เท่านี้พรรษา นับปีนับเดือนนับมืดนับแจ้งเฉยๆ จะนับมรรคนับผลไม่ได้นับเพราะไม่สนใจในมรรคในผล ก็นับตั้งแต่นรกอเวจีเผาหัวอกละซิ ตั้งใจปฏิบัติให้ดีนะทุกคน วัดป่าบ้านตาดสำหรับพระทั้งหลายที่มานี้จำนวน โอ๋ย เป็นหมื่นๆ แสนๆ นะ ผ่านเข้าผ่านออกได้กี่ปีแล้ว ตั้งแต่สร้างวัดก็ ๕๐ ปีแล้ว นี่ละรับพระเณรทั้งหลายเวลามาสร้างวัดป่าบ้านตาด อยู่ที่อื่นไม่รับ ๕๐ ปี จำนวนพระเณรหลั่งไหลเข้าออกนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ เพราะเข้าทุกวันออกทุกวันๆ มากต่อมาก แต่ผู้มาศึกษาอบรมนี้ไม่ทราบว่าได้อะไรไปจากวัดป่าบ้านตาด อันนี้ยังเป็นปัญหาอยู่มาก
ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้มีเยอะนะ แต่จะไปแสดงคุณงามความดีให้เด่นในปวงชน ว่าออกมาจากสำนักนั้นสำนักนี้ไม่ค่อยมี ส่วนที่จะเอาชื่อครูบาอาจารย์ไปขายนี้มีมาก นี่ลูกศิษย์หลวงตาบัวนะ มีไม่สงสัยแหละ อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ก็เอาท่านไปขายกินมากต่อมากแล้วไม่ได้หน้าได้หลัง
ดูมรรคผลนิพพานอย่าไปดูที่ไหน ให้ดูสติกับปัญญา เอาตรงนี้ สติปัญญาจดจ่อลงนี้ นี่ธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ ทางเดินอยู่ตรงนี้เอาให้ดี อย่าไปสนใจกับสิ่งใด สถานที่นี่ผมให้โอกาสตลอดเวลาสำหรับพระปฏิบัติ แล้วใครก็ไม่เข้าไปยุ่งได้นี่ บริเวณบำเพ็ญของพระ ห้ามขาดเลย มาก็มารอบๆ บริเวณนี้เท่านั้น ให้ออกๆ บริเวณภายในของพระที่จะบำเพ็ญเพื่อมรรคผลนิพพานไม่ให้เข้าไปยุ่งเลย นอกจากคนรับใช้พระเข้าออกเป็นธรรมดาอยู่ในวัด อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร
เห็นไหมป้ายติดนอกวัดนั่นน่ะ มันหน้าด้านมนุษย์เรา เพ่นพ่านๆ เข้ามา ตั้งแต่หยิ่งๆ นะเข้ามาในวัดมันน่าหัวเราะ เราพูดจริงๆ มันหัวเราะภายใน สลดสังเวชไอ้กิเลสมาหยิ่งๆ ใส่ธรรม มันสำคัญมาก มันขวางหูขวางตามากเราก็เลยไปเขียนติดไว้หน้าวัด เห็นไหมนั่น ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน นี่หลวงตาบัวเป็นผู้สั่งผู้เขียนเอง อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรม อย่าเอาโอ่อ่าฟู่ฟ่ามาอวดธรรมนะ ใครเอานั้นมาอวดให้หนีอย่ามายุ่งในวัดป่าบ้านตาด เราไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม
การปฏิบัติปฏิบัติเพื่อธรรม ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อสินจ้างรางวัลเงินทองข้าวของอะไรวัดนี้ ถ้าใครมาเร่อๆ ร่าๆ มาอวดดีอวดเบ่งอย่างนั้น อย่าเข้ามาในวัดป่าบ้านตาด ไม่ได้กินอะไร ตายก็ดีกว่าที่จะฟู่ฟ่าๆ ไปตามกิเลสนั้นนะ พากันพิจารณาให้ดี โห กิเลสมันออกหน้าออกตาเป็นใหญ่เป็นโต ก้าวเข้าวัดไหนนี้ ยิ่งมียศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ แล้วโธ่ โอ่อ่าๆ ธรรมนี้ได้แหงนดูหน้านะ ธรรมของคลังกิเลสแหงนดูหน้ากิเลส ธรรมของพระพุทธเจ้าแท้สลดสังเวช มองดูแล้วโอ้โหๆ สลดสังเวชเรื่องกิเลสตัณหาครอบหัวใจคน ลืมเนื้อลืมตัว
กิเลสตัณหาเป็นของดีเมื่อไร เป็นมูตรเป็นคูถ แล้วยกขึ้นเป็นทองคำทั้งแท่ง ผู้มีธรรมในใจท่านดูไม่ได้ มองไม่ได้เลย เพราะของท่านสง่าจ้าอยู่ภายใน กับกองมูตรกองคูถมันเข้ากันได้ยังไง เอามาแข่งกันหาอะไร นี่ละที่วัดนี้จึงได้บอกถึงเวล่ำเวลามาวัดมาวา ถึงเวลากลับแล้วให้กลับ เราเขียนบอก ขู่ไว้นั้นนะ มันจะเลอะเทอะไปหมดวัดป่าบ้านตาดเวลานี้น่ะ พอ ๔ โมงครึ่งอะไรๆ ให้ลดลงๆ งาน พอถึง ๕ โมงแล้วให้เลิก อย่าเข้ามาจุ้นจ้านๆ นี้บอกแล้วนะ อย่ามาจุ้นจ้าน สถานที่นี่เป็นที่บำเพ็ญธรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว อย่ามาจุ้นจ้าน นอกจากนั้นยังติดประกาศไว้อีกด้วย เพราะมันจุ้นจ้านๆ ดูไม่ได้นะ
ธรรมดูโลกดูได้ยังไง ที่จุ้นจ้านมันมีแต่มูตรแต่คูถ มีแต่เรื่องกิเลสตัณหา ไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา ธรรมภายในจิตใจที่ท่านจ้ามันดูไม่ได้นะ มันสลดสังเวช สิ่งเหล่านั้นมาเหยียบหัวธรรม ธรรมเลยไม่มีนะเดี๋ยวนี้ อะไรๆ กลายเป็นกิเลสไปหมด ธรรมเลยไม่มี เอาละให้พร
หลังจังหัน
(ชาวจังหวัดจันทบุรีถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน จังหวัดจันทบุรี ที่วัดป่าเขาแหลม ต.ทับช้าง อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ให้องค์หลวงตา)
(ชาวจังหวัดสมุทรปราการถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ที่บ้านเลขที่ ๓๙ หมู่ที่ ๖ ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ให้องค์หลวงตาเพื่อเป็นสมบัติของสงฆ์)
ทุกอย่างเราช่วยโลก เราช่วยเต็มกำลังความสามารถของเราทุกอย่าง ที่เขาเขียนไว้นั้นว่า สมบัติของวัดป่าบ้านตาดคือสมบัติเพื่อโลก ไม่ผิด ตรงเป๋งเลยเทียว ออกกระจายตลอดรอบตัวเลย วันหนึ่งๆ แจกทานไปเท่าไรๆ โกดังนี้ก็เปิดไว้ โรงพยาบาลมากี่โรงวันหนึ่งๆ จัดให้เสมอกันหมดเลยขั้นเสมอ ขั้นพิเศษก็เสมอกันอีกเหมือนกัน พิเศษเสมอกัน คือที่ไกลก็ให้เป็นพิเศษ เช่นอย่างอุบล โคราช ทางอุตรดิตถ์ มาให้พิเศษทั้งนั้นๆ เปิดไว้ตลอดไม่ให้บกบางเลย เราอยู่ไม่อยู่ไม่สำคัญ ผู้ที่รักษาพระเวรนี่คอยดูแลในโกดัง อะไรบกพร่องให้รีบสั่งเขาเอาเข้ามาเต็มไว้ตลอดเวลา เราเปิดตลอดอย่างนี้ละ
วันไหนว่างเราก็ไปตามโรงพยาบาล โรงพยาบาลแต่ละโรงๆ เดี๋ยวนี้ให้โรงละสองหมื่นๆ ทุกโรง เราไปโรงไหนให้สองหมื่นๆ ทุกโรงไปเดี๋ยวนี้ ไปถามเขาเรื่องราวอาหารการกินสำหรับคนไข้เดือนหนึ่งจ่ายไปเท่าไรๆ เราก็ให้เป็นส่วนกลางไปเลยเดือนละสองหมื่น ผู้มากกว่านั้นก็มาก ผู้น้อยกว่านั้นก็มี เพราะโรงพยาบาลอำเภอ ซอกแซกซิกแซ็กไปไหนให้โรงละสองหมื่นๆ ตลอด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น
อำนาจแห่งความเมตตานี้แหม พิลึกนะ ถ้ามองเห็นนี่ครอบโลกธาตุเลย พูดเป็นไร ตัวเท่าหนูหัวใจไม่ได้เป็นหนู หัวใจนี้พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายเสมอกันหมด แบบเดียวกัน ลงจิตได้เข้าถึงนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมด ท่านก็พูดไว้อย่างนั้น นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนกว่ากันเลย เสมอกันหมด คือจิตของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น แล้วอำนาจแห่งความสิ้นกิเลสนี้แผ่กระจายออกเป็นเมตตาธรรมครอบโลกธาตุไปหมด
เราพูดจริงๆ อย่างที่เราไม่ได้อยู่ทุกวันๆ นี้เราไม่ได้บอกใคร เป็นอยู่ในหัวใจของเราเอง บอกใครก็ไม่รู้เรื่องๆ จะรู้เรื่องบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ส่วนเรื่องลึกลับกว่านั้นไม่มีใครรู้เรื่อง แต่เราปฏิบัติต่อความรู้ของเราโดยลำดับลำดาไปอย่างทุกวันนี้ เฒ่าแก่ขนาดนี้กี่วันก็จะตายแล้วนี่เห็นไหมล่ะ เราไม่ได้ห่วงชีวิตของเรา นี้เป็นเครื่องใช้ เหมือนกับที่ยังหนุ่มน้อยนี้ก็เป็นเครื่องใช้ตลอดไป จนกระทั่งถึงวันสิ้นลมหายใจเหมือนกันหมด นี่ก็ยังไม่สิ้น ใช้มันไปอย่างนั้นละ
ไปที่ไหนไปทุกแห่งทุกหนช่วยโลกสงสาร สำหรับที่จะมาหาเรานี้ไม่มี เราบอกชัดๆ ว่าเหลือเฟือทุกอย่าง ผู้ที่ทุกข์จนข้นแค้นมากขนาดไหน โลกนี้แหม น่าสลดสังเวชนะ นี่ละอำนาจของกิเลส คือได้ไม่พอๆ พาเจ้าของให้ล่มจมจากความได้ไม่พอ ทะเยอทะยานดีดดิ้นติดหนี้ติดสินพะรุงพะรังดังที่เคยพูดแล้ว นี่ละธรรมจับเห็นหมดจะว่าไง แต่เรื่องโลกเป็นบ้ากันด้วยหูหนวกตาบอดชนนั้นชนนี้ มีแต่จะเอามีแต่จะให้ได้อย่างใจอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ได้อย่างใจละซี ใจก็เป็นใจกิเลส ได้ก็ได้ตามกิเลสเสีย เจ้าของผิดหวังๆ
โลกนี้ทุกข์ร้อนมากทีเดียวไม่ใช่ธรรมดา ถ้าหากมีธรรมในใจสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยเท่านั้น ใจเป็นรากเป็นฐานสำคัญที่จะทรงความสุขความเจริญรุ่งเรืองได้ ไม่มีอะไรเหนือใจ ถ้าใจปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามอรรถตามธรรมเสียอย่างเดียว สมบัติทั้งหลายมากน้อยเป็นเพียงเครื่องอาศัยๆ เท่านั้น ไม่ได้เป็นของมีฤทธิ์มีเดชอะไร เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ที่กิเลสมีฤทธิ์มีเดช แสดงสิ่งเหล่านั้นเป็นของมีฤทธิ์มีเดช เหยียบหัวใจประชาชนสัตว์โลกทั้งหลายที่หลงตามมันให้วิ่งตามมัน ดีดดิ้น อยู่เฉยๆ ไม่อยู่
อยากมั่งอยากมีอยากดีอยากเด่นเหมือนโลกเขา แล้วสุดท้ายเงินเจ้าของที่มีนี้ไม่เพียงพอ เอ้า ไปหากู้ไปหายืมมาเพื่อจะเป็นต้นทุนหนุนเข้าไป แล้วก็ไปยกตัวให้สูงขึ้นๆ นี่เป็นความคิดของกิเลสมันว่างั้น แต่ความจริงของธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้น พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสง มันเสือกไปหาที่จะจมว่างั้นเลย อย่าพูดธรรมดา บอกว่าเสือกเลยเชียวเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น เพราะมันหยาบมากกิเลส มันหูหนวกตาบอดชนดะไปเลย ธรรมท่านไม่ได้ตาบอดนี่ ท่านมองเหตุมองผลทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านอยู่เป็นสุขเป็นสบายไป
โลกนี้ร้อนเพราะกิเลสนะ อย่าเข้าใจว่าร้อนเพราะอะไร ท่านทั้งหลายให้ทราบ เมืองไทยเราเป็นเมืองชาวพุทธ ขอให้ทราบเรื่องความเดือดร้อนทุกวันนี้เพราะอำนาจของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะอำนาจของธรรม ธรรมไม่มีที่จะให้โลกล่มจมอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ รู้จักประมาณไม่มีอะไรเกินธรรม ความขยันหมั่นเพียรก็เหมือนกัน ถ้าเรื่องเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นความดีงามแล้วให้มีความขยันหมั่นเพียรในทางที่ชอบๆ นั่นฟังซิน่ะ อย่าขี้เกียจขี้คร้าน ท่านสอนไว้อย่างนั้นตลอดเวลา อันใดที่ไม่ถูกแล้วอยากทำเท่าไรก็อย่าทำอย่าฝืน ฝืนลงไปก็ฝืนตัวเองทำลายตัวเอง ถ้าเชื่อธรรมแล้วอย่างนี้จะฝืนไปหาอะไรก็ทำลายตัวเองนี่นะ นั่น มันก็รู้คนเรา
อันนี้มีแต่ดีดแต่ดิ้นเป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร แหม สลดสังเวชนะ มองดูแล้วมันดูไม่ได้ งุ่มง่ามต้วมเตี้ยม กิเลสมันพองตัวตลอด แบบงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมมันพองตัวของมัน ธรรมดูจนดูไม่ได้นะ สลดสังเวช พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้ว ทั้งๆ ที่ปรารถนาเป็นศาสดาองค์เอกนั้น พระพุทธเจ้านี้เรียกว่าย่อมกว่าบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๔ ขสงไขยแสนมหากัป กว่าจะได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาองค์เอก แล้วจะสอนโลกตามพระประสงค์ที่ทรงคาดเอาไว้ เพราะตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ทรงคาดเอาไว้จะสั่งสอนสัตว์โลกด้วยความราบรื่นดีงามไปเรื่อยๆ สะดวกสบาย
พอตรัสรู้ผางขึ้นมาเท่านั้นมองดูโลกที่จะแบกจะหามนี้ เหมือนว่าเกินกว่ากำลังที่จะแบกจะหามไปไหว ทรงท้อพระทัย นั่นฟังซิน่ะ เป็นยังไงหนักขนาดไหน โลกมืดขนาดไหน พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาสำเร็จเป็นองค์ศาสดาขึ้นมาแล้วทรงท้อพระทัย แทนที่จะสอนศาสนาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังที่ทรงตั้งความมุ่งหมายเอาไว้ กลายเป็นเรื่องท้อพระทัย
ก็มีพยานเข้ามาอีก ท้าวมหาพรหมลงมาอาราธนาให้ทรงโปรดสัตว์โลกที่มีมลทินเบาบางยังมีอยู่มาก ขออย่าได้ปล่อยวางไปเสียเลยทีเดียว อันนี้เป็นท้าวมหาพรหมมาอาราธนา องค์ศาสดาครอบหมดแล้วละนี่ ท้าวมหาพรหมจะเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาจากที่ไหน ไม่เก่ง นี่มาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าซึ่งทรงพิจารณาเรียบร้อยหมดแล้ว ควรยังไงไม่ควรยังไงไม่มีใครเกินศาสดาองค์เอก ถึงอย่างนั้นท้าวมหาพรหมยังมาอาราธนา ฟังซิ เป็นยังไงโลกหนาขนาดไหน
ยิ่งทุกวันนี้เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ มันกลายเป็นเมืองเปรตเมืองผีเมืองยักษ์เมืองมาร กัดฉีกกันกินเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่มีศาสนาเข้าสู่หัวใจเลย ถ้ามีศาสนาเข้าสู่หัวใจผู้ใหญ่เท่าไรผู้นั้นละได้ให้ความร่มเย็นแก่โลก นี่มีธรรมในใจนะ มีมากมีน้อยเพียงไรเฉลี่ยเผื่อแผ่กันออกไปให้ได้รับความสุขความเจริญทั่วหน้ากัน นี่ผู้มีธรรมในใจ สมบัติมีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่ให้โลกได้รับความสุขความร่มเย็น และมีความเคารพนับถือมากมายก่ายกอง อันนี้ไม่มีธรรมในใจมีเท่าไรยิ่งไม่พอๆ ยิ่งกว้านเข้ามาๆ เหมือนไฟได้เชื้อ กิเลสมันเผาเอาๆ ได้มาเท่าไรเผา ไม่พอๆ นะ ความเผาของกิเลสคือได้เท่าไรไม่พอๆ หามาเท่าไรเผาหมดๆ ไม่พอ ได้มากเท่าไรยิ่งหิวโหยมากเหมือนไฟได้เชื้อ ได้เชื้อมากเท่าไรเปลวมันจรดเมฆเปลวไฟ
เปลวของกิเลสก็เหมือนกันครอบโลกธาตุ อันนี้มีแต่แดนของกิเลสวัฏจักรทั้งนั้น ไปที่ไหนจึงดีดจึงดิ้นทั่วหน้ากันในวงแดนวัฏจักร แดนวิวัฏจักรคือแดนแห่งนิพพานที่องค์ศาสดาสอนไว้ เอ้า ก้าวไปซิน่ะ ถ้าลงก้าวไปนี้จะถึงแดนนิพพานดังที่สอนไว้ไม่สงสัย สมพระนามว่าเป็นศาสดาองค์เอกสอนโลก อันนี้สัตว์โลกทั้งหลายมันไม่ได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เวลานี้ยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นทุกวันยิ่งสลดสังเวชนะ เราพูดจริงๆ ตัวเท่าหนูแต่ก่อนมันไม่รู้ บอกชัดๆ อย่างนี้มันจวนจะตายแล้ว มันไม่รู้ หัวใจดวงนี้แหละเวลามันมืดมันมืดจริงๆ ความมืดก็คือกิเลสครอบมันไว้
เหมือนดวงไฟของเรานี้เอาแก้วครอบดำๆ ไปปิดดูซิน่ะ จะเอาความสว่างมาจากไหน ดำไปด้วยกันหมด ถึงดวงไฟภายในจะสว่างจ้าก็ตาม แต่ถูกแก้วดำครอบเอาไว้มองหาอะไรไม่เห็น นี่กิเลสมันสีดำครอบเอาไว้ ปิดหัวใจแล้วมองอะไรไม่เห็น เห็นแต่ทางที่จะบืนไปด้วยตาบอดหูหนวก ชนนั้นชนนี้ไปเรื่อย ไม่ว่าจะไปเกิดที่ไหนเกิดด้วยความหูหนวกตาบอด เกิดด้วยบาปด้วยกรรม มีแต่โดนทุกข์ทั้งนั้นๆ ผู้เกิดด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลไปสู่แสงสว่าง สุคโตๆ อยู่ก็เป็นสุขไปก็เป็นสุข อยู่ที่ไหนเป็นสุขคนมีบุญมีกุศลคนมีธรรมภายในใจ มันต่างกันนะ
อย่าเอาวัตถุมาวัดธรรม วัดนามธรรม นามธรรมนี้จ้าตลอดเวลา วัตถุนี้หลอกโลกทั้งนั้น โลกตาบอดหลงกันทั้งนั้น โลกผู้ตาดีไม่หลง คิดดูซิอย่างพระยสกุลบุตร ท่านก็สมบัติเงินทองข้าวของมีเท่าไรๆ มีลูกชายคนเดียว แต่ก่อนก็ถือว่าสมบัติเหล่านี้เป็นของที่พึงใจๆ ครั้นความดีงามที่ได้สร้างมาแก่กล้าสามารถขึ้นไปๆ สิ่งเหล่านั้นเลยกลายเป็นฟืนเป็นไฟ ธรรมทั้งหลายนี้เป็นแก้วเป็นแหวน หรือเป็นของเลิศเลออยู่ในหัวใจ อยู่ที่ไหนไม่สบายๆ ที่วุ่นวายที่นี่ยุ่งเหยิงที่นี่ขัดข้องไปหมดเลย ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ในกองสมบัติที่เห็นว่าเป็นความสะดวกสบายเหมือนแต่ก่อนๆ นั้นแหละ แต่ทีนี้กลับกลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปหมด ไม่น่าอยู่เลย ที่นี่ขัดข้องที่นี่วุ่นวาย
พ่อแม่เอาสมบัติเงินทองมาทุ่มให้ นี่ก็เป็นของลูกคนเดียวนี้จะไปไหน กินกระทั่งวันตายมันก็ไม่หมดๆ ไม่เอา นั่นดูซิน่ะ ถึงเพียงวันตายเท่านั้นนี่นะ เลยตายไปแล้วมันจะไปเกิดใหม่จะไปกินอะไรอีกล่ะ นั่นน่ะธรรมะเป็นอย่างนั้นทะลุจากความตายไปอีก เรากินถึงวันตายก็ไม่หมด เอ้า สนุกสนานกินกันไปๆ ถึงวันตายๆ แล้วตายจากนั้นแล้วไปกินอะไรล่ะ ไม่มีทางกิน นั่น ธรรมะทะลุไปหมด เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด จิตนี้เป็นธรรมชาติสมบุกสมบัน ถ้ามีความดีงามพยุงขึ้นจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถึงนิพพาน ถ้าไม่มีอันนั้นมีแต่กินถึงวันตายก็ไม่จบ ไม่สนใจสร้างคุณงามความดีเลย พอตายแล้วหมดท่าสิ้นท่าเลย นั่น พระยสกุลบุตรไม่อยู่กับกองสมบัตินี้ ที่นี่ขัดข้องที่นี่วุ่นวาย ไปเลยหาพระพุทธเจ้า
พระองค์กำลังทรงเดินจงกรมอยู่ตามประวัติว่างั้น มานี่ยส ที่นี่ไม่ขัดข้องที่นี่ไม่วุ่นวาย ไปพระองค์ก็ประทานโอวาท เอ้า สรุปความเลยสำเร็จมรรคผลนิพพาน นั่นเห็นไหม เราสรุปเอาเลยนะไม่ต้องพูดให้กว้างขวาง สุดท้ายท่านสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาองค์หนึ่ง จะไม่ว่าสำเร็จได้ยังไง นี่ท่านออกพ้นแล้วที่นี่ กินถึงวันตายก็ไม่หมด ตายเลยไปแล้วก็ไม่หมด เพราะท่านไม่เกิดไม่ตาย เหนือหมดแล้วท่านไม่หมด สมบัติที่พระยสหาได้ดียิ่งพ่อแม่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ ให้กินสมบัตินี้ถึงวันตายก็ไม่หมด พระยสกินเลยวันตายก็ไม่หมด ถึงนิพพานไม่มีเกิดมีตาย กินไม่หมด นั่นพิจารณาให้ดีซิ
เดี๋ยวนี้มันหูหนวกตาบอดมากนะหัวใจสัตว์โลกชาวพุทธเรานี้ ไม่ได้มองดูอะไรๆ เลย เอากิเลสเป็นเจ้าหน้าเจ้าตาเจ้ายศเจ้าศักดิ์อะไรไปหมดนั้นละ เรื่องธรรมมันเหยียบย่ำทำลาย มันเอามูตรเอาคูถขึ้นมาพอกหัวมันว่าเป็นของดิบของดี มองดูหัวไหนมีแต่มูตรแต่คูถ อะไรมีมูตรมีคูถไม่มีมูตรมีคูถ หัวเรามันมีขี้ไหม ขี้หัวนั่นเห็นไหมล่ะ ก็มูตรคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงครอบหัวใจอีก หัวใจก็เป็นหัวหัวใจ มันครอบไปหมด มีแต่สิ่งสกปรกเต็มหัวใจสัตว์โลกเวลานี้ เพราะไม่มีธรรมเข้าซักฟอก จึงหาความสว่างไสวหาเหตุหาผลหาดีหาชั่วไม่เจอ ก็เจอตั้งแต่ความทุกข์ความทรมาน ออกมาจากบาปจากกรรมตัวหูหนวกตาบอดพาให้ทำนั้นแหละ พากันพิจารณานะทุกคน
เราได้พยายามแล้วสุดขีดความสามารถ ช่วยชาติ ตั้งแต่เริ่มต้นช่วยชาติมา เราลืมเมื่อไรว่า เอ้า เราจะเป็นผู้นำ ร้องโก้กมาแล้วนะนั่น มองดูที่ไหนมันสุดมันสิ้นเลย คนไทยทั้งประเทศที่ปู่ย่าตายายพาถ่อพาพายมา เป็นความสงบร่มเย็นเป็นสุข พอมาถึงหลานไทยปัจจุบันนี้ เอาหัวจ่อลงทะเลหลวงแห่งความล่มจม หมู หมา เป็ด ไก่จะลงจุดเดียวกันหมด ดูอะไรคว้าอะไรไม่มีๆ ในคลังหลวงเขาจะเอาไปเผาหมด แน่ะจะทำไง นี่ละที่ได้ร้องโก้กได้ช่วยพี่น้องทั้งหลาย เอาจะช่วย
พอว่าช่วยนี้ประชาชนทั่วประเทศจะทราบทันทีว่าช่วยก็คือด้านวัตถุ จะฟื้นฟูทางด้านวัตถุให้ดีขึ้นๆ แต่ทางด้านธรรมะ วัตถุเป็นเพียงเครื่องออกหน้าอันหนึ่งเท่านั้น ส่วนธรรมที่เหนือวัตถุนี้จะกระจายทั่วโลกในคราวนี้แหละ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่เราพิจารณาเรียบร้อยแล้วนะ นำโลกคราวนี้วัตถุโลกจะทราบทั่วถึงกันทันที แต่เป็นของเล็กน้อย แต่ธรรมโลกไม่ทราบ แต่เป็นของใหญ่โตมาก คราวนี้ธรรมจะออกไปพร้อมๆ กันกับฟื้นฟูทางด้านวัตถุ ก็เทศนาว่าการเรื่อยไป นี่คือฟื้นฟูทางด้านจิตใจ เมื่อฟื้นฟูทางด้านจิตใจ ใจได้มองเห็นอรรถเห็นธรรม ใจจะรู้บาปรู้บุญรู้จักประมาณ ความประหยัดมัธยัสถ์จะมาเองๆ สำหรับคนมีธรรม นี่ก็ก้าวมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งบัดนี้ นำโลกก็พี่น้องชาวไทยมา ทางด้านวัตถุก็ยุติลงไปแล้วด้วยการประกาศอย่างเปิดเผย แต่ทางด้านธรรมะไม่เคยประกาศ
นี่ก็ออกทางวิทยุทางนั้นทางนี้ เพราะอะไร เพราะธรรมเข้าสู่ใจแล้วจิตใจสงบเย็นคนเรา ถ้าไม่มีธรรมจะอยู่ที่ไหนก็อยู่ เป็นกองฟืนกองไฟด้วยกันทั้งนั้นแหละ ขอให้เอาธรรมเข้าสู่ใจ เวลานี้วิทยุตั้งเท่าไรแห่งแล้วตั้งนี้ ก็เพื่อเอาน้ำดับไฟนั้นแหละ ก็สมใจเราที่ได้แสดงธรรมนี้ให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายเราได้นำออกไปกระจาย โดยวิธีการต่างๆ วิทยุ โทรทัศน์หรืออะไร จนกระทั่งถึงออกที่เห็นอยู่ที่นี่ทุกแบบทุกฉบับเป็นประโยชน์แก่โลก สมเหตุสมผล เพราะธรรมที่เราแสดงนี้เป็นธรรมที่ตายตัวแน่นอน เราไม่สงสัยว่าธรรมเหล่านี้สอนไปจะผิด ไม่ว่าธรรมขั้นใดไม่มีเลยทางผิด ถอดออกมาจากหัวใจที่ถูกต้องดีงามสมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้ว สอนโลกจะผิดไปที่ไหน
เราแน่ใจในการสอนของเราด้วย ผู้นำไปปฏิบัติก็แน่ใจจะได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ ดังศาสดาองค์เอกทุกพระองค์สอนมาด้วย นั่น ท่านทั้งหลายให้ยึดให้เกาะไปปฏิบัตินะ เราอย่าเห็นตั้งแต่ภายนอกว่าเป็นของดิบของดี มันจะพาจมไปตลอดนะ ถ้าเห็นธรรมอยู่ภายในดีแล้วจะพาฟื้นเจ้าของไปเรื่อยๆ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละเหนื่อย
(ภาพจากการ์ตูนครับ คนหน้าเหลี่ยมเป็นประธานในที่ประชุมแล้วมีลูกน้องนั่นเสนอหน้าสลอน คนหน้าเหลี่ยมพูด ผมจะบ้าอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะจัดการม็อบพวกนั้นเสียที ลูกน้องก็รับปากขึ้นมาว่า ไม่ต้องห่วงครับท่าน ผมขนม็อบจากอีสานเข้ามาชนแล้ว) ม็อบจากอีสานเข้ามาชนแล้ว หมายพวกไหนพวกอีสาน (เดี๋ยวตอนท้ายครับจะสรุปหักมุมครับ แล้วคนหน้าเหลี่ยมบอก เหรอ ดีจัง จะมาเมื่อไหร่ ลูกน้องก็กราบเรียนว่า ๒๔๐ หาร ๑๐ เท่ากับหนึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงคูณด้วย ๑๕ อีกประมาณเท่าไหร่ อีกเดือนครึ่งครับ)
หมายความว่าไงเดือนครึ่ง (เดือนครึ่งก็ใช้เวลาเดินทางมา ม็อบที่เขาขนมาชนใช้เวลาเดือนครึ่งกว่าจะไปถึงกรุงเทพฯ เดือนครึ่ง ทำไมนานจัง ผมประสาทแดกตายเสียก่อน) ไอ้นี้ว่าจะเป็นโรคประสาทตายก่อน (คนหน้าเหลี่ยมบอกเดี๋ยวประสาทแดกตายก่อน แล้วลูกน้องก็ตอบว่า ม็อบอีแต๋นนะท่าน วันหนึ่งมันวิ่งได้ ๑๕ กม.เอง เพราะที่ขนมาเป็นรถอีแต๋นครับ) ก็เดินวันหนึ่งได้ ๑๕ กม. ก็ถูกแล้วเราเคยเดินแล้วนี่ เอาว่าไป
(อีกภาพหนึ่งบอก แม้วนี้เป็นโรคจิต ไอ้ที่ไม่อยากจะให้โกหกดันโกหกมันซะหมดทุกเรื่อง เขาบอกแม้วนี้ชอบโกหก แล้วเพื่อนก็บอกว่า ส่วนที่อยากให้โกหกดันไม่โกหก แล้วเพื่อนอีกคนก็ถามว่า อะไรที่ลื้ออยากให้แม้วโกหก ก็ที่พูดว่า จะไม่ลาออก ถ้าโกหกก็บอกว่าลาออก ไม่ยอมพูด ไม่ยอมพูดโกหก) โอ้ เข้าท่าดีเว้ย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |