เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
กำลังจิตหมุน
ก่อนจังหัน
ในครั้งพุทธกาลมีสำเร็จเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ มีเยอะนะ แต่เณรทุกวันนี้มันสำเร็จตั้งแต่ขั้นลิงค่างบ่างชะนีไป มันสำเร็จขั้นนั้นๆ พระก็สำเร็จแบบเดียวกัน ยิ่งนับวันหนาเข้ามากกิเลส ดูหัวใจโลกแหม สลดสังเวชนะ พากันเพลินเป็นบ้าอยู่นั้น อู๊ย น่าทุเรศ กิเลสมันหมุนอยู่ภายใน นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเลิศเลอขนาดไหนท่านทะลุหมด เห็นแล้วเหมือนไม่เห็น ควรจะช่วยเหลือแก้ไขยังไงท่านก็แก้ๆ แก้ไม่ได้สุดวิสัยก็กรรมของสัตว์ ปล่อยไปๆ อำนาจของฝ่ายต่ำนี้โถ ลึกลับมาก หลอกสัตว์โลกนี้เชื่อทั้งนั้นเลย สัตว์โลกจึงไม่ค่อยเชื่อธรรมยิ่งกว่าเชื่อกิเลสฝ่ายต่ำทราม เอาละให้พร
หลังจังหัน
.....นาสีดาที่ท่านจันทร์โสมพักนี้มีขึ้นทีหลังเราไปเที่ยวทางโน้น เราเคยไปพักอยู่บ้านนาสีดา ตอนนั้นเป็นวัดบ้าน ร้าง เราไปพักที่นั่นคืนหนึ่ง วันไปเห็นบ้านนาสีดาก็ไปเห็นตอนนั้นละ คือเราจะเข้าไปในเขาเลยไปพักที่นั่นเพื่อย้อมผ้า จากนั้นก็เข้า จึงไปเห็นบ้านนาสีดา ท่านอาจารย์เทสก์ดูจะอยู่บ้านนาสีดา หลังจากถวายเพลิงพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้ว ออกจากนั้นก็เข้าป่าทางด้านอำเภอบ้านผือ
แต่ก่อนดูเหมือนศรีเชียงใหม่ยังไม่มีอำเภอ ก็มีแต่อำเภอท่าบ่อ บ้านผือ เท่านั้นแหละ เป็นดงเป็นป่า พอดีเป็นจังหวะที่เราออกไปเที่ยว กำลังเร่งความเพียร ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ว่า ข้าขอไปด้วยบัว อู๊ย ยังไงกัน ข้าขอไปด้วย จะทำยังไงท่านก็เป็นอุปัชฌาย์ เราก็กำลังเร่งความเพียรตอนนั้น คิดดูไปอยู่ในงานศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราอยู่ได้ ๔ คืน เราไปในงานศพเราอยู่ได้เพียง ๔ คืน ฟังซิ คือมันหมุนของมันตลอดเวลา อยู่กับใครไม่ได้ ตอนนั้นตอนมันหมุนเป็นธรรมจักร สติปัญญาอัตโนมัติหมุนติ้วๆ
พอเผาศพท่านเสร็จก็ขึ้นไปวัดดอยธรรมเจดีย์ อ้าว เขาก็นิมนต์ลงมางานร้อยวันหรืออะไรของท่านอีกพวกสกลฯ มันอะไรพวกนี้ พอลงจากนี้ปั๊บคือมาจากวัดดอยปั๊บลงมานั้นเสร็จแล้วเผ่นทางนี้เลย เจ้าคุณอุปัชฌาย์ว่า ข้าไปด้วยบัว เอาอีกแหละ มันยังไงกันนาเรานี่น่ะ ท่านเป็นพ่อเราก็เป็นลูกนี่ ท่านเป็นอุปัชฌาย์จะว่าไง ไปอยู่ในโน้นท่านอาจารย์หล้าท่านอยู่กับชาวไร่เขา ท่านชอบป่าเป็นประจำ ไม่ออกมานอก เวลาท่านพูดธรรมะน่าฟัง ไปพักอยู่ที่นั่น เราก็ไปพักอยู่ลึกๆ นู่น ครั้นกลางคืนต้องมานั่งฟังท่านพูดอะไรอีก ไอ้นี้มันก็หมุนของมันอยู่นี่ ติดเครื่องไว้แล้วไม่ให้รถออก คือเครื่องมันหมุนอยู่ติ้วๆ รถออกไม่ได้ มาฟังอยู่นั้นละ
ออกจากนี้ก็ลาไปพักอยู่ทางนู้นอีก คราวนี้ไกล เราไปให้เขาทำร้านเล็กๆ ให้ คือจะหมุนความเพียรนั่นแหละให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งท่านจับได้ จับได้แบบท่านนั่นแหละไม่ได้จับได้แบบเรา โอ๊ย ที่นั่นไม่ดีบัวมันเปลี่ยวมาก อะไรกันมาเปลี่ยวๆ เปิ่วๆ มันขวางกับเราน่ะ มันเปลี่ยวมากน่ากลัวนะบัว คือมันเป็นดงเสืออยู่แล้วแถวนั้น แต่เราไม่ได้สนใจกับเสือกับสางอะไรนี่ อันนี้มันรุนแรงมากเกินกว่าที่จะไปคิดกลัวนั้นกลัวนี้ ท่านไปดูแล้วก็ว่า อู๊ย ไม่ดีแหละบัวอย่าไปเลย เอาอีกแหละ เราไปอยู่ลึกๆ กลางคืนก็ได้มาหาท่านอยู่ ทีนี้ออกไปนู้นกลางคืนจะไม่มา ท่านก็ไปดู อู๊ย ที่นั่นไม่ดีบัว เปลี่ยวมากอย่าไปเลย เอาอีกแหละ แล้วจะฝืนไปยังไง
จากนี้กลางวันก็ด้อมๆ ไปดูถ้ำที่นู้นอีก ก็มันอยู่ไม่ได้จะทำไง ไปดูไม่ดีก็ช่างเถอะให้ได้ห่างอารมณ์ก็แล้วกัน ไปดูแล้วมาลาท่านว่าจะไปที่นั่น โอ๊ย อย่าไปเลยบัว อยู่ด้วยกันนี่แหละ ข้าก็มากับเธอนี่นะ เอาอีกแหละ มัดเข้าอีก เอ๊ มันยังไงกัน จากนั้นก็ลามาทางบ้านนาสีดา หาอุบายบอกเฉยๆ ออกจากนั้นจะไปไหนก็ไม่รู้แหละ อันนั้นท่านก็บอก ตรงนั้นเขาเป็นโรคอะไรกันไม่รู้แหละบัว อย่าไปเลย หลายครั้งหลายหนท่านก็เลยจับได้ เออ เธอนี่เป็นกังวลกับเราแหละบัว ถ้าเราไปแล้วเธอจะสบาย ท่านจับได้เราก็เฉย ก็มันหมุนอยู่ตลอดเวลาจะให้ทำไง
ท่านได้มาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเราเหมือนกัน ให้พระด้วยกันเป็นพระปฏิบัติฟัง แต่พระปฏิบัติท่านก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี่ แล้วท่านก็รู้เรื่องของเราอยู่แล้ว พอมาเล่าให้ฟัง มหาบัวไม่ทราบเป็นอะไร อยู่กับเราไม่ติดเลย เดี๋ยวลาไปนู้นเดี๋ยวลาไปนี้ สุดท้ายเราก็เลยได้ปล่อยให้ไป ว่างั้นนะ ไม่ทราบเป็นอะไรมหาบัวนี่ วิจารณ์เรา พระนั้นเลยเล่าให้ฟัง ท่านรู้เรื่องของเราตอนนั้นกำลังจิตหมุน ท่านก็เลยเล่าเรื่องให้ฟัง หือๆ อย่างนั้นหรือๆ อู๊ย ถ้าอย่างนั้นเราผิดมาก ท่านก็เห็นโทษของท่านนะ อู๋ย เราผิดมากเราต้องขอขมามหาบัว เราผิดมาก เธออยู่ไม่เป็นสุขกับเรา เดี๋ยวลาไปโน้นเดี๋ยวลาไปนี้อยู่งั้น ทีนี้รู้เรื่องแล้ว บทเวลามาพบกันทีหลังท่านว่า ขอขมาเธอนะบัวข้าผิด เราก็ไม่ว่าอะไร ท่านรู้เรื่องจากพระองค์นั้นแหละเล่าให้ฟัง ว่าเราอยู่กับใครไม่ได้ ท่านก็เลยเห็นโทษของท่าน
เราพูดนี่ขบขันจะตายไป ท่านเจ้าคุณท่านวิจารณ์เราว่า มหาบัวไม่ทราบเป็นยังไง อยู่กับเราไม่ติด เดี๋ยวลาไปนู้นเดี๋ยวลาไปนี้ อยู่อย่างนั้นตลอด ไปที่ไหนก็ไม่ให้ไป สุดท้ายท่านก็เลยว่า เอ้อ ถ้าข้าไปแล้วเธอจะอยู่สบายแหละบัว ว่างั้น ท่านใส่ปัญหาเราเราก็รู้ แต่เราไม่เอาเพราะอันนี้มันหมุนตลอดเวลา หลังเผาศพท่านแล้วเราก็จะไปคนเดียวเรา ก็มันหมุนอยู่ตลอดเวลาอยู่ได้ยังไง อยู่ในงานศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่ได้ ๔ คืนเท่านั้นแหละ พอเสร็จแล้วไปเลย
ไปถึงนู้นแล้ว ขากลับมาก็ท่านอีกแหละ ถ้าไม่ไปหาท่านก็ไม่เหมาะ มาอุดรก็ต้องไปกราบท่าน เอ้อ บัว เราจะบวชเจริญ เขากำลังเรียนแพทย์ หมอเจริญ วัฒนสุชาติ จะไปบวชที่สกลนคร เราบอกว่าเราจะไปสกลนคร เออ ดีละบัว ไปสกลนคร เราอยู่วัดสุทธาวาสนะ เราจะไปบวชนายเจริญเขา ก็ต้องรออีก พอบวชหมอเจริญแล้ว เราขึ้นไปเขาท่านก็จับหมอเจริญนี้ยัดใส่มือเราไปให้เราไปแบกหมอเจริญอีก อ้าว มันยังไงกัน ยุ่งตลอดเวลาเลย นี่ตอนเดือนหก พอเสร็จแล้วหมอเจริญเขาก็สึก เราก็อยู่ที่นั่นตอนเดือนหก วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ วาระนั้นละ นั่นเห็นไหมมันหมุน หมุนเพราะเหตุนั้นเองไม่ใช่หมุนอะไร ไปจบกันลงที่ตรงนั้น ที่ว่ามันหมุนมันอยู่ไม่ได้ ขนาดนั้นละ อยู่กับใครไม่ได้เลย ต้องอยู่องค์เดียว
คือเวลาเราศึกษาอบรมทีแรกต้องอยู่กับครูกับอาจารย์ ปราศจากครูอาจารย์ไม่ได้ เวลาจำเป็นอยู่กับครูก็จำเป็นต้องอยู่กับครู เวลามันออกอย่างนี้แล้วอยู่กับใครไม่ได้ มันก็เป็นความจำเป็นของมันอันหนึ่ง อยู่กับใครไม่ได้เลย ครูบาอาจารย์บางองค์ยังยกโทษเราอีก มหาบัวนี่เวลาท่านอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่เหมือนเงาเทียมตัว ติดกับท่านตลอดเวลา ทีนี้พอเวลาท่านมรณภาพแล้ว เอาศพท่านทิ้งไว้นี้แล้วหนีเข้าป่าไม่มาเหลียวแลเลย อย่างนั้นก็มีนะ มันยังไงกัน
แต่เราไม่สนใจเท่านั้น เพราะเรื่องของเรามันหมุนมากเชียว หมุนติ้วๆ แต่การ อดอาหารนี่เป็นตามนิสัยไม่ค่อยฉัน ระยะนั้น ๓ วันฉันทีหนึ่ง แต่ก่อนเอามากนะ ระยะนั้นท้องเสียมากแล้วก็เลยสามวันสี่วันฉันทีหนึ่งๆ คืออดอาหารนี้สำหรับนิสัยที่ถูกนะ ไม่ว่าธรรมะขั้นใดอดอาหารถูกทั้งนั้นเลย ดีทั้งนั้น สำหรับนิสัยที่ถูกจริตนิสัยกับการอดอาหาร สำหรับเรานี้อดอาหารถูก เพราะฉะนั้นจึงได้ท้องเสียละซิ มันไม่คำนึงคำนวณกับท้องกับปากอะไร ท้องก็เลยเสียมา
ขึ้นไปวัดดอยธรรมเจดีย์แล้ว พอปลดเปลื้องภาระลงที่นั่นแล้วก็ไปวาริชภูมิ เลยย้อนกลับมาจำพรรษาหนองผืออีก เพราะบ้านนี้เขามีบุญมีคุณมาก ทีแรกเราว่าจะไปจำพรรษา เตรียมตัวไปแล้วนะ จวนจะเข้าพรรษาแล้วนี่ จำพรรษาที่ถ้ำอะไรลืมแล้ว อำเภอวาริชภูมิ เราไปดูแล้วเราจะไปจำพรรษาที่นั่น พอทราบว่าหนองผือไม่มีพระเลยเหมือนวัดร้าง บ้านก็เหมือนบ้านร้างว่างั้น เราสลดสังเวชกระเทือนใจปึ๋งเลยเชียวนะ ไม่พูดสักคำเดียว แกชื่อโยมผาน ผู้เฒ่าผาน ผู้เฒ่าเคยไปวัดไปวาบ่อย ผู้เฒ่าอยู่กลางทางระหว่างบ้านหนองกุงหรืออะไร แกทราบว่าเราอยู่ที่นั่นแกเลยขึ้นไป แกไปเล่าสภาพหนองผือให้ฟัง ก็เลยสลดสังเวช
เตรียมของว่าจะมาจำพรรษาที่นั่น อยู่ไม่ได้เลย ตื่นเช้ามาก็ว่า ไปเพ็งเตรียมของ เตรียมของไปไหนล่ะ ไปหนองผือน่ะ เอ้า ไปหนองผือยังไงอีก ก็ไปหนองผือซิไม่มีพระสักองค์นี่นะว่าไง เลยกับท่านเพ็งนี่ละกลับมาจำพรรษาหนองผือ เดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่ำแล้วนะมาถึงหนองผือ ๑๕ ค่ำก็เริ่มเข้าพรรษา ทีนี้พอเข้าไปอยู่นั้นวันขึ้น ๘ ค่ำถึง ๑๕ ค่ำ กี่วันล่ะ พอทราบว่าเรามาอยู่หนองผือ พระเณรอยู่ทางที่ไหนๆ ไหลมา ปีนั้นจำพรรษาตั้ง ๒๘ องค์หรือไง ก็อุ่นหนาฝาคั่ง ๒๘ องค์ นี่เราพูดเรื่องอะไร ไปอย่างนั้นนะมันลืม (บ้านนาสีดาเจ้าค่ะ) เออ บ้านนาสีดา นั่นละนั่นก็เข้าไปอยู่ทางนู้น กลับมาก็มาที่วัดดอยธรรมเจดีย์
อย่างนั้นละเวลาอยู่กลับใครไม่ได้อยู่ไม่ได้จริงๆ สำหรับเราอยู่ไม่ได้เลย ต้องคนเดียวๆ อยู่ในป่า ไปอยู่ในป่าคนเดียวไม่ให้เจอใครเลย มีแต่เจ้าของหมุนตลอดเวลา นี่ละธรรมเวลามีอำนาจมันแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ กิเลสอยู่ที่ไหนมันซอกมันซอนมันคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาเอาจนได้ๆ กิเลสเกิดไม่ได้ละ ธรรมะถ้าถึงขั้นนี้แล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มีเท่าไรก็มีแต่จะม้วนเสื่อๆ ลงไปเรื่อยๆ ถึงขั้นที่กิเลสเกิดไม่ได้ ขั้นนี้เกิดไม่ได้เลย มีแต่จะหมดๆ ไปโดยลำดับ ขั้นกิเลสเกิดอยู่ที่ไหนเกิดตลอดเข้าใจไหม พวกเรามันมีแต่พวกกิเลสเกิด ธรรมไม่เกิดละเข้าใจไหม เราเคยเป็นมาแล้วมันก็พูดได้ละซิ
เวลากิเลสเกิดอยู่ที่ไหนกิเลสเกิด กินมากๆ ก็กิเลสพาให้กินมากๆ ก็กิเลสเกิดเข้าใจไหม กินมากแล้วขี้เกียจก็กิเลสเกิดให้ขี้เกียจ ขี้เกียจขี้คร้าน เอ้า นอนมากก็กิเลสพานอน มีแต่กิเลสพาไปพามาตลอดเวลา นี่เวลากิเลสเกิดมีแต่เกิดตลอด แต่เวลาเราฟัดเราเหวี่ยงแก้กันแล้ว ถึงขั้นนี้แล้วทีนี้กิเลสไม่เกิด เกิดไม่ได้เลย เกิดขาดสะบั้นคือมันรวดเร็ว สติปัญญาถึงขั้นรวดเร็ว พอแย็บเท่านั้นขาดสะบั้นไปพร้อมกันเลย มันฆ่ากันเองนะ จึงเรียกว่าอัตโนมัติละซิ ฆ่ากิเลสอัตโนมัติ กิเลสทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติก็เห็นกันแล้วทั่วโลกดินแดน ทีนี้ธรรมะฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติใครพูดที่ไหนไม่มี ไม่มีใครพูดละ ก็เราพูดเองมันเป็นในเรา
จึงได้ย้อนกลับไปพิจารณา โอ้ เวลากิเลสมีกำลังนี้กิเลสสร้างผลประโยชน์ของมันบนหัวใจสัตว์โลก มันสร้างตลอดเวลา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกช่องไหนช่องกิเลสออกทั้งนั้นๆ เลย สังขารตัวสำคัญอยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น มันเกิดตลอดเวลา ทีนี้เวลาธรรมะมีความสามารถแก่กล้าแล้วนี้ฆ่ากิเลส ถึงขั้นอัตโนมัติแล้วทีนี้ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ฆ่าตลอด อยู่ที่ไหนฆ่าตลอด เว้นแต่เวลาหลับ นอกนั้นไม่มีเวลาอยู่เฉยๆ หมุนติ้วๆ เป็นของมันเองนะ จากนั้นมันเชื่อมเข้าหามหาสติมหาปัญญา ตอนนี้ละเอียดมากทีเดียว มันจะเอากิเลสขั้นสุดท้าย
กิเลสที่ละเอียดสุดเข้าไปถึงอวิชชา มหาสติมหาปัญญานี้ละเข้าช่องนี้ละถึงกัน หมุนติ้วๆ เลย จนกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ไม่ต้องไปถามใคร คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตัวเองโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายก็ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศครั้งสุดท้าย ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ผางขึ้นมาเท่านั้นรู้แล้ว หือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละหรือๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตรัสรู้อย่างที่มันเป็นนี้ นั่น ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร อย่างนี้ละเหรอๆ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ นั่นเห็นไหม พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละหรือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแขนงของธรรมแท้ แต่เวลาถึงนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมดเลย
หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่นเห็นไหมล่ะมันเป็นแล้วนั่น ใครมาบอก ไปศึกษาจากใคร เป็นขึ้นในหลักธรรมชาติ พอเหมาะพอดีๆ ธรรมแท้เป็นอันเดียว ไม่มีคำว่าแง่นั้นแง่นี้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เราก็คิดติดพันอยู่กับใจมาตลอดจนกระทั่งถึงขณะนั้น ทั้งสามอย่างนี้จึงเข้ามาเป็นอันเดียวกัน โอ๋ เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่มันเป็นแล้วนั่น มันชัดเจนอย่างนั้นซิการปฏิบัติ
บทเวลามันจ้าขึ้นมานี้ โถ โลกธาตุ เหมือนโลกธาตุหวั่นสะเทือนไปหมดนะ ความจริงเขาก็อยู่ของเขา แต่มันเป็นที่กายกับจิต กายนี้มันหวั่นมันสะเทือนอย่างแรงเลย จิตกับอวิชชาขาดสะบั้นจากกัน นี่ละดีดตรงนี้ พอดีดอันนี้ร่างกายมันเกี่ยวโยงกับจิต ร่างกายก็ผางเลยดีดด้วยกันเลย ดีดผึงเลยทันที นั่นละที่ว่าฟ้าดินถล่ม มันเป็นอยู่กายกับจิตเท่านั้นแหละ ไม่ได้เป็นอยู่ต้นไม้ภูเขา แต่ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม คือมันรุนแรงมาก
มันติดกันมาเท่าไรกิเลสกับจิตดวงนี้ ติดกันมากี่กัปกี่กัลป์ พาเกิดพาตายมีตั้งแต่จิตดวงนี้กับอวิชชาพันกันอยู่นั่น พออวิชชาขาดสะบั้นมันก็ดีดกันอย่างแรงละซิ จากนั้นมาแล้วหมดโดยสิ้นเชิง ไม่เคยปรากฏเลยว่ากิเลสตัวใดได้เกิดขึ้นมาอีก ให้ได้เกิดความงงว่า หือ กิเลสกูก็ว่ากูฆ่ามึงเสร็จไปแล้วนั้น มึงโผล่ขึ้นมาได้ยังไงไม่เคยมี แล้วก็ไม่เคยสงสัยด้วย นั่นเวลามันรู้มันรู้อย่างนั้น ตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมๆ นั้น
นี่ก็ปราชญ์สมัยปัจจุบันเขายังออกว่า บรรดาพระอรหันต์นั้นพระพุทธเจ้าต้องรับรองก่อนจึงเป็นพระอรหันต์ได้ ดูซิน่ะ พวกตาบอดเราว่ามันชัดๆ อย่างนี้ มันอ่านมันมีแต่หนอนแทะกระดาษมันไม่สนใจปฏิบัติ มันก็ว่าให้พระพุทธเจ้ามารับรอง พระพุทธเจ้าที่ไหนรับรอง สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ก็ประกาศไว้แล้ว นั่นเครื่องรับรองจากตัวเองที่ปฏิบัติได้มากน้อย ผลจะปรากฏขึ้นมาที่นั่นๆ ผางขึ้นมานั้นไปถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน ไม่มี จึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก
ผู้ปฏิบัตินั้นแหละผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลตลอดไปเลย ขอให้มีการปฏิบัติอยู่เถอะ ถ้ามีแต่ศึกษาเล่าเรียนไม่สนใจปฏิบัติมันก็เป็นนกขุนทอง เป็นหนอนแทะกระดาษไปอย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร ก็เหมือนแปลนเรานี่ทำเท่าไรในห้องเต็มห้องมันก็ห้องแปลน แปลนปลูกบ้านปลูกเรือน มันไม่เป็นบ้านเป็นเรือนให้ ถ้าเอาแปลนออกมากางปุ๊บนี้จะเอาขนาดไหนๆ กว้างแคบขนาดไหนแปลนบอกไว้เรียบร้อย เอาขนาดนี้ก็ใส่ปึ๋งก็เป็นขึ้นมาเลยนั่น ถ้ามีภาคปฏิบัติบ้านเรือนก็ปรากฏขึ้นจากแปลนนั้นแหละ ถ้ามีปฏิบัติมรรคผลนิพพานเกิดขึ้นจากตำราที่ท่านสอนไว้แล้วนั้นแหละ นั่นแหละแปลน จะเป็นอะไรไป
ท่านจึงสอนว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามอย่างนี้แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกศาสนาก็ขาดบาทขาดตาเต็ง ไม่เต็มบาท ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ปริยัติศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่อุปัชฌาย์สอน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั่นปริยัติแล้วนะนั่น จากนั้นให้ไปปฏิบัติ นั่นเป็นภาคปฏิบัติ เอากรรมฐานห้าเป็นต้นไปพิจารณา ถ้าควรจะเป็นสมถธรรมให้เป็นอารมณ์เพื่อความสงบก็เอาไปพิจารณา กรรมฐานห้านี้หรือกรรมใดก็ตามเป็นอารมณ์เพื่อความสงบของใจก็บริกรรมอันนั้น เช่นอัฐิๆ นี้บริกรรมให้สติติดอยู่นั้น ทีนี้พอจิตมีความสงบแล้วกระจายออกทางด้านปัญญา กรรมฐานทั้งห้าหรือหมดร่างกายของเรานี้เป็นหินลับปัญญาไปหมดเลย
ทีแรกทำให้จิตสงบเป็นน้ำดับไฟ ให้ใจสงบลงด้วยสมถธรรม ได้แก่การบริกรรมกรรมฐานนี้ ทีนี้พอมีกำลังแล้วแยกออกทางด้านปัญญา กรรมฐานเหล่านี้กลายเป็นหินลับปัญญาไปเลย เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาไปเลย นั่น อยู่อันเดียวนั้นแหละ สำคัญอยู่ที่จิตที่จะนำมาปฏิบัติ พอถึงขั้นปัญญาแล้วกรรมฐานเหล่านี้กรรมฐานห้ากรรมฐานอะไร อาการ ๓๒ จะเป็นหินลับปัญญาไปหมดด้วยกัน จ้าๆ ไปเลย เอาละนะพูดเท่านั้น ก็พอเป็นคติอยู่แล้วนี่นะ ต่อไปนี้จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |