เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ถูกแห่งความผิดของกิเลส
เทศน์บนศาลาเทศน์สอนพระล้วนๆ เด็ดทั้งนั้น เทศน์สอนพระมีแต่ภาคปฏิบัติจิตตภาวนาล้วนๆ พุ่งๆ เลย แล้วเทศน์อย่างนั้นเทศน์ง่ายด้วย แปลกอยู่นะ เทศน์ธรรมะเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ นี้เทศน์ก็ง่าย พุ่งๆ เราเคยฟังเทปของเราเอง คือบอกให้พระเปิดให้ฟังจะเป็นยังไง มีแต่เทศน์ให้คนอื่นฟัง เราฟังดูบ้างว่างั้น เวลาเปิดเทศน์นี้หมุนติ้วๆ จนกระทั่งลมหายใจหมดเนื้อธรรมยังไม่หมด รีบสูบลมหายใจดังฟิ้วๆๆ คือมันไม่ทันใจๆ ธรรมออกจากใจพุ่งๆ เทศน์ธรรมะสูงเท่าไรยิ่งรุนแรงยิ่งพุ่ง แล้วเทศน์ง่าย พุ่งๆ เลย เรียกว่ามันไหลรวมเข้าช่องๆ ไม่มีไหลบ่า เข้าช่องทีเดียว
ไหลบ่าคือเทศน์แยกโน้นแยกนี้ เรียกว่าแกงหม้อใหญ่ก็ไม่ผิด เรียกแกงหม้อใหญ่ก็ได้ แกงหม้อเล็กก็คือมันเข้าช่อง พุ่งๆ จิตที่เข้าช่องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน จิตที่เข้าช่องแล้วยังไงก็ไม่เป็นอื่น พุ่งๆ อย่างเดียวเท่านั้น อย่างที่เราเคยพูด มีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่กรุงเทพ เขาทำงานการไฟฟ้านครหลวง แกมาพูดอยู่ที่สวนแสงธรรม ทีแรกได้ยินใครเล่าให้ฟังก่อน เราจึงอยากพบแกอยู่เราว่างั้น ได้ยินว่าแกภาวนาเป็นอย่างนั้นๆ แกก็มาจริงๆ มาเราก็บอกให้พูดขึ้นมา แกพูดขึ้นมาเป็นภาคปฏิบัติออกจากจิตใจล้วนๆ คือเป็นหลักธรรมชาตินะ
เรียนมากเรียนน้อยไม่สำคัญ อันนั้นมันเป็นผิวเผินๆ เวลาออกจากภาคปฏิบัติมันแม่นยำๆ ท่านจึงบอกว่าผลที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติเป็นสมบัติของเราด้วย แน่นอนด้วยเป็นขึ้น ไม่ต้องไปถามใคร แม่นยำๆ แกมาเล่าให้ฟังก็น่าฟังอยู่ หมุนติ้วๆ แกเล่า เราก็ถามขึ้นรับกันเลย หือ ยังมีอยู่เหรอ เมืองใหญ่ๆ เมืองนี้นึกว่าจะไม่มีของดี ยังมีอยู่เหรอ ทางนี้ขึ้นผางเลยรับกันเปรี้ยงๆ นั่นละพอมันเข้าถึงกันมันรับกันเร็ว นี่ที่ว่าธรรมเกิดๆ ออกมาเรียกว่าเกิด ออกมาๆ ความจริงธรรมอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว พอเปิดนี้ก็ออกพุ่งๆ เลย
เวลาเป็นธรรมทั้งดวง จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วนี้พูดไม่ถูกนะ รู้ชัดเจนมากทีเดียว แต่เวลาจะพูดจะพูดได้เป็นแง่ๆ นิดหน่อย ที่พูดไม่ได้มากต่อมากทีเดียว นี่ละเรียกว่าธรรมเกิด คือเวลาออกมานั้นเรียกว่าธรรมเกิด พุ่งออกมาๆ ธรรมอยู่ก็คือใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว เรียกว่าคลังของธรรมก็ไม่ผิด เวลาออกมันก็ออกอย่างนั้นพุ่งๆ เลยทีเดียว
เราก็ยังเคยพูดให้ฟังหลายครั้งหลายหน ในชีวิตของพระเราเคยเล่าให้ฟังที่ไปจนตรอกอยู่ลานข้าวเขา ได้หนังสือพกเล่มหนึ่งไป เวลาเสร็จแล้วก็เทศน์ ประเพณีของเขาเป็นอย่างนั้น เราก็ได้กัณฑ์เทศน์พกเล่มหนึ่งบางๆ มีกัณฑ์หนึ่ง เทศน์จบลงแล้วเขาก็แห่กันมาอีก หลายบ้านมารวมกัน ท่านเทศน์จบแล้วเหรอๆ ว่างั้นนะ มีอีตาคนหนึ่งตายหรือยังไม่ทราบ ถ้ายังไม่ตายให้ไปตามให้หน่อย เอามาฆ่านี่น่ะ เรายังโมโห แกว่าจะยากอะไร ท่านฉันเพลแล้วค่อยเทศน์ให้ฟังก็ได้ยากอะไร ก็มันไม่ได้เทศน์ พอว่าอย่างนั้นเรามันโมโหขึ้นแล้วนี่ นี่ละทุกข์ที่สุดเลยในชีวิตของพระ
ก็บวชได้พรรษาเดียว พรรษานั้นเรียนเจ็ดตำนาน สิบสองตำนานจบ และเรียนปาฏิโมกข์จบ เห็นไหมเรียน สวดปาฏิโมกข์ในกลางพรรษา จะไปสนใจอะไรกับการเทศนาว่าการ ภาษิตอะไรๆ ก็ไม่ค่อยเห็นมี นี่ละคับในหัวอกเลยเทียวนะ ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นนะฉันเพล ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นเท่านั้นก็ไม่หมด มันคับอยู่ในหัวอก มีแต่จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟังๆ อยู่งั้นนะ มันเป็นอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นมันจึงฝังลึกละซิ นี่ละชีวิตของเราที่เป็นทุกข์มากที่สุดก็คราวนั้นละ
เทศน์ก็บืนไป ก็บวชได้พรรษาเดียวไปเทศน์นี่ เรียนอย่างที่ว่าเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ปาฏิโมกข์จบหมดเลย สวดปาฏิโมกข์ในพรรษานั้นด้วย ยังไม่ได้คิดถึงการเทศนาว่าการอะไร เวลาเทศน์มันจะตายจริงๆ โถ บืนตายไปนะ พอผ่านไปได้ ออกจากนั้นมาเพื่อนฝูงพรรษาก็พอๆ กัน แต่เราแก่กว่าด้วยวันด้วยอะไรเท่านั้นเอง มาพูดแหย่หรือพูดจริงพูดเล่นอะไรก็คาดไม่ได้ โฮ้ เทศน์ดีอยู่นะ อย่ามากวนนะกำลังจะฆ่าคนอยู่เดี๋ยวนี้ ขึ้นเลย เอ้า ดีจริงๆ อยากตายเหรอเราก็ว่างั้นมันโมโห
นั่นละคราวนั้นมันทับหมดเลย นี่คืออะไร คือกิเลสทับธรรม ติดเขาติดเรา ติดเขาติดเรามันก็เป็นเครื่องมัดหัวใจเราเข้าให้ออกไม่ได้ คับหัวอก ทีนี้เวลามาออกปฏิบัติ ออกปฏิบัติมันรู้ขึ้นภายในจิตละซีที่นี่ ถึงต่างกันมากกับปริยัติ ผิดกันมาก แล้วแน่ใจด้วย แม่นยำๆ เกิดขึ้นมายังไงเป็นสมบัติของเราด้วยๆ ภาคปฏิบัติธรรมเกิดนี้เป็นสมบัติของเราทั้งหมด ความจำไม่ใช่สมบัติของเรามันหลงลืมได้ แต่ความจริงนี้ไม่ลืม มันเป็นอยู่ในนี้เลย
ที่นี่เวลาออกมาปฏิบัติ ธรรมะก็เกิดละซิที่นี่ ธรรมะเกิดภายในจิตใจนี้ไม่ได้สนใจเทศน์สอนใครนะ เกิดมากเกิดน้อยหมุนเข้ามาแก้เจ้าของๆ เรื่อยๆ ธรรมเกิดเท่าไรยิ่งเบิกกว้างออกๆ ขับกิเลสตัวมืดมิดปิดตานั้นออกๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งมันจ้าหมด เกิดมากน้อยเพียงไรมันหมุนเข้ามาแก้เรา ไม่ได้สนใจสอนใคร ออกปฏิบัติเป็นเวลา ๙ ปีเต็มๆ ที่เราออกปฏิบัติล้วนๆ ๙ ปีเต็ม ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นี้เป็นเวลาที่ขึ้นเวทีฟัดกันไม่รู้จักเป็นจักตาย เหมือนว่าไม่มีกรรมการแยก...นักมวยก็ดี ใครดีก็ให้อยู่บนเวที ใครไม่ดีให้ตกเวทีไปเลย
ทีนี้เวลาธรรมเกิดแล้ว เกิดออกทีไรมันยิ่งเบิกกิเลสออก เบิกออกๆ ขับออกๆ ค่อยกระจ่างขึ้นๆ เวลามันอัดอั้นตันใจอย่างที่ฉันเพล ขนมนางเล็ดแผ่นหนึ่งไม่หมด นั่นดูซิเวลามันมัด นี่ละติดเขาติดเราไม่ใช่อะไร เวลาธรรมะเบิกสิ่งเหล่านั้นออกที่ว่ามามัดเรา ติดเขาติดเรา เบิกออกๆ ธรรมะเบิกออกก็กว้างออกๆ กว้างออกเรื่อยๆ กว้างออกเท่าไรก็หมุนเข้ามาแก้เจ้าของ ยิ่งกว้างออกเรื่อย เกิดเท่าไรก็มาแก้เจ้าของๆ ไม่ได้ไปสอนใคร จนกระทั่งมันเปิดเต็มที่ของมันแล้ว ทีนี้คำว่าติดเขาติดเราไม่มี พูดให้มันชัดเจนไม่มี ติดเขาติดเราก็ไม่มี ทีนี้มันก็เบิกกว้างหมด ว่างไปหมด กลายเป็น สุญฺญโต โลกํ โลกว่างไปหมด สูญไปหมดไม่มีอะไรเหลือ
ทั้งๆ ที่มองเห็นอยู่นะ แต่จิตมีอำนาจมากมันพุ่งนี้ว่างไปหมดเลย ก็ว่างเป็นประจำไปเลยอย่างนั้นจะให้ว่าไง มันว่างไปหมดเลย ไม่มีคำว่าติดเขาติดเรา การเทศนาว่าการที่ว่าติดเขาติดเราไม่มีแล้วก็ออกได้เต็มเหนี่ยว แล้วแต่เหตุการณ์ที่จะควรออกหนักเบามากน้อยมันจะเปิดของมันเอง เปิดเองๆ ไม่ต้องถามใครแหละ จึงได้มาพิจารณาเวลามันปิดมันตันเจ้าของ ปิดจริงๆ นะ ติดเราติดเขานั่นละ เป็นเครื่องผูกมัดเราให้กระดุกกระดิกไม่ได้เลย ทีนี้เปิดอันนั้นออกๆ มันเบิกกว้างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็น สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมดเลย
ไม่มีว่าชาติชั้นวรรณะสูงต่ำประการใด ไม่มี ธรรมเหนือหมดเลย เพราะฉะนั้นจะไปเทศน์ พูดให้มันเต็มยศเลยว่า จะเทศน์ในสถานที่ใดก็ตาม ว่าบุคคลเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ไม่มี ธรรมเหนือหมดเลย ครอบไปหมดเวลามันเป็น นี้เป็นโดยหลักธรรมชาติ ไม่ได้เป็นด้วยการเสกสรรปั้นยอนะ เป็นโดยหลักธรรมชาติ เป็นสมมุติทั้งมวลนะที่มันปิดมันบังเรา กิเลสมีสมมุติมี กิเลสมีมากน้อยนั่นละสมมุติ พอกิเลสขาดสะบั้นไปแล้วสมมุติหมดจากจิตใจไม่มีอะไรเหลือเลย โล่งไปหมด
สุญฺญโต โลกํ ดังพระพุทธเจ้าท่านเทศน์สอนพระโมฆราช มาณพ ๑๖ คน ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิซึ่งเป็นเหมือนภูเขากั้นเอาไว้ว่าเขาว่าเราออก จะพึงหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง บอกไว้ชัดเจน ทีนี้คำว่า สุญฺญโต โลกํ โมฆราช นั่นท่านสอนพระโมฆราช มันก็เข้าอันเดียวกัน จะโมฆราชไหนเหมือนกันหมดเวลามันเข้าถึงแล้ว ยกพระโมฆราชเป็นต้นเหตุเท่านั้น ธรรมนี้เป็นเหมือนกันหมด เวลาเข้าถึงนั้นมันว่างไปหมดเลย สุญฺญโต โลกํ เดินไปแผ่นดินตามองเห็นอยู่แต่จิตมันทะลุไปหมดเลย มันว่างไปหมด ทีนี้ไม่มีคำว่าติดเขาก็ไม่มี ติดเราก็ไม่มี โล่งไปหมด กลายเป็น สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมดเลย ทีนี้คำว่าอัดอั้นตันใจหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มี
อย่างทุกวันนี้เทศน์สะเปะสะปะไปอย่างนั้นแหละ จะว่าติดเขาติดเรา ไม่ติดเขาไม่ติดเรา มันก็ไปของมันแบบนี้ละ แต่เรื่องชาติชั้นวรรณะที่ว่าสูงต่ำที่เคยมีประจำใจ เป็นเครื่องผูกมัดตัวเองสมมุติมามัดเจ้าของต่างหากนะ พอสมมุติหมดแล้วเครื่องผูกมัดทั้งหลายหมด มีแต่ว่างเปล่าไปหมดเลย นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า เวลาปฏิบัติไปๆ ธรรมจะเบิกกว้าง เบิกกิเลสให้กว้างออกๆ จนกระทั่งกิเลสหมดโดยสิ้นเชิง จิตก็ว่างเปล่าไปหมดเลย ทั่วแดนโลกธาตุสิ่งใดเขามีก็มี แต่ความว่างนี้มันเหนือไปหมดแล้ว ครอบไปหมด ทะลุไปหมดเลย เป็นหลักธรรมชาติของจิตที่เป็นตัวของตัวโดยสมบูรณ์แล้วเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงว่าเทศน์ ที่ว่าเทศน์ตอนกลางคืนเทศน์สอนพระเทศน์กัณฑ์เก่าๆ มีแต่เด็ดๆ ไม่เด็ดได้ยังไงก็เทศน์สอนพระผู้มุ่งปฏิบัติต่อมรรคผลนิพพานล้วนๆ ธรรมะอันนี้จะออกรับกันทันทีๆ พุ่งๆ เลย ออกจากนั้นไปก็เทศน์ตามขั้นตามภูมิของบุคคลไปเท่านั้นละ จึงเรียกว่าเป็นแกงหม้อใหญ่ แยกโน้นแยกนี้ไป แต่ธรรมชาติแท้นี่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น พุ่งเลยๆๆ คิดดูซิเทศน์เนื้อธรรมยังไม่หมด ลมหายใจหมด รีบสูบลมหายใจติดเทปนะ ดังฟิ้วๆๆ เลย จึงว่า โห มันขนาดนี้เทียวเหรอ คือพลังของจิตที่มันออก พุ่งๆ เลย เนื้อธรรมยังไม่หมดลมหายใจหมด รีบสูบลมหายใจดังฟิ้วๆ ติดเทปนะ ได้ฟังในเทป โถ ขนาดนี้เทียวเหรอ มันเป็นปืนกลไปเลย ปืนกลเป็นยังไงฟังซิ ทีนี้ธรรมะก็ออกอย่างนั้น พุ่งๆ เลย
ทีนี้เมื่อไม่ติดเราติดเขาเสียอย่างเดียวมันก็ว่างไปหมด มีเรามีเขาเท่านั้น อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเราว่าเขาออกเสีย เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ ก็เป็นอย่างนั้นละ ข้ามไปเลย พญามัจจุราชคือความเกิดตายเพราะกิเลสเป็นเชื้อ ข้ามพ้นอันนี้ไปได้เลยท่านว่างั้น
เวลามาเทศน์สอนพระก็มีแต่พระปฏิบัติล้วนๆ ที่อยู่ในวัดป่าบ้านตาดแต่ก่อนไม่มีมากนะ เราไม่รับมาก อย่างมากที่สุดไม่เลย ๑๘ วัดนี้รับได้แค่ ๑๘ องค์เท่านั้น เพราะแต่ก่อนมีครูบาอาจารย์มาก แล้วลูกศิษย์ลูกหาบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ก็ไปหาครูบาอาจารย์ได้สะดวกสบาย ทีนี้ครูบาอาจารย์ล่วงลับไปๆ มันไหลเข้ามาซิที่นี่ ไหลเข้ามาหาเรา ขยับขึ้นไปเป็น ๑๘ แล้วขึ้นเป็น ๒๐ จาก ๒๐ นี้มันพุ่งใหญ่เลยจนกระทั่งเต็มไปหมดวัด มีแต่พระแต่เณร คือไม่มีที่ยึดที่เกาะ เราก็เห็นใจตอนที่เราอาศัยครูบาอาจารย์อยู่นี้ เป็นยังไง มันพึ่งจริงๆ นะพึ่งครูบาอาจารย์ ทีนี้พระทั้งหลายก็มีหัวใจอย่างเดียวกัน เราก็คิดบวกลบคูณหารเทียบเคียงดูแล้วก็ค่อยแย้มรับๆ ทีนี้มันมาอย่างใหญ่โตทีเดียว คลื่นพระพุ่งๆ มาเต็มหมดเลย
การเทศน์นี่เทศน์ออกเป็นธรรมล้วนๆ มันพุ่งเลยนะ นั่นละที่ว่าเทศน์แต่ก่อนกับทุกวันนี้ต่างกัน คือต่างกันที่ผู้มาฟัง อย่างทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปเทศน์สถานที่ใดที่มีพระปฏิบัติมากๆ จิตใจมันจะหมุนออกภาคปฏิบัติ มันก็พุ่งเหมือนกัน ถ้ามีทั่วๆ ไปมันก็ทั่วๆ ไปเสีย อย่างนั้นแล้ว
แต่ก่อนได้ยินแต่ว่า ธรรมเกิดๆ ธรรมเกิดกิเลสเกิด เวลาฟัดกันกับกิเลส ธรรมก็เกิดกิเลสก็เกิด กิเลสเกิดธรรมก็ฟัดกิเลส ซัดอันนี้ลงไป เอ้า เกิดนั้นขึ้นมาฟัดนี้ลงไป ธรรมเกิดกิเลสเกิดมันไปด้วยกัน เมื่อกิเลสยังไม่หมดกิเลสก็เกิด ธรรมก็ฟัดกันเรื่อยๆ ธรรมเกิดกิเลสเกิดๆ ธรรมละเอียดเกิดกิเลสละเอียดเกิด จนกระทั่งหมดกิเลสไม่มีเหลือเลย ทีนี้ธรรมก็จ้าไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ นี่ละภาคปฏิบัติเป็น อกาลิโก ไม่กำหนดกาลสถานที่เวล่ำเวลา ไม่มี ใครตั้งใจปฏิบัติ
การทำบาปทำบุญท่านจึงว่า อกาลิโก เหมือนกัน ฝ่ายกิเลสก็เป็น อกาลิโก จะให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดได้ทั้งนั้นๆ เมื่อกิเลสยังมีอยู่ในใจ ธรรมจะให้เกิดเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น เป็น อกาลิโก เหมือนกันหมด เสมอภาค เมื่อทำให้เต็มเหนี่ยวแล้วก็ อกาลิโก โดยหลักธรรมชาติก็เป็นเองในจิต ผู้ปฏิบัติถ้าปฏิบัติอยู่ก็เห็นอยู่อย่างนี้ละ ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดจ้าอยู่ จึงเรียกว่าพุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน และเป็นสถาบันแห่งเพชฌฆาตใหญ่สังหารกิเลสให้หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเกินพุทธศาสนา
พุทธศาสนานี้เป็นสถานที่สังหารกิเลสให้หมดโดยสิ้นเชิง แล้วครองมรรคผลนิพพานก็คือพุทธศาสนาเรานี้แหละ มีแถวมีแนวมา จึงแน่ชี้นิ้วเลย ในโลกนี้มีพุทธศาสนาเท่านั้น บอกเท่านั้นเลย นอกนั้นเป็นศาสนกิเลส กิเลสเป็นเจ้าของศาสนา ผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นคนมีกิเลสเป็นคลังกิเลส แสดงออกต้องเป็นกิริยาของกิเลสออกทั้งหมด แม้จะว่าสอนศาสนาก็ตาม สอนศาสนาก็คือศาสนกิเลสนั้นเอง ไม่ใช่ศาสนธรรม เมื่อธรรมเต็มหัวใจแล้วนี้ ออกเป็นศาสนธรรมล้วนๆ เลย สอนไม่มีผิดพลาด
พระพุทธเจ้า สาวกสอนไม่มีผิด ตรงแน่วๆ เลย คนมีกิเลสสอนผิดพลาดไปด้วยกัน ดีไม่ดีก็เอาตัวเข้าไปเป็นใหญ่อยู่ในนั้น ตัวชอบใจยังไงก็เห็นว่าอันนั้นถูกไปหมด ถึงจะผิดก็เห็นว่าถูกไปหมดเลย อย่างที่เขาเป็นอยู่เวลานี้เห็นไหมรัฐบาล เลอะเทอะไปหมด เจ้าของเห็นว่าถูก ถูกด้วยความผิดของเจ้าของนั้นแหละ คนอื่นเขาจะตำหนิติเตียนอะไรไม่ฟังเสียงใครเลย ว่าเจ้าของถูกโดยถ่ายเดียว ถูกแห่งความผิดของกิเลส มันถูกของมันแบบนั้นละ แต่ธรรมมันฟังไม่ได้ซิ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ
(หลวงตาครับ เมื่อวานนี้ที่ไปช่วยเวียงจันทน์ หลวงตาช่วยเครื่องมือแพทย์ไป ๒ ล้าน ๘ แสนบาท แล้วรถยนต์ก็ว่าขาดอีก ๖ แสน หลวงตาก็ช่วยไป ๖๓๐,๐๔๐ บาท รถยนต์ที่เอาไปทำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ครับ) เมื่อวานนี้ขาดอยู่ ๖ แสน เวลาให้ ๖ แสน ๓ หมื่น นี่ให้ ๓ แสน ๗ หมื่นหรืออะไร นี่ๆ (ยอดรวมที่เวียงจันทน์ตอนนี้ ๑๖,๔๔๓,๐๔๐ ครับ ทั้งหมดที่เวียงจันทน์ครับ ของไม่นับฮะสองเที่ยวใหญ่ ของที่ ๗ คันสิบล้อๆ ไม่นับ) เราไม่นับสิ่งของที่ให้นี้ เรานับเฉพาะเงินล้วนๆ ที่จะจ่ายนะ ๑๖,๔๔๓,๐๔๐ บาท ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือตา ขึ้น ๑๖ ล้านแล้วนะเวียงจันทน์ ก็อย่างนั้นแล้ว เราตั้งไว้สามจุดแล้วเดี๋ยวนี้ ทีแรกว่าจะตั้งบุรีรัมย์ บุรีรัมย์ก็เกี่ยวโยงไปจังหวัดนั้นๆ มารวมที่บุรีรัมย์ด้วยเครื่องมือที่ให้ เรียกว่าค่อนข้างจะสมบูรณ์แหละ
จากนั้นทางเพชรบูรณ์ก็คิดว่าจะตั้ง อ้าว พิษณุโลกก็บืนมา เพชรบูรณ์ก็บืนมาละที่นี่ ตกลงเลยได้ให้ทั้งเพชรบูรณ์ให้ทั้งพิษณุโลก นี่สามจุด บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ แล้วก็พิษณุโลก สามจุดแล้วตา ตานี้ต้องตั้ง ๒๐ ล้านขึ้นไป ทุกวันนี้ยังไม่ครบนะ ๒๐ ล้าน เราทำที่อุดรนี้มันตั้ง ๒๐ กว่าล้าน อันนี้ครบเลย โถมันจะ ๒๗-๒๘ ล้านละมั้ง เฉพาะตานะ นั่นเห็นไหม เหล่านี้ก็จะพอๆ กัน คือคอยฟังเขาขาดตรงไหนๆ เราก็ให้เลยๆ คอยฟังทางนู้นเสนอมา เราก็ให้เลยๆ แต่สำคัญคือหมอต้องครบ ถ้าหมอไม่ครบเราให้ไม่ครบ คือหมอมีจำนวนมากน้อยเพียงไรให้แค่นั้น ให้มากกว่านั้นไม่ได้ไม่เกิดประโยชน์
อย่างบุรีรัมย์นี้เขาก็ยืนยันมาแล้วว่า หมอนี้จะให้ครบ เอ้า ถ้าให้ครบก็เอา ทางนี้ก็เริ่มสั่งแล้ว ๖ ล้านแล้วสั่ง จะสั่งเรื่อยๆ ทางไหนก็เหมือนกัน เขาเอาหมอมายืนยันรับรองเราถึงจะให้ ทางพิษณุโลกก็เหมือนกัน พิษณุโลกก็ยืนยันมาแล้ว แล้วทางเพชรบูรณ์ว่าไง หมอ (เพชรบูรณ์ หมอตอนนี้มีอยู่หนึ่งคน แต่ว่าเดือนหน้าจะมาอีกหนึ่งคน แต่หลวงตาก็ให้เครื่องมือไปสองเครื่องแล้ว ประมาณ ๔ ล้านบาทครับ) ก็อย่างนั้นแล้วให้เรื่อย ถ้าหมอครบก็พยายามเครื่องมือให้ครบ คือตานี้มีหมอหลายแผนกนะ แผนกนั้นแผนกนี้ ดูเหมือนไม่ต่ำกว่าห้าหมอ อุดรดูว่าห้าคน ก็อย่างนั้นแล้ว
เราจะพยายามช่วยหมดเมืองไทยเรานี้ ถ้าเราไม่ตายนะ คือเอาที่จนตรอกจนมุมเสียก่อน เช่นอย่างภาคอีสานเป็นภาคคนจน เราก็ช่วยตามความจำเป็นนั้นก่อน แล้วขยายออกที่นี่ ขยายออกก็จะตีไปทางเพชรบูรณ์ก็ออกพิษณุโลก จากนั้นออกทั่วประเทศ ประเทศไทยเรา ถ้าเรายังไม่ตายจะเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ คืออันไหนจำเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองเราจะพิจารณาไปตามอันดับ อันดับที่จำเป็นมากก็คือภาคอีสานจำเป็นมากจริงๆ เราจึงได้ช่วยก่อนนั่นละ จากนั้นก็ขยายออกๆ ไปถ้าเรายังไม่ตายทั่วประเทศไทยเลย มีเท่าไรออกหมด
สำหรับเงินจตุปัจจัยที่ได้มานี้ไม่มีเกี่ยวข้องเลยเรา มันหากเป็นเองโดยหลักธรรมชาติ เพราะความจำเป็นมีมากอยู่แล้ว พอได้มาปั๊บใส่ปุ๊บๆ ไปเลยๆ อย่างนั้น ถ้าไม่ตายยังไงก็ออกทั่วประเทศ เฉพาะตานี้นะจะออก จุดนั้นๆ ไปหมดเลย เอาละที่นี่ให้พร (หลวงตาครับ แก้ไขให้ถูกต้องใหม่นะครับ หลวงตาให้เครื่องมือแพทย์เวียงจันทน์เมื่อวานนี้ ๒ ล้าน ๘ แสน แล้วร่วมซื้อรถ ๖๑๓,๐๔๐ รวมแล้วเมื่อวานนี้ก็ ๓,๔๑๓,๐๔๐ บาท ของเดิมที่ช่วยไว้แล้ว ๑๓,๕๘๐,๐๐๐ เอามารวมก็เป็น ๑๖,๙๙๓,๐๔๐ บาท อันนี้ถูกต้องครับ) นี่หมายถึงเวียงจันทน์นะ เวียงจันทน์ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน อย่างนั้นละถ้าไป มันคิดในหัวใจเต็มแล้วค่อยไป ทีนี้ไปก็คอยฟังมีความจำเป็นอะไรๆ จำเป็นตรงไหนก็ช่วยปั๊บๆ ไปอย่างงั้นละ เอาละให้พร
ยังไม่ได้กลับบ้านไม่ใช่หรือ (ยังไม่กลับครับ) เขาให้ตรวจอีกเสียก่อนเหรอ เอ้อ ก็ดีละ ไปผ่าตัดมาแล้วนี่ ไปฝากให้หมอวิเชียร หมอตา ก็เราทุ่มเงินลงไปนั้นตั้ง ๒๐ กว่าล้าน จึงว่าเอานี้ไปทดลอง อ้าว จริงๆ นะเราไม่เหมือนใคร มันจะมีขั้นทดลองอยู่ในนั้น เราช่วยนี้ตั้ง ๒๐ กว่าล้าน อันนี้พอดีลูกศิษย์เรามีความจำเป็นเข้ามานี้ เราก็จับยัดเข้าให้หมอวิเชียร ฝากให้หมอวิเชียรให้หมอตารักษา นี่คอยฟังพูดจริงๆ ถ้าหมอคิดค่าคิดราคาจากคนไข้ที่เราเป็นผู้ฝากไปนี้นั้นแม้แต่หนึ่งบาทไป เราจะให้เต็มบาท ๙๙ สตางค์ก็ไม่ให้มี จะให้เต็มบาทเลย
แต่ตั้งแต่บัดนั้นต่อไปบาทหนึ่งเราก็ไม่ให้ที่นี่นะ เข้าใจไหม ไม่มีค่า นั่น จะเอากันเอาตรงนั้น แล้วไม่ให้ขาด เราจะให้เป็นจำนวนเท่าไรเป็นล้านๆ ต่อไปขาดสะบั้นไปหมด ถ้าเอาเงินของเราไปหนึ่งบาทจากคนไข้ของเราเข้าใจไหม เพราะฉะนั้นทางนั้นเขาถึงไม่เอาละซิ ก็เขาก็หวังเงินล้านอยู่นี่ ถ้าเอาเงินบาทนี้ไปเงินล้านขาดสะบั้นไปเลยใช่ไหมล่ะ นี่เขาไม่เอาสักบาท เขามีหวังละเงินล้าน ไม่ใช่ธรรมดานะเป็นล้านๆ นู่นน่ะ ใครจะมาเห็นแก่เงินบาทเดียวนี่วะ
วันนี้พูดถึงเรื่องที่ว่าไอ้พระจำนวนมากๆ ที่ไปฉันนั้น ครั้งพุทธกาลคงมีพระมากนะ ดีไม่ดีจะมากกว่าประเทศไทยเป็นไร แต่พระปฏิบัติดีทั้งนั้นนะ ไมใช่พระโกโรโกโส พระเจ้าสุทโธทนะทรงนิมนต์พระไป ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ไปเสวยในพระราชวัง กับพระสองหมื่นองค์ ไม่ใช่เล่นนะ บอกในตำราไว้ว่าสองหมื่นองค์ จึงได้คิดว่า โถ พระในครั้งนั้นไม่ใช่น้อยๆ นะ ท่านไปฉันในสำนักพระราชวังพระเจ้าสุทโธทนะ พระตั้งสองหมื่นองค์ ฟังซิ ทีนี้ก็มีอันหนึ่งอีกที่น่าคิด พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า พระทั้งหมดที่มาฉันจำนวนสองหมื่นองค์นี้ให้กลับวัดเสีย
สำหรับท่านก็ถูกพระเจ้าสุทโธทนะทูลอาราธนา และพรรณนาถึงบุญถึงคุณของพระนางพิมพา พระนางพิมพาเวลาพระองค์เสด็จออกทรงผนวช พระองค์ประทับอยู่ที่ไหนพระนางพิมพาจะก้มพระเศียรกราบไปทางนั้นๆ ตลอดเลย แล้วก็พรรณนาคุณของพระนางพิมพาให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ ส่วนพระองค์ทรงทราบมาพอแล้ว แต่เก็บความรู้สึกของพระพุทธเจ้าเอาไว้ละซิ เมื่อมีเหตุมีผลรับกันแล้วพระองค์ก็ไป เข้าใจไหมล่ะ นี่ก็จะทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดพระนางพิมพาด้วย เพราะมีบุญมีคุณเป็นคนเรียกว่าดีมากว่างั้นเถอะ
ทีนี้เราสรุปเลย พระองค์ก็รับ พอเสร็จแล้วก็รับสั่งให้พระกลับทั้งหมดเลย ให้พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลาน์เท่านั้นไปกับเราตถาคต ทีนี้ก็สั่งกำชับอีกอันหนึ่ง ขบขันดี นี่เวลาเราเข้าไปเยี่ยมพระนางพิมพา พระนางพิมพาจะมาทำอะไรๆ กับเราก็ตาม ให้นิ่งหมดแบบหูหนวกตาบอดทั้งหมด ถ้าหากว่ามีกระทบกระเทือน พระนางพิมพาจะสลบ แล้วจะขาดมรรคผลนิพพาน สายบารมีจะขาดสะบั้นในตรงนั้น พระพิมพาจะทำอะไรเราก็ตาม อย่าไปสนใจ ท่านรับสั่งไว้เลย ก็พระองค์เล็งดูเรียบร้อยแล้วว่าจะเป็นอย่างนั้นเข้าใจไหมล่ะ
พอพระองค์เสด็จไปก็มีคนเข้าไปทูลพระนางพิมพาว่า สิทธัตถราชกุมารเสด็จมาโปรดแล้ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าอะไรละ ว่าสิทธัตถราชกุมารมาโปรดแล้ว พอว่างั้นถ้าภาษาของเราก็ หือ เท่านั้นเข้าใจไหม โอ๋ย มันจะมีกี่ขาละมาด้วยกันหมด สิบขามากกว่าขาบุ้งกืออีกเข้าใจไหม ผางมาเลย มาก็พันเลยเชียว มากอดพระพุทธเจ้า พันเลย แต่เขาพูดเพียงงามๆ ว่ามาอย่างนั้นอย่างนี้ หลักความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น คือเอาอันนั้นออกเสีย เอาที่สายบารมีของท่านที่ถึงพร้อมแล้วด้วยกันทั้งสองพระองค์ ผู้นี้พ้นแล้วกำลังจะมาลากผู้นี้ให้ไปด้วยกัน
พอมาถึงนี้เข้าพันเลย กอดพระพุทธเจ้าพระองค์ก็เฉย พระสาวกใครต่อใครอยู่นั้นเพราะได้เตือนหมดแล้วให้ต่างคนต่างนิ่งให้หมด พระนางก็ทำเต็มที่แล้ว พระองค์ก็เล็งญาณดูเรียบร้อยแล้วค่อยแสดงธรรมมาเป็นประโยคๆ ให้นางได้ระลึกๆ ทีนี้ก็เป็นเอง ที่ทั้งกอดทั้งพันพระพุทธเจ้านั้น ค่อยขยับออกๆ ไม่มีใครห้ามนะ ตำราบอกไว้อย่างนั้น ให้เป็นตามพระอัธยาศัยเอง เทศนาว่าการถึงขั้นบารมี เราถึงจุดอันนั้นแล้วทีนี้จะพยายามให้ถึง ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเราทั้งสอง เทศน์ไปๆ ก็ค่อยขยับออกๆ เลยไปนั่งเรียบร้อยเป็นธรรมดา เป็นเอง
เวลามากอดก็ไม่มีใครบังคับให้มากอดพระพุทธเจ้าใช่ไหม เวลาถอยก็ไม่มีใครบอกพระนางทรงถอยเอง จากนั้นก็ได้สำเร็จมรรคผล เราย่อๆ เอาเลยนะ จนกระทั่งพุ่งถึงนิพพานเลย นี่ละพระพุทธเจ้ากลัวคนจะตกตะลึง ตอนที่พระนางพิมพาเข้ามากอดพันพระพุทธเจ้า พระองค์จึงรับสั่งไว้หมด พระนางจะทำอะไรอย่าไปสนใจ เท่ากับว่าหูหนวกตาบอดคนในวงนั้น ตั้งแต่วงกษัตริย์ทั้งนั้นเต็มอยู่นั้น เฉยหมดเลย พระสารีบุตรพระโมคคัลลาน์ก็เฉย ให้พระองค์ทั้งสองปฏิบัติต่อกันเอง พอเสร็จแล้วพระนางก็รู้ตัวเอง เทศนาว่าการขยับออกๆ เป็นความสวยงามธรรมก็เกิด เข้าใจไหมล่ะ เรื่องราวทั้งหลายก็สงบเย็นเป็นคติแก่พวกเรา เอาละพูดเท่านั้นละไป
(มีอยู่เรื่องหนึ่งอยากกราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์ครับ อยากเรียนถามว่าตอนที่ท่านขึ้นเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธมารดาได้สำเร็จมรรคผลอะไรบ้างหรือเปล่า เหมือนพระนางพิมพาหรือเปล่า) ทรงปรารถนาจะเป็นพระมารดาของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ คือพระกกุสันโธ โกนาคมน์ กัสสโปกัสสปะ โคตโม พระพุทธเจ้าของเรานี้องค์หนึ่ง เวลานี้อยู่ชั้นดุสิต จะเป็นพระมารดาของพระศรีอริยเมตไตรยก่อน เสร็จนั้นแล้วก็นิพพานเลย แล้วมีอะไรอีกล่ะ นั่นละเรื่องราวเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ยังไม่นิพพาน จะเป็นพระมารดาของพระศรีอริยเมตไตรยเสียก่อน
(ท่านเสด็จขึ้นไปโดยฤทธิ์หรือว่าจิตคะ ที่ไปโปรดพุทธมารดาบนดาวดึงส์) อะไรก็ตามเถอะ ไอ้พวกเราไปนี้มันเสด็จด้วยรถยนต์ ด้วยมอเตอร์ไซค์เลยชนกันดะไปเลย แต่พระพุทธเจ้าเสด็จอะไรก็ตามเถอะ ไอ้พวกนี้มันพวกบ้ารถยนต์ บ้ามอเตอร์ไซค์เต็มบ้านเต็มเมือง ป่าช้าของรถยนต์ ป่าช้าของมอเตอร์ไซค์เต็มอยู่เมืองไทยทั้งหมด เข้าใจหรือยัง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |