พระขอขมาเณร
วันที่ 20 มีนาคม 2549 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

พระขอขมาเณร

ก่อนจังหัน

เราเห็นเณรมาปฏิบัติธรรม มาบวชเป็นเณรปฏิบัติบำเพ็ญธรรม เราชื่นใจดีใจ ย้อนไปถึงครั้งพุทธกาล พระราหุลพระราชโอรสของพระพุทธเจ้าของเรานั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นเณร เณรสำเร็จเป็นพระอรหันต์มีเยอะนะ อายุ ๑๒ ขวบก็มี ๔ ขวบก็มี สำเร็จอรหันต์ เณรตัวเล็กๆ มันน่ารักนี่ ทีนี้พระก็เป็นพระแบบหลวงตาบัว ชอบเล่นกับเด็ก พอไปเห็นเณรน่ารักก็ไปจับหัวตบหัว เป็นยังไงอยากสึกไหมอี่ลุน ในตำราไปเห็นเณรน่ารักก็ไปจับเณรแล้วตบหัวเณร เป็นยังไงอยากสึกไหมอี่ลุน เณรก็บอกว่าไม่อยากสึก ทีหลังค่อยทราบ ทำไมจึงไปทำอย่างนั้น เณรองค์นี้เป็นเณรพระอรหันต์ หือ ขึ้นเลย เลยไปขอขมาเณร นี่ในครั้งพุทธกาล ให้พระได้ขอขมาเณร ไปตบหัวเณรปั๊บๆ อยากสึกไหมอี่ลุน เณรก็เป็นเณรพระอรหันต์ เณรก็บอกว่าไม่อยากสึก พอออกไปพระมากระตุกเอา ทำไมจึงทำอย่างนั้น เณรนี่เป็นพระอรหันต์ เหอ ขึ้นเลย ตกลงมาขอขมาเณร ในครั้งพุทธกาล

ศีลธรรมเป็นสิ่งที่เลิศเลอมาก ขอให้พี่น้องทั้งหลายหันหน้าเข้าสู่ธรรมนะ หันไปตามกิเลสเห็นไหมไฟเผาโลกอยู่เวลานี้ มันมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ที่ไหนล่ะกิเลส มีแต่ความจะเอาให้ได้อย่างใจๆ ผิดถูกชั่วดีไม่สนใจเลย ขอให้ได้อย่างใจๆ นี้คือใจของกิเลส จะทำโลกให้กระทบกระเทือนและแหลกเหลวไปตามๆ กันเพราะอำนาจของกิเลส เมื่อหันหน้าเข้าสู่ธรรมแล้วมองดูใจด้วยกันทุกคน คนทุกคน แม้แต่สัตว์เขาก็มีหัวใจ ท่านจึงไม่ให้เบียดเบียนและทำลายกัน นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้าดูสัตว์ด้วยความสม่ำเสมอ ไม่ได้ดูลำเอียง ท่านสม่ำเสมอ ถ้ามีธรรมแล้วจะสม่ำเสมอ

ยกตัวอย่างเช่น ดูตัวอย่างนี่ จัดอาหารการกินแยกไปทางไหนๆ ให้เสมอกัน จะมีมากมีน้อยให้เสมอกัน เป็นธรรมแล้ว มีน้อยไม่เป็นไร มีมากไม่เป็นไร ขอให้เสมอ ถ้าไม่เสมอแล้วไม่ดีทั้งนั้นแหละ มีมากมีน้อยกระทบกระเทือนจิตใจกันจนได้ และเป็นความผิดสำหรับผู้ทำเช่นนั้น ความสม่ำเสมอนี้เรียกว่าธรรม อย่างแจกอาหารการกินดูซิน่ะ ท่านแจกไปยังไงบ้าง ดู ความเสมอภาค ใจท่านใจเรา ใจของใครของใครเหมือนกันที่อยู่ร่วมกัน มารวมกันอยู่นี้ก็เรียกว่าเป็นเหมือนอวัยวะเดียวกัน ให้มีความสม่ำเสมอตลอดกันเลย แล้วอยู่กันเป็นสุขๆ มาอยู่ด้วยกันเหมือนอวัยวะเดียวกัน เหมือนลูกพ่อแม่เดียวกัน

ลูกพ่อแม่เดียวกันบางทีมันทะเลาะกัน แต่อวัยวะเดียวกันนี้ดี ถูกต้อง อะไรเจ็บปวดแสบร้อนที่ไหนรีบหาหยูกหายามาเยียวยารักษา ปัดของแสลงออกไปที่จะเป็นภัยต่อโรคภัยของตน อันนี้ก็เหมือนกันปัดออกสิ่งใดที่เป็นความชั่วช้าลามก ไม่ให้มีติดกายวาจาใจ แล้วอยู่ด้วยกันด้วยความเป็นสุข เห็นใจกันและกันนั่นละสำคัญมาก มองดูใจซี สัตว์ก็มีใจ คนก็มีใจ ยิ่งเรามาปฏิบัติธรรม ยิ่งจะเป็นสิ่งที่มองดูใจเอาอย่างมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ใจท่านใจเรา ถ้ามองดูใจกันแล้วมันเสมอภาคไปได้แหละคนเรา ถ้ามองดูแต่ใจตัวเองไม่มองดูใจคนอื่น เหยียบย่ำทำลายได้ไม่ต้องสงสัย

กิเลสออกหน้า ท่านทั้งหลายอย่าว่าเป็นความสุขความเจริญนะ จมๆ ทั้งนั้น ใครอย่าไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ที่ตรัสรู้มานี้มากขนาดไหน แม่น้ำมหาสมุทรสู้ได้เมื่อไร ตรัสรู้มานานสักเท่าไร เป็นแบบเป็นฉบับถูกต้องดีงามๆ สมควรจะเป็นศาสดาของโลกๆ เรื่อยมา มาสอนพวกเรา นี่องค์ปัจจุบันก็คือพระสมณโคดมเรา สอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำสม่ำเสมอ ไม่ผิดพลาดในการสั่งสอน ควรที่จะนำธรรมเหล่านี้ไปปฏิบัติต่อตัวของเรา ที่ท่านมาสอนพวกเราท่านถูกต้องดีงามแล้วด้วยธรรมที่ท่านปฏิบัติมา แล้วก็มาสั่งสอนสัตว์โลก ควรที่จะยึดไปประพฤติปฏิบัติ

มันดีดมันดิ้นเอาเหลือประมาณนะเวลานี้ กิเลสออกหน้าออกตา มันออกหมดนะ ใครจะอยู่ที่ไหนก็ตามกิเลสเหยียบหัวๆ อยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระว่าเณร เฉพาะเมืองไทยเราชาวพุทธมีทั้งพระทั้งเณรอยู่นี้ มองไปที่ไหนเห็นแต่กิเลสเหยียบหัวพระเหยียบหัวเณร ยิ่งยศสูงๆ ด้วย เช่น เป็นสมเด็จๆ นั่นละกิเลสตัวใหญ่มันเหยียบอยู่หัวสมเด็จนั่นน่ะ เข้าใจไหมล่ะ ถ้าเอาธรรมจับนี้กิเลสมันจะพังลงๆ เหลือแต่ธรรมล้วนๆ เป็นชั้นสูงยศเท่าไรยิ่งเป็นที่น่ากราบไหว้บูชา เป็นผู้มีหิริโอตตัปปะภายในจิตใจ แสดงกิริยามารยาทออกมาสวยงามไปหมดเลยๆ นี่ละธรรม ถ้าธรรมได้ติดหัวใจแล้ว ออกมาทางกายวาจาจะสวยงามไปหมด ถ้ากิเลสติดหัวใจขึ้นขี่บนหัวแล้วขี้รดหัวลงไป ชื่ออะไรก็ตาม ตั้งกันขึ้นสูงขนาดไหน ก็ตั้งเพื่อกิเลสเหยียบหัว ขี้รดหัวเรานั่นแหละ

มันเป็นบ้าไปกับยศกับลาภนะทุกวันนี้ พระเราก็เป็นบ้า โลกก็รู้แล้วว่าเขาเป็นโลก จนกระทั่งจะเลยเถิดหรือเลยเถิด จึงได้เตือนเสมอ อย่าพากันตื่นเป็นบ้ากันเกินไปนะ กิเลสไม่สร้างความดิบความดีให้ผู้ใดแหละ นอกจากสร้างแต่ความบอบช้ำและทำลายเป็นลำดับลำดาเพื่อเอาความดีแก่ตน ซึ่งความดีก็เป็นไฟเผาตนอีกเหมือนกัน เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น ให้เอาธรรมเข้าไปแทรกๆ

เวลามาบวชเป็นพระยิ่งมีธรรมภายในจิตใจ อดก็ตามอิ่มก็ตาม เป็นก็ตาม ตายก็ตาม แต่การเทิดทูนธรรมนี้ไม่ลดละ มอบชีวิตจิตใจกราบถวายบูชาท่านไปเลย นั่นละผู้บูชาธรรม ผู้นี้เป็นผู้เจริญรุ่งเรือง อยู่ไหนสะดวกสบาย ธรรมไปที่ไหนไปเถอะน่ะ ชุ่มเย็นไปหมดเลยนะถ้าธรรม ถ้ากิเลสไปไหนกีดขวางไปหมด แม้มนุษย์ด้วยกันก็ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม

กิเลสตัวเห็นแก่ได้แก่เอา เอารัดเอาเปรียบทุกแบบทุกฉบับ เป็นช่องทางที่กิเลสจะได้เอาหมด ไม่เลือกๆ พุงใหญ่พุงโตไม่มีใครเกินพุงกิเลสละ ดูซิทุกวันนี้เราสลดสังเวช อยู่ในท่ามกลางประเทศไทยและท่ามกลางวงของรัฐบาลกับประชาชนอยู่ด้วยกันนี้ ฟังแล้วฟังไม่ได้เลย เลยหูหนวกตาบอด หนาที่สุดคือพวกผู้ใหญ่ๆ เวลานี้ เป็นผู้ใหญ่ใหญ่ด้วยกิเลสตัณหา ใหญ่ด้วยความเห็นแก่ตัว ใหญ่ด้วยการรีดการไถ ใหญ่ด้วยการบ้าอำนาจบาตรหลวงต่างๆ ใหญ่เพื่อกระทบกระเทือนโลก เหยียบหัวโลกไปโดยลำดับ นี่ละกิเลสใหญ่ เห็นไหมล่ะ

ถ้าธรรมใหญ่ ใหญ่เท่าไรยิ่งน่าเคารพบูชา ยกตัวอย่างตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา เป็นยังไงพระพุทธเจ้าใหญ่ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมสามแดนโลกธาตุกราบหมด กราบผู้ใหญ่ดังพระพุทธเจ้าซึ่งเต็มไปด้วยธรรม เป็นอย่างนั้นละ ใหญ่ด้วยธรรมเป็นอย่างนั้น สาวกอรหันต์ไปที่ไหนเหมือนกัน ใหญ่ไปด้วยความชุ่มเย็นเป็นสุข ถ้ากิเลสไปไหนใหญ่ด้วยความเบ่ง ตัวเท่าอึ่งนี้ก็เบ่ง ดังที่เขาเขียนไว้อึ่งอ่างกับวัว ในนิทานอีสป เป็นนักเรียนเราก็เคยเรียนอึ่งอ่างกับวัว อึ่งอ่างตัวเล็กๆ ยกไว้เป็นนิทาน แต่มีอยู่ในชาดกนะ เวลาไปดูจึงได้เห็น อ๋อ ออกจากชาดกนี้เอง เขียนเป็นคติเครื่องเตือนใจออกมาสอนนักเรียน อึ่งอ่างกับวัว

อึ่งอ่างอยู่ในรู แม่มันไปหากิน แล้วก็มีวัวตัวหนึ่งมาหากินตามแถวปากรูอึ่งอ่าง ทางนั้นก็ถอยนั้นถอยนี้กลัววัวจะเหยียบหัวมัน วัวเขาก็หากินตามประสาของเขาแล้วก็ผ่านไป ทีนี้พอแม่ไปหากินกลับมาแล้ว แม่ สัตว์ตัวใหญ่ๆ อะไรไม่ทราบมาเหยียบเฉียดหน้าเฉียดหลัง เกือบเหยียบหนูตาย มันใหญ่ขนาดไหนแม่ถามลูก โอ๊ย ใหญ่นะแม่ แม่ก็พองตัวขึ้น ใหญ่ขนาดนี้ไหม แม่อึ่งอ่างกับวัวเอาเทียบกันดู แม้แต่ลูกวัวมันก็ใหญ่กว่าอึ่งอ่าง ตัวเท่านี้ไหม โอ๋ย ใหญ่กว่านี้แม่ พองขึ้นๆ เท่านี้ไหมๆ สุดท้ายท้องอึ่งอ่างแตกตายทิ้งเปล่าๆ นี่ละพวกพองตัวแบบอึ่งอ่างกับวัว วัวคือหลักธรรม

อย่าไปแข่งธรรมนะ ธรรมเป็นของเลิศเลอ แข่งยังไงก็ไม่มีความสมหวัง มีแต่จมลงๆ อย่าไปแข่ง กิเลสแข่งธรรม เดี๋ยวนี้กิเลสแข่งธรรม เห็นกิเลสเป็นของดิบของดีไปหมด เห็นธรรมเป็นของชั่วช้าลามก ครึ ล้าสมัยไปหมด คนดีกลายเป็นคนครึคนล้าสมัย คนชั่วคนเลวกลายเป็นคนดิบคนดี ในสายตาของกิเลสเป็นอย่างนั้น เราดูตัวของเราซิ เวลานี้หัวใจเราคิดยังไง คิดดีหรือคิดชั่ว ดูตัวเองนี้น่ะ มันแข่งธรรมอยู่ในหัวใจของเรา ดูตรงนี้นะ ให้พยายามแก้ไขดัดแปลง ถ้าหันหน้าเข้าสู่ธรรมแล้วจะชุ่มเย็น ไปที่ไหนเย็นหมด

ธรรมไม่เคยครึเคยล้าสมัย นำโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับๆ ตลอดมาตั้งแต่กาลไหนๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ธรรมนี้ยังจะนำโลกไปอีกเพื่อความสุขความเจริญไปอีกมากมาย ในขณะเดียวกันกิเลสเคยนำโลกให้ล่มจมมามากขนาดไหน โลกไม่เคยเข็ดหลาบอิ่มพอ มันจะนำโลกเพื่อความล่มจมต่อไปอีก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเหมือนกันนั่นแหละ อยู่ในหัวใจเรานะที่พูดนี่ อย่าไปดูที่ไหน ดูคัมภีร์เห็นแต่หนังสือ เห็นแต่ใบลาน ถ้าดูหัวใจเราจะเจอทั้งกิเลสเจอทั้งธรรม แก้กันที่ตรงนี้ ความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นที่นี่ ให้พากันจำเอา ให้พร

หลังจังหัน

(กราบเรียนเกี่ยวกับสถานีวิทยุเสียงธรรมทั้งหมดค่ะ ภาคเหนือ ๑๙ สถานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๒๑ สถานี ภาคกลาง ๑๐ สถานี ภาคใต้ ๑๐ สถานี ภาคตะวันออก ๘ สถานี รวมทั้งหมด ๖๘ สถานีเจ้าค่ะ) ตั้งขึ้นเรื่อยๆ สถานีวิทยุ ขยายออกไปเรื่อยๆ แล้วธรรมก็มีหลายประเภทด้วย หลายขั้นของธรรม ขั้นเริ่มแรกนี้จะเป็นขั้นธรรมะที่เทศน์สอนพระล้วนๆ บนศาลาโดยเฉพาะๆ ขั้นนี้เรียกว่าธรรมะขั้นสูงสุดเลย แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ ตลอด เทศน์อยู่บนศาลา เทศน์สอนพระล้วนๆ มีแต่ผู้มุ่งมาปฏิบัติเพื่ออรรถธรรมและมรรคผลนิพพานทั้งนั้นๆ การเทศน์ก็เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเลย ดูเหมือนเป็นเวลานานละมั้ง

ต่อจากนั้นก็มีประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ค่อยกระจายออกไปๆ กำลังของธรรมก็อ่อนลงๆ เลยกลายเป็นแกงหม้อใหญ่ไป พออ่อนลงไปแล้วก็เป็นแกงหม้อใหญ่ ได้ฟังทั่วถึงกันหมดตามกำลังของตน แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วจะฟังเฉพาะผู้ปฏิบัติมุ่งอรรถมุ่งธรรมและเพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านมาฟังอยู่ที่นี่ สำหรับวัดป่าบ้านตาดเรานี้เรียกว่าเป็นวัดรับพระทั่วประเทศไทยอยู่นี้หมด มานี้หมดทุกภาค มารวมอยู่ที่นี่ฟังอรรถฟังธรรม

คือเรารับจำกัด เพราะมันไม่ไหว เราได้ระมัดระวังความเหลวไหล ถ้ามากแล้วเหลวไหล เข้มงวดกวดขัน ตอนที่อยู่ที่นี่สร้างวัดทีแรกเรารับพระอย่างมาก ๑๘ องค์เท่านั้น ไม่มากกว่านั้น เพราะครูอาจารย์ทั้งหลายที่พระเณรไปศึกษายังมีอยู่หลายองค์ๆ องค์นั้นแยกไปนั้น องค์นั้นแยกไปนี้ก็มี สถานที่อยู่ที่อบรมมีเยอะ ทีนี้ครูอาจารย์ทั้งหลายมรณภาพไป ล่วงไปๆ บรรดาพระที่ต้องการการศึกษาอบรมไม่มีที่เกาะที่ยึด ก็หมุนเข้ามาๆ ที่นี่แหละ ก็เลยกลายเป็นเปิดไว้หมดเลยที่นี่ ว่าปิดก็ไม่อยากพูด มันไหลเข้ามาเรื่อยๆ

๒๔๙๘ ตอนปลายปี เริ่มสร้างวัดที่นี่นะ ๒๔๙๘ จำพรรษาที่จันท์สถานีทดลอง อำเภอแหลมสิงห์ สามแยกพลิ้ว พอจากนั้นแล้วกลับมาก็มาเริ่มสร้างวัดที่นี่ ๙๘ จำพรรษานั้น พฤศจิกาละมังมาสร้างนี้ ๒๔๙๙-๕๐๐ ได้พรรษาที่นี่เรื่อยมา ดูเหมือนได้ ๕๐ ปีแล้วมัง พระที่เข้ามาศึกษาอบรมก็ค่อยหนาแน่นขึ้นโดยลำดับ ครูบาอาจารย์ก็ค่อยร่วงโรยไปๆ พระทั้งหลายไม่มีที่เกาะที่ยึดก็ไหลเข้ามาๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ เป็นอย่างนั้นนะ ธรรมะในเบื้องต้นจึงเป็นธรรมะที่เด็ดเผ็ดร้อนมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผู้ที่เปิดทางวิทยุเขาจึงเปิดเป็นเวลาเป็นระยะๆ ถ้าวันๆ หรือกลางวี่กลางวันหรือค่ำยังไม่ดึกนี้เขาก็เปิดธรรมทั่วไป พอดึกขึ้นมานี้เขาเปิดธรรมขั้นสูงๆ เรื่อยไป ถึงธรรมขั้นนี้ละขั้นที่เทศน์สอนพระที่ศาลานี้ ดึกเท่าไรธรรมขั้นนี้จะขึ้นจะออกทางวิทยุ มันเป็นขั้นๆ ผู้มุ่งปฏิบัติธรรมจะชอบฟังธรรมะขั้นดึกๆ แล้วก็ขยายออกไป

ตั้งที่ไหนก็ตั้งเถอะ เราพูดด้วยความแน่ใจตายใจในธรรมทั้งหลายที่เราสอนโลกมาตลอดนะ แต่ก่อนไม่ได้สอน สอนก็เวลาพูดให้มันชัดเจน ลงเวทีมาแล้วก็ยังไม่สอน ยังอยู่ในป่าในเขา ลงเวทีฟัดกับกิเลส ลงมาแล้วพระเณรนี้รุมตลอดรุมเรานะ อยู่ในป่าในเขาก็รุมอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งมาเป็นอย่างทุกวันนี้ดูเอา เป็นอย่างงั้นละ ธรรมที่เทศน์นี้จึงหมุนเข้ามาสู่ตัว ดังที่เคยพูดว่าธรรมเกิดๆ ธรรมเกิดกิเลสเกิดมันไปเป็นคู่กัน ธรรมก็ต่อสู้กับกิเลส กิเลสก็ต่อสู้กับธรรม จึงเรียกว่าธรรมเกิดกิเลสเกิดบนหัวใจของนักปฏิบัติเราด้วยจิตตภาวนา พิจารณากันในนั้นธรรมก็เกิดละที่นี่  ธรรมเกิดฆ่ากิเลส กิเลสเกิดฆ่าธรรม ซัดกันไปซัดกันมาอยู่นั้น สุดท้ายธรรมมีความแก่กล้าสามารถเข้าไปแล้วมีแต่ธรรมเกิดมากกว่ากิเลสเกิด เรื่อยๆ ไปเลย

นี่ละสดๆ ร้อนๆ ธรรมพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนไว้เกี่ยวกับเรื่องภาวนาสำคัญมากนะ เราดูบนหัวใจเราตามแนวทางที่ท่านสอนไว้นั้นจะไม่ผิดเลยทีเดียว ว่าธรรมเกิดก็เกิดที่นั่นละ เราเรียนปริยัติตามตำรับตำรานั้นเรียนเพื่อภาคจดจำ เป็นแบบแปลนแผนผัง เพื่อนำการศึกษาเล่าเรียนที่จำได้นั้นมาปฏิบัติ กางแปลนคือปริยัติออก เหมือนเรากางแปลนบ้านแปลนเรือนออก จะเอาขนาดไหนๆ ปลูกสร้างตามแปลนนั้นๆ ก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างเป็นตึกรามบ้านช่องขึ้นมา ตามความมุ่งหมายของผู้นำแปลนมาสร้างบ้านหลังนั้นๆ

ปริยัติท่านแสดงไว้หลายแง่หลายกระทง ธรรมะหลายขั้นหลายภูมิ เราก็ปฏิบัติตามนั้นๆ เรื่อยๆ ผลที่ปรากฏขึ้นมา นั่นละเหมือนเขาปลูกบ้าน นำมาปฏิบัติคือเขาปลูกบ้านเรามาปฏิบัติธรรม ผลปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ ภายในจิตใจ เหมือนเขาปลูกบ้าน เริ่มแต่ขุดดินวางรากวางฐาน เทคานอะไรนี้ขึ้นอย่างนี้เรื่อยๆ ภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน จิตใจยังไม่สงบพยายามทำให้มีความสงบร่มเย็นด้วยธรรม ดังที่สอนให้ภาวนามีคำบริกรรมกำกับใจ ไม่เช่นนั้นใจเถลไถลกิเลสเอาไปถลุงหมด จึงต้องมีคำบริกรรมกำกับรักษาจิตไว้ไม่ให้เถลไถลไปตามกิเลส

นำคำบริกรรมมา มีสติควบคุมคำบริกรรมจิตสงบได้ตั้งได้ สงบๆ แล้วเย็น จิตแน่นหนามั่นคงเขาเรียกสมาธิ จิตสงบเป็นครั้งเป็นคราวท่านเรียกว่าสมถะ คือความสงบใจ พอสงบหลายครั้งหลายหนก็เป็นการสร้างฐานแห่งความมั่นคงของใจขึ้นมา ท่านเรียกว่าสมาธิ นั่น เป็นขึ้นกับใจของผู้ปฏิบัติ ทีนี้เวลาสมาธิแน่นหนามั่นคงแล้วควรแก่การดำเนินทางด้านปัญญา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ แยกเขาแยกเรา ภูเขาภูเราทั่วแดนโลกธาตุ ลงในกฎ อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง จนกระทั่งรอบคอบแล้วปล่อยวาง ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง นี่ละแปลนท่านบอกไว้อย่างนี้ เราพิจารณาอย่างนั้นมันก็รู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้นปล่อยวางอย่างนั้นๆ เรื่อยมา จนกระทั่งปล่อยโดยสิ้นเชิง

ดังที่เคยพูด มีใครพูด ก็มีแต่หลวงตาบัวองค์เดียวนี้พูด ปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่วันบวชมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์มอบให้แล้วมาปฏิบัติเป็นสมถกรรมฐาน คืออาศัยกรรมฐาน ๕ หรืออาการ ๓๒ นี้จะเป็นอันใดก็ได้นำมาบริกรรมเพื่อจิตสงบ พอจิตสงบเป็นปากเป็นทางเข้าไปสู่สมาธิแล้วกรรมฐานทั้ง ๕ หรืออาการ ๓๒ เลยกลายเป็นหินลับปัญญาไป พิจารณาอันนี้ละที่นี่เป็นปัญญาขึ้นมาๆ กรรมฐานนี้เป็นสถานที่ตั้งแห่งงานเพื่อถอดถอนกิเลสแปลออกแล้ว เวลาจิตยังไม่สงบเอากรรมฐานนี้เป็นเครื่องอบรมจิตให้สงบ พอจิตสงบแล้วเอากรรมฐานนี้แหละเป็นหินลับปัญญา พิจารณาสิ่งเหล่านี้คลี่คลายออกไป กระจายออกไปด้วยปัญญาๆ ทะลุไปเลย จนกระทั่งหมด

นี่เราพูดย่อๆ นะ ตั้งแต่กรรมฐาน ๕ ฟาดอาการ ๓๒ หมด รูปธรรมนามธรรมเป็นฐานที่ตั้งแห่งงานของผู้ถอดถอนกิเลสทั้งนั้นๆ ผ่านไปๆ ถอนไปผ่านไป สุดท้ายหมดสมมุติไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจเลย นี่เรียกว่าก้าวเดินกรรมฐานสุดทางแล้วที่นี่ จะเรียกว่าพระอรหันต์ท่านไม่มีกรรมฐานก็ได้ไม่ผิด เพราะผ่านหมดแล้วเหล่านี้เป็นทางเดิน เมื่อถึงที่สุดนั้นแล้วจะไปแบกบันไดแบกหนทางอยู่ยังไงคนเรา  ทางเป็นทางบ้านเป็นบ้านเรือนเป็นเรือนบันไดเป็นบันได มันคนละวรรคละตอน

นี้จิตก้าวเดินตามกรรมฐานที่ท่านสอนไว้เฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น พิจารณาตามนี้ๆ กระจ่างแจ้งเข้าไปด้วยปัญญาๆ เรื่อย จนกระทั่งพอตัวหมด เรื่องรูปกายหายห่วงปล่อยวางตามเป็นจริง นามธรรมความคิดความปรุงภายในจิตใจซึ่งเป็นส่วนละเอียดยิ่งกว่านี้ นั้นก็เป็นกรรมฐานประเภทละเอียด เป็นกรรมฐานประเภทหนึ่งเหมือนกัน ก้าวเดินพิจารณาสิ่งเหล่านี้รอบคอบขอบชิดปล่อยไปๆ จนกระทั่งเข้าถึงตัวกษัตริย์วัฏจิตคืออวิชชา

เข้าถึงนั้นแล้วปล่อยตัวนั้นวางตัวนั้น ทำลายตัวนั้นออกจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วหมด สมมุติทั้งมวลไม่มี จิตพ้นแล้วจากสมมุติทั้งมวล หรือว่าทางก้าวเดินคือกรรมฐานก็ผ่านไปหมดเรียบร้อยแล้ว จะว่าท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วท่านไม่มีกรรมฐานจะผิดที่ตรงไหน เพราะเหล่านี้เป็นทางเดินทั้งนั้น ผ่านไปหมดแล้วไม่มีกรรมฐาน กรรมฐานก็เป็นสมมุติ จิตเป็นวิมุตติแล้วจะมากอดสมมุติอยู่ยังไง นั่นมันก็รู้เอง ทีนี้ธรรมที่เรามาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลายเป็นธรรมที่ตายใจทุกอย่าง ตายใจทุกขั้นทุกภูมิของธรรมไม่สงสัย ตั้งแต่เริ่มแรกสอน สอนประชาชนมา

ตั้งแต่ก่อนเราไม่สอนใคร ความรู้มากน้อยเกิดขึ้น ที่ว่าธรรมเกิดๆ เกิดขึ้นในใจของเรา แก้กิเลสภายในใจของเราเป็นลำดับลำดาไม่นำไปแก้ใคร เพราะเวลาออกปฏิบัติเราไม่เคยสอนใคร ไม่สอนเลย ออกปฏิบัติไปปฏิบัติก็ไปองค์เดียวๆ ตลอด พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็ส่งเสริมด้วย ถ้าพูดถึงเรื่องไปองค์เดียวนี้ท่านขึ้นทันทีนะ อย่างเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเลย จะไปทางไหนๆ ท่านถาม

เพราะก่อนที่จะกราบลาท่านไปเที่ยวนี้ โอ๋ย ต้องได้ใช้ความระมัดระวัง ความเคารพทุกอย่างกว่าจะพูดออกมาได้ในคำที่จะลาไปเที่ยวนะ ต้องถามหาการหางานหาอะไรในวัดในวา เพราะเราก็เป็นผู้รับผิดชอบอยู่อย่างลึกลับนั้นแหละในนั้นดูแลพระเณร ตลอดหน้าที่การงานภายในวัดที่ควรจะปฏิบัติอย่างไร เราต้องเป็นหัวหน้าอยู่โดยดี  ทีนี้พอโอกาสอันดีเราควรที่จะออกหาที่วิเวกสงัด บำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อประโยชน์ของตนก็อยากจะไป ก็กราบเรียนท่านถึงการถึงงาน พอท่านว่า เอ้อ ก็ไม่มีอะไรแหละ เพราะท่านรู้แล้วพอว่ามีการมีงานอะไรๆ บ้างนี่ท่านทราบแล้วนะว่าเราจะไป

ท่านก็เปิดโอกาสให้ ก็ไม่มีอะไรแหละ ก็มันไม่มีจริงๆ ธรรมดาในวัดนั้นไม่มี แต่การดูแลพระเณรก็เป็นงานอันหนึ่ง นั่นละงานใหญ่อยู่ตรงนั้น ท่านว่าไม่มีอะไร ถ้าไม่มีอะไรก็เป็นโอกาสที่พอเหมาะ ก็อยากจะกราบลาพ่อแม่ครูจารย์ไปเที่ยวประกอบความพากเพียรสักระยะ นั่นฟังซิบอกว่าไปสักระยะ แล้วพ่อแม่ครูจารย์จะมีการงานอะไรบ้าง เพียงเท่านี้ท่านนิ่งแล้วนะ เราจะไปต่อคำพูดอีกไม่ได้ ต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณา พอกราบเรียนท่าน ท่านรับทราบทุกอย่างแล้วเราก็ปล่อยเลย คอยฟังคำท่าน มีโอกาสอันดีงามเมื่อไรท่านจะพูดออกมา ถ้าท่านนิ่งเราจะพูดต่อไปอีกไม่ได้

เช่นลาไปเที่ยวนี้ เราลาอีกไม่ได้สำหรับเราเองนะเพราะความเคารพ จะพูดอะไรก็ท่านทราบเรียบร้อยแล้ว จนถึงโอกาสอันดีท่านจะขึ้นเอง พอโอกาสอันดี เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวก็ไปได้ ท่านออกเองนะนั่น ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวภาวนาก็ไปได้ แล้วจะไปทางไหนล่ะท่านถาม คราวนี้ว่าจะไปทางนั้น ต้องกราบเรียนท่านไว้หมดจะไปทางไหนๆ คราวนี้คิดว่าจะไปทางโน้น เอ้อ ทางนั้นดีนะ แน่ะ คือท่านเที่ยวไปหมดแล้ว

ตอนที่รุนแรงก็คือว่าจะไปกี่องค์ พอเราว่าจะไปองค์เดียว ท่านขึ้นผึงเลย เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครจะไปยุ่งท่านมหาไม่ได้นะ ให้ท่านไปองค์เดียว ส่ายมือไปนี้ พระเณรนั่งอยู่นี้ ท่านมหาไปองค์เดียว เด็ดมากอันนี้ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่นละเวลาออกปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อเรา ไม่เคยสั่งสอนใครเลย ไปอยู่ที่ไหนที่จะแนะนำสั่งสอนคนไม่มี สอนเจ้าของโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสติปัญญาเกรียงไกรถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติก็ตาม สอนเจ้าของทั้งนั้น ความรู้ความฉลาดมีมากเพียงไรที่เกิดขึ้นจากใจ นำไปสอนใจชำระใจ กิเลสอยู่กับใจ ให้ขาดกระเด็นออกไปๆ จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดโดยสิ้นเชิง หายสงสัย ก็รู้ประจักษ์ใจด้วย สนฺทิฏฺฐิโก ไม่ต้องไปถามใคร ศาสดาองค์เอกอยู่ที่ สนฺทิฏฺฐิโก นี้แล้ว

จากนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อนก็รออยู่แล้วนี่ ไปที่ไหนรุมตามๆ หลบซ่อนหมู่เพื่อนไปในที่ต่างๆ นี้มันจะเป็นจะตาย มันก็ต้องได้รับกัน อบรมสอนอยู่ในป่าในเขา จากนั้นขยายออกมาก็เกี่ยวกับโยมแม่บวช นั่นเรื่องราวมัน ได้ตั้งสำนักใหญ่สำนักมหากังวลมหาวุ่นวายขึ้นในวัดป่าบ้านตาด เลยเป็นสถานกังวลวุ่นวายไป ไม่ใช่สถานอบรมธรรม เราเขียนที่หน้าวัดนั้นเราเขียนไว้โก้ๆ อย่างงั้นละ ใครได้อ่านไหม “ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน” ความจริงในวัดนี้มันตัวเพ่นพ่านตัวยุ่งเหยิงอยู่แล้ว ประกาศโก้ๆ ไว้อย่างนั้นละเข้าใจไหมล่ะ เลยยุ่งไปใหญ่อย่างนี้ละ

การสอนพระก็สอนอย่างเด็ดเผ็ดร้อนตลอดมา สอนไม่สงสัยในธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่เริ่มออกมาสอนบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ประชาชน หายสงสัยหมดแล้ว เราก็สอนตามขั้นตามภูมิของผู้ที่จะรับการศึกษาได้มากน้อยเพียงไร สอนตามนั้นๆ เรื่อยมา โดยไม่มีความสงสัยในแง่ธรรมที่นำมาเทศน์ จะเป็นแง่ใดภูมิใดก็ตามหายสงสัยเรื่อยมา จนกระทั่งทุกวันนี้หายสงสัยมาตลอด เพราะฉะนั้นวิทยุจะออกทางไหนๆ ออกเถอะว่างั้นเลย เราไม่มีสงสัยแล้วในธรรมทั้งหลาย เป็นธรรมที่รับรองยืนยันจากใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนนี้แล้วร้อยเปอร์เซ็นต์

ใครจะต้องการความดีงามเป็นสิริมงคลแก่ตน เอาไปเถิดฟังเถิดฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ธรรมนี้ไม่ผิดไม่พลาดบอกตรงๆ เลย ใครตั้งวิทยุที่ไหนเราจึงพอใจๆ อยากให้เสียงธรรมเข้าสู่ใจ ถ้าธรรมเข้าสู่ใจใจจะค่อยสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดา ไม่ได้เหมือนกิเลสที่อยู่ในใจ ไม่เพียงเข้าสู่ใจมันอยู่ในใจ ตีพิษออกมานี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันได้หมดทั่วโลกดินแดน ถ้าธรรมนี้กระจายออกไปไหนสงบร่มเย็นไปหมด ต่างกันมากนะ

คำว่าธรรมๆ ผู้ไม่เคยบำเพ็ญเขาจะเชื่อได้ยังไงว่าธรรมเป็นยังไง เขาก็เชื่อตั้งแต่กิเลสที่มันเผาหัวอกเขาอยู่ตลอดเวลา ทั้งเขาทั้งเราเหมือนกันหมด พูดเรื่องกิเลสถ้าว่าชื่อกิเลสเขาก็ไม่รู้ ธรรมชาตินั้นเขารู้ด้วยกันทุกคน มันเผาโลกอยู่ด้วยธรรมชาติของมันเอง เรื่องธรรมเขาก็ไม่รู้ พอเราปฏิบัติมันก็รู้ ธรรมกับกิเลสอยู่ที่หัวใจดวงเดียวกัน เอามาแก้กิเลสอยู่ในหัวใจออก ใจก็เป็นธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นธรรมขึ้นมาล้วนๆ บริสุทธิ์ นั่นท่านว่าแก้กิเลสหมดแล้วใจเป็นธรรม บรมสุขอยู่ที่ใจเป็นธรรมล้วนๆ บริสุทธิ์แล้วนั้นแล กิเลสเป็นตัวให้ความทุกข์ความทรมานแก่สัตว์โลก ให้พากันไปตั้งใจปฏิบัติเอานะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละ เพราะทุกวันพูดมาทุกวัน เมื่อเช้าก่อนจังหันก็พูดแล้วนี่นะ ฉันจังหันแล้วก็พูดอีกๆ ทั้งหวานทั้งคาวทั้งอะไรกินไม่หยุดไม่ถอย เอาละพอ

ธรรมไม่ค่อยเข้าใจง่ายๆ นะ ได้ปฏิบัติเสียก่อนมันถึงรู้ พอธรรมสัมผัสใจนี้ เพราะใจอบรมธรรม มีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ พอธรรมเข้าสู่ใจด้วยความสงบแล้ว ใจจะค่อยขยายตัวออกมาเป็นของมีคุณค่าๆ ตัวของเรา จากคุณค่าเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาเรื่อยๆ ต่อไปมันครอบหมดเลย ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าใจ นั่น ลงนั้นนะ แล้วแยกปั๊บไปอีก ถ้าหากกิเลสครองใจแล้วไม่มีอะไรเลวร้ายยิ่งกว่าใจ นั่น ถ้าธรรมเข้าครอบปั๊บไม่มีอะไรที่เลิศเลอยิ่งกว่าใจ เพราะฉะนั้นจึงให้ชำระใจ

(วันนี้ทองได้ ๑ บาท ๘๖ สตางค์ครับผม) ได้เท่าไรเราก็พอใจ เพราะทองนี้ก็บอกกันทราบทั่วถึงกันหมดแล้วว่า ทองนี้เป็นประเภทซึมซาบคือน้ำไหลซึม ได้เท่าไรเราพอใจทั้งนั้น เวลาขู่เข็ญก็ขู่เข็ญ เวลาตีกระเป๋าก็ตี ฉีกกระเป๋าก็ฉีก เวลานี้ไม่ใช่เวลาเช่นนั้น เป็นเวลาน้ำไหลซึม ได้มาเท่าไรก็ค่อยไหลซึมเราจึงไม่ว่า เขาบอกว่าวันนี้ไม่มีทองไม่ได้ทอง ไม่ได้ก็ไม่เอา ขึ้นเลย ความจริงอยากได้จะตายไป ทำท่าแข็งใส่เขาไม่ได้ บอกว่าไม่มี ไม่มีก็ไม่เอา ถ้ามีมาคว้ามับ มีมาคว้ามับ เราก็เอามาไว้สำหรับประดับชาติของเรา

เราคิดไว้หมดทุกแง่ทุกมุมนะ ไม่ใช่ที่ทำเหล่านี้ไม่คิด คิดเต็มหัวอก ก่อนที่จะนำพี่น้องทั้งหลายนี้เรียกว่าคิดเต็มหัวอกตลอดมา เมื่อคิดแล้วสมควรจะออกช่องไหนกว้างแคบขนาดไหนจะพาออกๆ เราไม่ไปปรึกษาใครละ เราจะพิจารณานี้ หรือจะว่าปรึกษาก็ปรึกษาใจนี้เลย พิจารณาสมควรยังไงก็ก้าวเดินๆ เรื่อยๆ ไป ถึงขีดที่จะหยุดแล้วก็ประกาศว่าหยุด วันที่ ๑๒ ตามเดิม ทีนี้มันก็เป็นอยู่ในจิตอีกละ ทองคำเราก็ไปดูเอง ทองคำนี้คือหัวใจชาติไทยเราทั้งชาติ ความแน่นหนามั่นคงความตายใจจะอยู่ที่นั่นหมด ทองคำถึงจะได้เป็นกอบเป็นกำก็ตาม แต่ก็ยังรู้สึกว่าบกพร่องอยู่มาก เพราะฉะนั้นจึงเปิดทางว่าให้เป็นทองประเภทน้ำไหลซึม ค่อยไหลซึมเข้าไป

เอาเป็นกอบเป็นกำก็เอามาแล้วใช่ไหม ทีนี้เอาประเภทน้ำไหลซึม เดี๋ยวนี้ไหลซึมนะ เพื่อชาติไทยของเราจะแน่นหนามั่นคง ถ้ามีทองคำเป็นสมบัติสำคัญอยู่ภายในคลังหลวงของเราแล้วหัวใจของชาติอยู่นั้นหมด แน่นหนามั่นคง เราคิดเห็นอย่างนี้ เราจึงได้อุตส่าห์พยายามพาพี่น้องทั้งหลายตะเกียกตะกาย จะว่ารบกวนก็แล้วแต่จะพิจารณาเถอะ รบกวนก็รบกวนเพื่อพี่น้องทั้งหลายเอง ไม่ได้เพื่อเรานะ ให้พาเข้าใจตามนี้ ทีนี้จะให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก